ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3 ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 597
      6
      11 ก.ย. 55




    บทที่ 3

               เป็นอีกครั้งที่ไดโอนีซุสในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มซึ่งมองดูเผิน ๆ ไม่ต่างอะไรกับนักท่องเที่ยวเจ้าสำอางจ้องมองหน้าร้านกาแฟเล็ก ๆ ร้านหนึ่งอย่างจดจ่อราวกับเสือที่หิวกระหาย คราวนี้ใช้เวลาไม่นานนัก คนที่เขาต้องการจะเห็นก็ก้าวออกมา เธอสวมชุดกระโปรงกับเสื้อคลุมและดูเป็นการเป็นงานกว่าทุกวัน

                “แน่ใจหรือคะว่าฉันควรสมัครงานได้แล้ว”

                เทพแห่งความรื่นรมย์ได้ยินเธอถามชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อ หรืออย่างน้อยก็คือเครือญาติสักคนหนึ่ง ด้วยทั้งโครงหน้าที่คล้ายคลึงและดวงตาอ่อนโยนที่เขาใช้มองเธอ

                “แน่อยู่แล้ว” ชายคนนั้นตอบ

                “จะไม่ไปกับฉันหรือคะ”

                น่าแปลก ไดโอนีซุสสะกิดใจแวบหนึ่ง ทั้งที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีว่าผูกพันหรือสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากนัก แต่หางเสียงในประโยคนั้นกลับอ้างว้างและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเหมือนเด็กหญิงเล็ก ๆ เอ่ยกับผู้เป็นพ่อเมื่อกำลังหัดข้ามถนนหรือไปโรงเรียนเป็นวันแรก

                “ใครจะดูแลร้านล่ะ” อีริค อาร์เรห์นตอบ ก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้ถือถ้วยกาแฟอยู่มาขยี้ผมเธอ “แล้วอีกอย่างนะ ลูกสาวพ่อทำได้อยู่แล้ว”

                สัมผัสนั้นทำให้เอเรอาญ์สะดุ้ง แทบจะถดหนี เธอไม่คุ้นเคยกับความอ่อนโยนจากมือพ่อ หรือแม้แต่คำพูดที่เต็มไปด้วยกำลังใจจากเขา และอีกฝ่ายเองก็รับรู้ได้จึงทิ้งแขนลงข้างตัว ก่อนจะกระแอมเสียงดัง

                “โอเค โชคดีแล้วกันนะ”

                “ค่ะ ขอบคุณ”

                เธอรับคำสั้น ๆ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็ก้าวออกไปตามถนน ไดโอนีซุสมองตามเธอ สลับกับหันกลับไปมองชายวัยกลางคนคนนั้นซึ่งยังคงยืนส่งเธอด้วยดวงตาอบอุ่น

                มันเป็นความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ ว่าบางทีอาจจะเร็วเกินไปที่จะพรากเธอจากครอบครัว แต่ก็เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น

                เขาสะบัดหัวไหล่ มองส่งเธอบ้าง แต่ก็ไม่นานนัก เธอลับตาไปอย่างรวดเร็ว

                อย่างน้อยโลกอีกฝั่งหนึ่งก็มีครอบครัวของเธอไม่ต่างกัน เทพแห่งความรื่นรมย์คิดอย่างนั้น และพยายามไม่รู้สึกอะไรที่จะปฏิเสธมันอีก

               

                “ข้ารู้แต่ว่าเป็นนางแน่ ๆ!

                ไดโอนีซุสพูดแต่คำนั้นให้กับคำถามครั้งแล้วครั้งเล่าทำนองว่า อะไรคือข้อพิสูจน์ในการประชุมสภาโอลิมเปียนที่เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นานนัก

                “ไดโอนีซุส ข้าเข้าใจว่าเจ้าสนิทสนมกับนางมาก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะตื่นตูม เราทุกคนต่างรับรู้และอาลัยไม่ต่างกันในวันที่นางต้องจากไปตลอดกาล” เฮอร์มีสแย้ง

             “นางไม่ได้จากไปตลอดกาลอีกแล้ว! ” ไดโอนีซุสโต้ ก่อนจะย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนลงราวกับคำพูดเหล่านั้นกัดกร่อนความมั่นใจของเขาลงไปมาก “นางกลับมาแล้ว”

