ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #30 : บทที่ 13 ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 381
      3
      4 ต.ค. 55




    บทที่ 13

                อาเธอร์ไม่รู้ว่าเขารู้สึกคุ้นเคยกับอาหารของโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่รู้คือเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างโจ่งแจ้งอย่างที่เคยทำ เขาก็รู้สึกพรั่นพรึงสุดขีด อย่างน้อยเขาก็เคยมีท่าทีต่อต้านอาหารที่บุรุษพยาบาลนำมาให้อย่างออกนอกหน้า และนั่นก็เป็นวันแรกที่เขาตื่นขึ้นจากสีสันอันมืดมนพร้อมกับความเหนื่อยอ่อนด้วยซ้ำไป

                “ลูกกินได้เยอะขึ้นนะ”

                เหมือนกับอาหารที่ควรปรับปรุงรสชาติ เสียงของพ่อกลายเป็นสิ่งที่คุ้นหู หลังจากการพักฟื้นร่างกายในโรงพยาบาลกว่าสองเดือน

                “อย่างนั้นล่ะมั้งครับ” เขาตอบลอยๆ “ผมคงจะชินแล้ว”

                พ่อไม่เคยบอก -- แต่เท่าที่อาเธอร์สังเกตเห็นด้วยตัวเองตลอดหกสิบวันในโรงพยาบาล -- น้องสาวฝาแฝดของเขาก็คงจะไม่เคยเรียกชายคนนี้ว่า พ่อ เหมือนกัน

                “พ่ออยากให้ลูกแข็งแรงขึ้น”

                “ผมเองก็หวังอย่างนั้น”

                อาเธอร์ไม่แน่ใจนักว่าเอเรอาญ์มีความรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าการพูดจาโดยไม่พาดพิงถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้าจะจากพ่ออย่างไม่โสภาเป็นสิ่งที่ยากเย็น โดยเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้นให้มีความต้องการจะทำอยู่เสมอด้วยเศษซากของคำถามที่ทับถมกันเป็นเวลาหลายปี

                “สองเดือนแล้วสินะ” พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเท้าของเขา “ลูกรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

                “ครับ”

                “ลูก... พอจะจำอะไรได้บ้างไหม”

                “ไม่ครับ” เขาพูดปดอย่างรวดเร็ว

                เขาตื่นขึ้นมาจากการเป็นเจ้าชายนิทรา และทำให้แพทย์ทุกคนในเอเธนส์ -- หรืออาจทุกคนในกรีซงงงวยกับร่างกายที่ไม่ได้บุบสลายหรือผิดปกติ มันทำงานอย่างแข็งขันราวกับเขาเพิ่งจะหลับไปเท่านั้น

                เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาจำเป็นต้องได้รับการพักฟื้นในโรงพยาบาลต่อไปเป็นเพราะสมองที่มีแต่สีดำ ในวันแรกที่ลืมตาขึ้นนั้น อาเธอร์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของเขาดูเหมือนจะทยอยกลับคืนมาทีละน้อยจนสมบูรณ์แบบเมื่อสัปดาห์ก่อน เขารู้ว่าพ่อรอเวลานั้นอยู่ พ่อคิดมาตลอดว่าการที่เอเรอาญ์หายตัวไปพร้อมกับการที่เขาอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน

                ยังมีโอกาสที่พ่อจะเชื่ออยู่บ้าง ถ้าเขาบอกความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อาเธอร์กลับรู้สึกจริงๆ ว่ามันเป็นความจำเป็นที่ต้องบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด เอเรอาญ์ยังไม่กลับมาจากยมโลกในสองเดือนที่มืดมนของเขา และ     อาเธอร์ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงไม่รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับมัน

                “รีเบคก้าจะมา”

                เขาหูผึ่ง “อะไรนะครับ แม่จะมาหรือ”

                “ใช่ แม่อยากมาพบลูกตั้งแต่ต้น” อีริค อาร์เรห์นตอบ “แต่พ่อบอกให้เธออยู่ที่ลอนดอน... ”

