คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 4 ตอนที่ 1
บทที่ 4
ฮิปนอสหาวปากกว้าง ดวงตาที่ง่วงงุนอยู่เป็นประจำมาตลอดหลายพันปีเป็นประกายด้วยน้ำตาไหลเยิ้ม
“เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้าทีเถอะ! ”
สิ้นเสียงที่ประกอบด้วยส่วนผสมของความรำคาญใจและเหนื่อยหน่ายอย่างที่สุด ทานาทอสก็ผวาดึงแขนเทพเจ้าขี้เซา แล้วลากวัตถุที่เอื่อยเฉื่อยอยู่ตลอดเวลานั้นออกจากท้องพระโรงไป
เทพฮาเดสกระแทกนั่งบนบัลลังก์ตระหง่าน สีหน้าบึ้งตึงเป็นสัญญาณที่รู้กันทั่วไปว่าไม่สู้ดีนัก ผืนฟ้าหรือเพดานปรโลกจึงกลายเป็นสีขุ่นคลั่กเหมือนจะมีพายุ ทานาทอสส่ายศีรษะ ทั้งเอือมระอาและชาชินจนแทบจะไร้ความรู้สึก ช่วงหลายพันปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ราชินีแห่งปรภพหายสาบสูญไป การที่ท้องฟ้าปั่นป่วนในทุก ๆ วันแทบจะเป็นเรื่องปกติ
“ฮีป เจ้าเองก็ไม่ควรจะทำให้นายท่านได้โมโหโทโสเลย” เขากลอกตาใส่ ‘พี่ชาย’
“จะว่าไปมันอดไม่ได้นี่” ฮิปนอสส่งเสียวเคี้ยวปากดังหยับ ๆ “จะว่าไปข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ก็ได้ -- ” เขาเสริมเมื่อเห็นสายตาสิ้นศรัทธาของอีกฝ่ายผ่านมุมมองเล็กยิบหยีของดวงตาที่กำลังจะปิดสนิท “จะว่าไปคราวหน้าข้าจะพยายามมากกว่านี้แล้วกัน”
ทานาทอสส่งเสียงในลำคออย่างไม่เชื่อถือ ฮิปนอสจึงพยายามลืมตาขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วเริ่มต้นแก้ตัวอีกครั้งว่า
“ทานาทอส น้องข้า จะว่าไปข้าเป็นเทพแห่งการหลับใหลนะ”
ทานาทอส เทพแห่งความตายอ้าปากจะโต้คารม ก็พอดีกับที่มีบางสิ่งเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา “มีแขกแน่ะ ฮีป” เขากระตุก หรือพูดให้ถูกคือกระชากแขนของพี่ชายที่กำลังจะขดตัวลงไปนอนแรง ๆ
ฮิปนอสเขม้นตามองแสงสว่างจ้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เทพเจ้าแห่งยมโลกทั้งสองทีละน้อย รัศมีของมันนวลตาเกินกว่าจะหมายถึงความมุ่งร้าย เขาอ้าปากหาวอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง
“จะว่าไปก็รู้อยู่นี่ว่าเป็นใคร”
แล้วกลุ่มแสงสว่างก็หยุดเคลื่อนไหว เฉดสีสันฉีกความมืดมิดแห่งแดนปรภพออกไปเป็นแฉกกว้าง ก่อนจะค่อย ๆ หรี่ลงอย่างเชื่องช้าและดับสนิทในที่สุด
“เทพเฮอร์มีส” ทานาทอสโค้งตัว
เฮอร์มีสยืนขึ้นจากท่าที่ดูเหมือนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ปีกคู่มหึมาซึ่งปิดเหลื่อมกันบดบังร่างกายเอาไว้ ค่อย ๆ คลี่เปิด มองดูเหมือนม่านขนนกที่ส่องแสงระยิบระยับ
