ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #22 : บทที่ 10 ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 407
      2
      30 พ.ค. 60




                 เธออ่านหนังสือจบไปอีกหนึ่งเล่มตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างรีบร้อนและไม่มีความเกรงอกเกรงใจเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่เปิดออก --

                “ทำไมถึงได้เปิดช้านัก หรือว่าข้าให้อิสระเจ้ามากเกินไป!

                เสียงของฮาเดสดังขึ้นพร้อมกับดวงตาจับผิดปนเกรี้ยวกราดเหมือนเจ้านายที่กำลังจ้องมองผู้ใต้บังคับบัญชา เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ พ่นลมอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ

                “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าจะพาไปที่หอคอยทุกวัน”

                “ท่านคะ ฉันต้องขอคัดค้าน” เอเรอาญ์พูดอย่างใจเย็น “และขอพูดอีกครั้ง ฉันไม่มีทางเป็นเทพี                เพอร์ซีโฟเน่ไปได้หรอกค่ะ ฉันไม่มีวี่แววว่าจะจำอะไรได้เลยสักนิด”

                “แต่ข้าบอกว่าเจ้าต้องไป!

                “ท่านไม่ควรบังคับ --

                ฮาเดสเงียบเสียงลงเล็กน้อย เอเรอาญ์คิดว่าเขาคงเริ่มพิจารณาว่าการบังคับเป็นสิ่งที่หมายถึงการทำผิดต่อเธอและเพอร์ซีโฟเน่หรือเปล่า แต่แล้วเธอก็รู้ว่าเธอคิดผิด

                “เจ้ารู้ว่าข้าสร้างหอคอยนั้นด้วยประสงค์ดี และข้าคิด -- ไม่ -- มันต้องเป็นประสงค์ดีแน่ ๆ การนำเจ้าหรือนางไปที่นั่นทุกวันไม่ใช่ประสงค์ร้าย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่การบังคับ”

                “แต่ฉันไม่ได้เต็มใจจะไปทุกวัน”

                “แล้วทำท่าโหยหาโลกข้างบนอยู่ตลอดเวลาทำไมกัน รู้ไหมว่าหอคอยนั่นเห็นมองเห็นได้ทั้งอาทิตย์และ --

                “นั่นเทพีเพอร์ซีโฟเน่ค่ะ ไม่ใช่ฉัน” อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่เธอขัดเขา “วันนี้ฉันอยากอ่านหนังสืออยู่ในนี้เงียบ ๆ”

                “เจ้ากับนางเป็นคนคนเดียวกัน” เขาพูดอย่างดื้อดึง

                “ฉันบอกว่าไม่ใช่”

                “แต่ข้าบอกว่าใช่”

                เธอเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง “ท่านนี่เหมือนอสูรในเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเปี๊ยบเลย”

                “ข้าไม่ใช่อสูร และไม่ใช่เจ้าชายด้วย”

                “ฉันไม่ได้หมายความว่า --

                “ที่สำคัญ เจ้าก็ไม่น่าจะเป็นโฉมงามไปได้”

                หยาบคาย! และถ้าเอเรอาญ์ไม่ได้นับหนึ่งถึงร้อยเตรียมไว้ในใจ รวมถึงปลอบตัวเองว่าเขาไม่เคยสัมผัสโลกที่ไม่ตรงเผงเหมือนเวลาที่เขาตัดสินความถูกผิดของวิญญาณและไม่แข็งกระด้างมานานแสนนานแล้ว เธอก็คงนึกอยากจะฟาดมือบนใบหน้าของราชันแห่งปรโลกสักเปรี้ยงอย่างเหลืออด

                “ค่ะ ฉัน จะ ไป” เธอจงใจให้เขารู้ว่ากัดฟันตอบ

                ไม่ช้าเอเรอาญ์ก็เดินตามเขาอย่างไร้ทางสู้ -- หรืออันที่จริงคือเธอไม่มีทางจะสู้รบปรบมือกับเขาแน่ ๆ อยู่แล้ว จนมาถึงนอกตัวปราสาท แล้วในขณะที่เธอกำลังจะถามว่าเขาจะเดินไปพร้อมกับเธอ หรือหายวับไปก่อนอย่างที่เธอเคยเห็นบ่อย ๆ แล้วปล่อยให้เธอเดินตามไปทีหลังนั่นเอง ก็พอดีกับที่เขาทำอะไรบางอย่างอย่างฉับพลัน และแน่นอน เธอร้องเสียงหลง!

