ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คิดผิดนะฟิคนี้...ที่มีหนูเป็นลูกการิน!

    ลำดับตอนที่ #28 : :>>: บทที่ 25 :

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 344
      6
      21 ต.ค. 56

            ความเดิมตอนที่แล้ว >>>

            ฉันพยายามทำหน้าเหมือนไม่สนใจแล้วแสร้งเสหน้าไปทางอื่น ทั้งๆ ที่แอบเหลือบมองที่หาตาแล้วก็พบว่าลูกหว้ากำลังยิ้มน่ากลัวอยู่ จนฉันรู้สึกเหมือนจะใจคอไม่ดีซะเท่าไหร่
            เอาเถอะน่า คิดไปเองซะมากกว่า แกหลอนแล้วแหละนะยัยน้ำอบ!


    -------------------------------------------------------------------


    :>>: บทที่ 25 :<<:
    ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย



            < :: TEARNHOOM :: >

            หลังจากที่ยัยตัวแสบกระทืบเท้าผมให้เจ็บปวดรวดร้าวไปจนถึงตับไต =_=^+ หล่อนก็เดินจากผมไปอย่างไม่แยแส มันก็เป็นธรรมดาถ้าจะทำให้ผมรู้สึกโกรธปนน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกบ้าง ฮึ! ยัยอบเชยบ้า! ทีกับไอ้รุ่นพี่งี้อี๋อ๋ออ่อนหวานเชียว ทีกับผมนี่แทบจะเอาบาซูก้ามาจ่อหัว -^-*+ โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับคนหล่ออย่างผมเล้ยยยยย พับผ้าให้เรียบสิ!
            เมื่อผมเดินเข้าห้องเรียนพร้อมกับกริ่งส่งเสียงเตือน ก็พบว่าภายในห้องผมเห็นเพียงแต่ห้องเรียนโล่งๆ ที่ไร้ผู้คน ผมแปลกใจแต่ก็เดินเข้าไปในห้องอย่างนึกฉงนใจไม่น้อย
            เพื่อนในห้องยังไม่ขึ้นมาที่ห้องนี้อีกเหรอ หายไปไหนกันหมดเนี่ย?
            “พิ้งค์ เดี๋ยวก่อน นี่พิ้งค์จะไปไหน?”
            เสียงผู้ชายไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อผมหันไปมองทางประตูที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ผมก็ต้องทำหน้าสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้ชายกับผู้หญิงคนนึงกำลังเดินเข้าห้องนี้มา รึว่าพวกเขาจะเข้าห้องเรียนผิด?
            “ฉันจะไปหาเพื่อน! เพื่อนของเราตอนนี้อยู่โรงพยาบาลนะชาญ! เขากำลังเข้าห้องไอซียูอาการโคม่า โอกาสรอด 50 - 50 แล้วแบบนี้จะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง!?”
            เมื่อผมลองมองหน้าคนทั้งสองคนก็ต้องแปลกใจ ...ไม่คุ้นหน้าเลยแหะ แต่ทำไมผมรู้สึกสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้นักนะ?
            “แต่ว่า...!”
            “ถ้าชาญจะมาหึงไม่ถูกเวลาล่ะก็...นายแย่มากเลยนะ ฉันไปล่ะ! ฝากบอกครูประจำคาบเรียนให้ด้วยล่ะว่าฉันลาไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล” ฝ่ายหญิงหน้าตาสะสวยพอดีกำลังทำหน้าหงิกงอไม่พอใจกับเพื่อนชาย ...ไม่สิ ฟังๆ ดูผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นแฟนกันนะ ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่ชื่อพิ้งค์จะเป็นห่วงเพื่อนของเธอมาก แต่ผมคิดว่าคนที่ชื่อพิ้งค์พูดถึงต้องเป็นผู้ชายแน่ คนที่ชื่อชาญถึงได้ทำสีหน้าไม่พอใจใส่พิ้งค์แบบนั้น
            “พิ้งค์...ชาญขอโทษ”
            “...” พิ้งค์หันหน้าไปหาชาญแวบนึง ก่อนที่หล่อนจะพยักหน้าให้แล้วยิ้มบางๆ “อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปล่ะนะชาญ แล้วเจอกันค่ะ”
            พิ้งค์โบกมือลาแล้วหันหลังให้กับชาญแล้วเดินออกไป ชาญยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วโบกมือลาตอบ โดยที่พิ้งค์คงจะไม่มีวันมาเห็นเพราะเธอได้ก้าวเดินจากห้องนี้ไปซะแล้ว
            อา... แล้วชาญกับพิ้งค์เนี่ยเป็นเด็กใหม่แล้วเข้าห้องเรียนผิดรึเปล่านะ?

