ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | 99% PERCENT | #YUGBAM #JARK #BNIOR (END)

    ลำดับตอนที่ #12 : PERCENT: 11%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.38K
      49
      29 พ.ค. 58






    PERCENT 11%


     

     

    “แล้วต่อไปเราจะเอายังไงกันหรอครับ”

     

    ยูคยอมยักไหล่เขาไม่รู้จะตอบคำถามนี้ได้ยังไงในเมื่อยังไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเมิร์คกำลังทำอะไรนอกจากทำตัวเป็นพวกหมาลอบกัดไปวันๆเขาก็ไม่เห็นจะมีครั้งไหนที่เมิร์คประกาศสงครามออกมาโต้งๆเมื่อคืนนี้ก็ด้วย แถมมันยังทำปาร์ตี้ฉลองปิดเทอมล่มไม่เป็นท่าเพราะนิชคุณเห็นว่ามันอาจจะไม่ปลอดภัยถ้ายังอยู่ที่นี่ไม่แน่พวกเมิร์คอาจจะไม่ไปไหนพร้อมพรรคพวกอีกเป็นร้อยๆของมันนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เขาต้องขับรถกลับทั้งๆที่เพิ่งมาถึงเมื่อวานซืนนี้เอง

     

    แบมแบมถอนหายใจสลับกับมองหน้าคนขับรถที่ตีหน้านิ่ง จริงๆทุกคนดูเครียดกันตั้งแต่ก่อนออกมาจากบ้านพักต่างอากาศนั่น แบมแบมตกใจที่เขารู้เรื่องยองจีเขาไม่คิดหรอกว่ามนุษย์จะทำแบบนี้ถึงเพื่อนของยูคยอมบางคนจะเป็นนักล่าแต่พวกนั้นเคยบอกว่านักล่าคือมนุษย์ที่ดีและไม่ต้องการสงคราม แต่มาร์คก็พูดว่าคงเว้นฮอยองจีไว้คนนึง

     

    “นายอยากเจอมิทรีไหม” คำถามของยูคยอมทำให้แบมแบมเบิกตากว้างก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ เขาอยากเจอมิทรีมานานแล้ว อยากจะขอบคุณสำหรับทุกๆเรื่องที่มิทรีให้เขาและแบมแบมเองก็อยากจะรู้ว่าหน้าตาของมิทรีจะเป็นยังไง ผ่านไม่รู้กี่ร้อยปีอาจจะแก่เหมือนในหนัง

     

    “คืนนี้เตรียมตัวไว้แล้วกันฉันจะพาไป” ยูคยอมพูดแค่นั้นแล้วชายหนุ่มก็ไม่พูดหรือตอบคำถามอะไรอีกจนถึงหอพัก

     

    ยูคยอมหายไปตั้งแต่ลงจากรถและไม่สนใจแบมแบมสักนิดว่าจะไปไหนแต่แบมแบมก็เข้าใจว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวายไปหมด แถมตัวเขาเองก็มีส่วนในหลายๆเรื่องอยู่เหมือนกันไม่ว่ามันจะเป็นโชคชะตาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ ทำให้มันเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นและทำให้ทั้งหมดแย่ลงทุกวันเหมือนตอนนี้ แบมแบมอยากจะตะโกนถามว่าพอใจรึยังกับสิ่งที่ทำให้มันเกิด

     

    ไม่ว่าต่อไปนี้มันแย่ลงเรื่อยๆหรือมันอาจจะทำให้เขาต้องตายแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนคนที่ตายแล้วสักเท่าไหร่หรอก เขากลัวน้อยลงและมันเริ่มน้อยลงทุกวันเมื่อก่อนเขาเคยกลัวการเผชิญหน้า กลัวสังคม กลัวทุกอย่างรอบตัว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชีวิตหลังการเป็นมิททีมันทำให้รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาไปในทางที่ดีกว่าตอนก่อนหน้านั้น แม้จะต้องเจอกับเรื่องที่คาดไม่ถึงตามมาด้วยก็เถอะแต่มันก็ทำให้เขามีความสุข ไม่รู้สึกโดดเดียวเหมือนมีพี่น้องและครอบครัว

     