             “เจ้ามีอะไรมาพิสูจน์” อธีน่าส่งเสียงถามขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของห้องโถง

             “ข้าเองก็สัมผัสถึงนางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” ดีมิเทอร์สำทับ น้ำตาคลอคลอง “อย่าลืมสิ ข้าเป็นแม่ของนางนะ”

             “เพราะพวกท่านปักใจเชื่อแล้วต่างหากว่านางจะไม่หวนคืนมา และไม่มีพวกท่านสักคนที่นิยมเข้าไปพัวพันกับโลกมนุษย์เหมือนข้า”

             “มีเหตุผล...” โพไซดอนกล่าวเสียงทุ้มลึก “แต่ข้าเองก็ใกล้ชิดกับโลกมนุษย์และแผ่นดินเอเธนส์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร”

             “และข้าเองก็มีวิหารของตนในเอเธนส์” เทพีแห่งสติปัญญาเสริม

             “แต่ข้าอยู่ตรงหน้านาง! ” ไดโอนีซุสไม่ยอมแพ้ “ได้ยินเสียงนาง ได้มองลึกลงในดวงตาของนาง... ดวงตาแบบเดียวกับท่าน! เทพีดีมิเทอร์!

             “เอาล่ะ” เสียงอันทรงอำนาจที่สุดในที่ประชุมแห่งนั้นเอ่ยปราม “ไดโอนีซุสลูกข้า เจ้ามีหนทางพิสูจน์ที่แน่ชัดบ้างหรือไม่”

             เทพแห่งความรื่นรมย์โค้งให้กับซุส ราชันแห่งทวยเทพ “ถ้าหากพระบิดาจะกรุณา ลูกขอร้องให้อธีน่า ผู้เปี่ยมด้วยปัญญาและเป็นเลิศในทางพิจารณา กับเทพีดีมิเทอร์ผู้เป็นมารดาของนางไปพบนางคืนนี้ ทั้งสองต้องรู้ว่าเป็นนางจริงหรือไม่”

             “เฮ้อ...”

                อพอลโลถอนใจ ผลปรากฏว่าหญิงสาวปริศนาคนนั้นเป็นเพอร์ซีโฟเน่ -- เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิจริง! มันพลิกบรรยากาศในการประชุมตาลปัตรเหมือนคลื่นยักษ์ที่ทรงพลัง ก่อนจะจบลงด้วยการลงเสียงว่าจะนำพาเธอให้กลับคืนมาสู่โลกของเทพเจ้าหรือไม่

                สิบเอ็ดเสียงเห็นด้วย

                และหนึ่งเสียงที่ผิดแผกนั้นคือเสียงของเทพีดีมิเทอร์

                เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่วินาทีนั้น การที่แม่ไม่ต้องการจะเห็นลูกสาวคนเดียวกลับคืนมาสู่ความเป็นเทพีอย่างที่เธอควรจะได้เป็นและกลับสู่อ้อมอกของตนเองเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงเลย แม้แต่สำหรับโลกของเทพเจ้าก็ตาม

                แต่ในตอนนั้นเองที่เทพผู้บัญชาดวงตะวันมองผ่านกลุ่มเมฆลงไปยังแผ่นดินเบื้องล่าง ผู้คนพลุกพล่าน ยวดยานมากมาย และใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี...

                “ฤดูใบไม้ร่วง! ” อพอลโลอุทาน

                เขาได้คำตอบแล้ว มันอยู่ในใบไม้ใบหนึ่งที่ค่อย ๆ ปลิดปลิวจากกิ่งก้าน

                ตอนนั้นเองเช่นกันที่อพอลโลคิด -- บางที เขาก็คงเลือกจะเห็นสายเลือดของตนเองเดินดินเป็นมนุษย์ดีกว่าจมลงสู่ดินแดนอันมืดมิดเหมือนกับเทพีแห่งพืชพรรณ

     

