ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ 20 เนื้อคู่เป็นงูเผือก (ตอนจบ)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.87K
      83
      23 พ.ย. 63

    บทที่ 20 เนื้อคู่เป็นงูเผือก (ตอนจบ)


    พันตรีราวกับถูกโอบกอดไว้ด้วยปุยนุ่นมันอุ่นสบายและนุ่มนวล เด็กหนุ่มใจเต้นขึ้นมา ไม่อยากลืมตาเท่าไร จึงพยายามคิดใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น อักษราภัคบอกว่ากลับมาหาเขาแล้วจริงๆ เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่หลอกให้เขาดีใจเก้อ ดอกไม้ในก้นบึ้งเติบโตรวดเร็วเมื่อได้ความหวังชโลมเลี้ยง เขานึกถึงดอกกระดุมทองขึ้นมา งูเผือกยื่นให้เขา มันเหมือนมีแสงเรืองรองเพียงน้อยนิด หากเขาไม่ตาฝาดไปเอง แสงนั้นอาจเป็นความหวังของเขา

    พันตรีค่อยๆลืมตาขึ้นมองทีละนิด แสงสว่างที่ตกกระทบไม่เจิดจ้าจนทำให้ตาพร่ามัว พันตรีรับรู้ถึงความร้อนผะผ่าวที่โอบกอดไว้

    เด็กหนุ่มยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าร่างกายขาวเนียนของอักษราภัคนอนกอดเอาไว้แนบชิด เขายื่นหน้ามองใกล้กับศีรษะของอีกฝ่าย เส้นผมดำขลับแผ่ปกคลุมไปทั่วหมอนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆต้อนรับเขา เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายช้าๆ ยื่นมือไปจับแตะที่ข้างแก้มของเจ้าตัว ความอุ่นแผ่มาถึงฝ่ามือ เขาถึงลูบไปจนถึงคิ้วข้างซ้ายและที่เปลือกตาจนนึกถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปแล้วอดสั่นไหวไม่ได้ เขาขยับไปจูบลงบนเปลือกตาข้างนั้น แล้วนอนซบที่ไหล่ของอีกฝ่ายแทน

    หัวใจกลับมาเต้นจังหวะเดิม เมื่อรู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน มันเหมือนว่าความตื่นเต้นดีใจผ่านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ราวกับว่าพันตรีนอนหลับเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะช่วงที่เขาอยู่กับงูเผือก เขาสะดุ้งตื่นกลางดึก เพื่อมองดูว่างูนอนหลับสบายหรือไม่

    อักษราภัคยังคงนอนเปลือยเปล่าเช่นเดิม มือข้างถนัดเอื้อมลงไปควานหาผ้าห่มก่อนจะดึงขึ้นมาคลุมร่างของอีกฝ่ายไว้ แล้วสอดมือเข้าไปกอดคนข้างตัวไว้

    เมื่อคืนเงาร่างเป็นของใครกัน พันตรีฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงผงกศีรษะมองไปที่ผนังห้องว่างเปล่า แสงสว่างนวลตาสอดส่องผ่านม่านที่เปิดไว้ครึ่งเดียว เขาคิดว่าคงเช้าตรู่อยู่ เมื่อไม่เห็นว่ามีใครเขาจึงนอนลงต่อ เขาเอื่อยเฉื่อยเพราะวันนี้ยังคงเป็นวันหยุด

    พันตรีไม่ง่วงอีกต่อไปจึงเอื้อมไปจับมือซ้ายของอักษราภัคที่พาดอยู่บนเอวของตัวเองออกมา เขาเห็นว่าอีกฝ่ายสวมแหวนเอาไว้ ลองยื่นไปจับหมุนเบาๆอย่างสงสัย

    "แหวนวงนี้เป็นของข้า"

    "อืม แหวนจากมณี?"เด็กหนุ่มคาดเดา อักษราภัคลืมตามอง ปรากฏดวงตาสีดำอบอุ่นทอดลงมา ยื่นมือมาจับแก้มของเขาไว้ เนื้อเย็นวาบของแหวนกระทบกับผิวแก้ม พันตรีกุมมือของอีกฝ่ายเพราะเพราะมือซุกซนเลื่อนลงมาเขี่ยติ่งหูของตัวเอง อีกฝ่ายผุดยิ้มทันที ขยับมาใกล้จนแก้มแนบกับศีรษะของเขา

