คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เกมร้ายร่ายปรารถนา - 1
บทนำ
พระอาทิตย์ทรงกลดเกิดขึ้นในช่วงสาย
แต่นั่นไม่ได้น่าสนใจเท่าหญิงสาวรูปร่างสูงระหงในชุดลำลองทันสมัยที่เดินเคียงคู่อยู่กับ
เจตน์ พิพัฒน์ หนุ่มหล่อเจ้าของไร่องุ่นอันโด่งดังแห่งอำเภอปากช่องเลย
คุณจิตรากอดอกหมับด้วยความขุ่นเคืองใจ
อิงไหล่กับขอบหน้าต่างคิดไม่ตกที่ยังคงเห็นภาพนั้นซ้ำๆ
“จะแต่งงานอยู่แล้วแต่ยังวนเวียนมาข้องแวะกันอยู่เลย
แบบนี้มันจะไหวหรือคะคุณแม่…” นางหันกลับมามองคนเป็นแม่ด้วยสีหน้าท่าทางกลัดกลุ้ม
“...สักวันปลัดพิบูลย์คงยิงหัวเอาถ้ารู้ว่าคนของเรายังยุ่งอยู่กับผู้หญิงของเขา”
คุณใจแก้วเพียงถอนหายใจหนักๆ
เท่านั้น หลานชายของท่านโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุอานามไม่ใช่น้อยๆ เสียด้วย
ครั้นจะบังคับกันเหมือนครั้งเป็นเด็กน้อยก็คงไม่ได้
“หนูกลุ้มใจค่ะ”
คุณจิตราแทบตวาดด้วยความกลัดกลุ้มที่ไม่อาจระงับ
คนเป็นแม่เลยเหลือบตาขึ้นมามองปราม
“ก็ใจเย็นๆ หน่อยเป็นไร
เราน่ะมองกันอยู่ตรงนี้จะไปรู้ตื้นลึกหนาบางอะไร แม่นิสรินทร์น่ะยังทำงานอยู่ที่นี่ไม่ใช่
เขาอาจจะคุยกันเรื่องงานก็ได้ ตาเจตน์มันไม่ใช่คนเหลวไหลสักหน่อย คนเราเลิกกันไปแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้นี่นา…
จริงไหม?”
“ไว้ใจได้หรือคะ
ตาเจตน์ของเราน่ะรักเขาจนโง่ ขนาดว่าเขาทิ้งไปหมั้นกับข้าราชการหนุ่มน้ำดี ก็ยัง…
ต้อนรับขับสู้เขาเหมือนยังรักกันอยู่” นางลากเสียงสูงอย่างขุ่นเคืองในตัวลูกชาย
“...ดูสิคะ เดินคุยกันไม่เกรงสายตาใครเลย คนงานน่ะปากไวจะตายไป
ประเดี๋ยวก็เอาไปลือกันนอกไร่แล้ว”
“หาเมียให้สิจะได้จบเรื่อง
คนของเราก็มี เขาก็มี จะได้แยกย้ายกันไปเสียทีไง ตาเจตน์เองก็จะสี่สิบอีกสองปีนี้แล้ว”
คุณจิตราถอนหายใจทิ้งหนักๆ ให้กับคำแนะนำที่ไม่มีวันเป็นไปได้
“หนูไม่บังคับใจลูกแม่ก็รู้
แต่ถึงบังคับไปก็ใช้ว่าหลานคุณแม่จะยอมเล่นด้วยง่ายๆ”
“ไม่ลองไม่รู้”
“ถ้าลอง…
แล้วจะไปหาสะใภ้ที่ไหนทันคะ”
“ไม่มีหมายปองไว้บ้างเลยรึ”
“ไม่มีค่ะ หนูไม่เคยคิดจะจับลูกคลุมถุงชนเลยไม่สนใจพิจารณาใครไว้เป็นพิเศษ”
“แย่เลย… แม่เองก็ไม่มีเหมือนกันเพราะวันๆ อยู่แต่กับเรา
งั้นเราก็คงต้องปล่อยเขาไปแล้วล่ะแม่จิต”
ลูกสาวชักสีหน้าขึ้งเคียดขึ้นมาอีกหนเมื่อสุดท้ายต้องจนหนทาง
คุณใจแก้วเลยส่งสาลี่หิมะรสหวานกรอบที่เพิ่งปอกเสร็จหมาดๆ