    แบมแบมกำลังจะงีบหลับเพราะช่วงนี้เขารู้สึกเหนื่อยและเพลียตลอดแต่เสียงเคาะประตูทำให้เขาต้องสะดุ้งและยันตัวเองลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างหงุดหงิด เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นยูคยอมนี่เพิ่งจะเกือบๆหนึ่งทุ่มและแน่นอนยูคยอมไม่มีมารยาทขนาดจะเคาะประตูนี่ก่อนเข้ามาหรอก เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกรอบในเวลาห่างกันไม่ถึงสองนาที แบมแบมจัดทรงผมดีๆก่อนจะเดินไปเปิดมัน

     

    “ฉันมารบกวนนายหรือเปล่า” เสียงคนถามดูรู้สึกผิดเมื่อเห็นสภาพโทรมๆของคนที่เปิดประตูมาด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่น

    “ไม่เลย” แบมแบมส่ายหัว “เข้ามาก่อนสิจีมิน” แบมแบมหลบเพื่อให้จีมินมินเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไป

     

    จีมินนั่งลงบนที่นอนเธอแค่นั่งอยู่เงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกมา สีหน้าเธอดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูด แบมแบมที่นั่งมองอยู่จึงได้แต่นั่งเงียบๆบางทีจีมินอาจจะกำลังมีเรื่องให้คิดเยอะและเธอแค่อยากจะนั่งเงียบๆที่เขาเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นเพราะบางครั้งเขาก็เป็น

     

    “จริงๆฉันมีของจะให้นายด้วยนะ” จีมินยอมเปิดปากพูดอะไรออกมาบ้าง “แต่นายต้องสัญญากับฉันว่าจะดูแลมันให้ดีที่สุด” เธอพูดพลางมองหน้าแบมแบมและเขาก็พยักหน้า

    “เธอก็รู้ว่าฉันทำให้เธอได้ทุกอย่าง เธอคือเพื่อนรักของฉันนะจีมิน” แบมแบมตอบกลับไปและที่ทำให้แปลกใจคือจีมินร้องไห้ เขาไม่คิดว่าแวมไพร์จะร้องไห้ได้เหมือนมนุษย์แต่จีมินร้องไห้ได้เหมือนมนุษย์จริงๆแวมไพร์มีน้ำตาเหมือนกับพวกมนุษย์

     

    เธอโผเข้ากอดแบมแบมแรงกอดรัดแน่นจนแบมแบมหายใจแทบไม่ออกแต่เขาก็ใช้มือลูบหลังเธอเบาๆและไม่ห้ามให้เธอหยุดร้อง กระบวนความเจ็บปวดของทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะหายเจ็บหรือเข้าใจภายในวันเดียวไม่ต่างจากคนที่อกหักหรือตอนที่เราเศร้าที่สุด ถ้าเราจะเสียใจเพราะอะไรสักอย่างมันก็ควรจะเสียใจให้สุดๆ ร้องไห้ให้สุดๆ อย่าไปบอกตัวเองว่าจะต้องหายเจ็บเร็วๆเพราะมันก็คงไม่ต่างกับการหลอกลวงตัวเอง

     

    “มีอะไรบอกฉันได้นะจีมิน” แบมแบมบอก เขาไม่อยากรบเร้าแต่เขารู้ว่ามีเรื่องกวนใจจีมินมาตั้งแต่จีมินโดนสะกดจิตและเธอก็เริ่มร่าเริงน้อยลง “ฉันเป็นเพื่อนเธอนะ”

     

    จีมินส่ายหัวแม้เธอจะร้องไห้น้ำตาของเธอกลายเป็นเลือด แบมแบมตกใจรีบหาทิชชู่มาเช็ดให้แต่ยิ่งเช็ดจีมินก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น แบมแบมจำได้ว่าตอนที่เขาเรียนวิชากายภาคของอาจารย์ปาร์คมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบภายในตัวของแวมไพร์และร่างกายของแวมไพร์ก็ใกล้เคียงกับมนุษย์เพียงแต่ว่าบางอย่างเกินขีดจำกัดทางวิทยาศาสตร์และมันหาคำตอบไม่ได้ เรื่องน้ำตาเลือดนี่ก็เหมือนกันแวมไพร์จะร้องไห้ยิ่งร้องไห้เยอะน้ำตาก็จะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงสด แม้จะดูน่ากลัวแต่นั่นหมายถึงความโศกเศร้ารุนแรงและจีมินกำลังเป็น