    "ใช่...มณีของข้า ไม่น่าเชื่อว่าท้าวปุณมนัสจะมีเมตตาเพียงนี้"

    "...ถ้าอย่างนั้น..."พันตรีหายใจแรงขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลูบตั้งแต่ต้นคอลากไล้ไปถึงแผ่นหลังจนวนเวียนอยู่แถวสะโพก เขายกขาก่ายอีกฝ่ายทันที ปรามให้เขาหยุดซุกซน ไม่รู้ว่าทำให้อักษราภัคคึกคักขึ้นหรือเปล่า

    "ไว้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง เพลานี้ข้าอยากกอดเจ้านานหน่อย"

    "ก็กอดอยู่นี่ไง"เขาบอก รู้สึกใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายยังคงหายใจรดใบหน้าของเขาไม่ห่าง อักษราภัคหัวเราะในลำคอ

    "ข้าต้องสั่งสอนเจ้าเสียบ้าง"

    "หา...อะไรกัน"พันตรีงุนงง ผละออกห่างจากอีกฝ่าย แต่มือข้างเดิมยังรั้งเอวเขาไว้ ดึงเข้าหาให้แนบชิดดังเดิม เขาหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นสายตาโลมเลียจากคนข้างกาย

    "เจ้าว่าข้ารู้สึกเช่นไร ตอนเจ้าจับที่ของของข้า"

    "ไม่ใช่ซะหน่อย นั่นมันโคนหางเท่านั้นเอง ผมแค่จะอาบน้ำให้คุณ"เขารีบบอก ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับงูสักหน่อย แต่เหมือนว่าอักษราภัคไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เบียดตัวเข้ามาหาพร้อมกดดันร่างของพันตรีไว้ข้างใต้ขึ้นมาทาบทับอยู่ด้านบน

    เด็กหนุ่มเลือดสูบฉีด ใจเต้นยิ่งกว่ารัวกลอง

    "นั่นล่ะ เจ้าช่างไม่คิดถึงจิตใจของงูเอาซะเลย"อีกฝ่ายแกล้งทำเสียงเง้างอน จนคนฟังย่นคิ้วไม่กล้าสบตานัก เขาเหินห่างจากอักษราภัคมาเป็นปี วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้อ้อมกอดคุ้นเคยกลับมา อยู่ๆจะให้ฟาดฟันกันเลยก็ออกจะเขินอาย

    "คุณกลับมาหาผมแล้ว ผมดีใจมากจริงๆ อยากกอดคุณไปนานๆ"เขาว่า อักษราภัคกดจมูกลงกับคาง กลิ่นหอมสดชื่นของสบู่เหลว กลิ่นผลไม้รวมที่เขาชอบใช้เป็นประจำ พอได้กลิ่นจากอีกฝ่ายแล้วมันก็คันยิบในใจเหมือนกัน พันตรีโอบกอดคนด้านบนไว้ เส้นผมของอักษราภัคอ่อนนุ่มอยู่ในมือ

    "ใช่ กอดเจ้าไปนานๆ"อีกฝ่ายย้ำ เขาคิดอะไรไม่ออก แต่ลังเลที่จะปล่อยให้เกิดสัมพันธ์แนบชิด ใบหน้าของอักษราภัคเงยมอง ก่อนจะก้มจูบที่หน้าผาก จากนั้นก็เลื่อนไปที่ปลายคาง เขานิ่งงัน ไม่อยากผลักไสอีกฝ่ายสักนิด ความแข็งขึงของเจ้าตัวกดดันเขาจนรู้สึกได้ จนเด็กหนุ่มกระดากอายขึ้นมา

    "นี่...ยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ"เขาบอกงึมงำ เมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ลำคออยู่เนืองๆตามมาด้วยแรงขบกัดเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นย้ำหนักจนเขาหายใจติดขัดไปด้วย

    "อา...ถ้างั้นอาบน้ำให้ข้าได้หรือไม่"อักษราภัคเงยมอง ใบหน้าฉายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ต้องเอ่ยถึงแววตาข้างนั้น ทำเอาพันตรีร้อนรุ่ม