“เทพฮาเดสไม่ได้เข้ารับฟังการประชุมสภาโอลิมเปียนครั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก”
ฮิปนอสกึ่งโค้งกึ่งซวนเซ “จะว่าไปนายท่านก็ปฏิเสธการขึ้นไปข้างบนนานแล้ว”
“เพราะเห็นอย่างนั้น” เฮอร์มีสส่งของในมือให้ “จึงคาดว่า องค์ราชันของพวกท่านยังไม่รับรู้ว่าจะได้รับของชิ้นนี้”
‘ของ’ ชิ้นนั้นทำให้ใบหน้าของทานาทอสซีดเผือด และฮิปนอสถึงกับตื่นเต็มตาอย่างที่ไม่เคยตื่นในรอบหลายพันปี
มันคือผลทับทิมผลหนึ่ง
“ท่านนำไปเองเถอะ” ทานาทอสบอก ตัวสั่นเยือกครั้งหนึ่ง “บางทีเทพแห่งความตายก็เกิดกลัวความตายขึ้นมาพิลึก”
“โอ้ -- ท่านกำลังจะขัดบัญชาท่านพ่อ... ”
ทานทาอสกลืนน้ำลาย
“ท่านพ่อของข้า ของอพอลโล ของอาร์เทมีส ของไดโอนีซุส ของอธีน่า”
หรือคำที่สั้นกว่าคือ ‘ราชันแห่งทวยเทพ’
เทพแห่งความตายส่งเสียงคำรามในลำคอ ก่อนจะโค้งอย่างประชดประชันและรับ ‘ของ’ ชิ้นนั้นมาด้วยท่าทางเหมือนอยากจะสูบเลือดสูบเนื้ออีกฝ่าย
เฮอร์มีสส่งยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า ปีกคู่มหึมาโบกสะบัดแรง ๆ อีกครั้ง จากนั้นจึงปรากฏเชือกเส้นเขื่องในมือซึ่งผูกโยงไปยังเบื้องหลังม่านขนนกที่ยังคงส่องแสงเรือง ๆ เหมือนแสงตะเกียงริบหรี่สีเงิน
“เขาขัดขวางอพอลโลและต้องรัศมีเทพที่อ่อนลงแล้ว จึงยังไม่ถึงแก่ชีวิต คงต้องขอให้พวกท่านได้รับไว้ด้วย”
“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด และท่านก็รู้ว่ายมโลกรับแต่วิญญาณของผู้วายชนม์” ทานาทอสคัดค้านเสียงแข็ง
“อพอลโลนำเรื่องนี้ปรึกษากับท่านพ่อแล้ว และ -- ”
เทพแห่งความตายรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังความพยายามในการคัดค้าน สิ่งเดียวที่เขาทำได้จึงมีเพียงแต่การเหยียดริมฝีปากอย่างเหนื่อยหน่าย
“ท่านพ่อของท่าน ของเทพอพอลโล ของเทพีอาร์เทมีส และของเทพเจ้าอีกเป็นร้อย! ”
เฮอร์มีสกระตุกยิ้มที่ดูเหมือนรอยแสยะ
และแล้วหลังจากการสนทนาที่ฝ่ายหนึ่งไม่ได้รื่นรมย์เลยสักนิด เทพแห่งการสื่อสารซึ่งยังคงส่งยิ้มอย่างเบิกบานใจก็สะบัดปีกแล้วโผบินลับตาไป
มีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้หลายอย่างเมื่อผลทับทิมถึงมือราชันแห่งปรกโลก และเสียงที่ดังสนั่นเหมือนใต้บาดาลจะถล่มทลาย “พวกข้างบนนั่น-กล้า-ดี-ยัง-ไง! ” ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่นอกเหนือไปจากวิจารณญาณของทานาทอส
