( () /v\ P l_ I ( /\ T E l)
ดู Blog ทั้งหมด

(500)Days of Summer หนังเกี่ยวกับความรัก กับ เสรีในการพูด

เขียนโดย ( () /v\ P l_ I ( /\ T E l)

นักดูหนังอิสระหลายๆท่าน อาจจะคุ้นชื่อกับหนัง (500)Days of Summer เป็นอย่างดี ด้วยความที่หนังนั้นแนวและสร้างสรรค์กว่าหนังโรแมนติกคอเมดี้เรื่องอื่นๆ และเป็นหนังที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในเทศกาลซันแดนซ์ ติดอันดับ1ใน250หนังขวัญใจตลอดกาลของชาวเว็บ IMDB และเป็นหนังในสังกัดค่ายที่คนมองว่า "อินดี้" อย่าง ฟอกซ์ เสิร์ซไลท์ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่หนังที่ดูยากอะไร มันค่อนข้างจะเป็นหนังที่ดูง่ายด้วยซ้ำ





(500)Days of Summer เป็นหนังที่รวบรวมความจริงที่คนอกหักทุกคนต้องเคยรู้สึก เพราะหนังว่าด้วยการที่พระเอกซึ่งเป็นนักเขียนการ์ด ชื่อ ทอม ได้พบกับพนักงานใหม่ ชื่อ ซัมเมอร์ ซึ่งพ่อทอมของเราก็หลงไหลเป็นจริงเป็นจังและคิดว่าซัมเมอร์คือคนที่ใช่ของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป และทั้งคู่สานสัมพันธ์กันอย่างดี พวกเขาชอบเพลงเดียวกัน มีอะไรเหมือนๆกัน แต่อยู่ดีๆ ซัมเมอร์ก็มาบอกทอมว่า เขาไม่ใช่ "คนที่ใช่" สำหรับเธอ


เหตุผลฟังดูคุ้นๆแบบนี้คาดว่าหลายคนคงเคยได้ยินมาแล้ว มันเป็น1ในเหตุผลบอกเลิกคลาสสิกที่คนฟังฟังแล้วเจ็บจี๊ด แน่นอนว่าอีตาทอมก็เช่นกัน นั่นทำให้เขาหวนรำลึกถึงความทรงจำ500วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับซัมเมอร์ คนที่เขารัก


รายละเอียดจะเป็นเช่นไรนั้น ผมอยากให้ทุกคนดูในตัวภาพยนตร์เอง เพื่อซึมซับถึงอารมณ์ให้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ขอเตือนไว้ก่อนว่าหนังเรื่องนี้ไม่เหมือนหนังรักเกาหลี หรือหนังขายฝันอเมริกันแบบ The proposal ที่เน้นขายฝันผู้หญิง เพราะผกก.และคนเขียนบทถึงขั้นบอกว่า คนสมัยนี้ถูกเพลงและหนังแนวนี้ล้างสมองจนคิดอะไรไม่เป็น ดังนั้นเขาจึงอยากทำหนังที่ใส่แต่ "ความจริง" เกี่ยวกับความรักลงไปเท่านั้น


ความจริงที่ว่าคืออะไรน่ะเหรอ? คาดว่าทุกคนที่เคยมีรักและอกหักคงจะเคยรู้สึกแบบเดียวกัน เช่น เคยชอบเธอเพราะอะไร ชอบตรงไหนของเธอบ้าง แต่พออกหัก คุณกลับเกลียดส่วนนั้นๆของเธอที่เคยชอบ ไม่ว่าจะเป็นผมของเธอ หน้าตาของเธอ นิสัยเธอ พูดง่ายๆก็คือพาลเกลียดเธอไปเลย เพราะเธอทำร้ายจิตใจคุณเหลือเกิน


เวลาที่คุณนึกใครสักคน คุณอาจมีเพลงๆนึงลอยขึ้นมาในหัว และคุณก็ชอบนึกถึงหรือฟังเพลงนั้นเวลาที่คิดถึงเธอคนนั้น แต่พอความรักไม่สมหวัง คุณจะพาลเกลียดเพลงนั้นชนิดที่ลบออกจาก MP3 ของคุณไปเลย