                เด็กหญิงในภาพถ่ายเก่าคร่ากำลังยิ้มแฉ่งอวดฟันซี่เล็กเรียงเป็นระเบียบ ดวงตาเล็กหยีจนแทบจะมองเห็นเป็นเส้นโค้งสีน้ำตาลบนใบหน้าตกกระ ผมมัดสองแกละ ผูกด้วยโบว์ที่ตอนนี้มองไม่ออกเสียแล้วว่าเป็นสีอะไร มือข้างหนึ่งของเธอชูขึ้น คล้ายจะโบกให้ใครคนหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างกำลังโอบรัดตุ๊กตาหมีตัวโปรด วัดระดับความรักใคร่ได้ด้วยปลายขาที่มีรอยด้ายลุ่ยจนนุ่นสีขาวหลุดออกมาเป็นก้อนเขื่อง บ่งบอกสภาพการถูกใช้งานอย่างโชกโชน เด็กหญิงยิ้ม...ยิ้มราวกับว่าโลกทั้งใบไม่มีใครหรืออะไรทำให้เธอทุกข์ร้อนได้

                ส่วนอีกใบหนึ่งนับว่าสียังค่อนข้างสดสำหรับรูปถ่ายเมื่อห้าหรือหกปีที่แล้ว เขาถือมันคู่กันราวจะแสดงพัฒนาการก้าวกระโดดของเธอ ซึ่งกลายเป็นเด็กสาวท่าทางมั่นอกมั่นใจ เธอสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ปอน ๆ และในอ้อมแขนข้างหนึ่งนั้น ก็ยังคงมีตุ๊กตาหมีตัวเดิมจับจองพื้นที่เอาไว้

             เธอคือเอเรอาญ์ในวันเกิดปีที่สิบแปด

                ในโลกที่มีแต่ความผิดพลาด ในวันที่มีแต่ความอ่อนล้า บางทีฝาแฝดอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการรักษาเอาไว้ให้นานที่สุด

             ไม่ให้ใคร --  ภาพความฝันตามหลอกหลอนเขา อาเธอร์สั่นศีรษะแรง ๆ  ฉันจะไม่ให้ใครแย่งไปได้

             “เฮ้!

                วัตถุสีดำเป็นมันปลาบโฉบลงมาด้วยความเร็วสูง ขโมยรูปภาพทั้งสองใบจากมือเขา อาเธอร์คว้าไม่ทัน ได้แต่จ้องมองมันอย่างเคืองแค้น

                “เอาคืนมานะ”

                นกกาเอียงหัวไปข้างหนึ่งแทนคำตอบ ก่อนที่มันจะกางปีกออกกว้าง กระพือแรง ๆ และร้องเสียงแหลมใส่หน้าเขาคล้ายการประกาศศักดา

                “เอามา... โธ่!

                อาเธอร์สบถ หัวขโมยกระพือปีกอีกครั้งและออกบิน ขนเรียบลื่นสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นเงาพร่างพรายไกลลิบออกไปทุกที ๆ

                เขาส่งเสียงพรืดอย่างขัดใจ ก่อนจะถีบตัวออกวิ่งตามเจ้าหัวขโมยชนิดฝีก้าวต่อฝีก้าว เร็วจนอกเจ็บแปลบเพราะการออกแรงอย่างกะทันหัน และเร็วจนดูเหมือนกาจะยอมแพ้...

                “เอามาสิ! โอ๊ย!

                มันร่อนลงต่ำจนมือที่ยืดสูงของเขาเกือบจะคว้าเอาไว้ได้ แต่แล้วก็สะบัดตัวจากไป และนั่นก็ทำให้              อาเธอร์ที่ไม่ทันระวังสะดุดร่องกระเบื้องแตก ๆ บนพื้น ก่อนจะล้มหน้าคะมำลงไป

                เขาจุก หัวเข่าเจ็บแปลบ และแว่นตาก็กระเด็นหายไปด้วย อาเธอร์มองเห็นเพียงเลือนรางว่าเงาสีดำสนิทของมันโฉบลงที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่งเหนือศีรษะเขา ชายหนุ่มป่ายมือควานหาแว่นตา และพบมันในอีกช่วงแขนหนึ่ง เขายืดตัวขึ้น ปัดฝุ่นออกจากเสื้อกาวน์ และเงยหน้า...