            จี๊ดดดดดดดดดดดด!!!
            “โอ๊ยยยยยยยยยยยย!!!!!”

            จู่ๆ ผมก็รู้สึกปวดหัวและขมับขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ตัวผมทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างว่องไว ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นก้องหัวสมอง เหมือนมันดังมาจากที่ไกลๆ แต่ผมไม่ทราบว่ามันดังมาจากที่ไหน
            “...กรี๊ดดดดดดดดดด...”
            เสียงกรีดร้องดังลั่นหัวจนผมงงไปหมด รู้สึกปวดระบมศีรษะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมสบถในใจ
            ฮึก...อะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
            ผมเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของชาญจะเดินมาทางนี้ เงาดำทาบทับแต่ผมกลับไม่สนใจ ความสนใจของผมกำลังถูกดึงดูดด้วยสิ่งนี้
            “...ไม่ ใครก็ได้ ช่วย..ด้วย.... อ่อกกกกก...”
            “อึ๊กกก!!!” ความเจ็บปวดจากแค่ศีรษะเริ่มแพร่งพรายไปทั่วร่างกาย ตัวผมล้มตึงลงไปนอนกองกับพื้นห้องอย่างไม่กลัวเปื้อน เสียงนี้...ผมจำได้ และจำได้แม่น! มันเป็นเสียงที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตอนที่ผมเห็นภาพศพโดนชำแหละที่ห้องถ่าย เอกสาร ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องเลยเมื่อเข้าไปในห้องเพื่อช่วยรองผอ.
            “...รู้สินะ สัมผัสมันได้สินะ...”
            น้ำเสียงเย็นๆ ดังขึ้นบนหัว จู่ๆ ความเจ็บปวดก็คลายหายไปราวกับปลิดทิ้ง ผมได้แต่หอบแฮ่กๆ น้ำลายเอ่อล้นจนออกมาตามมุมปาก ก่อนที่จะเหลือบตามองเงาดำที่ทาบทับตามใบหน้าของผม
            แต่พอผมเห็นชาญโน้มหน้าลงมา ผมก็แทบจะตาเหลือกด้วยความตกใจ ร่างกายผมถึงกับสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว นี่มัน...ไม่ใช่ชาญ และนี่ไม่ใช่คน!
            “...เห็นฉันสินะ เห็นฉันใช่ไหม...”
            ใบหน้าหล่อเหลาค่อยหลุดร่อนราวกับน้ำกรดชนิดรุนแรงสาดใส่หน้า เพราะผิวหนังบนหน้าเริ่มละลายราวกับโดนไฟลนจนเห็นกลายเป็นเศษเนื้อเละๆ แลดูคุ้นตาแปลกๆ มันกำลังโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนผมได้แต่จ้องมองสิ่งที่เฉิดฉายอยู่ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว เนื้อตัวของวิญญาณที่ผมเห็นมันเต็มไปด้วยบาดแผลที่มีแต่รอยเฉือนจนเห็น กระดูก มันสมองที่ขาดรุ่งริ่งร่วงหล่นลงมาแปะที่แก้มผมจนได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง แต่ผมก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขยับถือหันหน้าหลับตาหนีจากภาพอันน่าสยดสยองนี่ ราวกับถูกสะกดจิตไม่ให้หมางเมินกับมัน
            “...ลัล เธอเห็นฉันไหม?...”
            กึก!!!!
            คำพูดของวิญญาณดวงนี้ทำเอาผมชะงัก ลัลนี่...ใช่ชื่อเล่นของรองผอ.ไหมนะ? ถ้าใช่ล่ะก็...ทำไมวิญญาณดวงนี้ถึงได้ถามหารองผอ.ล่ะ รองผอ.เกี่ยวอะไรกับเรื่องบ้าๆ นี้รึเปล่า?
            “ตะ..ต้องการอะไรครับ?” ผมถามเสียงสั่นเพราะยังหวาดผวากับสิ่งที่เห็น ดูเหมือนวิญญาณหน้าเละนี่จะชะงักเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะพูดออกมา “...ไม่ใช่ลัล...”
            “อะ...อะไรนะ?” ผมถามทวน พอผมจะถามว่ารองผอ.เกี่ยวอะไรด้วย จู่ๆ วิญญาณก็กรีดร้องเสียงลั่น จนผมรีบเอามือปิดหู เพราะราวกับแก้วหูกำลังลั่นดังเปรี๊ยะ

            “...กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!...”
            จี๊ดดดดดดดดดด!!!!

