คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : บทที่ 13 ตอนที่ 1
บทที่ 13
อาเธอร์ไม่รู้ว่าเขารู้สึกคุ้นเคยกับอาหารของโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่รู้คือเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ได้มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างโจ่งแจ้งอย่างที่เคยทำ เขาก็รู้สึกพรั่นพรึงสุดขีด อย่างน้อยเขาก็เคยมีท่าทีต่อต้านอาหารที่บุรุษพยาบาลนำมาให้อย่างออกนอกหน้า และนั่นก็เป็นวันแรกที่เขาตื่นขึ้นจากสีสันอันมืดมนพร้อมกับความเหนื่อยอ่อนด้วยซ้ำไป
“ลูกกินได้เยอะขึ้นนะ”
เหมือนกับอาหารที่ควรปรับปรุงรสชาติ เสียงของพ่อกลายเป็นสิ่งที่คุ้นหู หลังจากการพักฟื้นร่างกายในโรงพยาบาลกว่าสองเดือน
“อย่างนั้นล่ะมั้งครับ” เขาตอบลอยๆ “ผมคงจะชินแล้ว”
พ่อไม่เคยบอก -- แต่เท่าที่อาเธอร์สังเกตเห็นด้วยตัวเองตลอดหกสิบวันในโรงพยาบาล -- น้องสาวฝาแฝดของเขาก็คงจะไม่เคยเรียกชายคนนี้ว่า ‘พ่อ’ เหมือนกัน
“พ่ออยากให้ลูกแข็งแรงขึ้น”
“ผมเองก็หวังอย่างนั้น”
อาเธอร์ไม่แน่ใจนักว่าเอเรอาญ์มีความรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าการพูดจาโดยไม่พาดพิงถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้าจะจากพ่ออย่างไม่โสภาเป็นสิ่งที่ยากเย็น โดยเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้นให้มีความต้องการจะทำอยู่เสมอด้วยเศษซากของคำถามที่ทับถมกันเป็นเวลาหลายปี
“สองเดือนแล้วสินะ” พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเท้าของเขา “ลูกรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ครับ”
“ลูก... พอจะจำอะไรได้บ้างไหม”
“ไม่ครับ” เขาพูดปดอย่างรวดเร็ว
เขาตื่นขึ้นมาจากการเป็นเจ้าชายนิทรา และทำให้แพทย์ทุกคนในเอเธนส์ -- หรืออาจทุกคนในกรีซงงงวยกับร่างกายที่ไม่ได้บุบสลายหรือผิดปกติ มันทำงานอย่างแข็งขันราวกับเขาเพิ่งจะหลับไปเท่านั้น
เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาจำเป็นต้องได้รับการพักฟื้นในโรงพยาบาลต่อไปเป็นเพราะสมองที่มีแต่สีดำ ในวันแรกที่ลืมตาขึ้นนั้น อาเธอร์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของเขาดูเหมือนจะทยอยกลับคืนมาทีละน้อยจนสมบูรณ์แบบเมื่อสัปดาห์ก่อน เขารู้ว่าพ่อรอเวลานั้นอยู่ พ่อคิดมาตลอดว่าการที่เอเรอาญ์หายตัวไปพร้อมกับการที่เขาอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน
ยังมีโอกาสที่พ่อจะเชื่ออยู่บ้าง ถ้าเขาบอกความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อาเธอร์กลับรู้สึกจริงๆ ว่ามันเป็นความจำเป็นที่ต้องบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด เอเรอาญ์ยังไม่กลับมาจากยมโลกในสองเดือนที่มืดมนของเขา และ อาเธอร์ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงไม่รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับมัน
“รีเบคก้าจะมา”
