ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #37 : บทที่ 16

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 526
      4
      12 ต.ค. 55




    บทที่ 16

                เอเรอาญ์กะพริบตา

                แดดยามเย็นตกอยู่บนผิวแก้มด้านซ้าย เธอพยายามพลิกตัว แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อมองเห็นแต่ทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตา ก่อนจะได้ยินเสียงกุกกักเมื่อใครคนหนึ่งเปิดประตูบานที่นำไปสู่ระเบียง และก้าวเข้ามาภายในห้องอย่างรีบร้อน เขาคือพี่ชายฝาแฝดของเธอนั่นเอง

                “เอเรล เธอฟื้นแล้ว!

                อาเธอร์ตะโกน เขากอดเธอไว้จนแน่น

                “อะไรกัน พี่ทำเหมือนฉันโคม่า”

                “แล้วไม่ใช่หรือ --

                “พี่ร้องไห้!

                “เปล่านะ” เขาปฏิเสธ แต่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย “พ่อกับแม่ยังอยู่ที่สถานีตำรวจ แต่เดี๋ยวคงจะกลับมาแล้ว พวกเขาต้องดีใจมากแน่ๆ”

                “ว่าแต่พี่กับแม่มาที่นี่ได้ยังไงกัน? แล้วก็ -- ทำไมพ่อกับแม่ต้องไปที่สถานีตำรวจด้วยล่ะ”

                “ล้อเล่นหรือเปล่า! เธอหายตัวไปตั้งนานนี่นา”

                “ฉันหายไปไหน?

                คำถามของเธอทำให้อาเธอร์ขมวดคิ้ว “เธอ -- ติดอยู่ในยมโลกตั้งหลายเดือน”

                “ยมโลกอะไรกัน? ”

                “ยมโลก -- มีเทพฮาเดส เทพทานาทอส เทพฮิปนอส”

                “พี่นั่นแหละที่กำลังล้อฉันเล่น! ” เธอหัวเราะและผลักเขาที่ไหล่ “ให้ตายสิ อาเธอร์ -- ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!

                “เดี๋ยวก่อน -- นี่เธอจำอะไรไม่ได้เลยหรือไง”

                “อะไรล่ะที่ฉันจำไม่ได้? พี่ให้ฉันมาอยู่ที่นี่กับพ่อ แล้วพ่อกับฉันก็กำลังจะไปเที่ยวเดลฟีด้วยกัน จากนั้นก็ -- รถอาจจะชนล่ะมั้ง” เธอยักไหล่อย่างไม่แยแส “ฉันจำไม่ได้หรอก แต่ฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลนี่ เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีเรื่องเจ็บตัวเกิดขึ้นสักเรื่องนั่นแหละ”

                “ไม่จริงน่า --

                เธอรู้ว่าอาเธอร์ไม่เชื่อ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เขาเลิกทำสีหน้าเหมือนว่าเธอเพิ่งจะตบหน้าเขาไปเมื่อนาทีที่แล้วนี่เอง อย่างไรก็ตาม -- อาเธอร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

     

                บางครั้งฮาเดสจะรู้สึกเจ็บแปลบ -- ที่หัวใจ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน เหมือนมดกัด หรือมีใครสักคนหยิกมันเบาๆ -- แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลายครั้งแล้วที่เขาถามตัวเองว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า และทุกครั้งก็จะได้รับคำตอบว่าไม่มี

                อย่างไรก็ตาม เขายังจำหญิงสาวคนหนึ่ง -- คนที่อยู่ในความทรงจำเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ แต่จำรายละเอียดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากว่าเธอร้องไห้และตะโกนใส่เขา -- ที่เหมือนกำลังโกรธ คลุ้มคลั่ง หัวเสีย หรืออะไรสักอย่าง

