ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 4 ตอนที่ 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 532
      3
      11 ก.ย. 55




    บทที่ 4

                 ฮิปนอสหาวปากกว้าง ดวงตาที่ง่วงงุนอยู่เป็นประจำมาตลอดหลายพันปีเป็นประกายด้วยน้ำตาไหลเยิ้ม

                “เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้าทีเถอะ!

                สิ้นเสียงที่ประกอบด้วยส่วนผสมของความรำคาญใจและเหนื่อยหน่ายอย่างที่สุด ทานาทอสก็ผวาดึงแขนเทพเจ้าขี้เซา แล้วลากวัตถุที่เอื่อยเฉื่อยอยู่ตลอดเวลานั้นออกจากท้องพระโรงไป

                เทพฮาเดสกระแทกนั่งบนบัลลังก์ตระหง่าน สีหน้าบึ้งตึงเป็นสัญญาณที่รู้กันทั่วไปว่าไม่สู้ดีนัก ผืนฟ้าหรือเพดานปรโลกจึงกลายเป็นสีขุ่นคลั่กเหมือนจะมีพายุ ทานาทอสส่ายศีรษะ ทั้งเอือมระอาและชาชินจนแทบจะไร้ความรู้สึก ช่วงหลายพันปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ราชินีแห่งปรภพหายสาบสูญไป การที่ท้องฟ้าปั่นป่วนในทุก ๆ วันแทบจะเป็นเรื่องปกติ

                “ฮีป เจ้าเองก็ไม่ควรจะทำให้นายท่านได้โมโหโทโสเลย” เขากลอกตาใส่พี่ชาย

                “จะว่าไปมันอดไม่ได้นี่” ฮิปนอสส่งเสียวเคี้ยวปากดังหยับ ๆ  “จะว่าไปข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ก็ได้  -- ” เขาเสริมเมื่อเห็นสายตาสิ้นศรัทธาของอีกฝ่ายผ่านมุมมองเล็กยิบหยีของดวงตาที่กำลังจะปิดสนิท “จะว่าไปคราวหน้าข้าจะพยายามมากกว่านี้แล้วกัน”

                ทานาทอสส่งเสียงในลำคออย่างไม่เชื่อถือ ฮิปนอสจึงพยายามลืมตาขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วเริ่มต้นแก้ตัวอีกครั้งว่า

                “ทานาทอส น้องข้า จะว่าไปข้าเป็นเทพแห่งการหลับใหลนะ”

                ทานาทอส เทพแห่งความตายอ้าปากจะโต้คารม ก็พอดีกับที่มีบางสิ่งเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา “มีแขกแน่ะ ฮีป” เขากระตุก หรือพูดให้ถูกคือกระชากแขนของพี่ชายที่กำลังจะขดตัวลงไปนอนแรง ๆ

                ฮิปนอสเขม้นตามองแสงสว่างจ้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เทพเจ้าแห่งยมโลกทั้งสองทีละน้อย รัศมีของมันนวลตาเกินกว่าจะหมายถึงความมุ่งร้าย เขาอ้าปากหาวอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง

                “จะว่าไปก็รู้อยู่นี่ว่าเป็นใคร”

                แล้วกลุ่มแสงสว่างก็หยุดเคลื่อนไหว เฉดสีสันฉีกความมืดมิดแห่งแดนปรภพออกไปเป็นแฉกกว้าง ก่อนจะค่อย ๆ หรี่ลงอย่างเชื่องช้าและดับสนิทในที่สุด

                “เทพเฮอร์มีส” ทานาทอสโค้งตัว

                เฮอร์มีสยืนขึ้นจากท่าที่ดูเหมือนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ปีกคู่มหึมาซึ่งปิดเหลื่อมกันบดบังร่างกายเอาไว้ ค่อย ๆ คลี่เปิด มองดูเหมือนม่านขนนกที่ส่องแสงระยิบระยับ

                “เทพฮาเดสไม่ได้เข้ารับฟังการประชุมสภาโอลิมเปียนครั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก”

                ฮิปนอสกึ่งโค้งกึ่งซวนเซ “จะว่าไปนายท่านก็ปฏิเสธการขึ้นไปข้างบนนานแล้ว”

