ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุคคลและประวัติศาสตร์ในชาติต่าง ๆ

    ลำดับตอนที่ #12 : ผู้ริเริ่มระบบการปกครองแบบรวม อำนาจไว้ส่วนกลาง>>จีน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 123
      0
      23 ม.ค. 54




    จักรพรรดิ์ฉินซีฮ่องเต้ทรงมีพระนามว่า “ อิ๋งเจิ้ง” เริ่มแรกเป็นกษัตริย์แห่งรัฐฉิน  หนึ่งใน7รัฐในปลายสมัยจ้านกว๋อ  ได้แก่ ฉิน  หาน เว่ย ฉู่ จ้าว เอี้ยนและฉี รัฐฉินมีกำลังเข้มแข็งมากกว่ารัฐอื่นๆอีก6รัฐ จึงมีความพร้อมที่จะกลืน รัฐอื่นๆได้ ตั้งแต่ปี236จนถึงปี221ก่อน คริสต์ศักราชรัฐฉิน ค่อยๆผนวกเอาดินแดนทั้ง6รัฐรวมเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันและสถาปนาราชวงศ์ฉินขึ้น เป็นราชวงศ์แรกที่มีความเป็นเอกภาพ มีหลายชนชาติและใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ อำนาจส่วนกลาง จากนั้น อิ๋งเจิ้งก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ หรือจักรพรรดิองค์ปฐมของราชวงศ์ฉินในปี221ก่อนคริสต์ศักราช.

       เพื่อขจัดความกระด้างกระเดื่องของเชื้อพระวงศ์ 6 รัฐเดิม หลี่ซือ อัครมหาเสนาบดีเสนอแนะให้รวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ฉินซีฮ่องเต้ ทรงเห็นชอบด้วย  กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือสลายระบบเจ้าผู้ครองนครรัฐ การใช้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่องค์จักรพรรดิหรือฮ่องเต้ แต่ผู้เดียว แบ่งเขตการปกครองราชอาณาจักรออกเป็น36เขตหรือ”จุ้น” (ต่อมาเพิ่มเป็น42เขต) แต่ละเขตมีผู้ว่าการทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร และตำแหน่งผู้ตรวจการอีกตำแหน่งหนึ่ง แต่ละเขตหรือ”จุ้น”ยังแบ่ง เขตปกครองออกเป็นอำเภอหรือ”เสี้ยน”รองลงมาเป็น”ตำบล”และ   ”หมู่บ้าน”เป็นต้น

    นอกจากนั้น ยังได้ร่างและประกาศใช้กฏหมายให้เป็นเอกภาพ โดยยึดถือกฏหมายเดิมของรัฐฉินเป็นหลักและนำบางมาตราของ กฏหมายรัฐทั้ง6เข้ามาประกอบใช้ด้วย  

    เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อสายของรัฐเดิมทั้ง6ทำการเคลื่อนไหว โค่นล้มราชวงศ์ฉิน พระองค์จึงสั่งย้ายพวกเขาไปอยู่”กวนจง”หรือมณฑล ส่านซีในปัจจุบันและ”ปาสู่”หรือมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน ขนาด รวบอำนาจไว้เช่นนี้แล้วก็ยังไม่วางพระทัย ฉินซีฮ่องเต้ทรงสั่งการให้ริบ อาวุธของรัฐทั้ง6นำไปทำลายและห้ามชาวบ้านครอบครองอาวุธด้วย

       ทางด้านเศรษฐกิจ   ฉินซีฮ่องเต้ทรงสนพระทัยการเกษตร แต่ไม่ได้ส่งเสริมการค้า ส่งเสริมการพัฒนาระบบกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของที่ ดินแบบสังคมศักดินา ปี216ก่อนคริสต์ศักราช ฉินซีฮ่องเต้ทรงสั่งการให้เจ้า ของที่ดินและเกษตรกรที่ทำไร่ไถนาซึ่งได้ครอบครองที่ดินอยู่แล้วเพียงแต่แจ้งจำนวนที่ดินและเสียภาษีแก่รัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลก็จะให้การ รับรองหรือคุ้มครองกรรมสิทธิ์ของพวกเขา จากนั้น จึงได้กำหนดระบบ กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในที่ดินไว้ตั้งแต่บัดนั้น

    เพื่อให้การปกครองทั่วทั้งอาณาจักรได้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิ ภาพและให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้โดยสะดวก ฉินซีฮ่องเต้ ทรงมีพระบรมราชโองการกำหนดให้ทั่วทั้งอาณาจักรใช้ภาษาหนังสือ  มาตราชั่งตวงวัดเป็นมาตรฐานอย่างเดียวกันทั้งหมดและเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร การติดต่อคมนาคมและการสื่อ สารระหว่างกันภายในอาณาจักร  ฉินชีฮ่องเต้ทรงบัญชาให้สร้าง ทางหลวงขึ้นรวมทั้งให้ขุดคลองเพื่อการคมนาคมทางน้ำด้วย  หนึ่งในทางหลวงสำคัญสองสายเริ่มต้นจากเสียนหยางเมืองหลวงของ รัฐฉินมุ่งไปทางตะวันออก   ผ่านมณฑลเหอเป่ยและ   ซานตงในปัจจุบัน ไปสุดฝั่งทะเลตะวันออก  ส่วนอีกทางหนึ่งตัดลง ทางใต้ ไปยังมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงในปัจจุบัน   นอกจากนั้น  ยังมีการสร้างถนนระหว่างมณฑลหูหนาน เจียงซี กว่างตุงและกว่างซี ในปัจจุบัน ตลอดไปจนถึงเขตที่อยู่ห่างไกล เช่นมณฑลหยูนหนานและ กุ้ยโจว นอกจากตัดถนนแล้ว   ยังมีการขุดคลองหลิงฉวีในเขต ปกครองตนเองชนชาติจ้วงกว่างซีในปัจจุบันเพื่อเชื่อมกับแม่น้ำหลีเจียงและแม่น้ำเซียงเจียงในมณฑลหูหนานในปัจจุบัน