            “โอ๊ยยยยยยยยย!!!!”
            อาการปวดหัวเกิดกำเริบขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เล่นเอาผมแทบจะหมดแรงร้องครวญคราง เสียงกรีดร้องนั้นแทนที่จะดังขึ้นตรงหน้า แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันดังขึ้นมาจากในสมองส่วนลึกของผมซะเอง บ้าชะมัด! นี่มันเกิดเวรอะไรขึ้นวะ!!?
            แล้วเพื่อนๆ ในห้องหายไปไหนหมด...ใครก็ได้ช่วยตอบคำถามของผมที!

            “...เทียนหอม!!!!”
            เฮือกกกกกก!!!!!!

            ผมรู้สึกตัวอีกทีก็คือมีคนเรียกชื่อผมเสียงดัง ผมทะลึ่งตัวขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ ลำคอผมแห้งผาก แต่เหงื่อเย็นๆ กำลังผุดออกมาจากใบหน้าและเริ่มจะทำให้เสื้อผ้าที่ผมใส่เปียกชื้น
            “เทียนหอม! นี่นายเป็นอะไรไป ไหวรึเปล่า!?”
            เสียงผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขย่าแขนผมเรียกสติ เมื่อผมหันหน้ามองก็พบว่าเซซ่านั่นเองที่เรียกผม พอผมหันมองไปรอบๆ ตัว ก็พบว่าเพื่อนๆ กำลังมุ่งดูผมราวกับเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยจะเห็นมา
            แน่นอนว่าผมก็แปลกใจที่ตัวเองมานอนเกลือกกลิ้งตรงหน้าห้องเรียนตัวเองเหมือนกัน!
            นี่ผมฝันเหรอ? แต่ถ้าฝัน...มันคงจะเหมือนจริงเอามากๆ ...และถ้าผมฝันจริงๆ ทำไมตัวผมถึงได้มานอนเกลือกกลิ้งที่พื้นหน้าห้องเรียนแบบนี้กันล่ะ?
            “นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น?” ผมถามเสียงแผ่วและหอบแฮ่กราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมาเมื่อครู่ ยังรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่าจนต้องเอามือลูบแก้มตัวเอง กลัวว่าจะยังมีมันสมองเน่าๆ นั่นติดแก้มผมอยู่ แต่มันก็ไม่มี เซซ่าทำหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตอบกลับมา
            “ไม่รู้เหมือนกัน เพราะพอฉันเข้ามาในห้องเรียน ก็เห็นเพื่อนในห้องกำลังมุงดูนายเอาแต่นอนบิดไปบิดมาอยู่ที่หน้าห้องแล้วล่ะ นายเอาแต่ร้องโอดโอยทำท่าเหมือนจะปวดหัวเอามากๆ จนเพื่อนไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยนายซะคน ...ไร้น้ำใจชะมัด!”
            หล่อนปรายตาคมๆ มองเพื่อนๆ ที่มุงดูอยู่แล้วตำหนิต่อหน้า พวกที่ยืนมุงอยู่บางส่วนทำหน้าตาไม่พอใจ แต่บางส่วนก็หลบตาเหมือนรู้สึกผิดที่ไม่เข้ามาช่วยผม
            เซซ่าเป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องเรียนของผม เพราะพวกที่เข้ามาหาผมนั้นล้วนแต่หวังผลประโยชน์และหวาดกลัวสัมผัสที่ 6 ของผมทั้งสิ้น ดังนั้นเธอก็เลยเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกับผมพอสมควร แต่ก็ไม่มากเกินไปจนเล่นหัวเล่นหางกันได้ แต่กระนั้นก็ยังทำให้คนอื่นคิดว่าผมกับเซซ่ากิ๊กก๊อกกันอยู่
            “ลุกไหวไหมเทียนหอม?” เธอยื่นมือมาให้ผม ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มสลายม็อบและตั้งกลุ่มนินทาของใครของมันแล้ว ผมเอื้อมจับมือของเธออย่างไม่ลังเล เซซ่าออกแรงดึงตัวผมให้ลุกขึ้นมาแล้วปล่อยมือออก ก่อนที่จะบ่นอุบอิบ “หนักนะเนี่ยนาย ลดน้ำหนักบ้างเหอะ -_-^”