                “เพราะเห็นอย่างนั้น” เฮอร์มีสส่งของในมือให้ “จึงคาดว่า องค์ราชันของพวกท่านยังไม่รับรู้ว่าจะได้รับของชิ้นนี้”

                ของ ชิ้นนั้นทำให้ใบหน้าของทานาทอสซีดเผือด และฮิปนอสถึงกับตื่นเต็มตาอย่างที่ไม่เคยตื่นในรอบหลายพันปี

                มันคือผลทับทิมผลหนึ่ง

                “ท่านนำไปเองเถอะ” ทานาทอสบอก ตัวสั่นเยือกครั้งหนึ่ง “บางทีเทพแห่งความตายก็เกิดกลัวความตายขึ้นมาพิลึก”

                “โอ้ -- ท่านกำลังจะขัดบัญชาท่านพ่อ... ”

                ทานทาอสกลืนน้ำลาย

                “ท่านพ่อของข้า ของอพอลโล ของอาร์เทมีส ของไดโอนีซุส ของอธีน่า”

                หรือคำที่สั้นกว่าคือ ราชันแห่งทวยเทพ

                เทพแห่งความตายส่งเสียงคำรามในลำคอ ก่อนจะโค้งอย่างประชดประชันและรับ ของ ชิ้นนั้นมาด้วยท่าทางเหมือนอยากจะสูบเลือดสูบเนื้ออีกฝ่าย

                เฮอร์มีสส่งยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า ปีกคู่มหึมาโบกสะบัดแรง ๆ อีกครั้ง จากนั้นจึงปรากฏเชือกเส้นเขื่องในมือซึ่งผูกโยงไปยังเบื้องหลังม่านขนนกที่ยังคงส่องแสงเรือง ๆ เหมือนแสงตะเกียงริบหรี่สีเงิน

                “เขาขัดขวางอพอลโลและต้องรัศมีเทพที่อ่อนลงแล้ว จึงยังไม่ถึงแก่ชีวิต คงต้องขอให้พวกท่านได้รับไว้ด้วย”

                “ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด และท่านก็รู้ว่ายมโลกรับแต่วิญญาณของผู้วายชนม์” ทานาทอสคัดค้านเสียงแข็ง

                “อพอลโลนำเรื่องนี้ปรึกษากับท่านพ่อแล้ว และ --

                เทพแห่งความตายรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังความพยายามในการคัดค้าน สิ่งเดียวที่เขาทำได้จึงมีเพียงแต่การเหยียดริมฝีปากอย่างเหนื่อยหน่าย

                “ท่านพ่อของท่าน ของเทพอพอลโล ของเทพีอาร์เทมีส และของเทพเจ้าอีกเป็นร้อย!

                เฮอร์มีสกระตุกยิ้มที่ดูเหมือนรอยแสยะ

                และแล้วหลังจากการสนทนาที่ฝ่ายหนึ่งไม่ได้รื่นรมย์เลยสักนิด เทพแห่งการสื่อสารซึ่งยังคงส่งยิ้มอย่างเบิกบานใจก็สะบัดปีกแล้วโผบินลับตาไป

               

                มีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้หลายอย่างเมื่อผลทับทิมถึงมือราชันแห่งปรกโลก และเสียงที่ดังสนั่นเหมือนใต้บาดาลจะถล่มทลาย “พวกข้างบนนั่น-กล้า-ดี-ยัง-ไง!   ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่นอกเหนือไปจากวิจารณญาณของทานาทอส

                คราวนี้มีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาจากเพดานปรโลกอาจจะหลายร้อยครั้ง

                ฮาเดสกำผลทับทิมในมือแน่น ท่อนแขนแข็งแรงเกร็งจนสั่นสะท้านด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน เทพแห่งความตายกลืนน้ำลายลงคอหลายอึกในนาทีเดียว ส่วนฮิปนอสที่ตื่นตัวเต็มที่อย่างที่ไม่เคยตื่นมาก่อนยืนหลบอยู่ข้างหลังน้องชายอีกทอดหนึ่ง

                “ระงับใจเถิด นายท่าน”

                “เงียบที! ไม่ต้องเทียมรถ! แค่ม้าก็พอ! ข้าจะขึ้นไปข้างบนนั่น!