                ถ้าเขายังมีสติ เขาคงจะรู้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วจนเกินภาวะปกติไปแล้ว

                นกกาเกาะอยู่บนกิ่งไม้เล็ก ๆ บาง ๆ สีน้ำตาลอมเหลือง รูปภาพทั้งสองใบยังคงอยู่ในกรงเล็บของมัน มีทั้งรอยยับและรอยฉีกขาดจนดูไม่ได้

                เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

                เขาไม่ได้กลัวสายตาเยียบเย็นของกาตัวนั้นที่จ้องมองเขาราวกับมันเป็นมนุษย์

                แต่กลัวผลไม้ผลเล็ก ๆ ที่ก้านของมันเหนี่ยวกับกิ่งของต้นเอาไว้แน่น และทาบอยู่บนรูปภาพสองใบต่างหาก

                แน่นอนว่ามันคือผลทับทิม

                “ถ้าพี่เจอเรื่องแปลก ๆ ที่เกี่ยวกับผลทับทิมยังจะดูน่ากลัวกว่านี้อีก”

                หัวขโมยคลายกรงเล็บ รูปภาพทั้งสองใบหล่นลงมาแทบเท้าเขา ดวงตาสีดำสนิทเย็นยะเยือกจ้องมองเขาอีกเพียงอึดใจเดียว ก่อนที่มันจะสะบัดปีกและโผทะยานพร้อมกับส่งเสียงร้องแหลมบาดหูซึ่งกรีดลึกลงไปในความนึกคิดของเขา

                “เธอต้องไป ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ -- เธอต้องไป”

                สายสัมพันธ์ของฝาแฝดอาจเป็นนามธรรมที่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์พิสูจน์ได้เป็นชิ้นเป็นอัน และสันชาตญาณก็อาจไม่ควรจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในการตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

                ทว่า ด้วยความเร็วที่ไม่เคยทำได้มาก่อนในชีวิต อาเธอร์ก้มลงเก็บรูปภาพทั้งสองใบนั้น ลาพักร้อน กลับบ้าน จัดกระเป๋า ทิ้งโน้ตเล็ก ๆ ที่ไม่มีข้อความอันเป็นประโยชน์นักไว้บนหมอนของแม่ และออกเดินทางไปเอเธนส์ด้วยเที่ยวบินเที่ยวที่เร็วที่สุด

     

                “เดลฟีหรือคะ? ”

                “ใช่ เดลฟี -- ” อีริค อาร์เรห์นอึกอัก “เพื่อเป็นการฉลองที่ลูกได้งานทำอย่างราบรื่น และเพื่อ -- เออ -- เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกได้เห็นสถาปัตยกรรมสวย ๆ แล้วก็ -- ให้ลูกได้เปิดหูเปิดตาบ้างนอกจากในเอเธนส์ แล้วก็ -- แค่นั้น -- แค่นั้นแหละ”

                เธอกับพ่ออยู่ในรถยนต์สีขาวมอซอที่กำลังแล่นขึ้นเหนือจากเอเธนส์เพื่อตรงไปยังเมืองเดลฟี [1]เมืองเก่ามีชื่อเสียงซึ่งเอเรอาญ์ -- หรือไม่ก็พ่อของเธอ ลงความเห็นว่าเธอไม่ควรพลาด และพาเธอออกเดินทางทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้นถัดจากวันสมัครงาน   

                “อีกอย่าง ถ้ามีเวลาว่างมากพอ เราอาจจะเดินทางต่อไปเมธิโอร่า[2]ก็ได้ ลูกต้องชอบแน่”

                ทว่า ด้วยความรู้สึกบางอย่าง เอเรอาญ์กลับไม่คิดว่าพ่อของเธอกำลังพูดความจริง

                “แค่นั้นหรือคะ? ”

                ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอพูดอย่างนั้น และมันก็ไม่ได้รับคำตอบจากพ่อด้วย พ่อปล่อยให้เสียงเพลงรุ่นสามสิบปีก่อนดังอยู่ในรถที่จู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าเครื่องปรับอากาศภายในนั้นกำลังเป่าลมแรงจนหนาวยะเยือก

                “คือ...”