เขาหูผึ่ง “อะไรนะครับ แม่จะมาหรือ”
“ใช่ แม่อยากมาพบลูกตั้งแต่ต้น” อีริค อาร์เรห์นตอบ “แต่พ่อบอกให้เธออยู่ที่ลอนดอน... ”
“พนันกันได้ว่าริชาร์ด ดาลตันกำลังใช้ความพยายามสุดชีวิตเพื่อรั้งแม่เอาไว้”
พ่อยิ้มอย่างเฉื่อยชา “ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”
“พนันกันได้อีกอย่างว่าเขาจะมาด้วย”
“ใช่ -- คุณดาลตันจะมาด้วย”
แล้วทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทำให้อาเธอร์รู้สึกพะอืดพะอมอย่างน่าประหลาดจนต้องวางช้อนลง และก็เป็นจริงอย่างที่เขาภาวนาไม่ให้มันเกิดขึ้น
“พวกเขามากันแล้ว” พ่อหันมาบอกเขา
ขวดแก้วธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นเลยแม้แต่น้อยชิ้นนั้นนอนหลับอย่างสงบอยู่ในกล่องที่บุด้วยกำมะหยี่สีเขียวมรกต
“สวยจริงๆ ”
เธอรู้ว่าไซคีจะไม่รู้สึกผิดสังเกต และเธอก็คิดไม่ผิด
“ของชิ้นนี้ -- ”
ไซคี[1] หรือที่โลกรู้จักเธอในฐานะชายาของกามเทพถาม พลางดึงเอาขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีอำพันข้นเหนียวออกมา มันหนืดเหมือนน้ำผึ้งแต่สีอ่อนกว่า
“โอสถบำรุง” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่มั่นใจว่าดูเป็นมิตรมากที่สุด
“โอสถบำรุง? ”
“เจ้าไม่ได้ถือกำเนิดเป็นผู้อมตะ ไซคี” เธออธิบายอย่างใจเย็น “ราชันแห่งทวยเทพทรงเมตตา บัญชาให้ข้าปรุงขึ้นมาเพื่อเจ้า มันจะเพิ่มพูนอำนาจของน้ำอมฤตที่เจ้าเคยดื่มกินเพื่อกลายสภาพจากมนุษย์เป็นหนึ่งในบรรดาผู้อมตะเช่นเรา เพียงหนึ่งหยดในอาหาร เมื่อแสงจันทร์ของอาร์เทมีสเต็มดวงบริบูรณ์”
เธอเลือกสรรคำพูดมาเป็นอย่างดี ลื่นไหลและเรียบง่าย เป็นธรรมชาติและแนบเนียน แน่นอนว่ามันง่ายดายเหลือเกินที่ไซคีจะเชื่อเธอ และเธอก็มั่นใจว่าจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
เธอยิ้ม -- แล้วก็ยิ้ม บางทีความคุ้มค่าของน้ำตาที่คลุ้มคลั่งก็อยู่ตรงนี้นี่เอง
เอเรอาญ์ยืนประจันหน้ากับเขา สีแดงฉานของดวงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ห้องเล็กๆ แคบๆ บนยอดหอคอยดูร้อนอบอ้าวเสียจนแม้แต่การจ้องมองผนังสักด้านหนึ่งก็อาจจะทำให้เหงื่อไหลโซม
“ฉันไม่อยากได้รองเท้าแก้วอีกคู่หรอกนะคะ”
“ข้าก็ไม่ได้อยากจะให้ -- ”
สองเดือนแล้วที่เอเรอาญ์ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือจากห้องสมุด สำรวจห้องหับในปราสาท ซึ่งมักจะเป็นห้องโล่งทาสีดำสนิทและไร้ริ้วรอยของการใช้งาน ตะลอนไปในทุ่งแอสโฟเดลและเขตอิเรบัส แม้กระทั่งขอบเหวอันมืดมิดแห่งทาร์ทะรัสพร้อมกับฮิปนอสและทานาทอสที่ดูจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของฮาเดสที่เปลี่ยนไป -- ในทางที่ดี อย่างน้อยเธอก็คิดว่าอย่างนั้น
บางวันเธอใช้เวลาทั้งหมดขลุกอยู่กับเวเรน่าในเอลลีเซียม เวเรน่าดูดีมีความสุขทีเดียว และบ่อยครั้งที่การพูดคุยกับเธอทำให้เอเรอาญ์นึกถึงอาเธอร์ อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทบทวนการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้นเลย
