[AkaFuri] กอด - [AkaFuri] กอด นิยาย [AkaFuri] กอด : Dek-D.com - Writer

    [AkaFuri] กอด

    โอบกอดหัวใจของฉันเอาไว้นานๆ . รักฉันนานๆนะ....โคคิ

    ผู้เข้าชมรวม

    3,090

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    3.09K

    ความคิดเห็น


    22

    คนติดตาม


    114
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 เม.ย. 58 / 17:07 น.

    แท็กนิยาย

    akafuri akashi furihata knb



    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้



     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .



    โอบกอดหัวใจของฉันเอาไว้นานๆ

    แค่เพียงฉันคิดว่าเธอจะจากไป  ใจมันหวิวทุกที

     

     

    เอ่ยคำสัญญาบอกมาว่าไม่มีวันที่จะทำให้ฉันต้องหวั่นไหว....


    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .


     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ




      กอด

       

       

      Akashi x Furihata

      PG

       

       

       

       

      BGM :: จิ้ม

       

      (แนะนำให้ลูปเพลงนี้เรื่อยๆตลอดการอ่านค่ะ)   

       

       

       

       

       

       

       

      ในม่านเงาที่สลัวเลือนราง....

       

       

      เขาสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากผิวกายของใครสักคนที่นอนอยู่เคียงข้าง  กลิ่นสบู่จางๆผสมกลิ่นผิวเนื้ออันเป็นกลิ่นหอมเฉพาะตัวหาไม่ได้จากที่ไหน  เตียงนอนเดิม ผ้าห่มเดิม  หมอนใบเดิม  ทุกอย่างรอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้สักนิด  แต่เพียงแค่มีใครอีกคนอยู่ข้างๆเท่านั้น  เขาก็รู้สึกราวกับว่าทิวทัศน์ที่เห็นมันดูอ่อนโยนขึ้น  น่าทนุถนอมและแสนล้ำค่า  ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะ  เปลือกตาหลับพริ้มกับใบหน้าสงบสุขดูราวกับเทพธิดา  เขาแทบจะไม่กล้ายื่นปลายนิ้วไปแตะสัมผัสเส้นผมนุ่มราวกับขนแมวนั้นเพราะกลัวว่ามันจะทำลายความฝันอันแสนสุข  แต่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองเอาไว้ได้ 

       

      จริงอย่างว่า...ทันทีที่ปลายนิ้วหยาบกระด้างแตะสัมผัสกับผิวแก้มขาว  เสียงครางเครือก็เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก  เขารู้สึกใจหายเมื่อเห็นเปลือกตานั้นกระพริบปริบปรือขึ้นมาด้วยความง่วงงุ่น  ขยับปากจะเอ่ยปลอบโยนที่ทำให้ตื่นจากนิทรา  แล้วก็ต้องพบว่ามันเป็นทางเลือกที่ไม่ทำให้นึกเสียใจทีหลังเลย  เมื่อดวงตาที่เคยสะท้อนความฝันเมื่อครู่นี้เปลี่ยนมาเป็นภาพของเขา  พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนบางที่ทำให้รู้สึกอุ่นในอก  อดไม่ได้ที่จะโน้มร่างเข้าหา  ประทับริมฝีปากลงกับกลีบปากสวยนั้นทันทีที่เสียงเอื้อนเอ่ยเรียกชื่อของเขาสิ้นสุดลง

       

       

       

       

       

      มันเป็นความฝันแบบนั้น

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      อาคาชิ  เซย์จูโร่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าในเวลาเดียวกับที่เคยตื่นทุกวัน  ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่ได้รับมาทั้งจากที่บ้านและที่โรงเรียนฝึกให้ชินกับการอยู่ในระเบียบวินัย  แม้จะเป็นวันหยุดที่ไม่ต้องไปโรงเรียน  เขาก็มักจะลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมๆ  ร่างสมส่วนแต่งตัวด้วยชุดลำลอง  ทานอาหารเช้าง่ายๆ  ก่อนจะออกจากหอพักมุ่งหน้าไปยังโรงยิมเพื่อฝึกซ้อมเหมือนอย่างที่เคยทำทุกอาทิตย์

       

       

      “อรุณสวัสดิ์  เซย์จัง”

       

       

      คนที่โผล่หน้ามาเอ่ยทักคือมิบุจิ เรย์โอะ  อาคาชิพยักหน้ารับแล้วตอบกลับอย่างง่ายๆโดยอัตโนมัติ  เสียงตึงตังของลูกบาสที่ดังก้อง  รองเท้าผ้าใบเสียดสีกับพื้นขัดมันดังเอี๊ยดอ๊าด  บรรยากาศธรรมดาๆที่เคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  แต่วันนี้กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างที่ต่างออกไป 

       

      แต่อะไรล่ะที่ต่าง

       

       

      “คงใกล้จะมาถึงกันแล้วสินะ”

       

       

      ร่างสูงโปร่งเรือนผมสีขนกายืนอยู่ข้างๆเขาที่ริมสนาม  อาคาชิถือชาร์ตการฝึกซ้อมอยู่ในมือ  นัยน์ตา 2 สีที่จับจ้องสมาชิกชมรมวิ่งไปวิ่งมาเหลือบมองคนพูดเล็กน้อยก่อนหันกลับไปดูนาฬิกา

       

      อาคาชิเอ่ยปากอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมากเพื่อกรองความรู้สึกส่วนเกินออกให้เหลือเพียงน้ำเสียงเรียบเฉยบ่งบอกถึงความสุขุมเหมือนอย่างทุกครั้ง

       

       

      “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

       

       

       

      ไม่มีใครจับสังเกตได้ในสิ่งที่เขาไม่อนุญาตให้รับรู้  แต่อาคาชิรู้ดีว่าแม้สายตาจะจับจ้องไปในสนามและออกคำสั่งอย่างเข้มงวด  ในใจกลับประหวัดไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝาด้วยความรู้สึกประหลาด  อาจไม่ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่าร้อนรน  ภายนอกที่คนอื่นมองเห็นนั้นเขายังเป็นกัปตันทีมที่สมบูรณ์แบบดังเดิม  แต่การไม่สามารถรวบรวมสมาธิให้อยู่กับสิ่งที่ทำได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเคยนั้นก็มากพอแล้วที่จะบอกได้ว่าเขาในวันนี้แตกต่างไปจากเดิม

       

       

       

      เสียงตะโกนทักทายที่ดังมาจากหน้าประตูโรงยิมเรียกให้ทุกสายตาหันไปมอง

       

       

       

      กลุ่มคนในชุดยูนิฟอร์มแปลกตายืนอยู่ตรงนั้น  อาคาชิลดแผ่นชาร์ตที่เขียนอยู่ในมือลงแล้วเดินตรงเข้าไปหา  พร้อมๆกับที่สมาชิกตัวจริงคนอื่นๆในทีมก็เริ่มขยับตัวเช่นกัน  เสียงพูดคุยทักทายดังเซ็งแซ่  วันนี้ราคุซันมีแขกที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลจากโตเกียว  เขาเห็นคุโรโกะยืนอยู่ข้างๆคางามิ  โค้งศีรษะให้เล็กน้อย  อาคาชิยิ้มตอบกลับไปก่อนจะเอ่ยทักทายโค้ชสาวที่เขาจำได้  ไอดะ  ริโกะกล่าวทักทายและขอบคุณที่ให้โอกาสเซย์รินได้มาร่วมฝึกซ้อมด้วยในวันนี้   หลังจากที่ผ่านการพูดคุยสั้นๆแบบกึ่งทางการ   ริโกะก็ได้ออกคำสั่งให้ทุกคนเก็บของ  ให้เวลาพักสัก 10 นาที  แล้วจะเริ่มวอร์มอัพให้พร้อมสำหรับการฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา 

       

       

      กว่าจะประชุมหารือสั้นๆเกี่ยวกับตารางการฝึกซ้อมที่จะต้องทำในวันนี้เสร็จเรียบร้อย  นักกีฬาเซย์รินคนอื่นๆก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงมายืนข้างสนามกับเรียบร้อยหมดแล้ว  มีเวลาเหลืออีกเพียงไม่นานก่อนการฝึกซ้อมจะเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง  ตอนนั้นเองที่อาคาชิเพิ่งจะมีโอกาสเดินเข้าไปหาใครสักคนหนึ่ง 

