หากคุณเป็นคนทำงาน และผ่านชีวิตการทำงานมาแล้วมากกว่า 5 ปีขึ้นไป อยากให้ลองสำรวจเงินเก็บในธนาคารของคุณดูว่ามีมากน้อยเพียงไร เชื่อว่ามีหลากคนเลยพบว่า ไม่มีเงินเก็บเลย! ใช้ไปเดือนชนเดือน บางคนหมดเงินไปกับสิ่งของที่ตัวเองอยากได้ สิ่งของที่ตัวเองคิดว่าต้องมี เช่น ของใช้แบรนด์เนม การผ่อนรถยนต์รถมอเตอร์ไซต์ การท่องเที่ยว เป็นต้น โดยคิดไปว่าขอสนุกก่อน การเก็บเงินไม่จำเป็นตอนนี้เพราะเดี๋ยวให้อายุ 30 ขึ้นไปแล้วค่อยเก็บเงิน โดยเฉพาะคนยุคใหม่ Gen Y หรือ Gen Z เหล่านี้ชีวิตช่างมีเรื่องให้ทำกันมากมายซะเหลือเกิน ก็ต้องมีรายจ่ายตามมามากเช่นกัน ถึงขนาดเด็กจบใหม่ เพิ่งได้งานทำ เงินเดือนไม่กี่หมื่นบาท ใช้กันโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก เนื่องจากเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้เกิดมาในยุคที่พ่อแม่สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีฐานะมั่นคง เป็นคนชั้นกลางของสังคมเต็มตัว และไม่ลำบากอะไร
แต่รู้หรือไม่ เมื่อคุณอยู่ในวัยทำงาน มีรายได้แต่ไม่มีการเก็บออมเงินเลย ใช้จ่ายอย่างสบายใจ เท่ากับเป็นการไร้วินัยทางการเงิน และเมื่อไร้วินัยทางการเงินไปนานๆ สิ่งที่ตามมาคือ การใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยขึ้นเรื่อย จนกระทั่งติดเป็นนิสัย จนในที่สุดก็ใช้จ่ายเกินตัว กู้หนี้ยืมสิน เพราะการฝึกเรื่องวินัยทางการเงินนั้นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนกลุ่มนี้มาก วินัยการเก็บออมต้องถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กหรือวัยรุ่น หากไม่มีทัศนคติเช่นนี้มาตั้งแต่ต้น การจะมาฝึกตอนแก่ก็ยากยิ่ง เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความพยายามอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้น ช่วงวัยหนุ่มสาว เพิ่งเริ่มทำงาน การฝึกการออมเงิน ใช้จ่ายอย่างมีวินัย จึงเป็นช่วงวัยที่เหมาะอย่างยิ่ง แล้วการออมเงินอย่างไรจึงได้ผลล่ะ ต่อไปนี้มาดูกัน
1.ปรับทัศนคติ
สิ่งแรกที่ต้องทำอย่างยิ่งคือการปรับทัศนคติของตัวเองก่อนว่า เราจะออมเงินไปทำไม อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณต้องการมีเงินเก็บ 5 ล้านบาท ก่อนอายุ 30, คุณต้องการผ่อนคอนโดหรือบ้านให้หมดภายในอายุ 33, คุณต้องการมีเงินก้อนหนึ่งสำหรับนำไปทำธุรกิจของตัวเองตอนอายุ 35, คุณต้องการเก็บออมเงินเป็นทุนไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกในต่างประเทศให้ได้ก่อนอายุ 28 เป็นต้น สิ่งนี้สำคัญมากเพราะจะทำให้คุณมีเป้าหมาย เห็นลู่ทางในการก้าวเดินไป แต่เป้าหมายนี้ต้องเป็นสิ่งในฝันที่คุณต้องการจะไปจริงๆ เท่านั้น ไม่งั้นก็ยากที่จะผลัดดันตัวคุณไปได้ถึงเป้าหมาย สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือ การปรับทัศนคติตัวเองให้เมื่อเห็นตัวเลขในบัญชีธนาคารที่เพิ่มขึ้นเป็นความสุขของคุณ เหมือนกับที่คุณได้ครอบครองของแบรนด์เนมแล้วมีความสุขยังไงก็อย่างนั้นแหละครับ ถ้าคุณทำได้สำเร็จ นี่จะทำให้คุณไม่มีความอยากเอาเงินออมของคุณไปซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของคุณเลย คุณจะคิดแต่การทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเลขในบัญชีของคุณเพิ่มขึ้นโดยไม่ออกนอกลู่ เพื่อจะทำให้คุณไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างที่ตั้งใจไว้
2.ลงมือทำ