และฮาเดสก็ยังคงรักษาคำพูดรวมถึงสิ่งที่เอเรอาญ์เรียกว่า ‘ความดื้อรั้น’ ของเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้น นอกจากการพบกันเพียงประปรายและการสนทนาปราศรัยอย่างไม่หอมหวานนักในห้องของเขาแล้ว เธอยังอยู่กับเขาที่หอคอยเล็กๆ แห่งนี้ทุกเย็น ทุกครั้งเป็นไปเพื่อการพูดคุยที่เรียบง่ายแต่ยาวนาน เขาเล่าเรื่องราวในโลกของเขา เธอเล่าเรื่องราวในโลกของเธอ ไม่กี่วันให้หลังนี้เองที่เอเรอาญ์ถูกราชันแห่งปรภพผู้ยิ่งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว และน่าเกรงขาม ‘สั่ง’ ให้เล่า ‘นิทาน’
“ถ้าอย่างนั้น -- ฉันคงต้องคืนมันให้ท่าน”
“ไม่รับคืน”
เขาฟังนิทานที่เธอเล่าอย่างกระท่อนกระแท่นด้วยความสนใจเหมือนเด็ก ถ้าเพียงแต่มันจะทะลุทะลวงผ่านใบหน้าที่ดุดัน กับริมฝีปากที่มีคุณสมบัติการโค้งงออยู่ในระดับต่ำออกมาได้ ฮาเดสมีวิธีแสดงออกว่าเขามีความสุข แต่ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้ม และเอเรอาญ์ก็ไม่แน่ใจนักว่าเธอมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งหรือเปล่า
“แต่ฉันไม่ได้ฟังนิทานมาเป็นร้อยๆ พันๆ เรื่องนี่คะ”
“ไหนว่าทุกค่ำคืนจะมีนิทานของแม่” เขาเถียง
“คนส่วนใหญ่ก็เล่านิทานซ้ำๆ เรื่องกันทั้งนั้น”
“ทำไมต้องฟังเรื่องซ้ำๆ ? ”
เขามีคำถามเสมอ พอ ๆ กับที่มี ‘ของรางวัล’ อย่างเป็นปริศนาทุกครั้งเมื่อเธอเล่าจบ ทุกชิ้นปรากฏอยู่นิทานเรื่องที่เขาได้ฟัง เธอกินแอปเปิ้ลที่ไม่ได้อาบยาพิษหนึ่งผลในวันที่เล่านิทานเรื่องสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด และล่าสุดก็คือรองเท้าแก้วคู่หนึ่งจากนิทานเรื่องซินเดอเรลล่า
“เด็กก็คือเด็ก เราไม่เบื่อมันหรอกค่ะ”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ท่านไม่ใช่เด็กแล้ว” และเธอก็นึกภาพของฮาเดสตอนที่ยังคงถูกเรียกว่า ‘เด็ก’ ไม่ออกเสียด้วย
“แต่ข้าอยากฟังเรื่องใหม่” ฮาเดสพูด “นิทานเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เจ้าบอกว่าผู้คนในโลกของเจ้าล้วนแล้วแต่ปฏิเสธในสิ่งที่เหนือกว่าความเป็นไปได้ แต่ในนิทานที่พ่อและแม่เล่าให้ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาฟัง กลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง”
เขาพูดถูก เธอไม่ปฏิเสธ “แต่ว่า -- ”
“เรื่องนั้นก็ได้”
“เรื่องไหน? ”
เขาเลิกคิ้ว “เจ้าเคยบอก -- ข้าทำเหมือนอสูร ใน... ”
“เรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร! ” เธอร้องเสียงดัง “ดีจังเลยที่นึกออก ท่านจะฟังใช่ไหม”
เขาอ้าปากอย่างขุ่นข้อง “ข้าพูดเองนี่ว่า -- ”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” เอเรอาญ์รีบพูดเมื่อเห็นสายตาดุดันของเขา “มีพ่อกับลูกสาวอาศัยอยู่ด้วยกัน และเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ก่อนที่พ่อจะออกเดินทางไปค้าขายที่ต่างเมือง เขามักจะถามลูกสาวของเขาว่า...