       

      ใบหน้าที่เห็นเพียงแต่ในภาพมาพักใหญ่ขณะนี้ได้มาอยู่ตรงหน้า  ระหว่างที่ก้าวเดินเข้าไปใกล้  เป็นธรรมดาที่นัยน์ตาสองสีจะกวาดมองอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย  แล้วก็อดจะรู้สึกโล่งอกไม่ได้เมื่อพบว่าดูเหมือนไม่มีอะไรที่ทำให้เขาต้องเป็นห่วง  รูปร่างของอีกฝ่ายแทบไม่ต่างอะไรไปจากเมื่อตอนที่เจอกันครั้งล่าสุด  ใบหน้าที่ยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขากำลังแหงนมองไปรอบๆราวตื่นเต้นกับการได้เห็นสถานที่แปลกใหม่  นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายอย่างมีชีวิตชีวา  ชัดเจนจนอยากยื่นมือไปสัมผัสแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะความไม่สมควรของสถานที่และเวลา  ได้แต่ก้าวเข้าไปใกล้  เว้นระห่างให้พอที่ใครต่อใครจะมองมาแล้วไม่ผิดสังเกต 

       

      นัยน์ตาคู่โตที่กวาดมองไปรอบอย่างตื่นเต้นอยู่เมื่อครู่ย้ายมาหยุดอยู่ที่เขา  ทันทีที่ได้เห็นหน้า  รอยแดงจางๆก็พาดผ่านบนผิวแก้มให้อาคาชิต้องกลั้นยิ้ม  สายตาจากทั่วทั้งสนามกำลังจ้องมาเป็นตาเดียว  อาคาชิเอ่ยด้วยน้ำเสียงระดับที่ไม่ได้เบาจนกลายเป็นกระซิบ  แต่ก็ไม่ได้ดังขนาดคนอื่นที่อยู่ไกลออกไปจะได้ยิน 

       

       

       

       

       

      “ยินดีต้อนรับสู่ราคุซัน  โคคิ”       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      นับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน  เขาไม่เคยคิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีอะไรที่ทำให้คนอย่างอาคาชิ  เซย์จูโร่ไม่เป็นตัวของตัวเองได้มากเท่านี้ 

       

       

       

       

       

       

       

       

      ร่างสมส่วนยืนอยู่ข้างสนาม  สังเกตการฝึกซ้อมของทั้งลูกทีมของตัวเองและฝ่ายตรงข้าม  นานทีจะก้มหน้าลงไปจดอะไรสักอย่างลงบนชาร์ตเพื่อใช้สรุปผลในการประชุมตอนเย็นอีกครั้งหนึ่ง  เพราะเป็นทั้งกัปตันและรับหน้าที่แทนโค้ชที่วันนี้ติดธุระไปด้วยในตัว  จึงไม่ได้ลงไปร่วมฝึกด้วยเหมือนทุกครั้ง  แต่ลูกทีมราคุซันแต่ละคนต่างรู้ดีว่า  ถ้าแม้กัปตันทีมจะไม่ได้ร่วมฝึกด้วยในวันนี้  ก็จะหาโอกาสฝึกซ้อมด้วยตัวเองคนเดียวในวันอื่นอยู่ดี  และอาจจะหนักหน่วงเป็น 2 เท่าจากโปรแกรมที่ให้ทุกคนฝึกกันด้วยซ้ำ

       

       

      ทั้งที่บนสนามมีคนอยู่มากมาย  แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่สายตาก็มักจะไปหยุดลงตรงที่ร่างบางผมสีน้ำตาลที่กำลังวิ่งไปวิ่งมานั่นทุกที 

       

       

      ผู้ชายตัวเล็ก....ส่วนสูงไม่ต่างจากเขามากเท่าไหร่นักแต่พละกำลังทางร่างกายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  อาจเป็นเพราะเพิ่งเริ่มเล่นกีฬามาได้เพียงไม่นาน  กล้ามเนื้อต่างๆที่ควรจะมีจึงอยู่เพียงแค่ระยะ ‘กำลังเจริญเติบโต’ 

       

      ในด้านของความสามารถ....หากเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ต่างๆมากมายที่เขาเคยพบ  ฟุริฮาตะก็แทบไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ที่ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากก็บดขยี้ได้โดยง่าย  แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่น่านับถือ

       

      อาคาชิยังจำได้ดีถึงวันที่อีกฝ่ายยืนอยู่ต่อหน้าเขาบนสนาม  เนื้อตัวสั่นเทาไปหมดแต่ก็ยังพยายามสู้จนถึงที่สุด  ใช้พลังกายทุกหยาดหยดจนถึงกับทรุดลงข้างสนามตอนเซย์รินขอเวลานอก   อันที่จริงแล้ว  หากต้องเผชิญหน้ากับความกดดันของเขา  คนที่เป็นมือใหม่ไม่น่าจะทนได้ถึงขนาดนั้น  ฟุริฮาตะอยู่ในสนามได้นานเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก  นั่นทำให้อาคาชิเริ่มฉุกใจคิดว่า...เขากำลังอ่อนข้อให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า 

       

       

      นับจากวันนั้นก็กลายเป็นว่าความสนใจของเขาหยุดลงที่คนๆนี้โดยปริยาย

       

       

      มันเริ่มมาจากแค่สนใจ....จนมีโอกาสได้รู้จักกันโดยบังเอิญ  คุยกันมากขึ้น  เจอกันบ่อยครั้ง  นานวันเข้าก็เริ่มมากว่านั้น  ฟุริฮาตะทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้  นั่นคือการมีอิทธิพลอยู่เหนือเหตุผลและจิตใจของอาคาชิ  เซย์จูโร่อย่างไม่น่าให้อภัย 

       

       

       

      ในสนามตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการแบ่งทีมซ้อมแข่งแบบ 3 on 3   นัยน์ตา 2 สีคู่คมจับจ้องร่างขาวที่วิ่งไปวิ่งมา  แม้จะมีเหงื่อผุดพรายแต่สีหน้าและดวงตานั้นก็ยังมุ่งมั่น  เมื่อรับลูกแล้วหมุนตัวขึ้นกระโดดชู้ตลงห่วงได้  บนใบหน้านั้นก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างสว่างไสว

       

       

       

       

      ถามว่าฟุริฮาตะมีความสำคัญมากแค่ไหน

       

       

       

       

      ก็สำคัญมากพอจะทำให้เขารู้สึกกลัวได้เป็นครั้งแรกในชีวิตนั่นแหละ  มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน  แม้แต่เจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนี้ก็ยังไม่เคยได้รับรู้ 

       

       

      อาคาชิโทษว่ามันเป็นเพราะชีวิตเคยได้ลิ้มรสกับความพ่ายแพ้มาแล้วครั้งหนึ่ง  ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้ง่ายๆไม่เหมือนเมื่อก่อน  ในวินาทีที่เอ่ยปากขอคบกับเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้านอาหารฝั่งตรงข้าม  หัวใจในอกข้างซ้ายถึงได้เต้นรัวเร็วจนเหมือนจะหลุดออกจากขั้วได้ทุกเวลาแบบนั้น  แม้สีหน้าจะดูสงบ  แต่เขารู้ดีว่าฝ่ามือทั้งสองข้างเย็นเฉียบขนาดไหน 

       

       

       

      หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบคืบคลานยาวนานเหมือนอยากทรมานเขาให้ตาย  ฟุริฮาตะก็ก้มหน้าลงเม้มปากแน่น  แก้มสองข้างแดงปลั่ง.........พยักหน้าช้าๆ

       

       

       

      ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงจดจำได้มาจนถึงทุกวันนี้  ความรู้สึกในวินาทีนั้นก็เช่นกัน

       

       

      ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยกลัวอะไร  ทั้งที่ไม่เคยมีสิ่งใดที่เขาต้องการแล้วไม่ได้  แต่นั่นเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่อาคาชิรู้สึกราวกับว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมือของคนอื่น  เพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่ตัดสินได้ว่าจะให้อยู่หรือตาย  เขาสูญเสียความมั่นใจเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง  หากเรื่องที่กัปตันผู้น่าเกรงขามอย่างอาคาชิ  เซย์จูโร่ “กลัว” คำตอบของเด็กผู้ชายตัวเล็กเพียงคนเดียวนี่รู้ถึงหูคนอื่น.....โดยเฉพาะลูกทีมใหม่และทีมปาฏิหาริย์เข้าล่ะก็  คงโดนเก็บไปล้ออีกเป็นสิบปี   โชคดีที่ฟุริฮาตะไม่ใจร้ายขนาดนั้น  คำตอบของมันจึงออกมาในรูปแบบที่เขาพึงพอใจ 

       

       

       

       

      แต่เรื่องที่ทำให้อาคาชิรู้สึกหวั่นใจก็ไม่เคยจะหมดลง

       

       

       

       

      ความจริงแล้ว  ที่เขาเห็นดีเห็นงามกับการฝึกซ้อมร่วมกันในคราวนี้นั้น  แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของทีม  แต่อีกส่วน.....คือเหตุผลส่วนตัว 

       

       

      อาคาชิอยากรู้จักฟุริฮาตะให้ครบทุกด้าน  อยากรู้ว่าเวลาที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา  อีกฝ่ายเป็นอย่างไร  ในตอนที่ซ้อมบาสกับคนที่เขาไม่รู้จัก  ในที่ๆเขามองไม่เห็น  ชีวิตอีกด้านที่แตกต่างจากในเวลาที่เราได้เจอกัน  เขาอยากรู้ว่าตอนที่อยู่เซย์รินนั้น  อีกฝ่ายเป็นเช่นไร 

       

       

      แต่เมื่อได้เห็นแล้ว  มันกลับทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย

       

       

       

      เสียงเฮดังลั่นมาจากอีกฝั่งเมื่อลูกบาสที่ปล่อยออกจากฝ่ามือคู่นั้นลอยละลิ่วลงห่วงไปได้อีกครั้งหนึ่ง  ฟุริฮาตะยิ้มร่า  และยิ่งหัวเราะเสียงดังมากขึ้นไปอีกเมื่อรุ่นพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วยกมือขึ้นขยี้เรือนผมนุ่มนั้นอย่างเป็นกันเอง –เกินไป- ในสายตาของอาคาชิ

       

       

      นัยน์ตา 2 สีจับจ้องร่างสูงโปร่งผมสีดำสนิทที่เขาจำได้ว่าเป็นใคร  อิซุกิ  ชุน  ตำแหน่งพ๊อยต์การ์ด  แม้จะไม่สูสีกับทีมปาฏิหาริย์  แต่ฝืมือการเล่นบาสก็นับว่าเก่งกาจพอใช้ 

       

       

       

       

      สนิทกันมากหรือไงนะ

       

       

       

       

      กำปากกาที่อยู่ในฝ่ามือแน่น  สะกดกลั้นอารมณ์ประหลาดที่พลุ่งพล่านอยู่ในอก  ไม่นานเท่าไหร่เสียงนกหวีดหมดเวลาก็ดังขึ้น  การแข่งขันของฟุริฮาตะจบลงและกำลังเข้าสู่การพักเพื่อให้ทีมใหม่เตรียมตัวลงสนาม 

       

       

      ราวกับจะรู้....ฟุริฮาตะหันหน้ามาสบตา  อาคาชิเห็นอีกฝ่ายหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งเหยาะๆข้ามสนามมาหา  มือที่กำปากกาแน่นคลายออก  และเขารู้ตัวว่านัยน์ตาที่เคร่งเครียดอ่อนโยนลงในทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ 

       

       

      “เป็นการแข่งที่ดีนะ”

       

       

      ยิ้มบางๆให้คนที่ดูเหนื่อย  มือก็ส่งผ้าขนหนูของตัวเองให้

       

       

      “อ..อืม  ขอบคุณมากนะ”

       

       

      อีกฝ่ายรับไปใช้อย่างไม่เก้อเขิน  ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา  และนั่นทำให้อะไรบางอย่างที่ขุ่นมัวอยู่ในอกจางลงจนแทบมองไม่เห็น

       

       

      “แล้วอาคาชิล่ะเป็นยังไงบ้าง  เหนื่อยหรือ”

       

       

      เขาไม่รู้หรอกว่าปล่อยให้ตัวเองหัวเราะออกมาเบาๆจนลูกทีมราคุซันที่ผ่านมาได้ยินเข้าถึงกับต้องหันขวับมามองซ้ำอย่างตกตะลึง 

       

       

      “ฉันไม่ได้ลงซ้อมด้วย  แล้วจะเหนื่อยได้ยังไง”

       

      “ไม่รู้สิ  เห็นทำหน้าเครียดๆ”

       

      “งั้นหรือ?  แล้วตอนนี้ฉันยังดูเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า”

       

       

      ยกมือขึ้นเกลี่ยปลายผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายเบาๆ  ฟุริฮาตะเอียงคอ

       

       

      “อืม....ไม่แล้วนะ”

       

      “ใช่  ไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นแล้ว  เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องกลัวแล้วนะ

       

       

      คนตัวเล็กกว่ากระพริบตาปริบๆแล้วหัวเราะพรืดออกมา

       

       

      “ที่ถามนั่นเพราะเป็นห่วงต่างหาก  ไม่ใช่เพราะว่ากลัวสักหน่อย”  ฟุริฮาตะอมยิ้ม  “อาคาชินี่แปลกคน

       

       

      คนฟังยิ้มบางๆ  ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร  ฟุริรับขวดน้ำ –ส่วนตัวของอาคาชิอีกนั่นแหละ- ไปดื่มแล้วมีสีหน้าที่ดีขึ้น  คนตัวเล็กว่าทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง  แต่แล้วก็มีเสียงตะโกนเรียกดังมาอีกฝากหนึ่งเสียก่อน

       

       

      “ฟุริ  มานี่เดี๋ยวสิ!!!”

       

      “..................”

       

       

      คนที่ตะโกนเรียกนั้นเป็นคนเดิม.....อิซุกิ  ชุน.....ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง  และยิ่งมากขึ้นอีกเท่าเมื่อคนถูกเรียกหันกลับไปตะโกนตอบรับเสียงใส

       

       

      “คร๊าบบบบบบบบบบบ”

       

       

      ฟุริฮาตะวางขวดน้ำลงข้างตัวแล้วหันมาส่งผ้าขนหนูคืนให้

       

       

      “ต้องไปแล้วล่ะอาคาชิ  แล้วจะแวะมาคุยด้วยใหม่นะ”

       

      “.......ตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ”

       

      “อื้ม!!”

       

       

       

      ฟุริฮาตะวิ่งจากไปแล้ว  ทิ้งไว้เพียงความหนักอึ้งในใจของคนมอง

       

       

       

      นัยน์ตา 2 สีมองตามไม่ห่าง  ภาพของฟุริฮาตะที่หัวเราะร่า  เวลาพูดคุยกับรุ่นพี่ที่ดูสนิทสนมกัน  ฝั่งนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วขยี้หัวคนตัวเล็กอยู่บ่อยครั้ง

       

       

       

      หงุดหงิด.....

       

       

       

      ไม่ใช่อะไร หรือใคร  แต่เป็นความรู้สึกของตัวเอง

       

       

      อาคาชิไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  ไม่เคยรู้สึกเสียศูนย์....หรือไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้  ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คบกับใคร  เขาเคยคบกับผู้หญิงมาจำนวนหนึ่ง  ไม่ถึงกับเยอะ แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย  แต่ละคนล้วนเพียบพร้อม   งดงาม   และมีคุณค่าในแง่ของธุรกิจ  แต่ไม่มีใครคนไหนเลยที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนที่เป็นอยู่นี่มาก่อน 

       

       

      คงเพราะตำแหน่งในทีมก็พ๊อยต์การ์ดเหมือนกัน  จึงทำให้ทั้ง 2 คนดูสนิทกันมากกว่าคนอื่น  แต่ก็คงไม่ใช่แค่เหตุผลเดียว  รุ่นพี่คนนั้น......ดูจากลักษณะภายนอกก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง  ร่าเริง  ติดตลก  ตัวสร้างบรรยากาศที่ไม่ว่าใครก็คงสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ 

       

      ในสายตาของฟุริฮาตะ.....อิซุกิ ชุนคงเป็นรุ่นพี่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน  การพบกันครั้งแรกและช่วงเวลาที่อยู่ในชมรมเดียวกันในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องคงน่าประทับใจ  ฟุริฮาตะถึงได้ยิ้มแบบนั้นออกมา 

       

       

       

       

      กึก!