                “พนันกันได้ว่าริชาร์ด ดาลตันกำลังใช้ความพยายามสุดชีวิตเพื่อรั้งแม่เอาไว้”

                พ่อยิ้มอย่างเฉื่อยชา “ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”

                “พนันกันได้อีกอย่างว่าเขาจะมาด้วย”

                “ใช่ -- คุณดาลตันจะมาด้วย”

                แล้วทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทำให้อาเธอร์รู้สึกพะอืดพะอมอย่างน่าประหลาดจนต้องวางช้อนลง และก็เป็นจริงอย่างที่เขาภาวนาไม่ให้มันเกิดขึ้น

                “พวกเขามากันแล้ว” พ่อหันมาบอกเขา

     

                ขวดแก้วธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นเลยแม้แต่น้อยชิ้นนั้นนอนหลับอย่างสงบอยู่ในกล่องที่บุด้วยกำมะหยี่สีเขียวมรกต

                “สวยจริงๆ ”

                เธอรู้ว่าไซคีจะไม่รู้สึกผิดสังเกต และเธอก็คิดไม่ผิด

                “ของชิ้นนี้ --

                ไซคี[1] หรือที่โลกรู้จักเธอในฐานะชายาของกามเทพถาม พลางดึงเอาขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีอำพันข้นเหนียวออกมา มันหนืดเหมือนน้ำผึ้งแต่สีอ่อนกว่า

                “โอสถบำรุง” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่มั่นใจว่าดูเป็นมิตรมากที่สุด

                “โอสถบำรุง? ”

                “เจ้าไม่ได้ถือกำเนิดเป็นผู้อมตะ ไซคี” เธออธิบายอย่างใจเย็น “ราชันแห่งทวยเทพทรงเมตตา บัญชาให้ข้าปรุงขึ้นมาเพื่อเจ้า มันจะเพิ่มพูนอำนาจของน้ำอมฤตที่เจ้าเคยดื่มกินเพื่อกลายสภาพจากมนุษย์เป็นหนึ่งในบรรดาผู้อมตะเช่นเรา เพียงหนึ่งหยดในอาหาร เมื่อแสงจันทร์ของอาร์เทมีสเต็มดวงบริบูรณ์”

                เธอเลือกสรรคำพูดมาเป็นอย่างดี ลื่นไหลและเรียบง่าย เป็นธรรมชาติและแนบเนียน แน่นอนว่ามันง่ายดายเหลือเกินที่ไซคีจะเชื่อเธอ และเธอก็มั่นใจว่าจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น

                            เธอยิ้ม -- แล้วก็ยิ้ม บางทีความคุ้มค่าของน้ำตาที่คลุ้มคลั่งก็อยู่ตรงนี้นี่เอง

               

                เอเรอาญ์ยืนประจันหน้ากับเขา สีแดงฉานของดวงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ห้องเล็กๆ แคบๆ บนยอดหอคอยดูร้อนอบอ้าวเสียจนแม้แต่การจ้องมองผนังสักด้านหนึ่งก็อาจจะทำให้เหงื่อไหลโซม

                            “ฉันไม่อยากได้รองเท้าแก้วอีกคู่หรอกนะคะ”

                “ข้าก็ไม่ได้อยากจะให้ --        

                สองเดือนแล้วที่เอเรอาญ์ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือจากห้องสมุด สำรวจห้องหับในปราสาท ซึ่งมักจะเป็นห้องโล่งทาสีดำสนิทและไร้ริ้วรอยของการใช้งาน ตะลอนไปในทุ่งแอสโฟเดลและเขตอิเรบัส แม้กระทั่งขอบเหวอันมืดมิดแห่งทาร์ทะรัสพร้อมกับฮิปนอสและทานาทอสที่ดูจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของฮาเดสที่เปลี่ยนไป -- ในทางที่ดี อย่างน้อยเธอก็คิดว่าอย่างนั้น

                บางวันเธอใช้เวลาทั้งหมดขลุกอยู่กับเวเรน่าในเอลลีเซียม เวเรน่าดูดีมีความสุขทีเดียว และบ่อยครั้งที่การพูดคุยกับเธอทำให้เอเรอาญ์นึกถึงอาเธอร์ อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทบทวนการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้นเลย