     

    “เปล่าหรอก ฉันแค่สับสนอะไรในตัวเองนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย” จีมินพยายามยิ้มแม้น้ำตาที่เป็นสีเลือดมันจะหายไปแล้ว

    “เธออย่าหลอกฉันนะ เธอเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีนะจีมิน” แบมแบมย้ำอีกครั้งแต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม

    “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ นี่ของที่ฉันจะให้นาย เก็บมันไว้นะแบมแบม” จีมินหยิบสร้อยคอของเธอยื่นให้ ข้างในมันเป็นรูปเขากับจีมินที่เคยถ่ายไว้ตอนที่ฝึกด้วยกันเมื่อเดือนก่อน

    “ขอบใจนะจีมิน” แบมแบมพูดพร้อมทั้งยิ้มให้

    “ไม่เป็นไร” จีมินตอบ เธอบีบมือแบมแบมอีกครั้ง “ฉันไปก่อนนะว่าจะไปช่วยร้านพี่คุณ นายจะไปด้วยกันไหม”

     

    แบมแบมครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าตกลง เขาส่งข้อความไปบอกยูคยอมว่าจะไปรอที่ร้านนิชคุณแม้ยูคยอมจะไม่เคยตอบข้อความกลับมาแต่ก็เปิดอ่านทุกครั้ง

     

     

    ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำที่จะมาถึงที่หมายเพราะเดี๋ยวนี้แบมแบมหายตัวบ่อยมากไม่ก็วิ่งเร็วมันเร็วเหมือนซีรีส์เดอะแฟลชที่เคยดูทางโทรทัศน์ ร้านนิชคุณมีมิททีเยอะเหมือนทุกครั้งรวมไปถึงพวกพ่อมดฝึกหัด ตอนนี้แบมแบมรู้มาว่ามิททีกำลังรับพ่อมดฝึกหัดและบางคนก็เป็นพวกมิททีหมายถึงเป็นแวมไพร์ที่ต้องการจะเป็นพ่อมด

     

    “ผมนึกว่าอาจารย์จะปิดร้านซะอีก” แบมแบมเอ่ยทักคนที่เดินออกมาจากประตูครัวพร้อมถาดอาหาร นิชคุณหัวเราะและส่ายหน้าก่อนจะส่งต่อถาดอาหารให้กับจีมิน

    “นายก็รู้ว่าครูไม่ได้ต่อสู้เหมือนพวกนายและสบายดีทุกอย่าง” นิชคุณตอบพลางหยิบเลือดในถุงออกมายืนให้กับมิททีหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังแบมแบม

    “แล้วเรื่องพ่อมดแม่มดฝึกหัดเป็นยังไงบ้างครับ เจอใครที่เจ๋งๆบ้างไหม” คำถามของแบมแบมเหมือนเป็นเรื่องตลก นิชคุณหัวเราะไม่หยุด

    “ก็พอมีนะแต่วันนี้หมอนี่ไม่ได้มาที่นี่ ไว้ฉันจะแนะนำให้รู้จัก” แบมแบมพยักหน้าก่อนจะรับผ้ากันเปื้อนจากนิชคุณมาสวมและช่วยจีมินเสิร์ฟอาหารเหมือนทุกๆครั้ง

    เกือบห้าทุ่มแล้วลูกค้าในร้านเริ่มเบาบางเพราะมิททีและซอร์ต้องเข้าเรียนกันแล้ว แบมแบมไม่ต้องไปเรียนในระดับต้นๆทำให้ช่วงนี้เขาว่างและว่างยาวไปอีกหลายอาทิตย์

     

    “นี่ แบมแบมไม่ได้กินเลือดมากี่วันแล้วเกินสองวันหรือยัง” นิชคุณถามเมื่อเขาไล่ลูกค้าคนสุดท้ายออกไปเรียบร้อยแล้ว

    แบมแบมเลิกคิ้ว “เกินสองวันแล้วครับ”

    “งั้นรอเดี๋ยวนะ” นิชคุณบอกแค่นั้นก่อนจะเดินไปหลังเคาน์เตอร์เปิดตู้เย็นและหยิบถุงเลือดออกมาแล้วโยนมันให้แบมแบม “กินซะหน้านายโทรมมากรู้ตัวไหม”