       

       

       

      เสียงปากกาในมือที่หักร้าวลงนิดหนึ่งเรียกสติให้กลับมายังที่ๆถูกที่ควร  นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องอะไรแบบนี้  สิ่งที่สมควรทำคือดูแลเรื่องการฝึกซ้อม....

       

       

      อาคาชิถอนหายใจเฮือก  บังคับสายตาตัวเองให้กลับมายังสนาม

       

       

      เขาวอกแวกมากไป  เสียสมาธิมากเกินไป  ไม่สมกับที่เป็นตัวเองเลยจริงๆ 

       

       

      “ไม่สมกับที่เป็นอาคาชิคุงเลยนะครับ”

       

       

      เสียงที่เหมือนดังซ้อนมาจากจิตใจของเขาดังขึ้นข้างตัว  นัยน์ตาสองสีเหลือบมองข้างๆ  ผู้เล่นมายาของเซย์รินยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  หากเป็นคนอื่นคงตกใจจนร้องเสียงหลง  แต่ไม่ใช่กับอาคาชิ  เซย์จูโร่ผู้เป็นกัปตันทีมเทย์โควอยู่ถึง 2 ปี  และได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของคุโรโกะ  เทตสึยะด้วย

       

       

      “ซ้อมเสร็จแล้วหรือไง”

       

      “ถึงช่วงพักของผมพอดีน่ะครับ”

       

       

      อาคาชิก้มหน้าลงจดอะไรสักอย่างลงบนคลิปบอร์ด  ในขณะที่คุโรโกะเพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ  ตามองไปยังสนาม.....หรือถ้าจะพูดให้ถูก.....กำลังมองไปทางเดียวกับที่เขาเพิ่งละสายตามาเมื่อครู่นี้ไม่วางตาเลยต่างหาก

       

       

      “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าผมจะได้มาเห็นอาคาชิคุงที่เป็นแบบนี้”

       

      “.................”

       

      “ไม่เหมือนอาคาชิคุงที่ผมรู้จักตอนม.ต้นเลยสักนิด”

       

      “..................”

       

      “ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงจะอิจฉา  โดยเฉพาะคิเสะคุง  ต้องโวยวายอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองแน่ๆ”

       

      “นายเองก็พูดมากกว่าที่คนเดิมที่ฉันเคยรู้จักเยอะนะ  เทตสึยะ”

       

       

      พอเงียบเข้าหน่อยก็ได้ใจใหญ่  แต่อาคาชิก็ไม่คิดจะว่าอะไรจริงจัง  จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดไป

       

       

       

      “หวงก็บอกไปตรงๆว่าหวงสิครับ  ไม่เห็นต้องมายืนทำบรรยากาศมาคุอยู่อย่างนี้เลย”

       

       



       

      นัยน์ตาสองสีดุวาบ  แต่อึดใจหนึ่งหลังจากนั้นอาคาชิก็ผ่อนลมหายใจยาว

       

       

      “เรื่องไม่เป็นเรื่อง  พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้อีกฝ่ายคิดมากไปเปล่าๆ”

       

       

      คุโรโกะละสายตาจากสนามเงยหน้ามองเขาเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน 

       

       

      “อาคาชิคุง.....ขี้กลัวกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีกนะครับ”

       

      “เทตสึยะ!!”

       

      “กลัวว่าถ้ารู้เข้า  ฟุริฮาตะคุงจะรู้สึกอึดอัดสินะครับ”

       

       

      นอกจากจะสบตาอย่างตรงไปตรงมาและพูดอะไรไม่เกรงใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว  คุโรโกะยังยิงคำถามได้ตรงจุดเหมือนนั่งอยู่กลางใจเขาอีกด้วย  อาคาชิถอนหายใจอีกครั้ง  เบือนสายตากลับไปมองในสนาม

       

       

      “มันเห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือไง”

       

      “ไม่หรอกครับ”  คุโรโกะอมยิ้ม  “ภายนอกยังดูเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน  ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่รู้หรอกครับ  แต่ผมรู้จักอาคาชิคุงมาตั้งแต่ม.ต้น  เลยพอจะมองเห็นความแตกต่างบ้าง”

       

       

      ก็ยังดี.....เขาคิดอย่างอ่อนใจ

       

      เขาคงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่หากคนอื่นจะมองเห็นสิ่งที่เขารู้สึก...หรือกำลังคิดอยู่ในใจได้ง่ายๆ  โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นเรื่องที่ไม่สมเป็นตัวเองเลยสักนิดแบบนี้

       

       

      “ฟุริฮาตะคุงไม่ใช่คนโลเลขนาดนั้นหรอกนะครับ”

       

      “นี่นายพยายามจะอ่านใจฉันให้ได้ทุกอย่างเลยหรือไง”

       

       

      คุโรโกะอมยิ้มอีกครั้ง

       

       

      “แค่พอจะเดาได้น่ะครับ”

       

       

      จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า

       

       

      มากกว่าโกรธ  หรือหวง  หรือไม่พอใจ.......

       

      อาคาชิรู้สึก......กลัว

       

       

       

      เพราะยังจำได้ดี.....ภาพไหล่บางที่สั่นเทากับใบหน้าซีดเผือดในวันที่เราเจอกันครั้งแรก  แม้ในวันที่รู้จักกันแล้ว  การจะทำให้ฟุริฮาตะไม่สะดุ้งทุกครั้งที่เขาพูด..เขาถาม..หรือร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเฉียดใกล้กันโดยบังเอิญได้นั้นต้องใช้เวลาอย่างมาก    แม้ทุกวันนี้จะไม่มีอากัปกริยาแบบนั้นให้เห็นแล้ว  แต่ใครจะรู้ว่าลึกๆในใจอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

       

       

      เวลาที่คุยกับเขา....อีกฝ่ายหัวเราะได้เต็มเสียงแบบนี้บ้างไหม  เวลาที่แตะต้อง...อีกฝ่ายรู้สึกกลัวบ้างไหม   ทั้งที่พยายามทนุถนอมให้ดีที่สุดแล้ว  แต่อาคาชิก็ไม่รู้ตัวเองว่าเคยทำอะไรให้ฟุริฮาตะรู้สึกตกใจบ้างหรือไม่  จะเกร็งบ้างไหม...เวลาที่อยู่ด้วยกัน  ทางนั้นรู้จักกันมานานกว่า  ย่อมเป็นธรรมดาที่จะสนิทสนมมากกว่าเขาที่มาทีหลัง  เรื่องแค่นี้สมควรจะรู้อยู่แล้วแท้ๆ  แต่อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงยังรู้สึกแย่  ถ้าบอกว่าไม่พอใจเรื่องไร้สาระแบบนี้  จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดใจหรือเปล่านะ

       

       

      ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้  แต่นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกกลัวมากที่สุด  อาคาชิกลัวว่าวันหนึ่งคนตัวเล็กจะเหนื่อยกับการต้องอยู่กับคนอย่างเขา  แล้วหันกลับไปหาใครสักคนที่อบอุ่นกว่า  อ่อนโยนกว่า  ใจกว้างมากกว่า  คนที่อยู่ด้วยได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม 

       

       

       

      เขากลัวว่าฟุริฮาตะจะเปลี่ยนใจ

       

       

       

      “ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหมครับ”

       

       

       

      อาคาชิไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร  และดูเหมือนคุโรโกะจะถือเอาความเงียบนั้นแทนความหมายว่าอนุญาต

       

       

      “ฟุริฮาตะคุงเป็นคนขี้เกรงใจก็จริง  แต่ที่ตกลงคบกับอาคาชิคุงน่ะ  ไม่ใช่เพราะว่าเกรงใจแน่  ถ้าไม่รู้สึกดีด้วยจริงๆล่ะก็  เขาคงไม่ยอมตกลงคบกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้หรอกครับ”

       

      “.................”