                เอเรอาญ์ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงต้องกลั้นหายใจ แต่เธอก็กำลังทำอยู่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมจึงรอฟังคำตอบจากพ่ออย่างใจจดใจจ่อ

                 “พ่อแค่... ” เธอรู้สึกว่าเสียงของพ่อเบาหวิวจนแทบจะไม่ต่างอะไรกับขนนกแต่มันทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้ง เสียงดนตรีค่อยๆ  แผ่วลงเมื่อจบเพลง และแม้ว่าเสียงของอีริค อาร์เรห์นจะเบาอย่างที่สุด เอเรอาญ์ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนทุกคำ ทุกพยางค์

                “พ่ออยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกบ้างเท่านั้นเอง... ”

                เสียงเพลงถัดไปดังกระหึ่มขึ้น และกลับเป็นเธอเองที่กลายเป็นหิน

                เอเรอาญ์ไม่รู้ตัวเลยตอนที่เธอเอื้อมมือออกไปลดระดับเสียงจนเงียบสนิท และควบคุมตัวเองไม่ได้เลยตอนที่น้ำตาหยดลงบนหน้าตัก

                “แล้วพ่อทิ้งพวกเราไปทำไมกัน!

                เสียงของเธอห้วน กระชาก แต่สั่นเครือเหลือเกิน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอเรอาญ์เอ่ยคำว่า พ่อ ออกมา ราวกับว่ามันเป็นคำต้องห้าม และมันก็ทำให้ลำคอเธอเจ็บแปลบด้วยก้อนสะอื้น

                “พ่อไปโดยที่ไม่บอกอะไรเราเลย มีแต่แม่ที่ร้องไห้ กับเราสองฝาแฝดที่ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น” เธอตัดพ้อ“พ่อรู้บ้างไหมว่าหนูมาหาพ่อที่นี่ทำไม หนูไม่ได้มาเพราะรู้สึกหลงใหลกรีซหรืออยากทำงานในกรีซอย่างที่อาเธอร์โกหกพ่อหรอก ไม่เลยสักนิด!

                เธอรับรู้ได้ว่าพ่อมองเธอ แต่เธอไม่มองตอบ ใบหน้าของเอเรอาญ์เชิดรั้น จ้องตรงไปยังทางข้างหน้าด้วยน้ำตาพรั่งพรู

                “เอเรล เกิดอะไรขึ้น... ” เสียงของพ่อยิ่งเบาโหวงกว่าเดิม

                “หนูหนีมา”

                “อะไรนะ... ”

                เธอหันกลับไปสบตาพ่อ ดวงตาแดงก่ำ “ริชาร์ด ดาลตันกำลังคิดจะทำเรื่องเลวร้ายกับหนู อาเธอร์น่ะคอยขวางและปกป้องพวกเรามาตลอด จนในที่สุดมันก็เกินกำลังของพี่ หนูเลยต้องหนีมาที่นี่ ตอนนี้แม่จะเป็นยังไง พี่จะเป็นยังไง และตอนนั้นพวกเราสามคนจะเป็นยังไง พ่อเคยใส่ใจบ้างไหม เคยรู้บ้างหรือเปล่าว่ามันจะไม่เกิดขึ้นถ้าพ่อไม่ทิ้งเราไป!

                พ่อไม่แม้แต่จะส่งเสียงเลย และเอเรอาญ์ก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังคำอธิบาย รถยนต์สีขาวมอซอแล่นต่อไปจนถึงเมืองที่หมายโดยไม่มีอะไรจะทำลายความเงียบน่าอึดอัดและปวดร้าวที่สุดนั้นลง



    [1] เดลฟี เป็นเมืองเก่า ตั้งอยู่บนไหล่เขาพาร์นาสซัส อยู่ทางเหนือจากเอเธนส์ไปประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นที่ตั้งของวิหารแห่งเทพอพอลโล ซึ่งเชื่อกันว่าในอดีตเคยเป็นที่สถิตของร่างทรงซึ่งทำหน้าที่เอ่ยคำทำนายในเรื่องสำคัญ ๆ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของวิหารกลมของเทพีอธีน่าที่มีชื่อเสียงมาก โรงละคร และสนามกีฬาซึ่งในสมัยโบราณใช้จัดแข่งขันกีฬาไพเธียน อันเป็นกีฬาในลักษณะเดียวกับกีฬาโอลิมปิก

    [2] สำนักสงฆ์ลอยฟ้าทางตอนกลางของประเทศกรีซ เป็นที่พำนักของนักบวชนิกายออร์โธดอกซ์ เป็นสำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหินทรายซึ่งสูงชันจากพื้นราบ ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลบหนีการรุกรานของพวกเติร์ก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×