                หลายครั้งแล้วเช่นกันที่เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติ ฮาเดสอยากจะเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่มืดสนิทและมีกลิ่นอับในห้องของเขาจนแทบจะขาดใจ แต่ทุกครั้งทีเปิดประตูก็จะพบว่ามันเป็นห้องที่ไม่น่าอภิรมย์ห้องเดิม เขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าได้สร้างมันขึ้นเพราะอะไร เช่นเดียวกับการที่เขาอยากจะไปยังหอคอยเล็กๆ ใกล้ทุ่งเอลลีเซียม -- ฮาเดสตอบไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องการจะไป และตอบไม่ได้ว่าทำไมเขาจึงสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่ต้น เขาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดคืนที่ผ่านมาด้วย เพราะไม่ชอบใจกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเอาเสียเลย ท่ามกลางอาการเจ็บแปลบและความงุนงงเหล่านี้ เขาดูเหมือนคนเป็นทุกข์สาหัส หัวเสียและกราดเกรี้ยวได้ง่ายดายกว่าเดิมมาก ซึ่งในฐานะราชันแห่งปรภพ ฮาเดสคิดว่ามันน่าอายเหลือเกิน

                ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูด้วยจังหวะและน้ำหนักที่คุ้นเคย ได้ยินเสียงของตัวเองที่พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “เข้ามา”  แล้วทานาทอสก็เปิดประตู ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทานาทอสมักจะมาหาเขาเพื่อแจกแจงภาระในยมโลก แต่คราวนี้ทานาทอสกลับยืนอยู่นิ่งๆ และทำให้เขาสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเทพแห่งความตายดูขมขื่นและอดกลั้นอย่างน่าประหลาดใจ

                “มีอะไร” ฮาเดสถาม

                “นายท่าน -- ยังจำไม่ได้อีกหรือ”

                เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะถูกวางอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ใช่แค่เพราะมันออกมาจากปากของทานาทอส แต่เพราะว่ามันสะกิดใจเขาด้วย

                “อะไรของเจ้า --

                “หัวใจของท่าน” ทานาทอสพูดอย่างเย็นชา “ความรักที่ถูกพรากไป แสงสว่างที่ท่านเสียไป”

                “ถ้าไม่มีธุระจำเป็นก็ออกไปเสีย”

                เขาอยากพูดว่าต้องการจะรู้เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังบอกใจจะขาด แต่แล้วก็ไม่พูด เป็นอีกเรื่องที่ฮาเดสนึกหงุดหงิดใจ

                “ไม่อยากจะเชื่อว่าศรอีรอสคือทุกสิ่งของท่าน”

                “ข้าบอกว่า --

                “เมื่อสิ้นศร ท่านก็สิ้นหัวใจ! อย่างนี้สิ่งที่โอลิมเปียนหวังจะมีความหมายอะไร ความรัก ความพยายามขององค์ราชินีจะมีค่าอะไร”

                “ถ้าขืนพูดว่า” เขาลุกขึ้นยืนแล้ว ตัวสั่นด้วยโทสะ “สิ่งที่โอลิมเปียนอยากให้ข้าทำอีกล่ะก็ --

                “ท่านไม่รู้ -- ไม่เคยรู้ -- ว่านายหญิงเพอร์ซีโฟเน่ให้คำมั่นต่อมารดา -- ต่อเทพีดีมิเทอร์ ต่อแม่น้ำสติกซ์ -- เพื่อให้มารดาไม่ต้องว้าวุ่นใจ ว่าหากวันใดรักท่านแล้ว หากวันใดเอ่ยคำรักต่อท่านแล้ว นายหญิงจะต้องดับสลายไปจากโลกทั้งปวง! ” ทานาทอสเริ่มเสียงดัง “เพราะอะไร? เพราะใครๆ ก็กลัวเรา เกลียดเรา กลัวยมโลก เกลียดยมโลก นายหญิงเพอร์ซีโฟเน่ก็เหมือนกัน นายหญิงมั่นใจว่าจะไม่มีวัน -- รัก -- ท่าน!