       

      “ตั้งแต่ที่คบกับอาคาชิคุง  ฟุริฮาตะคุงก็ดูมีความสุขมาก  และเขาก็คงหวังให้คุณมีความสุขเหมือนกัน อาคาชิคุงเป็นคนเก็บอารมณ์  เวลาที่คิดหรือรู้สึกอะไรไม่ค่อยมีใครดูออก  ถ้าไม่พูดออกไปตรงๆ  ฟุริฮาตะคุงก็คงไม่รู้หรอกครับ”

       

       

      ใบหน้าด้านข้างของอาคาชิที่คุโรโกะมองเห็นได้นั้นดูสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง  แต่คุโรโกะมองแววตาที่แปลกไปของกัปตันที่เก่งทุกอย่าง...ทำได้ทุกอย่างคนนี้แล้วยิ้มบางๆ

       

       

       

      “ฟุริฮาตะคุงไม่ใช่คนที่ตัดสินใจอะไรแล้วจะเปลี่ยนใจง่ายๆ  เพราะฉะนั้น  นานๆที  อาคาชิคุงจะเอาแต่ใจบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ”

       

       

       

       

      อาคาชินิ่งอึ้ง....นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของอดีตเพื่อนร่วมทีมมองสบอย่างตรงไปตรงมา  คำพูดของคุโรโกะฟังดูเกือบจะคล้ายคำปลอบโยน  ดวงตาคู่นั้นบอกชัดถึงประสบการณ์ความรักที่มีมากกว่า  นี่เขากลายเป็นคนที่ต้องคอยรับฟังคำแนะนำจากอดีตเพื่อนร่วมทีมตั้งแต่เมื่อไหร่  ในเมื่อที่ผ่านมานั้น  หน้าที่ให้คำปรึกษามักจะเป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆ

       

       

      อาคาชิอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง.....ยอมแพ้

       

       

       

       

       

      “ก็ได้  แล้วจะลองคิดดู”

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      1 วันของการฝึกซ้อมร่วมกันได้จบลง

       

       

      หลังจากนี้เซย์รินมีกำหนดการที่จะเดินทางกลับโตเกียวในทันที  แม้จะรู้สึกอยากอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้  แต่สมองเขาก็แยกแยะได้เป็นอย่างดีว่างานก็คืองาน  การที่อีกฝ่ายเดินทางมาถึงที่นี่นั้นไม่ใช่เพื่อมาเที่ยวเล่น  ช่างเถอะ  อดทนไว้  แล้ววันหยุดครั้งหน้าค่อยนั่งชินคันเซนไปหาที่โตเกียวเองก็ได้ 

       

       

      ระหว่างที่อาคาชิกำลังวางแผนถึงเรื่องวันหยุดคราวหน้า  เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนก็เดินเข้ามาใกล้  ยื่นปลายนิ้วมากระตุกชายเสื้อของเขานิดๆ

       

       

      “อ..อาคาชิ.....”

       

      “หืม?  มีอะไรหรือเปล่า  โคคิ”

       

      “คือว่า.....พรุ่งนี้อาคาชิว่างหรือเปล่า”

       

      “ว่างนะ  ทำไมหรือ”

       

      “ถ...ถ้าฉันจะขออยู่ด้วยอีกวัน  จะรบกวนหรือเปล่านะ”

       

       

      อาคาชิเลิกคิ้ว  มองผ่านอีกฝ่ายไปยังทีมเซย์รินที่ยังยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้นเหมือนกับจะรอ

       

       

      “ไม่ต้องกลับวันนี้จะไม่เป็นไรหรือ”

       

      “อื้ม  ไม่เป็นไรหรอก  พรุ่งนี้วันอาทิตย์  ไม่มีซ้อมอยู่แล้ว  ค้างที่นี่สักคืน  แล้วพรุ่งนี้ค่อยนั่งชินคันเซนกลับโตเกียวก็ยังได้”

       

       

      มือขาวกำชายเสื้อของเขาแน่นขึ้น  นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมอง

       

       

      “รบกวนหรือเปล่านะ....”

       

       

       

      อาคาชินิ่งไป

       

       

       

      ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เลยว่า  เพียงแค่เห็นหน้าตาแบบนั้น  ในใจก็เอ่ยคำอนุญาตโดยไม่ต้องผ่านการตัดสินใจจากสมองแล้ว  คนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ใกล้  มือจับชายเสื้อเขาเหมือนเด็กๆ  ช้อนตามองอย่างกล้าๆกลัวๆ.....

       

       

      น่ารัก....น่ารักจนไม่อยากให้ใครได้เห็น  นี่ถ้าหากฟุริฮาตะรู้ว่าเขากลายเป็นคนไร้เหตุผลได้ขนาดนี้แค่เพียงเพราะมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆล่ะก็.....

       

       

      คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยสูดลมหายใจลึก  พยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้แม้จะรู้ดีว่ามันแทบไม่ได้ผลเลยก็ตาม

       

       

       

      “หอพักไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า....” 

       

       

      เขาพูดช้าๆ  

       

       

      “แต่ถ้าเป็นที่บ้านล่ะก็....คงไม่มีปัญหาอะไร”

       

      “งั้นก็หมายความว่า....ฉันอยู่กับอาคาชิอีกวันนึงได้สินะ”

       

       

      อาคาชิพยักหน้า 

       

       

      “เย้  ขอบคุณมากนะ  ฉันไปบอกโค้ชก่อนนะ”

       

       

       

       

      ฟุริฮาตะยิ้มกว้างแล้ววิ่งกลับไปหาคนอื่นๆที่ยืนรออยู่  อาคาชิเห็นไอดะ  ริโกะถอนหายใจเฮือก  ยกสันมือขึ้นสับลงกลางกระหม่อมของฟุริฮาตะเบาๆ  แต่ก็พยักหน้าอนุญาต  ในขณะที่คุโรโกะที่อยู่ไม่ไกลจากนั้นยิ้มให้เขาบางๆ 

       

       

       

      “งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ  อยู่ที่นี่ก็ทำตัวดีๆ  อย่าก่อปัญหาให้อาคาชิคุงเขาล่ะ”

       

       

      ไอดะ  ริโกะเทศนาก่อนจะไป ฟุริฮาตะโวยวาย

       

       

      “ผมไม่ใช่เด็กๆนะครับ  เซมไป!”

       

      “ฮ่ะๆๆ  เอาน่าๆ”

       

       

      อิซุกิ  ชุนหัวเราะ  ก่อนจะแตะไหล่โค้ชของตัวเองเบาๆ

       

       

      “พวกเราไปกันเถอะ  เดี๋ยวจะไม่ทันรถ  ฝากดูแลฟุริด้วยนะ  อาคาชิ”

       

       

       

       

      เขารับคำ  อิซุกิพยักหน้าอย่างพอใจ  ก่อนที่เซย์รินทั้งหมดจะเคลื่อนย้ายออกจากโรงเรียนไป 

       

       

      เริ่มเย็นมากแล้ว  อาทิตย์อัศดงฉาบทิวทัศน์ทุกอย่างให้กลายเป็นสีส้ม  อาคาชิหันกลับมามองคนข้างตัว   อาจเป็นเพราะแสงตะวัน  เขาถึงได้มองเห็นแก้มขาวๆนั่นแดงขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย 

       

       

       

      “เหนื่อยหรือเปล่า?”

       

       

      เขาถาม  ฟุริฮาตะส่ายหน้า

       

       

      “ไม่เหนื่อยหรอก  สนุกดี  แล้วอาคาชิล่ะ?”