ต่อไปก็ลงมือออมเงิน ซึ่งก็มีหลากหลายวิธีแล้วแต่บุคคลแล้ว แต่ก็มีวิธีต่างๆ ที่มีการแนะนำกันมากมาย คุณสามารถเลือกเทคนิคการเก็บเงินการออมเงินอันใดอันหนึ่งเพื่อไปประยุกต์ใช้ได้ตามสบายเลย หรือจะใช้ทั้งหมดก็ย่อมได้ (ถ้าสามารถ)
แบ่งเงินเก็บจากเงินเดือนในจำนวนที่แน่นอน วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่ทำกันง่ายมากที่สุดหากมีเงินเดือน ส่วนที่ว่าจะหักเงินเดือนเป็นเงินออมสำหรับเก็บเท่าไรนั้น ขึ้นกับภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่จำเป็นของแต่ละคน ถ้ามีภาระมากก็หักน้อย ถ้ามีภาระน้อยก็หักมาก
ซื้อสินค้าเฉพาะที่มีโปรโมชั่น มีส่วนลด หรือมีการราคาเท่านั้น แน่นอนเมื่อคุณต้องการเก็บออมเงิน คุณก็ต้องประหยัดเงินให้มากที่สุด แน่นอนย่อมต้องไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ซื้อแต่สิ่งจำเป็นเท่านั้น แต่ในชีวิตจริงนอกจากซื้อของเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้นแล้ว บางครั้งคุณก็ต้องการของใช้ฟุ่มเฟือยบ้างเพื่อความสุขส่วนตัว เช่น รองเท้า กระเป๋า น้ำหอม เป็นต้น เพียงแต่ต้องซื้ออย่างพอเหมาะ ไม่จำเป็นต้องทำตามความนิยมหรือเทรนด์ ซื้อนานๆ ครั้งเพื่อให้เป็นของรางวัลให้กับตัวเอง วิธีการซื้อของที่ไม่ว่าจะเป็นของจำเป็นต้องใช้หรือของฟุ่มเฟือยที่อยากได้นานๆ ครั้ง ให้คุ้มค่า ประหยัดเงินในกระเป๋ากว่า คือ การซื้อของที่เฉพาะช่วงมีส่วนลดหรือโปรโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นแบบซื้อจากห้างสรรพสินค้าก็มีช่วย Sales อยู่บ่อยๆ เราเลือกกันโดยเฉพาะช่วงเทศกาล วันสิ้นปี วันปีใหม่ และอื่นๆ หรือที่นิยมยอดฮิตในปัจจุบันคือการสั่งซื้อของออนไลน์ อันนี้ยิ่งง่ายในการหาส่วนลดต่างๆ หลายร้านค้าออนไลน์ก็จะทำการตลาดในส่วนนี้อยู่แล้ว เพื่อกระตุ้นยอดขายและจูงใจลูกค้า
ตั้งงบค่ากินของแต่ละวันเป็นจำนวนที่ไม่มากแต่ก็พอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสามมื้ออย่างไม่ลำบาก เช่น ตั้งไว้จะต้องมีค่ากินไม่เกินวันละ 150 บาท
งดซื้อกาแฟราคาแพง โดยเฉพาะพนักงานหนุ่มสาวออฟฟิศแล้ว เรียกได้ว่าดื่มกันทุกวัน ขั้นต่ำก็คนละแก้ว บางคนก็ 2 แก้วขึ้นไปก็มี กาแฟเหล่านี้แก้วหนึ่งราคาไม่ใช่ถูกๆ เลย ขายกันแก้วละ 70 บาทบ้าง กาแฟบางร้านโดยเฉพาะร้านชื่อดังขายขั้นต่ำกันแก้วละ 100 บาทกันเลยทีเดียว หากคำนวณกันดีๆ แล้ว ถ้าหากในหนึ่งเดือนคุณมีวันทำงานทั้งหมด 20 วัน คุณดื่มกาแฟราคาแพงเหล่านี้วันละ 1 แก้ว ราคาแก้วละ 70 บาท ในหนึ่งเดือนคุณต้องจ่ายทั้งหมด 1400 บาท หากคิดใน 1 ปี คุณต้องจ่ายค่ากาแฟเหล่านี้ถึงปีละ 16800 บาทเลยทีเดียว และยิ่งไปกว่านั้นหากคิดคำนวณไป 10 ปีล่ะ หมายความว่า คุณต้องจ่ายค่ากาแฟราคาแพงเหล่านี้ถึง 168,000 บาทเลยทีเดียว การงดกาแฟเหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดเงินอยู่มากโขเลย แต่หากคุณต้องกินกาแฟล่ะ หากไม่กินคุณก็จะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนไม่สามารถทำงานได้ หากเป็นเช่นนี้ ทางออกหนึ่งคือการเลือกดื่มกาแฟโดยการทำเอง ซึ่งในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเรื่องยากเลย มีทั้งเป็นแบบผงที่ต้องชงเองหรือแบบซองที่เป็นสำเร็จรูป ซึ่งเหล่านี้ราคาถูกกว่าหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
เก็บเหรียญเศษสตางค์ไว้ทั้งหมด ในแต่ละวันเมื่อใช้เงินสดใช้จ่าย แน่นอนต้องได้เงินท่อนที่เหรียญ วิธีการคือ เก็บเหรียญเงินทอนเหล่านั้นหยอดกระปุกเป็นเงินออมทั้งหมด หากนับกันรวมๆ ในแต่ละเดือน เหรียญที่ได้ก็ไม่ใช่มูลค่าน้อยๆ เลย
ความคิดเห็น