ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.25K
      7
      11 ก.ย. 55




    บทที่ 1

    ภาพของท่าอากาศยานลอนดอนอันพลุกพล่านด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติสะท้อนอยู่ในแก้วตาสีเขียวสดใส แต่มันอลหม่านไปด้วยความรู้สึกซึ่งตัวเธอเองก็ไม่สามารถจะระบุได้ว่าเป็นความตื่นตระหนก งุนงง หรือว่าหม่นหมองกันแน่

    พี่ชายฝาแฝดบอก ขอร้อง หรือที่ถูกต้องคือสั่งให้เธอไปจากลอนดอนโดยเร็วที่สุดเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว แน่นอนว่าเธอถาม --

    “พี่จะให้ฉันไปไหน”

              และเขาตอบอย่างรวดเร็วว่า

    “ต้องเป็นที่ที่เงินของเขาตามไปไม่ถึง”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ในลอนดอน” เธอพูด

    “หรือไม่ใช่ในอังกฤษ...” เขาพยักหน้า

    “เอเรล รอนานไหม”

                เธอกำลังจะหันกลับไปมองตอนที่กระป๋องน้ำอัดลมเย็นเฉียบถูกยื่นมาแนบที่ใบหน้าอย่างรวดเร็วจนสะดุ้งตกใจ

    “ไม่หรอก” เอเรอาญ์ตอบ เธอไม่ถูกชะตากับน้ำอัดลมไร้น้ำตาลนัก แต่ก็ดื่มมัน “แค่ฉันนึกว่าพี่อาจจะถูกจับเรียกค่าไถ่ไปแล้ว หรืออะไรเทือกนั้น”

    อาเธอร์หัวเราะ หลังจากนั้นก็เอื้อมมือมาขยี้แรง ๆ บนผมของเธอ “เธอกลับมาร่าเริงแล้วใช่ไหม”

     “เก็บพวกบุคลิกหมกมุ่น คิดโน่นคิดนี่ให้คุณหมอหมาด ๆ ดีกว่า”

    “สาบานได้ว่าเธอจะไม่มีทางเห็นของพวกนั้นจากฉัน”

    “ฉันล่ะสงสารคนไข้ของพี่จริง ๆ -- ” เธอดื่มน้ำอัดลมเข้าไปอึกใหญ่ พยายามกลืนความรู้สึกหดหู่ตามลงไปด้วย เพียงแต่มันไม่ได้ผล “แล้วก็สงสารตัวเอง... ที่คงไม่มีโอกาสได้เห็นพี่รักษาใครอีกแล้วด้วย”

     “ถ้าเป็นที่เอเธนส์”  

    “เอเธนส์หรือ... ”

    เธอเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “อีกเดี๋ยวก็ได้เวลาแล้วล่ะ”

    “เอเรล ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอไปเลยนะ... ”
    “ฉันเข้าใจ” เธอพูดเสียงราบเรียบ แต่กลับฟังดูเศร้าหมองจนหมดความน่าเชื่อถือ “พี่หวังดีต่อฉันเสมอ”

                อาเธอร์ไม่พูดอะไรสักคำ และเธอเองก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีกต่อไป เหมือนกลัวว่าคำพูดแต่ละคำจะทำลายเวลาแต่ละวินาทีอันน้อยนิดระหว่างตนเองและฝาแฝด ไม่นานนัก อาเธอร์ก็ถอนหายใจและนั่งลงข้าง ๆ เธอ

    “เอเรล... ” เขาพูดช้า ๆ “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอต้องรอนานแน่ ๆ -- สักวันฉันจะดูแลเธอกับแม่เอง ด้วยตัวของฉันเอง และเงินของฉันเองด้วย คอยดูสิ”

    “ฉันรู้”

    “ฉันสัญญา” เขาย้ำ

    “ฉันรู้อยู่แล้ว”

                แล้วโลกก็เงียบงัน จนกระทั่งตัวเธอเองที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ -- อ้างว้างเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย ๆ