                “ท่านจะทำอะไรน่ะ!

                เขาช้อนตัวเธอขึ้น อุ้มด้วยสองแขน และทันทีที่เธอร้อง เขาก็โยนตัวเธอขึ้นสูงอย่างเหลืออดเหลือทนและเป็นเธอเองที่ต้องผวารีบคว้าตัวเขาไว้ เธอเพิ่งมั่นใจในตอนนั้นเองว่าเขาตัวสูงเหลือเกิน แน่นอนว่าต้องสูงกว่าเธอมากด้วยในเมื่อระดับอกยังทำให้เธอรู้สึกกลัวการตกกระทบพื้นได้

                “มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราไปถึงพร้อมกันได้โดยเร็วที่สุด”

                “แต่... ” เธอพูดอะไรไม่ออก ทว่าเอเรอาญ์จำได้ดีและมีสติระลึกว่าเขาพาเธอหายตัวไปด้วยได้ การไปด้วยกัน เร็วที่สุด ไม่ใช่การที่มีปีกสีดำขนาดใหญ่ค่อย ๆ เหยียดออกมาจากแผ่นหลังของเขาเหมือนพญาเหยี่ยวที่กำลังบิดขี้เกียจต้อนรับวันใหม่อย่างนี้แน่

                เอเรอาญ์ได้ยินเสียงเขาพูดแว่ว ๆ ว่าพร้อมไหม เธอกำลังจะตอบปฏิเสธตอนที่รู้สึกว่าอากาศรอบตัวพัดผ่านร่างกายไปอย่างรวดเร็ว เนื้อตัวเบาโหวง และเธอก็อยู่สูงจากพื้นมากเหลือเกิน มากเสียจนตัวปราสาทกลายเป็นเหมือนหยดหมึกสีดำหยดเล็ก ๆ ระหว่างบรรทัดที่ติดกันเป็นพืด ฮาเดสสะบัดปีก และคนหนึ่งคนกับเทพเจ้าหนึ่งองค์ก็โผทะยานไปสู่ท้องฟ้าของเอลลีเซียมที่มองเห็นอยู่ไกลลิบ ๆ

                ทันทีที่หาเสียงพบ เธอก็กรีดร้องลั่น แต่มันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่มันถูกสายลมพัดหายไปในชั่ววินาทีเดียว แต่เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกเสียด้วยว่าไม่มีใครช่วยเธอได้แน่ ๆ

                “ไม่เอาแบบนี้!

                เธอร้องอีก และด้วยความแปลกใจยิ่งยวด เธอได้ยินอะไรบางอย่าง บางอย่างที่อาจจะแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต บางอย่างที่แม้แต่สิ่งใดก็ตามที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็คงไม่เคยได้สัมผัส พบเห็น หรือได้ยิน

                มันเป็นเสียงที่ต่อให้ฟังกี่ครั้งเธอก็ต้องบอกว่าเจ้าของเสียงไม่เคยมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ และยอมทุ่มเงินพนันหมดธนาคารเพื่อบอกว่านั่นไม่ใช่เสียงของฮาเดส

                เพราะเขากำลังหัวเราะลั่น! หัวเราะอย่างที่คนมีความสุขจะต้องทำ เขากำลังหัวเราะอยู่แน่ๆ !

     

                ไม่ช้า ในความแปลกใจของแปลกใจ หลังจากที่ฮาเดสพาเธอลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามายืนอยู่ในหอคอยเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังไม่หยุดหัวเราะ เธอทั้งฉุนทั้งนึกอยากเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังทำอย่างนั้น มันอาจจะเป็นของประมูลที่หายากและราคาแพงที่สุดในโลกเลยก็ได้ แต่ฮาเดสไม่ยอมให้เธอได้เห็น เขาหันหลังให้เธอ ซ่อนใบหน้าด้วยปีกและขอบหน้าต่าง ขณะที่หัวเราะกึก ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย

                “ฉันยืนอยู่บนพื้นแล้วค่ะ ท่านไม่ต้องหัวเราะแล้ว” เธอพูดเสียงห้วน

                “เจ้า... ช่าง... น่าขัน”