‘ลูกอยากให้พ่อซื้ออะไรมาฝากหรือเปล่า’
ลูกสาวตอบว่าเธอต้องการเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือดอกกุหลาบที่สวยงามหนึ่งดอก แต่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันนั้น พ่อของเธอไม่สามารถหาซื้อดอกกุหลาบได้เลยแม้แต่ดอกเดียว”
“อะไรกัน” เขาคำรามอย่างไม่เชื่อถือ “ไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ? ”
แต่เธอมีความชำนาญในการเมินเฉยเสียแล้ว “ระหว่างทางกลับบ้าน เขาได้ขับเกวียนผ่านปราสาทที่น่าสะพรึงขวัญหลังหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับมีเถากุหลาบเป็นจำนวนมากอยู่บนกำแพง ด้วยความดีใจ เขาเลือกเด็ดดอกกุหลาบที่สวยที่สุดหนึ่งดอกทันที --
และทันใดนั้น อสูรตนหนึ่งที่แสนจะน่าเกลียดน่ากลัว มันมีร่างกายเหมือนสุนัขป่าขนาดยักษ์ ยืนสองขา แผงคอเหมือนสิงโต ใบหน้าและเขาเหมือนกระทิงปรากฏตัวขึ้น มันจับเขาเอาไว้ -- ”
“กล้าดียังไงที่พูดว่าข้าเหมือนอสูร! ”
เธอตกใจที่เขาเสียงดัง “อะไรคะ? ฉันไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์เสียก่อน”
“มีเขาเหมือนกระทิงอย่างนั้นหรือ! ”
แต่เธอก็ทำเมินเฉยอีกครั้งโดยประสบผลสำเร็จด้วยดี “ด้วยความห่วงหาและกังวลใจ ลูกสาวเดินทางเข้าไปในป่าเพียงลำพังเพื่อออกตามหาพ่อ และติดตามเข้าไปในปราสาทหลังนั้นอย่างกล้าหาญ
ภายในนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่มีชีวิตเหมือนมนุษย์ แล้วเธอก็ได้พบกับเจ้าอสูร ผู้ซึ่งต่อรองให้เธออยู่ที่ปราสาทแห่งนั้นไปตลอดกาล แลกกับการที่พ่อของเธอจะได้กลับบ้าน เธอตอบตกลง แม้ว่าพ่อจะคัดค้านอย่างสุดชีวิตก็ตาม
เธอรู้ในภายหลังว่า เธอถูกคาดหวังให้เป็นผู้ลบล้างคำสาปของปราสาทแห่งนี้ เพราะอสูรผู้เป็นเจ้าของปราสาทนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าชายรูปงามที่ถูกแม่มดสาปเพราะความเห็นแก่ตัว แม่มดที่โกรธจัดนั้นสาปทั้งเขาและทุกคนในปราสาท โดยมีข้อแม้ว่า เมื่อกลีบดอกกุหลาบวิเศษไม่มีวันเหี่ยวแห้งที่อยู่บนหอคอยด้านตะวันตกของปราสาทร่วงหล่นลงจนหมด จะไม่มีวันลบล้างคำสาปได้ เว้นแต่ว่าจะมีหญิงสาวสักคนหนึ่ง ที่บอกรักอสูรด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์...
มันทำให้เธอตกตะลึงและหวาดกลัว เธอจะรักอสูรที่อัปลักษณ์ ดุร้าย เห็นแก่ตัว กราดเกรี้ยว และไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรกัน?