    แบมแบมหัวเราะ “ขอบคุณนะครับ”

     

    เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้น ยูคยอมเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ เขายักคิ้วให้นิชคุณเล็กน้อยแล้วหันไปสนใจคนที่กำลังคาบถุงเลือดในปาก แบมแบมรีบบีบมันเข้าปากจนหมดแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่มตามเพื่อล้างปากก่อนจะถอดเสื้อกันเปื้อนส่งให้จีมิน

     

    “ไปก่อนนะแล้วเจอกันจีมิน” แบมแบมบอกเพื่อนสาว “ไปก่อนนะครับอาจารย์” เขาโค้งให้นิชคุณก่อนจะวิ่งตามยูคยอมออกไป

     
     

     

     
     

     

    สองข้างทางมืดสนิทตั้งแต่หน้าประตู แบมแบมไม่อยากเชื่อว่ามิทรีจะอยู่ในที่ที่ลึกขนาดนี้มันไกลจากเมืองอยู่มากและแน่นอนเงียบสงบและบรรยากาศเย็นยะเยือกจนน่ากลัวยิ่งเข้าใกล้ช่วงฤดูหนาวแบบนี้แล้วด้วยยิ่งทำให้มันดูวังเวงเข้าไปอีก

     

    เสียงเอี๊ยดอาดของประตูบ้านทำเอาแบมแบมตกใจเพราะก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปใกล้ๆยูคยอม นอกจากเสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีกแม้กระทั่งเสียงคุย

     

    “รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันไปดูก่อนว่ามิทรีอยู่ไหม” ยูคยอมออกคำสั่งให้แบมแบมนั่งรอที่หน้าห้องดูเหมือนจะเป็นห้องนอน

    “อ่าครับ”

     

     

    เกือบครึ่งชั่วโมงที่ยูคยอมหายเข้าไปในห้องนั้น ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ในโลกของมิททีไม่มีอะไรแบบนั้นถึงจะเปลี่ยนตามมนุษย์ไปหลายอย่างแต่โลกนี้คงไม่มีองค์กรไหนเข้ามาตั้งเสาแน่นอนแบมแบมมั่นใจ แถมบางครั้งในเซนต์ดิมิทรีตอนกลางคืนก็ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารเหมือนกัน

     

    แอดด

     

    เสียงประตูเปิดทำให้แบมแบมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟานุ่ม ใบหน้าของคนที่ไม่เคยและเขาเดาเอาว่าน่าจะเป็นมิทรีคิมมันทำให้แบมแบมประหลาดใจ เพราะเขาดูดีและยังหนุ่มมากว่าที่คิดเอาไว้ไม่เหมือนคนที่อายุเป็นพันปีเลยสักนิดเหมือนคนอายุสักสามสิบกว่ามากกว่าและท่าทีของมิทรีดูเป็นคนใจดีมากกว่าที่จะโหดๆดุๆเหมือนที่ยูคยอมเป็น

     

    “สวัสดีครับมิทรี” แบมแบมเอ่ยทักแล้วโค้ง

    “ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรขนาดนั้นหรอก ทำตัวตามสบายเถอะ”  มินจุนบอกก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวที่ใกล้ที่สุดพลางมองลูกชายคนเล็กที่เดินไปนั่งข้างๆเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าตาน่ารัก

    “มีเรื่องอะไรอยากถามมิทรีก็ถามได้” ยูคยอมบอกส่วนตัวเขาเองเพียงแค่นั่งไขว้ห้างมองพ่อของตัวเองด้วยท่าทางกวนประสาท

    แบมแบมอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะได้เจอมิทรีคิมใกล้ขนาดนี้มันทำให้เจ้าตัวสั่นเล็กน้อยและคำถามที่อยากถามคำก็ลืมมันไปเกือบหมด

    “ถามมาสิ ถ้าคนแก่ๆแบบฉันตอบได้ก็จะตอบนะ” มินจุนพูดแล้วหัวเราะ

    “มิทรียังไม่แก่หรอกครับ” แบมแบมพูด “ทำไมมิทรีเลือกผมล่ะครับแล้วมิทรีรู้ไหมว่าเรื่องทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นมันจะต้องเป็นแบบนี้” แบมแบมถาม