คราวนี้มีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาจากเพดานปรโลกอาจจะหลายร้อยครั้ง
ฮาเดสกำผลทับทิมในมือแน่น ท่อนแขนแข็งแรงเกร็งจนสั่นสะท้านด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน เทพแห่งความตายกลืนน้ำลายลงคอหลายอึกในนาทีเดียว ส่วนฮิปนอสที่ตื่นตัวเต็มที่อย่างที่ไม่เคยตื่นมาก่อนยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องชายอีกทอดหนึ่ง
“ระงับใจเถิด นายท่าน”
“เงียบที! ไม่ต้องเทียมรถ! แค่ม้าก็พอ! ข้าจะขึ้นไปข้างบนนั่น! ”
“แต่ว่า... ”
แล้วทานาทอสก็ถูกบังคับให้หยุดเมื่อผลทับทิมในมือราชันแห่งปรโลกถูกเขวี้ยงเฉียดใบหน้าเขาไปนิดเดียว
“ส่งมันมาเพราะอยากจะเยาะเย้ยข้าเรื่องนางสินะ ได้เลย! แล้วเราจะเห็นดีกัน”
ข้าคนสนิททั้งสองไม่เข้าใจนักหรอกว่า ‘พวกข้างบนนั่น’ หรือที่ถูกต้องคือบรรดาเทพโอลิมเปียนจะต้องการเยาะเย้ยฮาเดสให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตทำไม แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ ‘กฎ’ อันศักดิ์สิทธิ์เป็นเลิศสำหรับการรักษาชีวิตในปรภพ คืออย่าพาดพิง พูดถึง หรือทำอะไรก็ตามที่ทำให้คำว่า ‘เพอร์ซีโฟเน่’ , ‘ราชินีแห่งปรภพ’ หรือแม้แต่ ‘ผลทับทิม’ ปรากฏขึ้นให้ระคายเคืองประสาทสัมผัสขององค์ราชัน แม้เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิจะหายสาบสูญ ‘ตลอดกาล’ อย่างไม่ทางหวนคืน นับแต่ ‘วันนั้น’ -- ซึ่งก็เป็นวันต้องห้ามที่ห้ามเอ่ยถึงเช่นกัน ก็ตาม
ทว่าก่อนที่เหล่าทวยเทพจะต้องรับศึกจากแรงพิโรธใต้พิภพที่ปะทุขึ้นด้วยผลทับทิมผลเดียวนั่นเอง อะไรบางอย่างก็ดึงดูดทุกสายตาในท้องพระโรงไว้เสียก่อน
ผลทับทิมที่เปลือกฉีกออกด้วยแรงกระแทก มันเปิดเผยให้เห็นเนื้อภายในสีแดงสดเป็นประกาย -- ประกายจัดจนออกจะผิดปกติ จัดเสียจนราวกับว่าเนื้อทับทิมกำลังเปล่งแสงเรืองรอง ฮาเดสหรี่ตาจ้องเขม็ง
“ฮิปนอส ส่งมันมาให้ข้า เร็วเข้า! ”
มือของเทพแห่งการหลับใหลสั่นสะท้านจนแทบจะทำผลทับทิมหลุดมือ
ราชันแห่งปรโลกรับมันไว้ในมือข้างหนึ่ง จ้องมองด้วยดวงตาที่เหมือนจะพร้อมกลืนกินทุกแสงสว่างใน โลก
แต่ฮาเดสไม่ได้พิจารณามันนานกว่านั้นตอนที่แสงสว่างจ้าระเบิดออกจากผลทับทิม ฉีกกระชากความหม่นมัวจนขาดวิ่น ทานาทอสเบือนหน้าหนี ฮิปนอสซุกหน้าลงกับผ้าคลุมของตนเอง ขณะที่ราชันแห่งปรโลกกะพริบตา โลกค่อย ๆ ร้อนขึ้น และผลทับทิมก็เหมือนจะหนักขึ้นทุกที
หนักจนเขาต้องประคองมันด้วยสองมือ...