    “แต่... พี่ไปกับฉันไม่ได้หรือ”

    อาเธอร์โอบรอบตัวเธออย่างอ่อนโยนที่สุด “เธอก็รู้ว่าเราทิ้งแม่ไว้คนเดียวไม่ได้”

     “แต่ฉันกลัวเหลือเกิน --

    “ฉันก็กลัว เอเรล” อ้อมแขนของอาเธอร์แนบแน่นขึ้น “เราไม่ควรต้องแยกจากกันแบบนี้เลยสักนิด”

    “อย่ามาทำให้ฉันอยากร้องไห้สิ”

    “เธอนั่นแหละ” เสียงของเขาก็สั่นเครือไม่ต่างกัน

                เธอพิงศีรษะลงกับบ่าของพี่ชายฝาแฝด เนื้อตัวสั่นเทา ขณะที่สีสันของโลกพร่าเลือนด้วยน้ำตา เอเรอาญ์มองเห็นเข็มนาฬิกาเป็นรูปร่างยาวรีมัว ๆ แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือมันกำลังเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอ และคงจะไม่มีวันผ่อนปรนให้ใครเลยสักคน

    “พี่ -- ” เธอกระซิบในที่สุด “ถึงเวลาแล้วล่ะ”

                อาเธอร์คลายอ้อมกอดและฉุดให้เธอยืนขึ้น เขายิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่เธอรู้ว่ามันขมฝาด

    “เขาคงจะช่วยเหลือเธอได้ไม่มากนัก” เขาบอก “แต่เธอน่ะเก่งจะตายไป จะต้องดูแลตัวเองได้ดีแน่ ๆ”

    “พี่ดูแลแม่ด้วยนะ”

    “ไม่ต้องบอกก็จะทำอยู่แล้ว”

    “ฉัน... ” เธอเบ้หน้า มีก้อนขวางอยู่ในลำคอจนแทบจะเปล่งเสียงไม่ได้ “ฉันจะรอวันนั้นนะ”

    “เชื่อมือฉันเถอะ”                                                                         

                อาเธอร์ยิ้มกว้างออกมาในที่สุด เพียงแต่เธอกลับรู้สึกว่าโลกกำลังมืดมิดลง และแล้ว เพราะไม่อยากจะเอ่ยคำอำลา เอเรอาญ์โถมตัวใส่เขา แล้วสองพี่น้องก็โอบกอดกันเอาไว้แน่น -- เหมือนจะแน่นที่สุดในชีวิต

     

              ผืนดินมั่นคงค่อย ๆ ห่างหายไปจากสายตา และเมื่อไกลเกินกว่าจะแยกแยะสีสันของลอนดอนออกจากกลุ่มเมฆได้แล้ว เอเรอาญ์ก็ละสายตาจากบานหน้าต่างของเครื่องบิน

            “เอเรล...”

              เสียงของอาเธอร์ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงหนึ่งของภวังค์ที่เฉื่อยชาและเหนื่อยอ่อน

              พี่ชายฝาแฝดจะยืนอยู่ข้าง ๆ เธอเสมอตั้งแต่จำความได้ เป็นฝาแฝดที่คอยปกป้องและดูแลเธอมาโดยตลอด และเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เหลืออยู่ใน ครอบครัวของเธอ

            คำว่าครอบครัวทำให้เธอแค่นยิ้มอย่างขมขื่นอยู่เสมอ มันเชื่อมโยงกับอีกหลายคำตามหลักการปกติ ไม่ว่าจะเป็น -- ความผูกพัน ความเสียสละ หรือความรัก...