    “เพราะเธอเหมือนกับเป็นตัวแทนแห่งแสงสว่างถึงเธอจะเป็นมิททีแต่สิ่งที่ยังอยู่ในตัวของเธอก็คือจิตใจที่บริสุทธิ์ของเธอยังไงล่ะ ส่วนทุกอย่างที่เกิดขึ้นบางครั้งมันก็เป็นโชคชะตาแต่บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามสิ่งที่คนเรากระทำเข้าใจไหม” มินจุนพูดยาวเหยียด

    “ทุกอย่างจะแย่ลงไหมครับ” แบมแบมเคยอ่านหนังสือของพวกมิททีเลยรู้ว่ามินจุนสามารถรู้ล่วงหน้าได้ แต่เหมือนคำถามแบมแบมจะเป็นเรื่องตลกของวันนี้อีกแล้วล่ะมั้ง มินจุนเอาแต่หัวเราะแล้วส่ายหน้า

    “ฉันรู้ถึงอนาคตแต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ หมายถึงว่าบางครั้งมันก็เปลี่ยนได้”

     

    มินจุนลุกขึ้นจากโซฟาตรงไปที่ชั้นหนังสือ เขาก้มๆเงยๆเหมือนหาหนังสืออะไรสักอย่าง ยูคยอมเอื้อมแขนไปโอบไหล่เล็กไว้แล้วดึงเข้ามาหาตัว

     

    “ฉันหิว” ยูคยอมกระซิบบอก

    แบมแบมสะดุ้ง “ผมไม่หิว”

    ยูคยอมหัวเราะในลำคอแล้วขยี้กลุ่มผมสีดำจนยุ่งเหยิง “ฉันหมายถึงหิวเลือดนาย”

     

    เสียงกระแอ้มดังมาจากข้างหลังทำให้แบมแบมรีบปัดมือยูคยอมทิ้ง เขายิ้มแห้งๆให้มินจุนที่กลับเข้ามานั่งที่เดิมพร้อมหนังสือเก่าๆในมือวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าแบมแบม

     

    “มันเกี่ยวกับเรื่องครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์เอาไปศึกษาดู เพื่อว่ามันจะพอช่วยอะไรเธอได้บ้าง” มินจุนบอก

    ขอบคุณมากนะครับท่าน”

    “ด้วยความยินดี ฉันขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันจะอยู่ต่อก็ตามสบายไอ้ลูกชาย” 



     








    - CUT -
     




     

    แวมไพร์หนุ่มกำลังกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนของแจ็คสัน มาร์คฟื้นตัวในทุกๆเรื่องได้ไวเกือบหมดเหมือนพวกมอนสเตอร์ในเกมก็เปรียบได้ว่าเป็นตัวบอสส่วนตัวแจ็คสันคงเป็นลูกสมุน

     

    วันนี้มีเรื่องให้แจ็คสันแปลกใจตั้งแต่เจอมาร์คหน้าบ้าน ไม่คิดว่ามาร์คจะมาจริงๆมาร์คคงไม่ต้องการมาให้เขาเห็นแต่บังเอิญเขาก็กำลังฝึกใช้อาวุธอยู่ที่หน้าบ้านพอดี มาร์ควิ่งหนีเขาในตอนแรกแต่เขารั้งมาร์คไว้และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมมาร์คถึงมาอยู่ที่นี่ตอนนี้และเกิดเหตุการณ์เมื่อกี้ขึ้น

     

    “นอนที่นี่ไหม” แจ็คสันเอ่ยถาม

    มาร์คส่ายหน้า “คงไม่ได้ แค่นี้ฉันก็รู้สึกผิดต่อพ่อแม่ของนายจะแย่ ฉันกำลังผิดคำพูดของพวกเขา” มาร์คบอกด้วยสีหน้าหวั่นๆ “ฉันไม่อยากให้ตัวฉันเองที่เป็นคนทำลายเรื่องของเราจนพังเพียงเพราะฉันคิดถึงนาย”

     