ให้ลูกสาวเอาไปชิมหนึ่งชิ้นพลางปลอบใจอีกระลอก
“เอาน่า... คอยดูไปก่อน
แม่เชื่อนะ... ว่าตาเจตน์จะไม่ทำให้เราต้องอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านเขา แต่ที่ยังเห็นว่าสนิทสนมกันขนาดนี้ก็เพราะว่าเขาสองคนยังต้องทำงานด้วยกันต่อไป
แม่นิสเขาก็ไม่ได้บอกไม่ใช่หรือว่าจะลาออกน่ะ”
แต่กระนั้นคุณจิตราก็ไม่ได้ใจชื้นขึ้นมาเลยสักนิด
แถมสีหน้าของนางยังขึ้งเคียดขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วย ก่อนสาวใช้ประจำบ้านจะนำโทรศัพท์มาส่งให้
“ทางไกลจากกรุงเทพฯ ค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
คุณจิตราบอกเนิบๆ อย่างเก็บอารมณ์แล้วรับสาย
“มีอะไรรึ”
สีหน้าของลูกสาวดูตกใจและซีดเผือดจนน่าใจหาย
ท่านจึงต้องเสียมารยาทขัดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงระคนสงสัย…
“ฉันจะรีบไปตอนนี้เลย
เธอใจเย็นๆ ก่อนนะวิ” ว่าแล้วรีบวางสาย หันมามองคนเป็นแม่ที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“หนูต้องไปกรุงเทพฯ ค่ะแม่ เพื่อนหนู… วิศณี ถูกทำร้ายอาการหนัก”
วิศณีหรือ?
คุณใจแก้วจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเพื่อนคนไหนของลูกสาวเพราะไม่ได้เห็นหน้าคาดตากันเลย
แต่ก็อดเป็นห่วงไปด้วยไม่ได้
“แล้วจะไปยังไงล่ะเรา”
“ไปกับคนรถค่ะ หนูไปก่อนนะแม่ไม่ต้องห่วง
ค้างไม่ค้างที่นั่นยังไงจะโทรมาบอกอีกที”
“ไปดีมาดี”
ท่านอวยพรเพียงเท่านี้เกรงว่าลูกสาวจะไปไม่ทันการณ์
แล้วหันมองตามหลังจนลับตาไป ในใจยังไม่วายสงสัยอยู่ดีเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ของลูกสาว…
ตกค่ำ…
เจตน์แวะเข้ามากินมื้อค่ำที่บ้านใหญ่อย่างเคย ทว่าไม่พบคนเป็นแม่จึงถามหากับสาวใช้พลางกวาดมองไปรอบตัวบ้านชั้นล่าง
“คุณนายไปกรุงเทพฯ
ตั้งแต่สายๆ เห็นโทรกลับมาบอกว่าจะอยู่สักสองสามวันถึงจะกลับค่ะ”
เจตน์พยักหน้ารับทราบช้าๆ
ไม่ได้ถามเซ้าซี้เพราะแม่ของเขามักไปกรุงเทพฯ เพื่อสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนฟูงอยู่บ่อยครั้ง
แล้วถามหาคนเป็นยายกับลูกสาวบ้าง
“คุณยายกับหนูผิงล่ะ”
“ขึ้นข้างบนแล้วค่ะ วันนี้คุณหนูผิงฝากบอกว่าจะนอนที่นี่”
“งั้นหรือ”
“คุณเจตน์จะรับข้าวเลยไหมคะ
ป้าจะตักให้”
“ไม่ล่ะ
กินคนเดียวมันไม่อร่อย ออกไปกินข้างนอกดีกว่า…”
หลังจากเจตน์เดินออกจากบ้านไปในค่ำคืนนั้นเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง
สามวันถัดมาชายหนุ่มก็ยังไม่เจอหน้าคาดตาคนเป็นแม่เลย
ความเป็นห่วงทำให้เขาต้องโทรถามข่าวคราวว่าไปไงมาไงถึงไม่กลับสักที
ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า…
“วันสองวันนี้จะกลับ
เตรียมตัวต้อนรับแม่ให้ดีล่ะ”
เท่านี้ก็วางสายไป
คุณจิตราจึงหันไปมองคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย
“บอกว่าให้นอนพักที่โรงพยาบาลอีกวันก็ไม่เชื่อ
รีบกลับมาทำไมก็ไม่รู้” ก่อนหน้านางไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลแต่ไม่พบ
ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าเพื่อนของนางขออนุญาตหมอกลับมาพักฟื้นที่บ้านจึงรีบตามมาดูด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทันที
“ฉันเกรงใจเธอ
เกรงใจยายเมย์ เพื่อนต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ หลานก็ต้องนั่งเฝ้าจนหนังสือหนังหาไม่ได้อ่าน
ฉันก็ควรจะออกมาพักฟื้นต่อที่บ้านเพราะอาการดีขึ้นมากแล้ว
“นั่นสิ แล้วนี่หนูเมย์ไปไหนแล้ว”
“เอาข้าวสุกที่เหลือจากเมื่อวานไปหว่านให้ปลาที่คลองหลังบ้านโน้นแน่ะ”
คุณจิตรามองตามไปจนสุดสายตา
พิศมองครูสาวรูปร่างหน้าตาสะสวย จิตใจดี มีกิริยานอบน้อมอย่างสนใจ ก่อนหันมาเจรจากับเพื่อนร่วมรุ่นจากรั้ววิทยาลัยด้วยความหวังบางอย่าง
“วิ…”
“หืม...”
“ตอนนี้หนูเมย์เขามีแฟนหรือเปล่า”
คนเป็นเพื่อนเลิกคิ้วขึ้นสูง
แย้มยิ้มอย่างสงสัยอยู่ในที “ทำไม”
“มีหรือเปล่าล่ะ”
“คนมาจีบน่ะมีเยอะแยะ
แต่ยายเมย์ไม่สนใจใครเป็นพิเศษเลย ตั้งแต่ถูกเลิกจ้างจากโรงเรียนเอกชนใกล้ๆ บ้านมาก็เอาแต่อ่านหนังสือไม่ยอมไปไหน
เห็นว่าจะขอสอบครูให้ได้ก่อน… เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“แล้วถ้าฉันอยากได้หนูเมย์ไปให้ลูกชายล่ะ
เธอจะว่าไง”
“...”
“แลกกับบ้านสวนและที่ดินผืนนี้”
เมื่อเพื่อนเอาแต่เงียบครุ่นคิด คุณจิตราจึงพูดเสริมให้อย่างใจป้ำว่า…
“ฉันจะไถ่มันคืนมาให้เธอ
และสัญญาว่าจะดูแลหนูเมย์เป็นอย่างดี หาโรงเรียนที่ดีให้ได้เข้าไปสอนอย่างมั่นคง”
มันเป็นคำถามที่ทำให้คนฟังทั้งตกใจและตอบยากมากที่สุดเลยก็ว่าได้
นางรู้ว่าวิศณีเลี้ยงหลานสาวมาเหมือนลูกไม่เคยบงการชีวิต เช่นเดียวกับนางที่ไม่เคยบงการชีวิตลูกชายคนเดียวอย่างเจตน์เลยสักครั้ง
แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ นางคิดว่าวิศณีก็คงต้องคิดใหม่
เช่นเดียวกับที่นางกำลังคิดอยู่ในตอนนี้…
ความคิดเห็น