                “หยุดพูด!

                ”แต่แล้วนายหญิงก็รักท่าน รักแม้ท่านจะเป็นคนที่นายหญิงไม่เคยต้องการจะรัก! และเพราะเห็นว่าโลกของท่านนั้นมืดมิดเหลือเกิน สิ้นหวังเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน -- เพราะท่านไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวที่ปวดร้าว เพราะนายหญิงเพอร์ซีโฟเน่ก็เช่นกัน! เช่นนั้น -- ” เสียงของทานาทอสสั่นอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับไหล่ของเขา เหมือนว่าความจริงเหล่านั้นทำให้หัวใจของทานาทอสสั่นสะท้านเช่นกัน “เช่นนั้นจึงเอ่ยคำรัก แม้ว่าตัวเองจะต้องดับสูญไป เพราะหวังเพียงแต่ให้ท่านได้รู้ -- ให้ท่านได้ออกมาจากบ่อตมแห่งความสิ้นหวัง ให้ท่านได้รู้ว่ายังมีนายหญิงอยู่เคียงข้าง มีทุกคนยื่นมือให้ แม้ท่านจะคิดว่าไม่มีใครเลยสักคน!

                “เพ้อเจ้อ!

                “นายหญิงกลับมาแล้ว และจากไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว จากไปพร้อมกับความปวดร้าวอย่างที่สุด แล้วท่านจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้หรือ! วสันตกาลพัดผ่านมายังยมโลกครั้งหนึ่งแล้ว และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงฤดูกาลหนึ่งที่มีผ่านมาและผ่านไป แต่ทุกสิ่งก็ขึ้นอยู่กับท่าน! จะมองเห็นมันอยู่เสมอหรือไม่ จะใช้มันเป็นกำลังชีวิต จะเก็บความหวังเหล่านั้นไว้หล่อเลี้ยงหัวใจและจะไม่ยอมให้มันเหือดหายไปหรือเปล่า! หรือจะทนอยู่ในฤดูหนาวที่ท่านเป็นผู้สร้างขึ้นมากักขังตัวท่านเอง!

                “ข้าบอกว่า -- หยุดพูด!

     

             ไม่ใช่ความผิดของเขาที่ ซัดทานาทอสกระเด็นไปจนถึงหน้าประตู เป็นความผิดของคำพูดเพ้อเจ้อต่างหาก เพียงแต่ฮาเดสกลับหัวเสียยิ่งกว่าเคย ดูเหมือนคำพูดเพ้อเจ้อจะทำให้ความรู้สึกที่รำคาญก่อตัวขึ้นในความคิดของเขาอีก มันไม่ปกติที่ทานาทอสจะพูดแบบนั้น จะต้องมีบางอย่างที่สำคัญมาก แต่ฮาเดสไม่คิดว่าเรื่องเพ้อเจ้อจะเป็นเรื่องสำคัญไปได้

                อย่างไรก็ตาม -- อย่างน่าหงุดหงิดที่สุด เขากำลังจ้องมองประตูห้องเล็กๆ ห้องนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่บอกกับตัวเองหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไม่มีใครซ่อนตัวอยู่ในนั้น และก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น

                และ -- อย่างน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า เขาพบว่าตัวเองกำลังตรงดิ่งเข้าไปหามัน และเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว --

                แต่มันยังคงเป็นเหมือนเดิม คือมืดสนิท และมีกลิ่นอับจางๆ เพียงแต่ในครั้งนี้เขากลับรู้สึกมันไม่เคยเจือจางลง อันที่จริงมันไม่ใช่กลิ่นอับเสียด้วยซ้ำ

                มันเป็นกลิ่นของใครสักคน

                เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเดือดพล่านเหมือนกาน้ำร้อน นึกแล้วเชียวว่าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งเคยซ่อนตัวอยู่ที่นี่! ฮาเดสก้าวเข้าไปในห้องนั้นอย่างงุ่นง่านรำคาญใจ และ --