เวลาที่คุณจะไปเจอคนที่คุณชอบ คุณอาจคาดหวังว่าเค้าจะทำตัวดีกับคุณ เค้าอาจปลีกตัวมาคุยกับคุณแค่สองคน กอดกัน แต่ในความเป็นจริง คุณอาจต้องอยู่ตัวคนเดียว และเค้าไม่ได้สนคุณ (ฉากนี้โด่งดังมาก ชนิดที่แค่คุณเอ่ยชื่อหนังเรื่องนี้ คนที่เคยดูแล้วจะต้องพากันพูดถึงฉากนี้ทีเดียว)


จากการที่เป็นคนเชื่อเรื่องความรัก พรหมลิขิต คุณอาจกลายเป็นคนที่หมดศรัทธาในความรัก เพราะทุกอย่างที่คุณทุ่มเทมันไร้ความหมาย


ถ้ามีคนลากคุณมาอัดวิดีโอสัมภาษณ์ว่าคุณคิดอย่างไรกี่ยวกับความรัก คนอื่นๆอาจพูดได้คล่อง แต่พอมาถึงคราวคุณ คุณอาจพูดอะไรไม่ออก (ถ้าเป็นผม ผมจะเดินหนีกล้องแล้วมองด้วยสีหน้าสื่อความหมายว่า "อย่ามายุ่งกับกรู")


หรือคุณอาจโดดเรียน หยุดงาน เดินเจอใครที่เค้าเคียงคู่กันก็พูดประชดประชันแดกดันไปหมด (ผมเคยเดินสวนกับพวกคู่รักหวานแหวในวาเลนไทน์แล้วประชดออกมาว่า "เดี๋ยวพวกมันก็เลิกกันแล้ว" เลวมั้ยล่ะ?)


ถ้าคุณเห็นเธออยู่กับคนรักใหม่ คุณอาจทนไม่ไหว และวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น (ผมก็เคยหนี หนีแบบน่าเกลียดมากๆด้วย)





(500)Days of Summer อาจไม่ใช่หนังยิ่งใหญ่ที่มีประเด็นลึกซึ้ง แต่มันกลับโดนใจสุดๆ ภาพที่สวย งานที่สร้างสรรค์ หนังพยายามทำให้คนดูรู้สึกว่าเราดูหนังอยู่ ด้วยการทำให้ฉากบางฉากเหนือจริง เช่นฉากที่ทอมสมหวังกับซัมเมอร์ เขาออกมาจากบ้านและทุกอย่างดูดีไปหมด ถึงขั้นมีเพลงบรรเลงและมีคนออกมาเต้นกับเขา มีวงโยธาวิตมาฉลองเสียด้วย ปิดท้ายด้วยอนิเมชั่นนกบินมาขยิบตาให้คุณอีกต่างหาก ทั้งที่เป็นเช่นนี้แต่มันกลับสมจริงมาก เพราะอะไรน่ะหรือ? คุณยังจำวันที่คณสมหวังกับคนรักเป็นวันแรกได้หรือไม่ วินาทีนั้นคุณจะรู้สึกว่าโลกสดใสจนอยากจะเต้น และทุกอย่างดูเหมือนจะเฉลิมฉลองให้กับคุณแบบในหนัง (พูดง่ายๆก็คือ คุณโคตรจะคึกเพราะความสมหวังนั่นแหละ)


หนังใช้ทั้งฉากขาวดำเล่าบางฉาก บางครั้งพระเอกดูหนังในโรงหนังก็กลับเห็นหน้าตัวเองไปแสดงในหนังที่มีเนื้อหาแปลกๆ(แต่คงมีความหมายแฝงเอาไว้) บางครั้งหนังก็เล่าโดยแบ่งฉากเป็นสองจอเทียบกันให้เห็น และหนังก็ยังใส่มุขอารมณ์ขันแทรกเข้าไปพอให้คุณอมยิ้ม แต่ลูกเล่นพวกนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกเสียอารมณ์แต่อย่างใด เพราะหนังไม่ได้ใส่มาอย่างไร้เหตุผล แต่ใส่มาถูกจังหวะ แถมเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และการที่หนังเล่าแบบไม่เรียงลำดับเวลา ก็เพราะว่าเวลาที่คุณนึกถึงความทรงจำเรื่องหนึ่งๆ ความทรงจำของคุณจะไม่เรียงตามลำดับเวลาหรือปะติดปะต่อหรอก และคุณก็มักจะนึกถึงเรื่องดีๆของเขามากกว่าเรื่องแย่ๆอยู่แล้ว