                และฮาเดสก็ยังคงรักษาคำพูดรวมถึงสิ่งที่เอเรอาญ์เรียกว่า ความดื้อรั้นของเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้น นอกจากการพบกันเพียงประปรายและการสนทนาปราศรัยอย่างไม่หอมหวานนักในห้องของเขาแล้ว เธอยังอยู่กับเขาที่หอคอยเล็กๆ แห่งนี้ทุกเย็น ทุกครั้งเป็นไปเพื่อการพูดคุยที่เรียบง่ายแต่ยาวนาน เขาเล่าเรื่องราวในโลกของเขา เธอเล่าเรื่องราวในโลกของเธอ ไม่กี่วันให้หลังนี้เองที่เอเรอาญ์ถูกราชันแห่งปรภพผู้ยิ่งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว และน่าเกรงขาม สั่งให้เล่า นิทาน

                “ถ้าอย่างนั้น -- ฉันคงต้องคืนมันให้ท่าน”

                “ไม่รับคืน”

                เขาฟังนิทานที่เธอเล่าอย่างกระท่อนกระแท่นด้วยความสนใจเหมือนเด็ก ถ้าเพียงแต่มันจะทะลุทะลวงผ่านใบหน้าที่ดุดัน กับริมฝีปากที่มีคุณสมบัติการโค้งงออยู่ในระดับต่ำออกมาได้ ฮาเดสมีวิธีแสดงออกว่าเขามีความสุข แต่ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้ม และเอเรอาญ์ก็ไม่แน่ใจนักว่าเธอมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งหรือเปล่า

                “แต่ฉันไม่ได้ฟังนิทานมาเป็นร้อยๆ พันๆ เรื่องนี่คะ”

                “ไหนว่าทุกค่ำคืนจะมีนิทานของแม่” เขาเถียง

                “คนส่วนใหญ่ก็เล่านิทานซ้ำๆ เรื่องกันทั้งนั้น”

                “ทำไมต้องฟังเรื่องซ้ำๆ ? ”

                เขามีคำถามเสมอ พอ ๆ กับที่มี ของรางวัลอย่างเป็นปริศนาทุกครั้งเมื่อเธอเล่าจบ ทุกชิ้นปรากฏอยู่นิทานเรื่องที่เขาได้ฟัง เธอกินแอปเปิ้ลที่ไม่ได้อาบยาพิษหนึ่งผลในวันที่เล่านิทานเรื่องสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด และล่าสุดก็คือรองเท้าแก้วคู่หนึ่งจากนิทานเรื่องซินเดอเรลล่า

                “เด็กก็คือเด็ก เราไม่เบื่อมันหรอกค่ะ”

                “ข้าไม่เข้าใจ”

                “ท่านไม่ใช่เด็กแล้ว” และเธอก็นึกภาพของฮาเดสตอนที่ยังคงถูกเรียกว่า เด็กไม่ออกเสียด้วย

                “แต่ข้าอยากฟังเรื่องใหม่” ฮาเดสพูด “นิทานเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เจ้าบอกว่าผู้คนในโลกของเจ้าล้วนแล้วแต่ปฏิเสธในสิ่งที่เหนือกว่าความเป็นไปได้ แต่ในนิทานที่พ่อและแม่เล่าให้ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาฟัง กลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง”

                เขาพูดถูก เธอไม่ปฏิเสธ “แต่ว่า --

                “เรื่องนั้นก็ได้”

                “เรื่องไหน? ”

                เขาเลิกคิ้ว “เจ้าเคยบอก -- ข้าทำเหมือนอสูร ใน... ”

                “เรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร! ” เธอร้องเสียงดัง “ดีจังเลยที่นึกออก ท่านจะฟังใช่ไหม”

                เขาอ้าปากอย่างขุ่นข้อง “ข้าพูดเองนี่ว่า --

                “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” เอเรอาญ์รีบพูดเมื่อเห็นสายตาดุดันของเขา “มีพ่อกับลูกสาวอาศัยอยู่ด้วยกัน และเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ก่อนที่พ่อจะออกเดินทางไปค้าขายที่ต่างเมือง เขามักจะถามลูกสาวของเขาว่า...