       

      “ไม่ได้ลงไปซ้อมเลยแล้วจะเหนื่อยได้ยังไง”

       

      “ฮ่ะๆ  นั่นสินะ  ก็เคยถามมาครั้งนึงแล้วนี่นา”

       

      “ไปหาอะไรทาน....แล้วกลับบ้านกันเลยดีไหม”

       

       

       

      มือใหญ่สอดปลายนิ้วเข้ากระชับกับมือของคนข้างๆ  แก้มขาวเป็นสีระเรื่อมากกว่าเดิม

       

       

       

      “อื้ม!”า

       

       

       

       


       

      หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ  อาคาชิก็โทรเรียกรถจากที่บ้านให้มารับหน้าสถานี  ตระกูลอาคาชิมีบ้านหลายหลังทั้งที่โตเกียวและเกียวโต  หลังนี้เป็นบ้านเล็กที่เป็นสมบัติส่วนตัวที่พ่อยกให้  เอาไว้พักเวลาที่จำเป็นต้องใช้ความคิดหรืออยากอยู่คนเดียว  ฟุริฮาตะเคยมาที่นี่แล้วครั้งสองครั้ง  ปกติจะมีแม่บ้านหนึ่งคนไว้คอยดูแลเรื่องอาหารและทำความสะอาด  ทันทีที่กลับไปถึง  ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้วโดยที่ไม่จำเป็นต้องสั่ง  มือหนารุนหลังฟุริฮาตะให้เข้าไปอาบน้ำ  ส่วนตัวเองเดินไปสั่งความกับแม่บ้านอย่างสองอย่าง  ก่อนจะอนุญาตให้เธอกลับไปก่อนได้เพื่อความเป็นส่วนตัว    

       

       

      “อาคาชิ  ห้องน้ำว่างแล้วนะ”

       

       

      ฟุริฮาตะโผล่หน้าออกมาบอก  ผิวขาวระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะน้ำอุ่น  อาคาชิพยักหน้ารับแล้วเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง  เดินออกมาอีกครั้งคนตัวเล็กก็ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้าชั้นหนังสือของเขาเสียแล้ว

       

       

      “ทำอะไร?”

       

      “อาคาชินี่มีหนังสือที่ดูจะอ่านยากอยู่เยอะเหมือนกันเนอะ”

       

      “ไว้ให้ยืมอ่านเอาไหมล่ะ”

       

      “หวา...ไม่เอาหรอก  มีแต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้นเลย  ฉันไม่เก่งภาษาอังกฤษนี่นา”

       

       

      กัปตันทีมราคุซันหัวเราะเบาๆ  ฟุริฮาตะใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสบายๆ  ผ้าขนหนูเหมือนจะเอามาพาดคอไว้เฉยๆเพราะปลายผมสีน้ำตาลยังเปียกชื้นอยู่เลย

       

       

      “ผมก็ไม่ยอมเช็ดให้แห้ง”   เขาดุเล็กน้อย  “มานี่สิ”

       

       

      คนฟังยู่หน้าแต่ก็ยอมเดินมาหาแต่โดยดี  อาคาชิกดไหล่เบาๆให้อีกฝ่ายนั่งลงบนขอบเตียง  หยิบผ้าขนหนูของอีกฝ่ายขึ้นมาซับผมให้เบาๆ

       

       

      “ผมอาคาชิก็เปียกเหมือนกันนี่”

       

      “เอาไว้ทีหลังก็ได้”

       

      “งั้นไว้ผมแห้งแล้วฉันจะเช็ดให้อาคาชิบ้างนะ!”

       

       

       

      ซับผมให้จนแห้งเกือบหมด  ฟุริฮาตะก็กระตุกชายเสื้อเขา  อาคาชิถอนหายใจเบาๆแล้วยอมนั่งลง  ให้อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่ข้างหลัง  ใช้ผ้าขนหนูของเขาซับผมสีแดงสวยให้บ้าง 

       

      ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์  พอได้อาบน้ำก็ดูจะเบาลง  ยิ่งมีใครอีกคนคอยซับผมให้  ปลายนิ้วที่แทรกตามเส้นผมนวดน้อยๆให้พอรู้สึกผ่อนคลาย  ได้สูดกลิ่นสบู่ที่แม้จะเป็นยี่ห้อเดียวกันแต่เมื่ออยู่บนตัวอีกฝ่ายกลับหอมกว่าอย่างน่าประหลาด  เขาก็รู้สึกราวกับว่าที่เหนื่อยมาตลอดทั้งสัปดาห์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง

       

       

      ปลายนิ้วที่แตะต้องเส้นผมของเขาเบาๆอยู่นี้นั้น.....เจ้าของมันจะรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นสิทธิพิเศษที่อาคาชิไม่เคยให้ใคร 

       

       

      เขาหลับตาลง  ถอนหายใจอีกครั้ง

       

       

      บอกกับตัวเองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น....ก็จะรักษาช่วงเวลาแบบนี้เอาไว้ให้นาน.......

       

       

       

       

      “นี่....อาคาชิ”

       

      “หืม?”

       

      “มีอะไรอยากจะบอกฉันหรือเปล่า”

       

       

      อาคาชิลืมตาขึ้น  เงยหน้ามองคนที่คุกเข่าซ้อนอยู่ด้านหลัง  นัยน์ตาของฟุริฮาตะดูเป็นกังวลจนเขาใจหาย 

       

       

      “เป็นอะไร?”

       

      “เปล่าหรอก  แค่สงสัยน่ะ”

       

       

      คนฟังเลิกคิ้วขึ้น

       

       

      “มีอะไร  โคคิ  บอกฉันสิ”

       

      “อาคาชิต่างหากที่ต้องเป็นคนพูด  ฉันน่ะ....จริงๆแล้ว....ฉันทำให้นายรำคาญอะไรหรือเปล่านะ”

       

       

      นัยน์ตา 2 สีคู่คมติดจะดุขึ้นมาทันที

       

       

      “ไปได้ยินใครพูดอะไรมา”

       

      “ก็คุโรโกะบอกว่า...อาคาชิ....เหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยากพูดกับฉัน  วันนี้ทั้งวันเราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่  แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลย  วันนี้ฉันก็เลยขอค้างเพราะอยากคุยเรื่องนี้กับอาคาชิให้รู้เรื่องนั่นแหละ  ถ้า...ถ้าฉันทำอะไรให้อาคาชิรู้สึกไม่พอใจล่ะก็  ฉันขอโทษนะ”

       

       

      ทันทีที่ได้ยินชื่อตัวการ  อาคาชิ  เซย์จูโร่ก็กัดฟันกรอด

       

       

       

      เทตสึยะ!  ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!!

       

       

       

      แขนแกร่งโอบอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด  ไม่อยากให้เห็นสีหน้ายามที่โกรธเกรี้ยวของเขา 

       

       

      “ฉันจะโกรธนายได้ยังไง  ไร้สาระ”

       

      “แต่วันนี้ทั้งวัน  อาคาชิทำหน้าเครียดตลอดเลยนี่นา”

       

      “แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ  ไม่มีอะไรหรอก”

       

      “จริงเหรอ?”

       

      “จริงสิ”

       

       

      สองมือของฟุริฮาตะกำแน่นอยู่ที่ชายเสื้อด้านหลังของเขา   ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเบียดตัวเข้าหาอ้อมกอด  วงแขนแข็งแกร่งก็ยิ่งกระชับแน่น  ละมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลนิ่มเหมือนขนแมวที่ซุกซบอยู่บนบ่าของเขาอย่างเบามือ

       

       

       

      “.........กลัวหรือเปล่า?”

       

       

       

      ฟุริฮาตะส่ายหน้า 

       

       

      “ดีแล้ว.....”

       

       

       

      ดีแล้ว....เพราะถ้านายตอบว่ากลัว  ฉันคงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อไป

       

       

       

      “อาคาชิโกหก”

       

       

      เสียงอู้อี้ดังอยู่ข้างหูเพราะคนพูดไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ของเขาเสียที

       

       

      “หืม?”

       

      “อาคาชิโกหก  ที่บอกว่าไม่มีอะไรนั่นน่ะโกหก”

       

      “โคคิ......”