ฉากที่ผมเห็นว่าดีที่สุดในหนังนอกจากฉากโด่งดังที่ผมกล่าวไปข้างต้นแล้ว ผมชอบฉากที่พระเอกเอ่ยขึ้นในที่ทำงานบริษัทการ์ด โดยวิพากย์วิจารณ์การ์ดต่างๆ ต่อไปนี้จะเป็นการยกคำพูดของทอมมา
สักเล็กน้อย


"ขอโทษนะครับ ขอผมออกความเห็นเรื่องการ์ดหน่อยได้มั้ย? เอ่อ ที่ผมพูดนี่ไม่ใช่ว่าผมไม่เกรงใจนะ แต่... แบบว่า... มันห่วยแตก!!"


"ผมจะบอกอะไรให้นะ คนเราซื้อการ์ดพวกนี้เพราะอะไรรู้มั้ย?" 


"คนเราไม่ได้ซื้อการ์ดเพื่อให้มันพูดแทนเรา แต่ซื้อเพราะเราไม่รู้สึกแบบที่ในการ์ดเขียน แบบที่อยากพูด หรือไม่กล้าแม้แต่จะพูดสิ่งที่เราคิดตรงกับข้อความในการ์ด เพราะเราไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ"


"ดูการ์ดนี่สิ "แฮปปี้วาเลนไทน์ ผมรักคุณ" รู้มั้ย ถ้าผมได้รับการ์ดนี้ ผมจะโยนมันทิ้งไปซะ มันฆ่าตัวตายชัดๆ มันเฮงซวย ทำไมไม่มาพูดเองวะ?"


"ยุคสมัยนี้ คนเราฟังแต่เพลง ดูหนัง แล้วนิยายเด็กๆไร้สาระมากเกินไปแล้ว ช่างหัวมันสิ สิ่งเหล่านี้มันผิด พวกเขาทำผิด พวกเราทำผิด" 


"ผมแค่อยากบอกกับพวกคนอเมริกันว่า เรามีเสรีที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่จำเป็นต้องเอาคำพูดที่คนอื่นหรือสื่ออื่นมากรอกหูเราตลอด คำพูดในการ์ดอย่าง "โชคดีนะ" หรือคำพูด "สู้ๆ" ไม่ก็คำจำพวก "ขอให้มีลูกน่ารักๆ" "


"...คำพูดว่า... "รัก" "


"มันคืออะไรล่ะ? เรารู้ความหมายของคำๆนี้จริงๆเหรอ? มันไม่มีอะไรเลย เราเข้าใจมันผิด (หมายถึงว่าเรารู้จักคำๆนี้เพราะหนังและเพลงกรอกหูเรามากกว่าจะเข้าใจลึกซึ้ง)"


"ทำไมเราถึงไม่อยากพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด? ทำไมเราถึงพูดมันไม่ได้ ทำไมเราไม่หมายความตามที่เราพูด?"


จะเห็นว่าฉากนี้ มีการกล่าวถึงคนอเมริกันและเสรีภาพ ซึ่งหนังพยายามกล่าวถึงสามครั้ง นี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่สองครั้งแรกนั้น เล่าผ่านการที่เพื่อนของพระเอกไปร้องเพลงคาราโอเกะแบบเรื้อนๆ คือเมาแล้วร้องเพลงเสียงหลงก่อนจะล้มลงไปนอนนั่นแหละ เนื้อเพลงในฉากนี้ก็คือ "ฉันดีใจที่เป็นคนอเมริกัน เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเสรี" ฉากนี้ทำออกมาได้ตลกมาก แต่หากทำความเข้าใจมันดีๆ เราก็จะพบว่ามันอาจมีอะไรแฝงอยู่ 