                “แต่ว่า... ”

                แล้วทานาทอสก็ถูกบังคับให้หยุดเมื่อผลทับทิมในมือราชันแห่งปรโลกถูกเขวี้ยงเฉียดใบหน้าเขาไปนิดเดียว

                “ส่งมันมาเพราะอยากจะเยาะเย้ยข้าเรื่องนางสินะ ได้เลย! แล้วเราจะเห็นดีกัน”

                ข้าคนสนิททั้งสองไม่เข้าใจนักหรอกว่า พวกข้างบนนั่น หรือที่ถูกต้องคือบรรดาเทพโอลิมเปียนจะต้องการเยาะเย้ยฮาเดสให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตทำไม แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ กฎ อันศักดิ์สิทธิ์เป็นเลิศสำหรับการรักษาชีวิตในปรภพ คืออย่าพาดพิง พูดถึง หรือทำอะไรก็ตามที่ทำให้คำว่า เพอร์ซีโฟเน่ , ‘ราชินีแห่งปรภพ หรือแม้แต่ ผลทับทิมปรากฏขึ้นให้ระคายเคืองประสาทสัมผัสขององค์ราชัน แม้เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิจะหายสาบสูญ ตลอดกาล อย่างไม่ทางหวนคืน นับแต่ วันนั้น’ -- ซึ่งก็เป็นวันต้องห้ามที่ห้ามเอ่ยถึงเช่นกัน ก็ตาม

                ทว่าก่อนที่เหล่าทวยเทพจะต้องรับศึกจากแรงพิโรธใต้พิภพที่ปะทุขึ้นด้วยผลทับทิมผลเดียวนั่นเอง อะไรบางอย่างก็ดึงดูดทุกสายตาในท้องพระโรงไว้เสียก่อน

                ผลทับทิมที่เปลือกฉีกออกด้วยแรงกระแทก มันเปิดเผยให้เห็นเนื้อภายในสีแดงสดเป็นประกาย -- ประกายจัดจนออกจะผิดปกติ จัดเสียจนราวกับว่าเนื้อทับทิมกำลังเปล่งแสงเรืองรอง ฮาเดสหรี่ตาจ้องเขม็ง

                “ฮิปนอส ส่งมันมาให้ข้า เร็วเข้า!

                มือของเทพแห่งการหลับใหลสั่นสะท้านจนแทบจะทำผลทับทิมหลุดมือ

                ราชันแห่งปรโลกรับมันไว้ในมือข้างหนึ่ง จ้องมองด้วยดวงตาที่เหมือนจะพร้อมกลืนกินทุกแสงสว่างใน  โลก

                แต่ฮาเดสไม่ได้พิจารณามันนานกว่านั้นตอนที่แสงสว่างจ้าระเบิดออกจากผลทับทิม ฉีกกระชากความหม่นมัวจนขาดวิ่น ทานาทอสเบือนหน้าหนี ฮิปนอสซุกหน้าลงกับผ้าคลุมของตนเอง ขณะที่ราชันแห่งปรโลกกะพริบตา โลกค่อย ๆ ร้อนขึ้น และผลทับทิมก็เหมือนจะหนักขึ้นทุกที

                หนักจนเขาต้องประคองมันด้วยสองมือ...

                แล้วแสงสว่างก็ดับวูบลง

                ความมืดมนกลับมาถือกรรมสิทธิ์เหนือท้องพระโรงอีกครั้ง ทานาทอสเลื่อนแขนข้างที่ชักผ้าคลุมขึ้นปิดหน้าลง  ส่วนฮิปนอสค่อย ๆ เหลือบมองลอดเรือนผมของน้องชาย แปลกใจที่ไม่มีคำพูดหลุดลอดจากลำคอของใครสักคน

                 สิ่งที่ถูกประคองด้วยสองแขนนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม ฉะนั้น เธอจึงเป็นมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย สำคัญกว่านั้น เธอเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยเลือดเนื้อ และมีลมหายใจสมบูรณ์ ไม่ใช่ผู้วายชนม์ แต่ที่สำคัญที่สุด --

                “นายหญิง!