                เอเรอาญ์มั่นใจว่าแม้แต่ทานาทอสก็ต้องไม่เคยได้ยินเขาตอบอย่างยากลำบากในขณะที่หัวเราะอยู่แน่ ๆ และเธอเองก็ควรจะตื่นเต้นหรือแปลกใจเสียหน่อย ถ้าเพียงมันจะไม่ถูกอารมณ์ฉุนกลบจนมิด

                “ไม่ตลกเลยนะคะ ท่านรู้ว่าฉันกลัว”

                “ข้าไม่เคยคิดว่าใครจะกลัวเรื่องนี้” เสียงของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว แต่เธอก็ยังมองไม่เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงาปีกสีดำกว้างใหญ่อยู่ดี เธอเดาว่าในตอนนั้นว่าเขากำลังยิ้ม แต่ความโมโหโทโสก็กลบความตื่นเต้นที่จะได้มองเห็นรอยยิ้มของเขาอย่างไม่ลดละ

                “ฉันไม่ได้กลัว ฉันแค่ตกใจ!

                “แต่เจ้าร้องไม่หยุด”

                “ฉันนึกว่าท่านจะพาฉันหายวับไปในวูบเดียวเหมือนคราวก่อน”

                “ข้าไม่ได้บินมานานแล้ว”

                “ท่านไม่จำเป็นต้องอุ้มฉันขึ้นแล้วแกล้งโยน”

                “หรือจะให้แบกเหมือนอะไรสักอย่างไหมล่ะ พอทำอย่างนั้น เจ้า ไม่ก็นางในตัวเจ้า หรือไม่ก็                   ทานาทอสก็ต้องพูดว่าข้าทำไม่ถูกต้องอยู่ดี”

                “ท่านไม่ควรแกล้งโยนฉัน!

                “เจ้าไม่ยอมกอดข้า ข้าบินสูง มันไม่แน่นพอ หรือเจ้าอยากพิสูจน์อีกครั้ง!

                เขาหันกลับมาประจันหน้าเธอแล้ว แน่นอนว่าไม่มีรอยยิ้ม และก็น่าหงุดหงิดใจอย่างยิ่งที่เธอพูดอะไรไม่ออกเพราะประโยคเดียว

                “ทำไมฉันต้อง -- กอด! ด้วยล่ะ!

                “ข้าไม่ได้หมายถึงกอด ข้าหมายถึงตรึงตัวเจ้าไว้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มั่นคง” เขาตอบด้วยสีหน้าเฉยชาอย่างที่สุด

                “ท่านบอกดี ๆ ก็ได้นี่คะ”

                เขาโคลงไหล่เบา ๆ

                “ฉันเองก็ไม่ได้สนุกเลยนะ!

                “เจ้าน่าขัน ยิ่งตกใจมาก ๆ ยิ่งน่าขัน ข้ารู้สึก -- ประหลาดดีเหมือนกัน -- อาจจะชอบก็ได้ ”

                เธอนึกเสียใจที่บอกให้เป็นตัวเขาอย่างที่อยากเป็น ฮาเดสอาจไม่เคยรู้จักคำว่า คัดกรองคำพูดมาก่อน มันไม่ใช่ถ้อยคำที่ฟังแล้วหยาบโลนหรือทำร้ายจิตใจใครเลย กระนั้นเอเรอาญ์กลับรู้สึกว่าถูกทำร้าย ตัวของเธอร้อนผ่าวเหมือนคำพูดของเขาเป็นคำสาป และเธอก็ลงท้ายอาการนั้นด้วยการหันหน้าหนี

                “อะไร! ข้าก็ทำอย่างที่เจ้าพูดแล้ว”

                “ฉันไม่คิดว่าตัวท่าน --

                เอเรอาญ์หันกลับไปแล้วเม้มริมฝีปาก ไม่คิดว่าเขาจะเป็นอย่างไรนั้น เธอเองก็ไม่เคยคาดฝันมามากพอที่จะตอบได้ รู้แต่ว่าถ้าหากท่าทางไร้ความรู้สึกและเกรี้ยวกราดนั้นมาจากกรอบที่บีบบังคับและการถูกหวาดกลัว ถูกชิงชังเพียงอย่างเดียว เขาก็คงเรียกได้ว่ายึดติดกับหน้าที่การงานจนน่าทึ่ง

                “ตัวข้าทำไม? ”

                “ช่างเถอะค่ะ”