            “ปากเสียแหะยัยคนนี้ ถ้าไม่เห็นเป็นเพื่อนแล้วมาช่วยฉันไว้ล่ะก็จะจับหักคอให้ตายคาที่ไปเลย - -*!”
            “เออๆๆ ขอบใจที่ยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ ว่าแต่ว่า...ทำไมนายถึงได้นอนอยู่กับพื้นแบบนั้นล่ะเทียนหอม”
            เธอถามผม พร้อมกับทำท่าชี้นิ้วที่เสื้อผ้าของตัวหล่อนเอง เป็นสัญญาณบอกให้ผมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เมื่อผมก้มลงมองตัวเองก็พบว่าเสื้อนักเรียนหลุดออกมานอกกางเกง และคอปกตั้งฉากจนแทบจะไม่เป็นระเบียบ ผมถึงได้จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ พร้อมกับปัดเศษดินเศษฝุ่นออกจากตัว
            “ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ ฉันก็รู้สึกปวดหัวและหน้ามืดไปซะเฉยๆ” ผมจงใจโกหกเซซ่าออกไป เธอได้แต่พยักหน้าแล้วกลับไปนั่งที่ ในขณะที่ผมกลับไม่มีกระจิตกระใจจะเรียน ผมจึงได้ตัดสินใจเดินออกจากห้องเรียนเพื่อโดดเรียนวิชานั้นซะ
            เพราะผมคิดว่า...ผมมีเรื่องที่คิดไม่ตกแบบต้องการปรึกษาใครซักคนที่น่าจะพอไว้ใจได้น่ะสิ...
            ผมเดินผ่านหน้าห้องเรียนของน้ำอบ ก็พบว่าภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ สภาพห้องที่ไร้ผู้คนทำเอาผมกลัวว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบที่ผมเห็นขึ้นมาอีก แต่เมื่อผมเดินผ่านระเบียงที่ทำด้วยพลาสติกใสทำให้เห็นบริเวณลานกว้างหน้า เสาธง ผมถึงได้รู้ว่าอันที่จริงแล้วห้องของน้ำอบลงไปเรียนวิชาพลศึกษาตั้งหากล่ะ
            ฮึ...ดูยัยนั่นสิ นี่เรียนวอลเล่ย์บอลนะ ไม่ใช่ตีลูกวอลเล่ย์ฯ ด้วยอากาศน่ะ ฮะๆๆ โก๊ะชะมัด
            พอผมเห็นน้ำอบพยายามโยนลูกวอลเล่ย์แล้วเดาะลูกอย่างตั้งใจ แต่เธอเดาะได้ 2 ที ลูกก็กระเด็นจนไปกระแทกหัวผู้ชายที่เล่นอยู่ด้านข้างแบบซวยไม่รู้เรื่อง ความหวาดกลัวจากความฝันอันน่าหวาดผวาค่อยๆ จางหายไป ผมตัดสินใจเดินลงจากอาคารแล้วเดินไปซื้อน้ำเย็นๆ มาหนึ่งขวด ก่อนที่จะเดินไปยังลานกว้างอย่างใจเย็น
            “ยัยอบเชยยยยย!!! นี่เธอเดาะลูกภาษาอะไรวะถึงได้มาโดนหัวฉันเนี่ย!!~”
            เสียงผู้ชายผู้โชคร้ายโวยวายใส่น้ำอบทันทีที่ผมเดินไปถึง เธอหัวเราะร่าเพราะรู้ความผิดของตัวเอง แล้วทำท่าทางขอโทษขอโพยอย่างหัวร่องอหงายไม่หาย
            “ฮ่าๆๆ เฮ้ย...ขอโทษทีพี ฉันตีพลาดอ่ะ”
            “เพราะเธอน่ารักหรอกนะฉันถึงได้ให้อภัยน่ะ ฮึ่ย” คนที่ชื่อพีทำท่าดึงแก้มทั้งสองข้างของน้ำอบแบบไม่ให้หล่อนได้ตั้งตัว ผมที่เห็นภาพดังกล่าวก็ถึงกับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา  แต่พอผมจะสาวเท้าไปก็พบ ว่าน้ำอบกลับตีมือพีดังเพียะ แล้วค้อนใส่ด้วยสายตาไม่พอใจ “มากไปย่ะไอ้บ้า เดี๋ยวแฟนนายก็ได้มาฆ่าฉันถึงที่หรอก”
            “เธอใช่ไหมล่ะ ^^”
            “ตลกมายมาย ฉันใช่แฟนนายรึไง -_-* เอ้ออออ ไอ้นี่วอนหาเรื่อง”