    "อืม เดี๋ยวผมอาบให้คุณเอง"พันตรีบอก ดันตัวอีกฝ่ายออกช้าๆ เจ้าตัวไม่ดื้อดึงลุกจากตัวของเขาไปง่ายๆแต่ยังคงคลอเคลียไม่ห่าง เดี๋ยวเข้ามากอดเดี๋ยวเข้ามาหอมแก้มเขาจนช้ำ ระหว่างที่วุ่นวายกับการหยิบผ้าเช็ดตัวและเอาตัวรอดจากความซุกซนของอักษราภัค 


    เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องน้ำ แสงไฟสว่างจากเพดานส่องกระทบกับร่างของอักษราภัค ยิ่งเพิ่มพูนความขาวให้กับเนื้อตัวอีกฝ่าย ซ้ำยังปราศจากสิ่งปกปิด พันตรีเบือนหน้าหนี เขาเตรียมแชมพูกับสบู่เหลวเอาไว้อักษราภัค ทำไม่สนใจกับคนเปลือยที่ไม่เอียงอายอะไรทั้งสิ้น

    รู้ตัวอีกทีมีแขนมากอดเขาไว้จากด้านหลัง "อาบน้ำก่อนสิ"เขาบ่นอุบ

    "โอ๊ะ จริงด้วย ข้าต้องทำสิ่งใดบ้าง"อักษราภัคหัวเราะ พันตรีเหลียวไปมองแวบเดียวก่อนจะหยิบแปรงสีพันออกมา เขาอยากจูบอีกฝ่ายเหมือนกัน แต่เพิ่งตื่นนอนเช้าๆแบบนี้ควรสดชื่นมากกว่า ร่างเปลือยเข้ามายืนอยู่ข้างๆก้มมองท่าทีของเขาไปด้วย เด็กหนุ่มคว้าแปรงสีพันอันใหม่ออกมาให้ ใส่ยาสีฟันไว้ให้พร้อม เมื่อก่อนตอนที่งูเผือกมีร่างมนุษย์พันตรีก็ใช้ชีวิตประจำวันกับอีกฝ่ายแบบนี้ ตอนนอนก็คืนร่างจริง ตอนเช้ามีร่างมนุษย์

    "ถ้าข้าทำตามเจ้า ข้าจะได้รางวัลใช่ไหม"อักษราภัคเอ่ยเสียงคาดหวัง พันตรีจ้องมองอีกฝ่ายผ่านกระจกเงา ก่อนจะพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตาแปรงฟันต่อ ในกระจกเงาอักษราภัคเอาแปรงสีฟันเข้าปากแล้วแปรงขึ้นแปรงลง

    ผ่านไปไม่นานเขาสองคนก็ล้างหน้าแปรงจนสะอาด เห็นร่างเปลือยข้างกายยังวุ่นวายอยู่กับการเก็บผม

     "ไม่สระผมด้วยเหรอ"เขาถาม เจ้าตัวส่ายหน้า

    "กลิ่นยังหอมอยู่"

    พันตรีเข้าไปรวบผมของอักษราภัคไว้ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์เขาไม่มียางมัดผมเก็บไว้สักอัน เลยได้แต่รวบให้ไม่เกะกะ ถักเปียเก็บผมไว้จนเหลือแค่ห้างม้าสั้นๆ ถึงผมจะคลายตัวออกบ้างแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้สยายยาว ตลอดการกระทำนั้น อักษราภัคจับจ้องเขาผ่านกระจกไม่คาดสายตา ใบหน้ามีรอยยิ้มอยู่เสมอ จนพันตรีชักไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา

    "มองจากเงากระจกแล้ว เจ้าน่าถนอมเป็นพิเศษ"อักษราภัคกลับมาพูดจาหยดย้อยอีกตามเคย พันตรีจึงยิ้มออก

    "น้ำเน่าอีกแล้ว"เขาว่าแล้วพาอักษราภัคไปอาบน้ำ เขาดึงสายฝักบัวออกมาเปิดเบาๆ จนเสียงดังซ่า หยดน้ำกระเด็นกระดอนใส่จนเย็นชุ่ม พอราดน้ำใส่ลำตัวเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายแบบนี้ พันตรีรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า ยิ่งมีสายตาของอักษราภัคจดจ้อง พันตรียิ่งเงอะงะ เสียงน้ำดังกระทบกลบใจที่เต้นแรง เขาเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายเปียกชุ่มแล้วจึงปิดน้ำ ในห้องน้ำแคบ ไม่กว้างไปกว่าห้องน้ำในหอพัก เขามีถังน้ำไว้ตักอาบแยก เพราะใช้แต่ฝักบัวก็คงเปลือง ส่วนมากเขาเปิดน้ำใส่ถังใหญ่เอาไว้อาบ