                ลูกอยากให้พ่อซื้ออะไรมาฝากหรือเปล่า

                ลูกสาวตอบว่าเธอต้องการเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือดอกกุหลาบที่สวยงามหนึ่งดอก แต่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันนั้น พ่อของเธอไม่สามารถหาซื้อดอกกุหลาบได้เลยแม้แต่ดอกเดียว”

                “อะไรกัน” เขาคำรามอย่างไม่เชื่อถือ “ไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ? ”

                แต่เธอมีความชำนาญในการเมินเฉยเสียแล้ว “ระหว่างทางกลับบ้าน เขาได้ขับเกวียนผ่านปราสาทที่น่าสะพรึงขวัญหลังหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับมีเถากุหลาบเป็นจำนวนมากอยู่บนกำแพง ด้วยความดีใจ เขาเลือกเด็ดดอกกุหลาบที่สวยที่สุดหนึ่งดอกทันที --

                และทันใดนั้น อสูรตนหนึ่งที่แสนจะน่าเกลียดน่ากลัว มันมีร่างกายเหมือนสุนัขป่าขนาดยักษ์ ยืนสองขา แผงคอเหมือนสิงโต ใบหน้าและเขาเหมือนกระทิงปรากฏตัวขึ้น มันจับเขาเอาไว้ --

                “กล้าดียังไงที่พูดว่าข้าเหมือนอสูร!

                เธอตกใจที่เขาเสียงดัง “อะไรคะ? ฉันไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์เสียก่อน”

                “มีเขาเหมือนกระทิงอย่างนั้นหรือ!

                แต่เธอก็ทำเมินเฉยอีกครั้งโดยประสบผลสำเร็จด้วยดี “ด้วยความห่วงหาและกังวลใจ ลูกสาวเดินทางเข้าไปในป่าเพียงลำพังเพื่อออกตามหาพ่อ และติดตามเข้าไปในปราสาทหลังนั้นอย่างกล้าหาญ

                ภายในนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่มีชีวิตเหมือนมนุษย์ แล้วเธอก็ได้พบกับเจ้าอสูร ผู้ซึ่งต่อรองให้เธออยู่ที่ปราสาทแห่งนั้นไปตลอดกาล แลกกับการที่พ่อของเธอจะได้กลับบ้าน เธอตอบตกลง แม้ว่าพ่อจะคัดค้านอย่างสุดชีวิตก็ตาม

                เธอรู้ในภายหลังว่า เธอถูกคาดหวังให้เป็นผู้ลบล้างคำสาปของปราสาทแห่งนี้ เพราะอสูรผู้เป็นเจ้าของปราสาทนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าชายรูปงามที่ถูกแม่มดสาปเพราะความเห็นแก่ตัว แม่มดที่โกรธจัดนั้นสาปทั้งเขาและทุกคนในปราสาท โดยมีข้อแม้ว่า เมื่อกลีบดอกกุหลาบวิเศษไม่มีวันเหี่ยวแห้งที่อยู่บนหอคอยด้านตะวันตกของปราสาทร่วงหล่นลงจนหมด จะไม่มีวันลบล้างคำสาปได้ เว้นแต่ว่าจะมีหญิงสาวสักคนหนึ่ง ที่บอกรักอสูรด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์...

                มันทำให้เธอตกตะลึงและหวาดกลัว เธอจะรักอสูรที่อัปลักษณ์ ดุร้าย เห็นแก่ตัว กราดเกรี้ยว และไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรกัน?