            น้ำอบทำตาขวางใส่เหมือนไม่อยากจะเล่นด้วยแล้ว พีหัวเราะเหมือนจะเสียหน้า แต่ก็ยอมเดินจากไป ในขณะที่น้ำอบก็ตัดสินใจเดาะลูกวอลเล่ย์ต่อไปอย่างไม่สนใจใคร
            ผมตัดสินใจหาที่นั่งซึ่งเป็นที่หลบสายตาครูสอนพละได้ดีพอสมควร แต่มองเห็นลานกว้างและตอนที่น้ำอบตีวอลเล่ย์บอลได้อย่างชัดเจน ผมเกิดอมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเธอตีพลาด และคนอื่นก็เก็บลูกให้เหมือนคุ้นชินกับสภาพการแบบนี้เสียแล้ว เพื่อนๆ ในห้องของน้ำอบดูจะเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษ แต่ผมมั่นใจว่าพวกเพื่อนๆ ในห้องไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรจากเธอเป็นแน่ เพราะทุกคนก็ดูเป็นคนดีแถมยังเป็นมิตรจนน่าอิจฉา ...ผิดกับห้องของผมโดยสิ้นเชิง
            ห้อง 2 ของผมเป็นห้องคิงก์ที่มีแต่เด็กเรียน แต่ห้อง 1 ที่น้ำอบอยู่คือห้องธรรมดา ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงไม่ได้มาอยู่ห้องเดียวกับผม แต่ก็ดีแล้วแหละ สังคมจอมปลอมในห้องผมมันไม่น่าอภิรมย์ซะเท่าไหร่หรอก
            ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยแล้ว น้ำอบถึงได้หาที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ผมนั่งซะเท่าไหร่ ผมเกิดไอเดียอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ ผมจึงได้ลุกขึ้นมาแล้วอ้อมต้นไม้ที่น้ำอบนั่งพิงอยู่อย่างไม่ให้เจ้าตัวรับ รู้
            ฮะๆๆ ยัยอบเชยเสร็จผมแหละ!
            ในตอนนี้ผมก็อยู่ด้านหลังต้นไม้ที่น้ำอบพิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมใช้ต้นไม้บังตัวเอง ก่อนที่จะเอื้อมมือที่ถือขวดน้ำเย็นๆ ไปแนบกับแก้มใสๆ ที่มีเหงื่ออย่างจงใจ
            แปะ!
            “อ๊ายยยยยยย เย็น!!!” เธอหลับตาปี๋แล้วปัดขวดน้ำจนแทบจะหลุดออกจากมือผม ผมถึงได้ออกมาจากที่ซ่อนเพราะขวดน้ำทำท่าจะร่วง
            “เฮ้ยๆๆ ระวังหน่อยสิอบเชย เดี๋ยวขวดน้ำก็ตกหรอก” พอผมออกมาจากที่ซ่อนปุ๊บ น้ำอบก็มองหน้าผมด้วยความแววตาที่ตกใจ เธอทำท่าจะชี้หน้าผมและอ้าปากเหวอ ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วใส่ด้วยสีหน้าที่หงิกงอ
            “นี่นาย...ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้?”
            “ถ้าไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ฉันก็คงจะไม่ได้เห็นว่าเธอเล่นกีฬาแย่น่ะสิ ว่าแต่ว่า...สนใจเอากระด้งผูกติดแขนไหมล่ะ ฮ่าๆๆ!”
            น้ำอบค้อนใส่ผมด้วยแก้มที่แดงระเรื่อเหมือนอับอาย แต่ผมว่าเธอน่ารักดีนะ อ๊ะ นี่ผมคิดบ้าอะไรอีกแล้ว
            “ล้อเล่นน่ายัยอบเชย ...ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
            ผมตัดสินใจนั่งข้างๆ หล่อนอย่างไม่ขอความคิดเห็น น้ำอบมองค้อนผมแวบนึง ก่อนที่จะเมินหน้าหนีในขณะที่ผมอมยิ้มให้เธออย่างเปิดเผย


    ::: ~~~ To be continues ~~~ :::
    -------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×