                เธอพยายามละทิ้งความหงุดหงิดด้วยการเดินตรงไปยังหน้าต่าง และได้ผลดีทีเดียว ลำแสงอ่อนจางและสีสันบาดตาของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามาในหอคอย เอเรอาญ์แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เธอสัมผัสได้ถึงไออุ่นของดวงอาทิตย์ดวงโตที่สุดของวันที่กำลังจะจมหายไปในฟากฟ้าด้านใดด้านหนึ่ง ก้อนเมฆทุกก้อนไม่มีสีสันที่ซ้ำกันเลย ทั้งส้ม แดง เหลือง และชมพู รวมถึงม่วง น้ำเงิน และดำในอีกฟากหนึ่งของวันที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

                “ท่านดูสิ! ” เธอส่งเสียงอย่างกระตือรือร้น

                แต่เขากลับตอบอย่างเหนื่อยหน่าย “ดูอะไร”

                “ทุกอย่างสวยมากเลย!

                “ข้าเห็นจนเบื่อแล้ว”

                เธอไม่ชอบใจน้ำเสียงเนือย ๆ นั้นเลย และครั้งนี้ก็นับเป็นครั้งแรกที่เธอกระชากแขนของเขาก่อน ดึงตัวราชันแห่งปรภพมายืนอยู่ข้าง ๆ เธอที่ริมหน้าต่างอย่างเหลือทน

                “ท่านดูสิ ไม่เห็นมีอะไรน่าเบื่อเลย”

                “ข้ามองว่าน่าเบื่อ” เขาบ่น แต่ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

                ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ ห้านาที สิบห้านาที หรือเป็นชั่วโมง ๆ ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดมิดลงช้า ๆ แสงสีส้ม แดง เหลือง และชมพู จางหายไปทุกที โทนที่เข้มกว่ากำลังเข้ามาแทนที่ สายลมซึ่งพัดผ่านระลอกแล้วระลอกเล่าเย็นเยือกขึ้น ระหว่างที่แสงสีเงินรำไรค่อย ๆ ทอประกายมาจากอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าที่เธอมองไม่เห็น และทุกสิ่งกำลังจมสู่ความเงียบสงัดยามค่ำคืน

                “ไม่เคยมองพระจันทร์ที่นี่ใช่ไหม”

                เธอไม่ได้ตอบคำถามที่น้ำเสียงผ่อนลงจนอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาค่อย ๆ เหยียดริมฝีปากช้า ๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่สมบูรณ์ในท้ายที่สุด

                “อ๊ะ --

                เธอร้องเบา ๆ เมื่อสัมผัสนุ่ม ๆ และอุ่นเหมือนดื่มช็อกโกแลตร้อน ๆ ลงไปทั้งถ้วยสัมผัสแผ่นหลัง ก่อนจะค่อย ๆ โอบลำตัวของเธอเอาไว้อย่างแผ่วเบาและเชื่องช้า

                มันคือปีกของฮาเดส

                “อากาศจะเย็นขึ้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาจนเหมือนการพูดถึงลมฟ้าอากาศทั่วไป “อีกอย่าง ทำเช่นนี้แล้วเจ้าอาจจะนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่เป็นเพอร์ซีโฟเน่ได้ง่ายขึ้น”

                เขาพูดแค่นั้น

                ทุกสิ่งเงียบงัน

                แต่เอเรอาญ์กลับรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านั้น มากกว่านั้น... มากทีเดียว


    WRITER : อยากเขียนถึงตัวละครที่มีปีกบินมานานแล้วค่ะ เรียกได้ว่าเป็นความเวิ่นเว้อเพ้อฝันอย่างหนึ่งของโรมจักร เท่าที่จินตนาการไว้ ปีกของฮาเดสมีหน้าตาเหมือนกับปีกของเทพบุตรในภาพยนตร์หรือโฆษณานั่นแหละค่ะ คือเป็นขนนกเรียงกันเป็นแผงๆ แต่เป็นสีดำสนิท
    ในบทหน้า ( บทที่ 11 ) โรมจักรจะแบ่งเป็น 4 ตอนย่อยนะคะ เพราะเป็นบทที่มีความยาวมากกว่าบทอื่นๆ สองเท่า จะนำตอนที่ 1 และตอนที่ 2 มาลงก่อนในวันศุกร์ และตอนที่ 3 และ 4 ในวันอาทิตย์ค่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×