    พันตรีเอื้อมไปหยิบสบู่เหลวออกมาเทใส่หน้าอกของอักษราภัคก่อนจะลูบให้ทั่วจนเกิดฟอง ผิวหนังใต้ฝ่ามือร้อนผ่าว พันตรีไม่สบตาอีกฝ่ายแค่ถูสบู่ให้ เขาเปลี่ยนไปที่แขนบ้าง

    "มือเจ้ายังใช้งานได้ดีหรือไม่"อีกฝ่ายถาม

    "อือ ก็ใช้ได้อยู่ ถ้าไม่ใช่การใช้แรงหนักๆ"เขาบอก ดันให้อีกฝ่ายหันหลัง ก่อนจะตักน้ำราดจากด้านหลัง ส่วนเว้าโค้งที่สะโพกมีไม่มากเท่าไร ร่างกายของอักษราภัคสมส่วนดี อดไม่ได้ที่จะมองต่ำลงไปเจอกับเนินก้นขาว จิตใจพันตรีว้าวุ่นขึ้นมา เขาหยิบใยบัวมาขัดหลังให้อีกฝ่ายเบาๆ

    "มือเจ้าเบานัก"

    คำพูดนี้ทำให้นึกถึงครั้งแรกที่อาบน้ำด้วยกัน พันตรีระบายยิ้ม

    "หึ อย่าให้ทำแรงล่ะ คุณคงเลือดซิบ"เขาหัวเราะ อักษราภัคเหลียวหน้ามามอง ผิวกายของอีกฝ่ายสะอาดสะอ้านดี ไม่มีสิ่งมอมแมมอื่นใด คงเพราะเขาดูแลงูเผือกดีด้วยล่ะ พันตรีเปิดฝักบัวอีกครั้ง ล้างฟองสบู่ออกให้หมด อักษราภัคลูบผิวของตัวเองไปด้วย ก่อนจะเลื่อนลงไปจับที่กึ่งกลางลำตัว

    "เฮ้ย..."เด็กหนุ่มใจหายวูบ เมื่ออีกฝ่ายทำแบบนั้น เจ้าตัวเงยมอง

    "ก็เจ้าไม่ทำความสะอาดให้ข้า"

    "พอดีกว่า"พันตรีรีบบอก ก่อนจะเดินหนีเพราะอักษราภัคน่ากลัวเกินไป แต่อีกฝ่ายดึงแขนเขาไว้ ลากเข้ามาหา

    "ข้าแค่แกล้งเล่น"

    พันตรีพรูลมหายใจออกมา จากนั้นก็ล้างตัวให้อีกฝ่ายจนสะอาด เขาปิดน้ำ ขณะนั้นอักษราภัคขยับตัวเข้าหา ยื่นมือมาลูบที่หน้าท้องของพันตรีไปด้วย เขาไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายจับเนื้อต้องตัว มืออุ่นอ้อมไปสัมผัสที่ด้านหลัง จับสะโพกเขาไว้เบาๆเกี่ยวขอบบ็อกเซอร์ออกช้าๆ

    พันตรีกลั้นหายใจ เมื่อถูกถอดกางเกงลง เมื่อคืนเขาไม่ได้สวมอะไรนอกจากกางเกงบางๆตัวนี้ เขายกขาออกจากกางกางที่เกี่ยวพันอยู่ที่เข่า แล้วเงยมองอักษราภัคที่เก็บอารมณ์

    "ข้าคงไม่ใช่ชายหื่นกระมัง"อีกฝ่ายว่า พันตรีผุดยิ้ม แล้วส่ายหน้า ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นชายหื่น เขาก็คงหื่นไม่ต่างกัน

    พันตรีปล่อยให้อักษราภัครื่นรมย์ไปกับการสำรวจร่างกายของตัวเอง ทั้งผ่านสายตาและสองมือ จนกระทั่งร่างกายเหมือนโดนไฟสุมจนร้อนขึ้นมา อีกฝ่ายโอบเอวเขาไว้ สักพักก็เริ่มกอดจูบกัน อักษราภัคเติมเชื้อไฟเบียดร่างเข้าหาไม่เร่งรีบ เลื่อนมือไปตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม อุ่นร้อนเหมือนต้องไฟ 

    .