แล้วแสงสว่างก็ดับวูบลง
ความมืดมนกลับมาถือกรรมสิทธิ์เหนือท้องพระโรงอีกครั้ง ทานาทอสเลื่อนแขนข้างที่ชักผ้าคลุมขึ้นปิดหน้าลง ส่วนฮิปนอสค่อย ๆ เหลือบมองลอดเรือนผมของน้องชาย แปลกใจที่ไม่มีคำพูดหลุดลอดจากลำคอของใครสักคน
สิ่งที่ถูกประคองด้วยสองแขนนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม ฉะนั้น เธอจึงเป็นมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย สำคัญกว่านั้น เธอเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยเลือดเนื้อ และมีลมหายใจสมบูรณ์ ไม่ใช่ผู้วายชนม์ แต่ที่สำคัญที่สุด --
“นายหญิง! ”
“เพอร์ซีโฟเน่”
เสียงของฮาเดสดังกว่าการกระซิบเพียงนิดเดียว
...เป็นนาง เป็นนางจริง ๆ
มันยากที่จะเชื่อได้ว่ามือของเขาสั่นสะท้าน และยากจะเชื่อยิ่งกว่าเมื่อมันถูกลากไปบนใบหน้าของเธออย่างทะนุถนอมเกินไป
“นางกลับมาแล้ว... เจ้าเห็นหรือเปล่า”
‘กฎ’ ที่เพิ่งถูกละเมิดในนาทีก่อน กลับถูกยกเลิกในนาทีถัดมานั่นเอง
น้ำเสียงของราชันแห่งปรภพไม่ได้บ่งบอกอารมณ์อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าประหลาดใจ ดีใจ ตื่นเต้น สงสัยหรือแม้แต่เศร้าสร้อย เช่นเดียวกับดวงตาของข้าคนสนิททั้งสองที่อลหม่านด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“แม่คะ ชงนมอุ่นให้หน่อยสิ”
“เจ้าก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีของแบบนั้น -- ”
เสียงตอบไม่คุ้นหูเอาเสียเลย เอเรอาญ์ย่นคิ้ว ลืมตาขึ้น รอบด้านมืดสนิทจนไม่จำเป็นต้องหรี่ตาหนีแสง และศีรษะของเธอก็ปวดเกินกว่าจะทันสังเกตว่าอุณหภูมิต่ำลง ไม่มีเสียงม่านผ้าฝ้ายที่ตีกระทบขอบหน้าต่างเป็นจังหวะเหมือนทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้น และทุกตารางนิ้วก็อบอวลไปด้วยความเย็นชาอย่างร้ายกาจ
มีดวงตาของคนคนหนึ่งอยู่ในความมืดมิด
ทุกสิ่งปะติดปะต่อกันอย่างรวดเร็ว รถยนต์สีขาวมอซอของพ่อ เสียงเพลงรุ่นสามสิบปีที่แล้ว หยดน้ำตา เมืองเดลฟี ชายอ้วนในเสื้อผ้าสีสด ป่าทึบ เสียงดนตรี ชายแก่ และ --
ไม่นะ!
“อย่านะ จะทำอะไรฉันน่ะ! ”
เธอสะดุ้งโหยง ถดตัวหนีในเศษเสี้ยววินาที ฮาเดสขมวดคิ้ว “ข้าเอง -- ”
“คุณเป็นใคร! ” เสียงของเธอยิ่งแหลมสูง
“ข้าเอง ฮาเดส”
“อ้อ -- ” เธอลากเสียงยาว เหมือนจะเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีและทุกอย่างจบลงอย่างสวยงามถ้าไม่นับประโยคสั่น ๆ ถัดมา “ถ้าอย่างนั้น -- คุณก็คือพวกเดียวกับชายแก่ที่บอกว่าตัวเองเป็นเทพอพอลโลน่ะสิ”
“อะไรของเจ้า” ฮาเดสตอบ “บางครั้งอพอลโลก็ปลอมตัวเป็นแบบนั้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าเสียอีก”
“อะไรนะ” แม้จะพิศวง แต่เสียงของเอเรอาญ์ก็ยังคงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว “พวกคุณเป็นแก๊งเรียกค่าไถ่ประเภทไหนกัน”
คิ้วของราชันแห่งปรโลกค่อย ๆ เคลื่อนที่มาบรรจบกัน
“บอกนามของเจ้ามาที”
“ชื่อ? ” เอเรอาญ์อ้าปากค้าง ความงุนงงสุดขีดทำท่าจะก้าวเข้ามาแทนที่ความกลัวแล้วบางส่วน “นี่...พวกคุณลักพาตัวฉัน โดยไม่รู้แม้แต่ชื่อฉัน? ”
ความคิดเห็น