                อะไรบางอย่างส่งเสียงระคายหูอยู่ใต้ฝ่าเท้า แต่ในความมืดมิดนั้น เขาดูไม่ออกว่ามันคืออะไร นอกจากว่ามีบางส่วนของมันที่สะท้อนแสงได้ ฮาเดสเอื้อมมือลงไปอย่างระมัดระวังจนเกือบจะกลายเป็นความหวาดระแวง แล้ว -- เขาก็เก็บมันขึ้นมา

                “กระจก? ” เขาไม่ตกใจ แต่ฉงนสงสัยอย่างยิ่งยวด

                แม้จะสัมผัสได้ว่ากระจกมันไม่ได้เป็นกระจกธรรมดาๆ แต่ไม่ว่ามันจะมีอำนาจอย่างไรก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะมันแตก -- เป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งที่ควรจะโยนทิ้งไป

                แล้วเขาก็นึกถึงใครบางคน

                ผู้หญิงคนนั้น -- คนที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว เขาจำได้แต่ว่าเธอทำให้เขาเดือดดาล หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่เดือดดาลอยู่แล้วตั้งแต่ต้น

                ทันใดนั้นกระจกที่อยู่ในมือของเขาก็สั่นสะท้าน ฮาเดสเกือบจะร้องออกมา แต่ไม่มีเสียง มันไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเขา ผิวกระจกเเรืองแสงออกมาเพียงน้อยนิด มีภาพมัวๆ รางๆ ติดๆ ดับๆ อยู่บนนั้น มันไม่ชัดเจนเสียจนเขาต้องเขม้นตามอง จนเห็นว่าเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง และเป็นผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง -- เขาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่เธอยิ้มและหัวเราะอย่างแจ่มใส ดูไม่เหมือนใครที่จะสามารถร้องไห้หรือตะโกนใส่เขาได้ มันเหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็เลือนราง เหมือนจะชัดเจน แต่ก็คลุมเครือ เหมือนจะแจ่มแจ้ง แต่ก็มืดสลัว  ฮาเดสไม่ชอบความรู้สึกนั้นเลย

                “ดูเหมือนว่าพี่จะมีความสุขเหลือเกินนะ”

                เสียงของเธอในกระจกพูด มันทำให้ฮาเดสสะดุ้งเฮือก ซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุผลว่ามันดังขึ้นกะทันหัน

                ท่านยังไม่มีความสุขเลยสักนิด

                เธอตะโกนอยู่ในความคิดของเขา ปวดร้าวและสิ้นหวังเหมือนจะขาดใจ

                แวบหนึ่งนั้น ฮาเดสคิดว่าเขาเคยได้ยินเสียงของเธอมาก่อน มันเป็นสิ่งที่อาจจะทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน

                ฉันเกลียดท่าน!

             กระจกพลัดหล่นจากมือ มันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่งเสียงดังบาดหู ในความมืดมิดและหนาวเหน็บนั้น ฮาเดสกระซิบ --

                “แต่ข้ารักเจ้า...  ”

                เขาต้องเคยพูดแบบนี้ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแบบนี้ด้วย

                มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในความทรงจำ ปีกที่โบกสะบัด แสงแดดยามเย็น ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือทุ่งเอลลีเซียม สัมผัสที่นุ่มนวล และจุมพิตที่อ่อนหวาน ฮาเดสรู้สึกว่าเหมือนร่างกายกำลังหดเล็กลง จากนั้นก็ลอยเคว้งคว้างเหมือนเรือที่น่าเวทนากลางลมมรสุม คลื่นแห่งความทรงจำถาโถมอยู่รอบตัว และความรู้สึกรู้สมในเกลียวคลื่นที่ซัดสาดนั้นก็อัดแน่นอยู่ในอก มันทำให้เขาหายใจไม่ออก