หนังกล่าวถึงประเด็นนี้อีกครั้งในการที่ตัวประกอบตัวหนึ่งมาจีบซัมเมอร์แม้จะรู้ว่าทอมเป็นคนรักของซัมเมอร์และยังยืนอยู่ข้างๆซัมเมอร์เสียด้วย แต่ตัวประกอบนั้นกลับพูดขึ้นมาใส่หน้าทอมที่ทำท่าหวงซัมเมอร์ว่า "นี่มันประเทศเสรีนะเพื่อน"


และในฉากการ์ด ทอมก็พูดขึ้นมาว่า เขาอยากบอกคนอเมริกันว่าช่างหัวพวกการ์ดปะไร และ เรามีเสรีในการพูด ทำไมเราไม่กล้าที่จะพูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด 


เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสามฉากนี้อาจไม่ใช่ความบังเอิญ? เพราะมันสอดคล้องกันพอสมควร หนังกล่าวถึงประเด็นที่อเมริกาเป็นประเทศเสรีทั้งสามฉาก แต่คนเรากลับไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูด


ไม่ใช่แค่อเมริกา อันที่จริง มันเป็นสัจธรรมที่คนทั่วโลกต้องสะอึก คุณเคยลองถามตัวเองมั้ยว่าบางครั้งคุณซื้อการ์ดไปเพราะอะไร? เราใช้ข้อความสำเร็จรูปพวกนั้นพูดแทนเรา ใช้คำพูดที่กรอกหูเราพูดออกไปแทนที่จะพูดด้วยตัวเอง 


คำพูดง่ายๆบางคำ เช่น "แฮปปี้นิวเยียร์" "ผมรักแม่" คุณก็ยังให้การ์ดพูดแทน แถมคำพูดสำคัญๆอย่าง "สุขสันต์วันวาเลนไทน์ ฉันรักเธอนะ" คนเราก็ยังจะให้การ์ดพูดแทนอีก จนทำให้คนเราหลงลืมการที่เราสามารถพูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมาตรงๆไปแล้ว


เพราะหนังเรื่องนี้มีการพูดถึงการ์ดวาเลนไทน์ และเป็นหนังที่ "เกี่ยวกับความรัก" ที่โดนใจ ผมจึงอยากแนะนำให้คนที่ยังเหงาหัวใจดูมันในช่วงวาเลนไทน์ เชื่อเถอะว่ามันเป็นหนังฟีลกู๊ดมากๆ แม้จะเป็นหนังอกหักนิดๆก็ตาม การที่หนังพยายามแทรกมุขตลกในเรื่องก็เพราะหนังไม่ต้องการให้คนดูรู้สึกแย่กับความรักมากเกินไป ในหลายๆฉากหากคุณเอามุขตลกออกไป คุณจะรู้สึกได้ว่าเนื้อหานั้นสะเทือนใจและหดหู่อย่างมากทีเดียว


แฮปปี้วาเลนไทน์ครับ


------------------------------


พื้นที่ส่วนตัว(สปอยล์หนัง)


ฉากที่ผมอินที่สุดคือฉากแรกๆที่นางเอกบอกว่า "ฉันไม่อยากมีแฟน" แต่นางเอกทำอะไรหลายอย่างที่มากกว่าเพื่อนกันกับพระเอก ซึ่งมาถึงกลางเรื่อง ทอมก็บอกว่า "อย่าบอกเลยว่าที่คุณทำกับผมนั่นมันแค่เพื่อนกัน"
 

และในฉากสุดท้าย จะมีฉากที่นางเอกเต้นรำกับพระเอก แต่ตอนหลังกลับเฉลยว่านางเอกแต่งงานไปแล้ว พระเอกรู้ดีว่าตอนนั้นนางเอกก็ชอบคนอื่นแล้ว จึงถามว่า 


ทอม "ทั้งที่คุณมีคนอื่นในใจแล้ว ทำไมตอนนั้นคุณถึงยังเต้นรำกับผม"


ซัมเมอร์ "ฉันก็แค่อยากเต้น"


ทอม "คุณแค่อยากทำสิ่งที่อยากทำใช่มั้ย?"


ซัมเมอร์ "..."