ทว่า เมื่อนานวันผันผ่าน ความรักระหว่างเธอและอสูรกลับผลิบาน ความอบอุ่นและอ่อนโยนของเธอทำให้อสูรเปลี่ยนไป เขาใจเย็นลง มีน้ำใจมากขึ้น จากเจ้าชายที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ เขากลับกลายเป็นอสูรผู้มีหัวใจงดงาม
แต่แล้วในวันหนึ่ง เมื่อหญิงสาวได้มองเข้าไปในกระจกวิเศษของอสูร ซึ่งจะทำให้เธอสามารถมองเห็นภาพของคนที่ต้องการจะเห็น เธอมองเห็นพ่อของเธอที่กำลังจะสิ้นใจด้วยโรคภัยและความเหน็บหนาว เธอขอร้องอสูรเพื่ออนุญาตให้เธอกลับไป และอสูร -- แม้ว่าจะไม่ต้องการเลย แต่ด้วยความรักและหัวใจอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นภายใต้รูปกายอันน่าชิงชัง เขายอมให้เธอไปจากปราสาทของเขาในคืนนั้น
กลับกลายเป็นว่า การที่เธอกลับไปยังหมู่บ้านได้นำโชคร้ายมาสู่ปราสาทของอสูร เมื่อชายหนุ่มจอมอันธพาลที่หลงรักเธอมานานแสนนานโดยที่หญิงสาวไม่ได้รักตอบมองเห็นอสูรผ่านกระจกวิเศษที่เธอนำติดตัวมาด้วย เขาปลุกระดมให้ชาวบ้านพากันไปที่ปราสาท โดยอ้างว่าอสูรนั้นเลวร้าย และต้องกำจัดโดยเร็ว เขาต่อสู้และทำร้ายอสูรอย่างทารุณ ขณะที่อสูรซึ่งมีความดีอยู่เต็มหัวใจนั้นไม่อาจจะทำร้ายเขาได้ อสูรถูกแทงด้วยอาวุธจนบาดเจ็บสาหัส แต่แล้วในที่สุด ด้วยความชั่วช้าในสิ่งที่กระทำ ชายอันธพาลคนนั้นพลัดตกจากยอดปราสาทของอสูรลงไปจนถึงแก่ความตาย
อสูรที่เต็มไปด้วยบาดแผลค่อยๆ หลับตาลงและสิ้นใจ หญิงสาวเมื่อเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเพิ่งจะตระหนักว่าเธอรักเขามากเพียงใดในตอนนั้นเอง และแล้ว พร้อมกับที่กลีบดอกกุหลาบวิเศษกลีบสุดท้ายปลิดปลิว หญิงสาวก็จุมพิตที่ริมฝีปากของอสูรและบอกคำว่า ‘รัก’ ออกมาอย่างเต็มใจ...
คำสาปถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง บาดแผลของอสูรหายไป เขากลับมาเป็นเจ้าชายรูปงาม เช่นเดียวกับสิ่งของทุกชิ้นในปราสาทที่ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หญิงสาวและเจ้าชายครองรักกัน... ”
“อย่างมีความสุข -- ตลอดไป” ฮาเดสพูดยานคาง “พูดอย่างนี้ทุกที”
“ก็มันเป็นวลีทองของนิทานน่ะสิคะ”
“ทำไมนิทานทุกเรื่องต้องจบลงอย่างมีความสุข”
“ก็มันเป็นเรื่องที่เด็กๆ จะได้ฟังน่ะสิ”
“เป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าต้องได้ฟังแต่เรื่องที่มีความสุข”
เธอยักไหล่ “วัยเด็กของท่านคงไม่ได้สวยงามเท่าไหร่ -- ”
แล้วก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแปลบหนึ่ง เอเรอาญ์สะดุ้งสุดตัว
“ฉันขอโทษ! ”
[1] ไซคี เดิมเป็นเจ้าหญิงชาวมนุษย์ เชื่อกันว่านางมีความงดงามยิ่งกว่าเทพีอะโฟรไดท์ ทำให้เทพอีรอส หรือกามเทพตกหลุมรัก ในที่สุดหลังจากที่ทั้งสองได้ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมามากมาย เหล่าเทพเจ้าก็ได้มอบน้ำอมฤตให้แก่ไซคี ทำให้เธอเป็นอมตะ และได้ครองรักอยู่กับกามเทพตลอดไป
ความคิดเห็น