                “เพอร์ซีโฟเน่”

                เสียงของฮาเดสดังกว่าการกระซิบเพียงนิดเดียว

                ...เป็นนาง เป็นนางจริง ๆ

                มันยากที่จะเชื่อได้ว่ามือของเขาสั่นสะท้าน และยากจะเชื่อยิ่งกว่าเมื่อมันถูกลากไปบนใบหน้าของเธออย่างทะนุถนอมเกินไป

                “นางกลับมาแล้ว... เจ้าเห็นหรือเปล่า”

                ‘กฎ ที่เพิ่งถูกละเมิดในนาทีก่อน กลับถูกยกเลิกในนาทีถัดมานั่นเอง

                น้ำเสียงของราชันแห่งปรภพไม่ได้บ่งบอกอารมณ์อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าประหลาดใจ ดีใจ ตื่นเต้น สงสัยหรือแม้แต่เศร้าสร้อย เช่นเดียวกับดวงตาของข้าคนสนิททั้งสองที่อลหม่านด้วยความรู้สึกหลากหลาย

               

                “แม่คะ ชงนมอุ่นให้หน่อยสิ”

                “เจ้าก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีของแบบนั้น --

                เสียงตอบไม่คุ้นหูเอาเสียเลย เอเรอาญ์ย่นคิ้ว ลืมตาขึ้น รอบด้านมืดสนิทจนไม่จำเป็นต้องหรี่ตาหนีแสง และศีรษะของเธอก็ปวดเกินกว่าจะทันสังเกตว่าอุณหภูมิต่ำลง ไม่มีเสียงม่านผ้าฝ้ายที่ตีกระทบขอบหน้าต่างเป็นจังหวะเหมือนทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้น และทุกตารางนิ้วก็อบอวลไปด้วยความเย็นชาอย่างร้ายกาจ

                มีดวงตาของคนคนหนึ่งอยู่ในความมืดมิด

                ทุกสิ่งปะติดปะต่อกันอย่างรวดเร็ว รถยนต์สีขาวมอซอของพ่อ เสียงเพลงรุ่นสามสิบปีที่แล้ว หยดน้ำตา เมืองเดลฟี ชายอ้วนในเสื้อผ้าสีสด ป่าทึบ เสียงดนตรี ชายแก่ และ --

                ไม่นะ!

                “อย่านะ จะทำอะไรฉันน่ะ!

                เธอสะดุ้งโหยง ถดตัวหนีในเศษเสี้ยววินาที ฮาเดสขมวดคิ้ว “ข้าเอง --

                “คุณเป็นใคร! ” เสียงของเธอยิ่งแหลมสูง

                 “ข้าเอง ฮาเดส”

                “อ้อ -- ” เธอลากเสียงยาว เหมือนจะเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีและทุกอย่างจบลงอย่างสวยงามถ้าไม่นับประโยคสั่น ๆ ถัดมา “ถ้าอย่างนั้น -- คุณก็คือพวกเดียวกับชายแก่ที่บอกว่าตัวเองเป็นเทพอพอลโลน่ะสิ”

                “อะไรของเจ้า” ฮาเดสตอบ “บางครั้งอพอลโลก็ปลอมตัวเป็นแบบนั้น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าเสียอีก”

                “อะไรนะ” แม้จะพิศวง แต่เสียงของเอเรอาญ์ก็ยังคงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว “พวกคุณเป็นแก๊งเรียกค่าไถ่ประเภทไหนกัน”

                คิ้วของราชันแห่งปรโลกค่อย ๆ เคลื่อนที่มาบรรจบกัน

                “บอกนามของเจ้ามาที”

                “ชื่อ? ” เอเรอาญ์อ้าปากค้าง ความงุนงงสุดขีดทำท่าจะก้าวเข้ามาแทนที่ความกลัวแล้วบางส่วน “นี่...พวกคุณลักพาตัวฉัน โดยไม่รู้แม้แต่ชื่อฉัน? ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×