ทอม "คุณเคยบอกผมว่าคุณไม่อยากมีแฟน แต่คุณก็แค่ทำสิ่งที่คุณอยากทำใช่มั้ย?"


ผมเจอเรื่องราวคล้ายๆทอม แม้จะไม่รุนแรงเท่า แต่หลายๆอย่างที่เธอทำกับผม มันมากกว่าคำว่า "รุ่นพี่รุ่นน้อง" มันมีแต่การกระทำและคำพูดที่ชวนคิดและให้ความหวัง 


รุ่นพี่คนที่ผมสนิทด้วยอีกคนหนึ่งบอกผมถึงการกระทำของคนที่ผมชอบว่า "เค้าก็แค่ทำสิ่งที่อยากทำ เค้าอยากทำไรกับแกบ้าง เค้าไม่อยากให้แกไปก็เลยรั้งแกเอาไว้ โดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของแกเลย เค้าทำเพราะเค้าอยากทำ โดยไม่ได้แคร์ว่านั่นจะทำให้แกมีความหวัง" 


ที่สำคัญก็คือ เธอคนนั้นที่ผมคิดว่าเธอคือ "คนที่ใช่" (เหมือนที่ทอมคิดกับซัมเมอร์ แม้ทอมจะเคยอกหักมาก่อน แต่ซัมเมอร์พิเศษกว่าคนอื่น ผมรู้สึกกับพี่คนนั้นแบบเดียวกัน) เธอบอกกับผมตั้งแต่แรกว่า "เธอไม่อยากมีแฟน"


ผมอยากพูดคำพูดเดียวกับที่ทอมพูดเพื่อถามเธอเหลือเกิน


"อย่าบอกเลยว่าที่คุณทำนั่นมันแค่เพื่อนกัน"


"คุณเคยบอกผมว่าคุณไม่อยากมีแฟน แต่คุณก็แค่ทำสิ่งที่คุณอยากทำใช่มั้ย?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
จะไปหามาดู วุ้ยย

มันจื๊ดใจ - -
ความคิดเห็นที่ 2
เขียนดีจังเลยค่ะ
แต่สงสัยนิดนึงว่า ซัมเมอร์บอกทอมว่าอะไร
ถึงเหตุผลที่ไปแต่งงานกับคนอื่น
ดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจค่ะ
complicated
complicated 10 พ.ค. 53 / 07:00

ในภาพยนตร์ ซัมเมอร์บอกว่า เค้าตื่นเช้าขึ้นมาวันนึง และได้รู้ว่าตนเองไม่รู้สึกมั่นใจในตัวทอม ประกอบกับวันหนึ่ง เธอนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ และได้เจอคนที่ใช่

ในตอนนี้ ซัเมมอร์บอกทอมว่า ถ้าหากตนไม่ได้นั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ หรือไปช้ากว่านั้น ก็คงไม่ได้เจอคนที่ใช่ และนั่นเป็นพรหมลิขิตที่ทอมบอกเธอเสมอมา เธอจึงเปลี่ยนจากคนที่ไม่เชื่อในพรหมลิขิต มาเป็นคนที่เชื่อมั่น

ส่วนกระทาชายนายทอมของเรา ก็เปลี่ยนเป็นขั้วตรงข้ามกับซัมเมอร์ จากเดิมที่เขาเคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต เขากลับหมดศรัทธามัน

เป็นความขัดแย้งที่เจ็บปวดมาก สุดท้ายแล้วตอนจบ ซัมเมอร์เปลี่ยนจากไม่เชื่อมาเชื่อในพรหมลิขิต ส่วนทอมที่เคยเชื่อมาตลอดกลับต้องหมดศรัทธาในพรหมลิขิตตลอดไป

แม้วัมเมอร์จะบอกทอมว่า ทอมไม่ได้คิดผิดเรื่องโชคชะตา มันมีอยู่จริงดังที่ทอมเคยพูดไว้ แต่แค่สำหรับทอม พรหมลิขิตของเขา มันไม่ใช่ตัวเธอ

คนที่เคยอกหักคงรู้ว่า ณ.เวลานั้น คำปลอบโยนใดๆ มันยากที่จะเชื่อได้

ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