       

      “ก็คุโรโกะบอกว่า  อาคาชิกำลังคิดมากเพราะฉัน  ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจริงๆอาคาชิจะคิดมากทำไมล่ะ” 

       

       

      ถึงตอนนี้  อาคาชิ  เซย์จูโร่รู้สึกอยากจับตัวอดีตเพื่อนร่วมทีมของเขามาตัดลิ้นทิ้งแล้วสับให้เป็นพันๆชิ้นขึ้นมาจริงๆ 

       

       

      “ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า  บอกสิ  ถ้าอาคาชิไม่บอก  ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ”

       

       

      คนฟังหลับตาลง  เรื่องสำเร็จโทษคุโรโกะ  เทตสึยะน่ะเอาไว้ก่อน  ตอนนี้คนในอ้อมแขนสำคัญที่สุด  จะปลอบว่าไม่มีอะไรก็ดูจะไม่เชื่ออีกแล้ว  คงไม่มีทางอื่นนอกจากต้องบอกความจริง

       

       

      “อยากรู้จริงๆน่ะหรือ”

       

       

      ฟุริฮาตะพยักหน้า

       

       

      “งั้นสัญญามาก่อนว่าถ้ารู้แล้วจะไม่เปลี่ยนไป”

       

       

      คนในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นมาทันที  นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกใจ

       

       

      “อาคาชิ?”

       

      “สัญญา.....”

       

       

      พอเห็นว่าอาคาชิจริงจัง  ฟุริฮาตะถึงค่อยๆพยักหน้า

       

       

      “อือ....สัญญา”

       

       

       

      แต่พอเอาเข้าจริง......อาคาชิกลับเงียบไปครู่ใหญ่   แต่สุดท้ายก็ยอมพูด  ถึงแม้ว่าสิ่งที่หลุดออกมาจากปากจะเป็นประโยคคำถาม  ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าอย่างที่ควรจะเป็นก็ตาม

       

       

       

      “นาย....สนิทกับอิซุกิ  ชุนมากนักหรือ?”

       

       

      ฟุริฮาตะถึงกับงงไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว

       

       

      “เกี่ยวอะไรกับอิซุกิเซมไป?”

       

      “สนิทกันมากนักหรือไง”

       

      “ก็......ไม่มากเท่าไหร่แต่ก็นับว่าพอสมควรนะ  อิซุกิเซมไปใจดี  เป็นกันเอง  แล้วก็ช่วยสอนอะไรต่อมิอะไรให้ฉันหลายอย่างด้วย  ทำไมหรือ?”

       

      “.......นับจากวันนี้ไม่ต้องคุยกับเขาแล้วได้หรือเปล่า”

       

      “เอ๊ะ?”

       

       

      มือหนากดหลังคอของคนในอ้อมแขนให้ซบลงกับอก  ไม่อนุญาตให้มองเห็นใบหน้าที่ไม่เป็นตัวของตัวเองสุดๆตอนนี้ของเขา 

       

       

      “อะไรที่ไม่เข้าใจฉันจะสอนให้  จากนี้ไปไม่ต้องเข้าใกล้เขาแล้วได้ไหม”

       

       

      คำพูดเอาแต่ใจไร้เหตุผลที่ไม่เคยพูดกับใคร  และไม่ต้องการจะพูดกับใครด้วย  ยิ่งโดยเฉพาะกับคนตรงหน้านี่  อาคาชิไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนี้ 

       

      พอเป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียวแล้ว....เขาก็พร้อมจะเห็นแก่ตัวที่สุดอย่างที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะทำได้จริงๆ

       

       

      “อาคาชิ.........”

       

       

      “ฉัน......หวง”

       

       

       

       

      อ้อมกอดกระชับแน่น...และฟุริฮาตะก็ดูเหมือนจะแข็งเป็นหินไปแล้ว

       

       

       

      “ยิ่งเขาดูเป็นคนดีมากเท่าไหร่  ฉันยิ่งหวง  กลัวว่าวันนึงโคคิจะคิดได้ว่าการตัดสินใจคบกับฉันมันเป็นเรื่องผิดพลาด  แล้วนายจะเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นที่ดีกว่า”

       

      “...................”

       

      “อย่าไปเลยนะ  ต่อให้เจอคนอื่นที่ดีกว่าฉัน  อ่อนโยนกว่าฉัน  ไม่เอาแตใจเหมือนฉัน  ก็อย่าจากฉันไป  นายไม่มีสิทธิ์ไปไหนอีกแล้ว  นับตั้งแต่ที่ตอบตกลงในร้านอาหารวันนั้น  นายก็หันหลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว  โคคิก็เป็นของฉันแล้ว  เข้าใจหรือเปล่า”

       

      “อาคาชิ.......”

       

       

       

      เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียกชื่อเบาๆ  ฟุริฮาตะขยับยุกยิก  อาคาชิรู้ดีกว่ากอดแน่นไปจนอีกฝ่ายอาจจะอึดอัด  แต่ก็ไม่กล้าคลายอ้อมแขนมากไปกว่านี้ 

       

       

      กลัวจะบินหนี.....

      กลัวว่าถ้าเผลอปล่อยไปล่ะก็.....อีกฝ่ายจะหนีจากเขาไปได้จริงๆ

       

       

      “อาคาชิ....ที่ทำหน้าเครียดมาทั้งวันนี่เพราะเรื่องนี้เหรอ”

       

      “....ใช่”

       

      “ไม่ใช่เพราะว่า....รำคาญที่มีฉันอยู่ด้วยหรอกเหรอ”

       

      “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง”

       

       

      เขาดุ

       

       

      “ก็....เวลาอยู่ด้วยกัน  อาคาชิชอบถอนหายใจตลอดเลยนี่นา”

       

      “นั่นเป็นเพราะทำอะไรไม่ถูกต่างหาก”

       

       

       

      กดปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่มหอม ข่มเสียงหัวใจอันน่าหนวกหูที่ดังก้องอยู่ในอก 

       

       

      อาคาชิไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด  เวลาที่อยู่ใกล้  หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนๆนี้  มันมักมีอิทธิพลมากๆกับอะไรสักอย่างที่อยู่ลึกลงไปกลางอกข้างซ้ายของเขา  ทั้งทำให้อุ่นวาบขึ้นมาได้อย่างที่ไม่เคยเป็น  ทั้งทำให้รู้สึกเป็นกังวลใจ  หงุดหงิดใจ  วุ่นวายใจ  แม้ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นภายนอก  แต่เขารู้ดีว่ามันเต็มตื้นอยู่ในนี้มากขนาดไหน  ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้จนต้องถอนหายใจออกมาบ่อยครั้ง  แต่นั่นกลับทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขากำลังไม่พอใจหรอกหรือ

       

       

      ทั้งที่รักมากขนาดนี้.....แล้วเขาจะรู้สึกอย่างนั้นไปได้อย่างไร

       

       

       

      “ม....ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นเรื่องนี้”

       

       

       

      ก็สมควรอยู่ที่จะไม่คิด.....

       

      จะคิดได้ยังไง  ก็เขาเป็นคนทำให้แน่ใจว่าโคคิจะไม่ระแคะระคายเรื่องนี้ขึ้นมาเอง  ถ้าไม่ใช่เพราะเทตสึยะปากมากไม่เข้าเรื่องแล้วล่ะก็.....

       

       

       

      “คิดมากเรื่องนี้มาตลอดเลยเหรอ?”

       

       

      คนถูกถามเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาคนที่เงยหน้าขึ้นมามอง ฟุริฮาตะหัวเราะคิกๆใส่เขาอย่างที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน

       

       

       

      “อาคาชิน่ารักจัง”

       

      “ตรงไหน!!”

       

       

       

      ยิ่งทำเสียงดุใส่ยิ่งกลายเป็นว่าคนในอ้อมแขนหัวเราะไม่หยุดไปเสียอย่างนั้น  ฟุริฮาตะตัวสั่นหงึกๆ   พอเห็นว่าเกินกว่าจะห้ามปรามได้แล้วอาคาชิก็หลับตาลงเบาๆ

       

       

      “แล้วที่ขอล่ะ  ทำได้หรือเปล่า”

       

       

      เปลี่ยนกลับไปพูดเรื่องเดิมเสียอย่างนั้น

       

       

      “ไม่ได้หรอก”

       

      “โคคิ.....”