            น่าเสียดายที่ไม่มี ความสุขปรากฏอยู่ในหลักการนั้นของเธอ

              แม่และ เขามีเธอกับพี่ชายฝาแฝดเมื่อตอนที่คนทั้งคู่ยังไม่พร้อม และแล้วในวันที่สองฝาแฝดมีอายุครบสิบสี่ปี ของขวัญที่ได้รับกลับกลายเป็นความทรงจำที่เขาเดินออกจากประตูบ้านไป มือขวาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ และไม่กลับมาอีกเลย เขาไม่เคยพูดถึงเหตุผลของมัน และแม่ก็ไม่ทำอะไรนอกจากร้องไห้ ดังนั้นแล้ว ในสายตาของเด็กหญิงและเด็กชาย สิ่งที่เขา -- หรือ พ่อ ทำ จึงมีค่าเท่ากับคำว่า ทอดทิ้งอย่างชัดเจน

              แล้วในไม่กี่ปีให้หลัง แม่ก็ตัดสินใจแต่งงานกับริชาร์ด ดาลตัน เศรษฐีและผู้ทรงอิทธิพล ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างมองดูสวยงามและเลิศหรู มันกลับเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องเดินทางตัดข้ามฟากฟ้าตรงไปหา เขาของเธอและพี่ชายฝาแฝด

            “เธอกับแม่คงยังไม่รู้สินะ ว่าจริง ๆ แล้วริชาร์ดคิดจะทำอะไร”

            อาเธอร์บอกกับเธอในวันหนึ่งซึ่งลมพัดแรง ใบหน้าของเขาถมึงทึงและเคร่งเครียด

            “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะอาเธอร์ -- ” เธอถามอย่างประหลาดใจ

            “ริชาร์ดแต่งงานกับแม่เพราะรู้ว่าเราจะไม่มีวันขัดขืนเขา เขารู้ว่าเราต้องการเงินกับความช่วยเหลือของเขามากขนาดไหน และ... รู้อะไรไหม --

            ความกราดเกรี้ยวของอาเธอร์ดูจะพลุ่งพล่านขึ้นอีก แต่เสียงของเขาเบาลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ต้องการให้ใครได้ยิน หรือเพราะอยากจะปฏิเสธว่ามันไม่เป็นความจริง

            “ตอนนี้ เขาต้องการตัวเธอ”

            ฟังดูเลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เพราะคนพูดคืออาเธอร์ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่เชื่อเขา ความช่วยเหลือจากพี่ชายฝาแฝดทำให้เธอปลอดภัย หรืออย่างน้อยเธอก็คิดว่าปลอดภัยดีมาโดยตลอด และแล้วเมื่อความร้ายกาจกำลังจะก้าวข้ามความพยายามของเขาไป ทางที่เขาเลือกคือการส่งเธอหนีไปให้ไกลเกินกว่าที่อิทธิพลของพ่อเลี้ยงจะตามไปถึง และเพราะว่าไม่สามารถจะประเมินความยาวนานของการหลบหนีได้ อาเธอร์จึงต้องการจะให้เธอไปในที่ที่เธอจะไม่โดดเดี่ยวหรือเคว้งคว้าง

              ที่นั่นคือเอเธนส์

              และ เขาอยู่ที่นั่น

              เอเรอาญ์ถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นก็เอนหลังพิงกับเบาะนั่ง กอดอก และพยายามครุ่นคิด แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างหนักแล้ว ใบหน้าของพ่อที่เลือนรางก็ไม่ปรากฏขึ้นในความทรงจำ

            ก่อนจะผล็อยหลับ เอเรอาญ์ปลอบตนเองว่าฟ้าหลังฝนจะสดใสเสมอ แม้จะไม่มีความมั่นใจอยู่เลยก็ตาม

     

                ถ้าปราศจากควาหม่นหมองบนสีหน้า เขาจะดูน่ามองถึงมีเสน่ห์ระดับพอใช้ เพียงแต่สีเทา ๆ ที่ดูเหมือนจะระบายอยู่ทั่วตัวกลับเพิ่มมากขึ้น ๆ ตามความห่างไกลของเครื่องบินลำหนึ่งซึ่งกำลังจะหายไปจากระยะสายตา

               แล้วอาเธอร์ก็มองบนหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังกะพริบเป็นจังหวะ

             ‘Richard’

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×