    แจ็คสันดึงมาร์คเข้ามากอด เขารู้ดีว่ามาร์คกำลังเจ็บปวดที่ทำผิดกับแม่ของเขาและมาร์คเองก็ต้องต่อสู้กับความคิดถึงเหมือนที่เขากำลังเจอ พวกเขาไม่เคยห่างกันเกินสามวันมากสุดไม่เกินห้าวันแต่นี่หลายอาทิตย์ เจอกันที่โรงเรียนมาร์คก็ไม่คุยทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่ามาร์คเสียใจ

     

    “ฉันจะคุยกับพ่อแม่ให้รู้เรื่อง ฉันจะไม่ยอมให้เราห่างกันไปมากกว่านี้อีกแล้วนะมาร์ค” แจ็คสันพูด สองมือประคองแก้มนิ่มแล้วกดจูบลงบนหน้าผากเนียน

     

    “คุยกันตอนนี้เลยไหม” เสียงคุ้นเคยทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกัน

    “แม่!



    70%


     

    แจ็คสันนั่งจับมือมาร์คอยู่ข้างๆแม้ตอนนี้จะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องกลัวอีกต่อไปแล้วเพราะอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอกันมันทำให้เขาแทบเป็นบ้าและมันน่ากลัวกว่าตอนนี้เป็นเท่าตัว ตาคมมองหน้าพ่อกับแม่สลับกับแวมไพร์ที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ไม่บ่อยนักหรอกที่จะเห็นมาร์คจ๋อยขนาดนี้

     

    “เธอบอกว่าเธอรับคำสัญญาแต่ฉันยังไม่ได้พูดเลยว่าฉันรับได้ ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่” เสียงของแม่แจ็คสันทำให้มาร์คตัวหดเหลือสองนิ้ว

    “คะ...คือว่า ผม..ผม” มาร์คอ้ำอึ้งเขาไม่รู้จะพูดอะไรในเมื่อตัวเองเป็นคนผิดเต็มๆ

    “แม่ครับเลิกว่ามาร์คเถอะผมเป็นคนรั้งให้เขาอยู่ ผมรักมาร์คมากพ่อกับแม่ได้โปรดอย่าห้ามเราสองคนเลยนะครับ” แจ็คสันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาบีบกระชับมือมาร์คที่สั่นเล็กๆแน่น

     

    แม่แจ็คสันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เธอพยายามแนะนำยองจีให้แจ็คสันแต่ลูกชายก็ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ชอบไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย เธอทำทุกอย่างเพื่อให้แจ็คสันอยู่ห่างจากพวกแวมไพร์และไม่คิดว่าการไปเรียนที่นั่นแจ็คสันจะได้แฟนที่ไม่ใช่คนแถมยังเป็นลูกชายคนโตของต้นตระกูลใหญ่อีก เธอกลัวเหลือเกินว่าแจ็คสันจะเป็นอันตรายเพราะแวมไพร์หน้าตาน่ารักข้างๆนั่นและที่เธอกลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือวันนึงแจ็คสันต้องตายแต่มาร์คจะอยู่ไปอีกหลายร้อยปีมันไม่มีทางไปกันได้ เธอไม่อยากให้ลูกชายคนเดียวของเธอเสียใจ

     

    “พ่อรู้ว่าห้ามเราสองคนไม่ได้ แต่ที่พ่อกับแม่ห่วงก็เรื่องของความต่างเพราะรู้ใช่ไหมว่าวันนึงมนุษย์ก็ต้องตายลงแต่แวมไพร์จะยังอยู่ พ่อกับแม่ไม่อยากให้ลูกเสียใจถ้าวันนึงลูกตายแล้วต้องทิ้งคนที่ลูกรักไว้เบื้องหลัง” พ่อแจ็คสันพูดถึงเหตุผลที่คิดตรงกัน เป็นเหตุผลที่มาร์คเองก็ยังกลัว

     

    “ผมรู้ครับว่ามันยากที่เราจะพูดว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ผมมองแค่ปัจจุบันแค่ผมรู้สึกว่าทุกๆวันผมมีมาร์คแค่นั้นก็พอแล้ว ผมเต็มใจถ้าวันนั้นจะมาถึงผมยินดี” แจ็คสันบอก

    “ลูกมั่นใจใช่ไหมแจ็คสัน” คนถูกถามพยักหน้า “งั้นลูกต้องดูแลมาร์คให้ดีๆเพราะแม่เชื่อว่ามาร์คเป็นมิททีที่ดีและจะไม่ทำให้ลูกแม่เสียใจ” เธอบอกพร้อมรอยยิ้ม