                “ทานาทอส! ทานาทอส! ”ฮาเดสตะโกน

                ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม -- เขาอยากรู้ว่าเธอคือใคร

     

                เอเรอาญ์ใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก

                พ่อแม่เลิกถามแล้วว่าเธอหายไปไหน นั่นเป็นเรื่องที่ดี เอเรอาญ์ไม่รู้ซ้ำด้วยซ้ำว่าเธอหายตัวไปเป็นเวลาหลายเดือน ดังนั้นจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการตอบคำถามของทุกๆ คนด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล -- ซึ่งในภายหลังมันกลายเป็นน้ำเสียงกระแทกกระทั้นอย่างรำคาญใจว่าเธอจำไม่ได้

                แต่ทุกสิ่งก็จบลง -- อย่างสวยงามจนไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย เหมือนสายรุ้งที่พาดผ่านท้องน้ำหลังพายุฝนอันยาวนาน -- ริชาร์ดหายไปจากครอบครัวของเธอ แม่ พี่ชาย รวมถึงตัวเธอ! ตัดสินใจว่าจะย้ายมาอาศัยอยู่กับพ่อ -- ที่นี่ -- ในเอเธนส์ เมื่อมีแม่ผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ในการทำอาหารมาร่วมงาน ชั้นล่างของบ้านก็กลายเป็นร้านกาแฟผสมกับร้านอาหารกรีกแบบดั้งเดิมสำหรับนักท่องเที่ยว พ่อลาออกจากบริษัท และตั้งใจว่าจะทำงานอิสระกับเธอ

                เอเรอาญ์จำได้ว่ามีการโต้เถียงระหว่างเธอกับพ่อ และเธอก็โกรธด้วย -- ในระหว่างทางไปเดลฟี แต่โดยที่หาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้ไม่หลงเหลือความโกรธเหล่านั้นอยู่ในความคิดของเธอเลย เหมือนมีอะไรบางอย่างที่มาชะล้างมันออกไปจนหมด

                มีลูกค้าคนใหม่ก้าวเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าร้าน เขาดูโดดเด่นมากแม้ว่าจะเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติในพลาก้าแล้วก็ตาม เขาตัวสูง และก็เหมือนกับมีสีดำระบายทับไว้ทั้งตัว เขามีผมยาวสีดำ ดวงตาสีดำ เสื้อผ้าที่เหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวพีเรียดสีดำ และบรรยากาศสีดำ

                เขามีแต่สีดำ

                อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะรู้สึกกลัวอยู่หน่อยๆ เธอก็ผูกผ้ากันเปื้อนให้แน่นขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาเขา และถามว่า

                “รับอะไรดีคะ? ”

                เขามองเธอ เธอมองเขา น่าแปลกที่เธออยากจะวิ่งหนี แล้วเขาก็คว้ามือเธอเอาไว้

                “คือ --” เธอตกใจ “คุณคะ --

                            “ข้ามารับเจ้า” เขาพูด “และเจ้าต้องไปด้วย”

                ฟังดูเหมือนการคุกคาม เหมือนคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ เอเรอาญ์รู้ดีว่าต้องเธอไม่ชอบแน่

                เขาลุกขึ้นยืน แวบหนึ่งเอเรอาญ์รู้สึกว่ามีปีกสีดำโบกสะบัดอยู่ข้างหลัง และเมื่อเห็นว่าเธอไม่ส่งเสียงหรือแม้แต่จะขยับตัว เขาก็ก้มตัวลงมา และพูดเบาๆ ว่า

                “หรือต้องยื่นทับทิมให้อีกสักผล”

                แล้วเอเรอาญ์ก็ยิ้ม แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนที่มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เธอสัมผัสได้แต่ความปรารถนาที่จะไปกับเขา มันลุกโชติอยู่ในหัวใจที่เต้นแรง และมันเป็นความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวที่แรงกล้ายิ่งกว่าทุกความปรารถนาในชีวิตของเธอ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×