    .

    .

    อักษราภัคขยับตัวออก จากนั้นพันตรีก็แทบทรุด อีกฝ่ายเข้ามาประคองกอดไว้พลิกตัวให้หันกลับมา ก่อนจะจูบที่กระหม่อมพึมพำว่ารักเขาซ้ำไปมา เด็กหนุ่มกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งเนื้อทั้งตัวอ่อนยวบ เอ่ยบอกรักอีกฝ่ายไปเช่นกัน

    เมื่อร่างกายกลับมาสู่ภาวะปกติ พันตรีเสียเวาอาบน้ำไปเกือบชั่วโมง อักษราภัคไม่ยอมให้เขาอาบคนเดียว คอยแต่จะมาลูบสัมผัสไปทั่วตัว จนกระทั่งพากันออกมาจากห้องน้ำ เขาแต่งตัวอย่างเชื่องช้า แม้จะเหนื่อยอ่อนแต่ในใจสุขสม

    พันตรีปีนขึ้นเตียง อักษราภัคสวมแค่กางเกงขาสั้นเข้ามานอนกอดเขาไว้ไม่ปล่อย นอนพิงบนท่อนแขนอีกฝ่ายเหมือนอย่างเคย อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปลูบเปลือกตาข้างซ้าย

    "อย่าห่วงเลย มันอาจจะไม่เหมือนเดิมเท่าแต่ก่อน แต่ข้ายังคงมองเห็นได้ดี"พันตรีไม่ตอบอะไร แค่นอนลูบเส้นผมอีกฝ่ายเล่นเพลินๆ

    "เมื่อคืนผมหลับง่ายมาก"พันตรีสงสัยว่าอีกฝ่ายร่ายมนต์ใส่เขาหรือไม่

    "ข้ารู้ว่าเจ้าหลับไม่สนิทตลอดคืน ข้าใช้อาคมให้เจ้าเข้านิทราอย่างสงบใจ ตอนนั้นเจ้าตื่นเต้นเกินไปแล้ว...อยากให้เจ้าหลับสบาย"อักษราภัคเอ่ยเสียงนุ่มนวล เด็กหนุ่มยิ้ม นึกขึ้นได้ว่าเห็นเงาร่างของใครสักคน แต่ไม่ได้ถามอีกฝ่ายเพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศไปเอ่ยถึงคนอื่น อักษราภัคมองเขาแล้วค่อยๆพูด

    "....จำดอกกระดุมทองได้หรือไม่"

    "อืม ทำไมเหรอ"

    "ดอกไม้นั้นหมายถึงความมั่นคงหนักแน่น"เสียงของอักษราภัคต่ำลง เขาสบตาอีกฝ่าย ดวงตาสีดำสะท้อนใบหน้าของเขาเหมือนเดิม

    "ถึงได้เอามาให้ผมเหรอ"

    "ใช่...อีกนัยหนึ่งมันหมายถึงความหวังน่ะ ข้าเชื่อว่ายังมีหวัง...ข้ารู้ว่าเจ้าคิดเช่นไร เจ้าไม่รังเกียจที่ข้าเป็นงู แต่เจ้ายังโหยหาร่างกายของข้า"พอได้ฟังแบบนี้ พันตรีหน้าแดงก่ำทันที

    "ไม่ใช่ว่าหมายความไม่ดี ใครบ้างที่ไม่ต้องการสัมผัสคนที่รัก...ข้าไม่คิดจะเสพเมถุนผ่านร่างงูกับเจ้าหรอก แม้ว่าสภาวะนั้นจะสามารถทำได้...แต่...ข้าว่าเจ้าอาจไม่ยินยอม"อักษราภัคกวาดตามองไปทั่วใบหน้าเขา พันตรีเม้มปาก มันมีส่วนถูก ไม่มีใครสามารถรับเรื่องเหล่านั้นได้ คนกับสัตว์น่ะมันแปลก แต่พันตรีไม่คิดไปถึงขั้นนั้นหรอก