       

       

      ฟุริฮาตะยืดตัวขึ้น  แนบหน้าผากต่อหน้าผากลงกับเขาอย่างกล้าหาญ  เลื่อน 2 แขนขึ้นมาโอบหลวมๆที่ลำคอ

       

       

      “อิซุกิเซมไปเป็นรุ่นพี่ที่ดีนะ  ไม่มีเหตุผลอะไรที่อยู่ๆจะต้องเลิกยุ่งกับเขานี่นา  แถมยังอยู่ในทีมเดียวกันด้วย  ไม่มีทางที่จะเลี่ยงไม่คุยกันได้หรอก”

       

      “.....................”

       

      “ฉันเข้าใจนะที่อาคาชิ.....หวง  แต่ก็อยากให้เชื่อใจกัน  ฉันไม่ไปไหนหรอกน่า  ต่อให้เจอคนที่ใจดีกว่านี้ก็  อ่อนโยนกว่านี้ก็ไม่ไป  ไม่มีใครที่ไหนที่จะดีไปกว่านี้หรอก” 

       

       

      จากหน้าผากที่แนบกัน  ฟุริฮาตะเลื่อนใบหน้าไปข้างๆ  กระชับ 2 แขนรอบลำคอหนา

       

       

       

       

      “คนนี้นี่แหละ.....ดีที่สุดแล้ว”

       

       

       

       

      ความเงียบที่แสนหวานเกิดขึ้นหลังจากคำพูดนั้น  ราวกับคนฟังคิดคำพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

       

       

      “......ไม่กลัวฉันหรอกหรือ”

       

      “ถ้ากลัวก็คงไม่ตกลงคบกันตั้งแต่แรกหรอก”

       

       

      อาคาชิ  เซย์จูโร่หลับตาลง  ถอนหายใจเฮือก

       

       

      “คราวนี้ถอนหายใจเพราะอะไรอีกล่ะ”

       

       

      ฟุริฮาตะถามกลั้วหัวเราะเบาๆ

       

       

      “เพราะว่ามีความสุขมากเกินไปน่ะสิ”

       

       

      พอพูดตรงๆ  ก็กลายเป็นว่าผิวแก้มของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้ชิดกันมันร้อนวูบขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ซะงั้น  ฟุริฮาตะเงียบกริบ  ทุบมือข้างหนึ่งลงบนอกเข้าดังตุบ!

       

       

       

      “อยู่ๆก็ดันมาพูดอะไรแบบนี้  มันเขินนะเว๊ย!!  อาคาชิบ้า!”

       

       

       

      คนฟังหัวเราะหึๆ  นึกอยากถามอยู่เหมือนกันว่าที่พูดอะไรน่ารักๆมาทั้งหมดนั่นไม่เขินบ้างหรืออย่างไร  แต่เก็บไว้ก่อน  เพราะตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่อยากพูดมากกว่า

       

       

      อาคาชิคลายอ้อมกอดลงเล็กน้อย  ประคองใบหน้าของฟุริฮาตะให้เงยขึ้นมาสบตา  เป็นฝ่ายชะโงกหน้าเข้าใกล้ให้หน้าผากแตะกันบ้าง  นัยน์ตา 2 สีสบลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลที่สั่นไหวเล็กน้อยด้วยความประหม่า

       

       

       

      “รักนะ....”

       

       

       

      พวงแก้มที่ประคองไว้ด้วยสองมือขึ้นสีแดงปลั่ง  ก่อนที่ฟุริฮาตะจะหลุบตาลงแล้วงึมงำออกมาบ้าง

       

       

       

      “อื้อ....ฉันก็รักอาคาชิ”

       

       

       

      ริมฝีปากคนฟังวาดออกเป็นรอยยิ้มหายาก  นัยน์ตาอ่อนโยนลงจนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นคนเดียวกันกับกัปตันทีมปาฏิหาริย์ผู้แสนเย็นชาและสูงส่งเกินกว่าใครจะเอื้อมถึง  ความห่างไกลนั้นถูกลดระดับลงแล้วด้วยเด็กผู้ชายธรรมดาๆคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนี้  คนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เห็น......ทั้งสีหน้าและแววตาของอาคาชิ  เซย์จูโร่ที่ไม่เคยมอบให้กับใคร 

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      เพราะมันเป็นสิ่งที่เก็บเอาไว้  ให้คนสำคัญเพียงคนเดียวได้มองเห็นและรับรู้ก็พอ

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      ฉันเคยบอก...รู้สึกจะเมื่อวันก่อนซึ่งเธอก็รู้

      ว่าความผูกพัน  ทำให้ฝันละเมอ

       

       

      ฉันจำได้....เธออ่อนและไหว

      จนฉันหวั่นไหวและสั่นสะท้านหัวใจ

       

       

      อยากบอกเธอให้ได้ยินเหลือเกิน

      แต่ไม่รู้เธอได้ยินหรือเปล่า

       

       

      อยากบอกเธอให้รู้เหลือเกิน

      ว่าเธอคือลมหายใจของฉัน

       

       

       

       

       

       

       

      เสียงนกร้องดังลอดผ่านผ้าม่าน

       

       

       

      อาคาชิสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากผิวกายของใครสักคนที่นอนอยู่เคียงข้าง  กลิ่นสบู่จางๆผสมกลิ่นผิวเนื้ออันเป็นกลิ่นหอมเฉพาะตัวหาไม่ได้จากที่ไหน  เตียงนอนเดิม ผ้าห่มเดิม  หมอนใบเดิม  ทุกอย่างรอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้สักนิด  แต่เพียงแค่มีใครอีกคนอยู่ข้างๆเท่านั้น  เขาก็รู้สึกราวกับว่าทิวทัศน์ที่เห็นมันดูอ่อนโยนขึ้น  น่าทนุถนอมและแสนล้ำค่า   ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะ  เปลือกตาหลับพริ้มกับใบหน้าสงบสุขดูราวกับเทพธิดา 

       

       

      ไม่ใช่แค่ฝัน.....แต่มันคือเรื่องจริง

       

       

      ความรู้สึกเต็มตื้นในอกทำให้อดไม่ได้ที่จะรั้งคนข้างกายเข้ามาในอ้อมแขน  แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านั่นเป็นการปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนสุขก็ตามที่

       

       

       

      โอบกอดหัวใจของฉันเอาไว้นานๆ......

       

       

       

       

      “อือ......อาคาชิ?”

       

       

      เสียงง่วงงุ่นที่ดังอยู่ข้างหูทำให้กระชับอ้อมแขนให้แน่นเข้าไปอีก  ฟุริฮาตะยังงัวเงียแต่ก็วาดแขนกอดตอบอย่างน่ารักน่าใคร่

       

       

       

       

      “กอดฉันนานๆนะ”

       

       

       

       

      โอบกอดหัวใจของฉันเอาไว้นานๆ

      แค่เพียงฉันคิดว่าเธอจะจากไป  ใจมันหวิวทุกที

       

       

      เอ่ยคำสัญญาบอกมาว่าไม่มีวันที่จะทำให้ฉันต้องหวั่นไหว....

       

       

       

       

       

       

       

      “รักฉันนานๆนะ  โคคิ”

       

       

       

      แขนเล็กกว่ากอดกระชับแน่นหนา  ตอบรับคำร้องขอนั้นด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นเท่าเทียมกัน

       

       

       

       

      “อื้อ!  รักกันนานๆเลยนะ.......เซย์”

       

       

       

       

       

       

       

       

      กอดฉันให้นานเข้าไว้

      เพราะเธอช่างแสนมีความหมายกับฉันมากมายอย่างนี้

       

       

      ความรักที่ฉันให้เธอ....ไม่เคยให้มากเท่าใคร

       

       

      ที่กระซิบบอกหัวใจเธอ เธอคงได้ยิน

       

       

       

       

       

      ว่ารักเธอ....มาก....กว่าสิ่งไหน

       

       

       

       

       

      End .

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×