                ทว่า เมื่อนานวันผันผ่าน ความรักระหว่างเธอและอสูรกลับผลิบาน ความอบอุ่นและอ่อนโยนของเธอทำให้อสูรเปลี่ยนไป เขาใจเย็นลง มีน้ำใจมากขึ้น จากเจ้าชายที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ เขากลับกลายเป็นอสูรผู้มีหัวใจงดงาม

                แต่แล้วในวันหนึ่ง เมื่อหญิงสาวได้มองเข้าไปในกระจกวิเศษของอสูร ซึ่งจะทำให้เธอสามารถมองเห็นภาพของคนที่ต้องการจะเห็น เธอมองเห็นพ่อของเธอที่กำลังจะสิ้นใจด้วยโรคภัยและความเหน็บหนาว เธอขอร้องอสูรเพื่ออนุญาตให้เธอกลับไป และอสูร -- แม้ว่าจะไม่ต้องการเลย แต่ด้วยความรักและหัวใจอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นภายใต้รูปกายอันน่าชิงชัง เขายอมให้เธอไปจากปราสาทของเขาในคืนนั้น

                กลับกลายเป็นว่า การที่เธอกลับไปยังหมู่บ้านได้นำโชคร้ายมาสู่ปราสาทของอสูร เมื่อชายหนุ่มจอมอันธพาลที่หลงรักเธอมานานแสนนานโดยที่หญิงสาวไม่ได้รักตอบมองเห็นอสูรผ่านกระจกวิเศษที่เธอนำติดตัวมาด้วย เขาปลุกระดมให้ชาวบ้านพากันไปที่ปราสาท โดยอ้างว่าอสูรนั้นเลวร้าย และต้องกำจัดโดยเร็ว เขาต่อสู้และทำร้ายอสูรอย่างทารุณ ขณะที่อสูรซึ่งมีความดีอยู่เต็มหัวใจนั้นไม่อาจจะทำร้ายเขาได้ อสูรถูกแทงด้วยอาวุธจนบาดเจ็บสาหัส แต่แล้วในที่สุด ด้วยความชั่วช้าในสิ่งที่กระทำ ชายอันธพาลคนนั้นพลัดตกจากยอดปราสาทของอสูรลงไปจนถึงแก่ความตาย

                อสูรที่เต็มไปด้วยบาดแผลค่อยๆ หลับตาลงและสิ้นใจ หญิงสาวเมื่อเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเพิ่งจะตระหนักว่าเธอรักเขามากเพียงใดในตอนนั้นเอง และแล้ว พร้อมกับที่กลีบดอกกุหลาบวิเศษกลีบสุดท้ายปลิดปลิว หญิงสาวก็จุมพิตที่ริมฝีปากของอสูรและบอกคำว่ารักออกมาอย่างเต็มใจ...

                คำสาปถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง บาดแผลของอสูรหายไป เขากลับมาเป็นเจ้าชายรูปงาม เช่นเดียวกับสิ่งของทุกชิ้นในปราสาทที่ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หญิงสาวและเจ้าชายครองรักกัน... ”

                “อย่างมีความสุข -- ตลอดไป” ฮาเดสพูดยานคาง “พูดอย่างนี้ทุกที”

                “ก็มันเป็นวลีทองของนิทานน่ะสิคะ”

                “ทำไมนิทานทุกเรื่องต้องจบลงอย่างมีความสุข”

                “ก็มันเป็นเรื่องที่เด็กๆ จะได้ฟังน่ะสิ”

                “เป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าต้องได้ฟังแต่เรื่องที่มีความสุข”

                เธอยักไหล่ “วัยเด็กของท่านคงไม่ได้สวยงามเท่าไหร่ --

                แล้วก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแปลบหนึ่ง เอเรอาญ์สะดุ้งสุดตัว

                “ฉันขอโทษ!



    [1] ไซคี เดิมเป็นเจ้าหญิงชาวมนุษย์ เชื่อกันว่านางมีความงดงามยิ่งกว่าเทพีอะโฟรไดท์ ทำให้เทพอีรอส หรือกามเทพตกหลุมรัก ในที่สุดหลังจากที่ทั้งสองได้ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมามากมาย เหล่าเทพเจ้าก็ได้มอบน้ำอมฤตให้แก่ไซคี ทำให้เธอเป็นอมตะ และได้ครองรักอยู่กับกามเทพตลอดไป


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×