    เนื่องจากฉินซีฮ่องเต้ทรงเกรงว่านักคิดปัญญาชนเรียนรู้ประวัติ ศาสตร์แล้วจะนำความรู้ที่เล่าเรียนมาคัดค้านการปกครองและทำให้ ประชาชนในอาณาจักรพลอยสับสนไปด้วย พระองค์จึงมีพระบรมราช โองการให้เผาทำลายหนังสือประวัติศาสตรที่บันทึกเรื่องราวของรัฐต่างๆ ทั้งหมด ยกเว้นประวัติศาสตร์ของรัฐฉิน และหนังสือว่าด้วยการแพทย์ การทำนายพยากรณ์และการเกษตร ตามข้อเสนอของหลี่ซือ เสนาบดี    ของพระองค์ ส่วนใครที่ยังชอบวิพากษ์วิจารณ์ พระองค์ จะทรงถือเป็น การดูหมิ่นพระองค์อย่างรุนแรง ทรงมีบัญชาให้ดำเนิน  การสอบสวน และท้ายสุด ให้ลงโทษด้วยการฝังทั้ง เป็นซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า460คน  นี่ก็คือเหตุการณ์”เผาหนังสือฝังปัญญาชน” ในประวัติศาสตร์จีนสมัยฉิน

    ในสมัยจ้านกว๋อ ชาว”ซงหนู”ชนชาติที่เร่ร่อนอยู่ตามที่ราบ กว้างใหญ่ทางภาคเหนือและยังชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์นั้นชำนาญการ รบบนหลังม้ามาก พวกนี้มักจะยกกำลังมารุกรานปล้นสะดมตามพรม แดนด้านเหนือของรัฐฉิน จ้าวและเอี้ยน ทำให้รัฐเหล่านี้ต้องสูญเสียทั้ง ชีวิตผู้คนและทรัพย์สินอยู่เสมอ เจ้าผู้ครองทั้งสามรัฐดังกล่าวจึงได้ สร้างกำแพงเมืองขึ้นตามบริเวณชายแดนของรัฐตน เพื่อเป็น   ปราการป้องกัน การรุกรานของพวก”ซงหนู”หลังจากได้รวบรวมรัฐ ต่างๆเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันแล้ว ฉินซีฮ่องเต้จึงได้ส่งแม่ทัพหม่ง เถียนไปปราบปรามพวก”ซงหนู”และเชื่อมต่อกำแพงระหว่างรัฐทั้ง สามเข้าด้วยกันและขยายออกไปทั้งทางตะวันตกและตะวันออกจากหลินเถา(ในอำเภอหมินเสี้ยนในปัจจุบัน)จนถึงเหลียวตงทางตะวันออกเป็น ระยะทางราว6,000กิโลเมตร เท่ากับ12,000ลี้ชื่อต่อมาเรียกกันว่า “ว่านหลี่ฉางเฉิง “หรือ”กำแพงหมื่นลี้” เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของ โลก

    หลังจากรวบรวมรัฐต่างๆเข้าเป็นเอกภาพแล้ว ฉินซีฮ่องเต้ก็เริ่ม ก่อสร้าง”วังเออผาง”และสุสานลี่ซานที่สง่างามยิ่ง  พระองค์มีพระชน มายุมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งทรงกลัวตายมากขึ้นเท่านั้น  พระองค์ พยายามเสด็จประพาสดินแดนต่างๆเพื่อเสาะหายาอายุวัฒนะหรือเพื่อ จะได้พบเซียนซึ่งเป็นผู้สำเร็จตามลัทธิเต๋า เชื่อกันว่า  เซียนเป็นผู้วิเศษที่สามารถใช้เวทมนตร์คาถาหรือมียาอายุวัฒนะช่วยให้พระองค์ไม่แก่ชราหรือสิ้นอายุขัย แต่การกระทำเช่นนี้สิ้นเปลืองทั้ง กำลังทรัพย์และกำลังคนและไม่ทำให้พระองค์มีพระชนมายุยืนยาวดังหวัง หากกลับเพิ่มความทุกข์ยากแก่ประชาชน ในที่สุด ฉินซีฮ่องเต้ก็  ประชวรหนักและสวรรคตลงในเดือนกรกฏาคมปี210 ก่อนคริสต์ศักราช

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×