    แจ็คสันโผเข้ากอดคนเป็นแม่แน่น

    “ขอบคุณนะครับแม่ ผมรักพ่อกับแม่”

    “แม่กับพ่อก็รักลูกนะ” เธอบอกแล้วลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดูก่อนจะกวักมือเรียกมาร์คมาใกล้ๆแล้วกอดแฟนลูกชายด้วยความเอ็นดูไม่ต่างกัน

    “แม่ฝากเจ้าบ้านี่ด้วยนะมาร์ค” เธอพูดขำๆ

    “ได้เลยครับคุณน้า” มาร์คยิ้มตอบจนตาหยี

     

    พ่อกับแม่ของแจ็คสันออกไปข้างนอกแล้วหลังจากเคลียร์เรื่องของลูกชายเสร็จเรียบร้อย เธอบอกให้มาร์คค้างกับแจ็คสันได้ตามสบายแถมยังชวนให้มาอยู่ด้วยกันเลย แจ็คสันเห็นดีเห็นงามแต่มาร์คปฎิเสธเพราะเขาไม่เหมาะจะอยู่ในโลกมนุษย์นานเกินไปมันทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

     

    “ดีใจที่พ่อกับแม่เข้าใจ” แจ็คสันบอกพลางกอดร่างบางจากด้ารหลัง จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอขาวสูดดมเข้าไปเต็มปอด

    “ฉันโล่งใจมากเลยแจ็คสัน มีความสุขมากที่สุดเลยด้วย” มาร์คพูดตอบกระชับมือแจ็คสันให้กอดเอวแน่นกว่าเดิม “แต่มีเรื่องให้นายช่วย เรื่องของยองจี”

    แจ็คสันเลิกคิ้ว “ยองจีทำไม”

    “ยองจีเป็นคนทำลายอาคมบ้านบนเขา ฉันมั่นใจว่ายัยบ้านั่นกำลังเลือกข้างผิดนะ” มาร์คพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอพูดเรื่องยองจีทีไรเขารู้สึกอารมณ์เสียทุกทีอยากจับมาฆ่าให้ตายๆไปซะ น่ารำคาญ

    “เป็นไปได้ไหมว่ายองจีจะโดนสะกดจิต” แจ็คสันถาม เขาไม่คิดว่าจะมีมนุษย์หรือว่านักล่าคนไหนอยากจะเปิดสงครามกับพวกแวมไพร์เท่าไหร่

    มาร์คส่ายหัว “ฉันเอาหัวเป็นประกันเลย ยัยนั่นน่ะเต็มใจพันเปอร์เซ็นต์เพราะฉะนั้นนายต้องช่วยฉันหาวิธีจัดการยัยนั่นไปให้พ้นๆก่อนฉันจะโมโหแล้วฆ่าเธอตายซะก่อน”

     

    แจ็คสันหัวเราะลั่น

    “ใจเย็นๆ ฉันว่าบางทีเราก็ต้องปรึกษาคนอื่นๆดูหมายถึงพวกนักล่าคนอื่นหาวิธีจัดการเธอ” แจ็คสันบอกทางออกที่เป็นได้และไม่ทำให้มาร์คตกเป็นข้อกล่าวหา

    มาร์คยิ้มแล้วหมุนตัวไปกอดแจ็คสันแน่น

    “ขอบคุณนะ”

     

    แจ็คสันกับมาร์คจบบทสนทนาแล้วหันมาสนใจหนังแอ็คชั่นในช่องที่เพิ่งเปิดดู เป็นช่องโปรดของมาร์คแม้หลายๆครั้งแจ็คสันจะเถียงกับมาร์คเรื่องนี้เพราะต้องการดูช่องกีฬาแต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อมาร์คบอกจะกลับ แน่นอนแจ็คสันดูย้อนหลังได้และไม่เถียงสักคำ

     

    เสียงโทรศัพท์ทำให้มาร์คละจากหน้าจอทีวีเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ข้างหัวเตียง หน้าจอโชว์เบอร์น้องชายมันทำให้มาร์คแปลกใจมาก ร้อยวันพันปียูคยอมไม่เคยจะโทรมาหมอนั่นทำตัวเหมือนล้าหลังต่อเทคโนโลยีแบบนี้ ไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ

     

    “ว่าไงน้องชาย” มาร์คกรอกเสียงลงไปก่อนปลายสายจะทัก

    “รีบมาที่สุสานด่วนที่สุด” ยูคยอมบอกแค่นั้นก็กดวางสายไป เป็นพฤติกรรมที่น่าแปลกแต่เขาก็ลุกขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย

    “จะไปไหนมาร์ค” แจ็คสันที่เดินเข้าห้องมาหลังจากเพิ่งไปหาอะไรมากินแก้เหงาปากในครัวถามขึ้น

    “มีเรื่องด่วน จะไปด้วยกันไหม” แจ็คสันพยักหน้า

     

    ไม่ถึงสิบนาทีทั้งคู่ก็มาถึงที่ยูคยอมบอก เขาเห็นหลายคนอยู่ตรงนั้น มินโฮ วอนพิล ไบรอัน แจฮยอง แบมแบม ทุกคนยืนรวมตัวกันเป็นกลุ่มนั่นยิ่งทำให้มาร์คสงสัยเข้าไปใหญ่

     

    “มีเรื่องอะไรกัน” มาร์คเอ่ยปากถามทันทีที่เดินมาถึง

    “พวกเมิร์คมันจับจินยองไป จีมินก็ด้วย” วอนพิลเป็นคนตอบคำถามมาร์ค มาร์คสถบออกมาด้วยความหงุดหงิด เขาเพิ่งจะเจอกับพวกเมิร์คเมื่อวันก่อนวันนี้ก็เอาอีก พวกนี้ทำเกินไปแล้ว

    “แล้วทำไมถึงรู้ล่ะว่าเป็นเมิร์ค” แจ็คสันถาม

    “มีมิททีเห็นว่าพวกนั้นจับตัวพี่จินยองกับจีมินไป เห็นบอกว่าจีมินดูเหม่อๆผมว่าเธอโดนสะกดจิตนะ” คราวนี้ไบรอันเป็นบอก เขามั่นใจว่าจีมินกับจินยองก็น่าจะสู้ได้ไม่น่าจะถูกจับไปง่ายๆยิ่งในสุสานนี่ด้วย มันคือเขตของมิทที

    “ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น มันแย่มากไอ้พวกห่านั่นมัน...” ยูคยอมสถบเขาโมโหเพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้ความลับบางอย่าง “มันต้องทำอะไรสองคนนั้นแน่ๆ”

     

    คำพูดของยูคยอมทำให้ทุกคนกังวล มาร์คอยากจะบุกไปที่โลกของเมิร์คซะตอนนี้ถ้าไม่ติดว่ามันคือการฆ่าตัวตายมันอาจจะเลื่อนสงครามให้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม ความโกรธอาจจะทำให้ทุกอย่างพังพ่อเขาบอกเสมอว่าอย่าวู่วามแต่มาร์คเป็นห่วงมากจริงๆ

     

    “คืนนี้ไปที่บ้านฉันเราจะระดมความคิดเพื่อช่วยจินยองกับจีมินกัน ฉันจะไปตามอาจารย์นิชคุณและปรึกษาผู้ใหญ่คนอื่นก่อน” มาร์คออกคำสั่ง “ส่วนนายยูคยอม อย่าวู่วามไม่งั้นเราจะตายกันหมด”

     

    มาร์คทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะพาแจ็คสันหายตัวไป






    talk,

    มาเร็วพร้อมกับคู่จาร์ค <3
    มีอะไรตืหรือแนะนำหรืออื่นๆ เม้นท์บอกได้
    เราไม่บังคับนะแต่เราก็อยากให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับฟิคเรานะ
    หวังว่าอ่าน NC จบจะกลับมาเม้นท์ให้นะะะะ ;-;
    หรือสกรีมแท็กที่มีคนสกรีมอยู่น้อยนิดที่ #ฟิคยบ99
    อ่านฉากคัทได้ที่เฟบทวิตเตอร์ @jarkjy_ 
    หวังว่าทุกคนจะอ่านหนังสือเกิน8บรรทัดนะคะ เฟบทวิตตต!!!!!!!

    เพิ่มเตืม : มีคนงงตรงฉากcut เยอะเลย  = =' 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×