    "ผมก็มีความสุขกับการกอดจูบกับงูเผือก ต่อให้คุณไม่มีร่างมนุษย์ก็เถอะ  ถึงจะเหงาหน่อยๆ แต่ผมก็ยินยอมอยู่แบบนั้นได้ ในเมื่อผมเลือกแล้ว"เขาเอ่ยไปตามที่คิด อักษราภัคกอดเขาแน่นขึ้น

    "ที่จริง...ข้าไม่คิดว่ามณีจะสามารถทำให้ข้ามีกายมนุษย์ ข้าเพียงอยากให้เจ้าฟังข้าเข้าใจก็เพียงพอ"

    "เกิดอะไรขึ้น"เขาถาม

    "จะเป็นผู้ใดได้ นอกเสียจากไวทิน...เขามาหาเจ้า"

    "นนท์บอกว่าเจอไวทินที่คณะน่ะ"

    "ใช่ เขาคงเสียใจเรื่องเจ้า ที่พรากความสามารถเจ้าไป...หมายถึงสิ่งที่เจ้าชื่นชอบ" เสียงของอักษราภัคดังก้องในใจ เขานิ่ง มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าขนาดนั้นหรอก

    "เหรอ..."

    "ข้าไม่สนใจไวทินหรอก แต่เขามาหาข้าเมื่อคืน...บอกว่าท้าวปุณมนัสคืนแหวนให้แก่ข้า...มันหมายถึงว่าเขาคืนมณี เพราะเขาช่วงชิงมณีของข้าไปในคราวนั้น เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ ไม่คิดว่าเขามีเมตตา"อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบเฉย พันตรีรับฟังเงียบๆ เอื้อมไปจับมือข้างที่สวมแหวนไว้ แหวนเรียบๆมีมณีเม็ดเล็กขนาดเท่าลูกปัดอยู่ตรงกลาง เขาใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ อักษราภัคมองด้วยรอยยิ้ม

    "แบบนี้ไม่ผิดกฎเหรอ"

    "ท้าวปุณมนัสเป็นผู้มีบัญชา คงอะรุ่มอะหร่วยได้...อีกอย่างเพราะข้าก็สูญเสียไปหลายสิ่ง เผชิญกับทุกข์มาไม่น้อย"สิ้นเสียงของอักษราภัค พันตรีเงยมองอย่างนึกห่วง แต่เห็นว่าเจ้าแต่มีรอยยิ้มบางๆ นั่นสิ เทียบกับเขาแล้ว ที่เขาเผชิญถือว่าเป็นบททดสอบเล็กน้อย อีกฝ่ายเล่าให้เขาฟังว่าช่วงที่ไปโผล่อยู่ที่โคราชกับเศรษฐีเพชรคนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง พันตรีย่นหน้าเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องราวของสโนว์

    "เป็นยังไงบ้างได้ชื่อใหม่"เขาถาม อีกฝ่ายถอนหายใจแรงๆ ทำหน้ายุ่งยากใจ

    "ไม่ชอบ ข้าเกลียดว่าชื่ออักษราภัคเสียอีก ที่จริงต้องขอบคุณที่ข้าไปเจอกับตาแก่นั่น ไม่อย่างนั้นข้าอาจไม่โชคดีแบบนี้"

    พันตรีค่อยๆคิดทบทวน ถ้าหากว่าไม่มีประกาศตามหาออกมา เขาคงไม่เห็นร่องรอยของอักษราภัคอีก ถือว่าในความโชคร้ายมีความโชคดีอยู่

    "ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน"พันตรีว่า

    ทั้งวันพวกเขาเอาแต่นอนเล่นเท่านั้นไม่ได้ขยับตัวไปไหน กลายเป็นว่าเขาต้องคอยเอาใจอักษราภัค เหมือนว่าเจ้าตัวจะติดนิสัยจากตอนเป็นงูมา เพราะเอาแต่หอมแก้มคอยมานัวเนียกับเขาอยู่เรื่อย พันตรีจะทำอะไรได้นอกจากเป็นท่อนไม้ให้อีกฝ่ายทำตัวเป็นงูเลื้อยไปเลื้อยมา ปล่อยมือซุกซนจับเคล้นไปทั้งตัว  


    ระหว่างที่พันตรียังต้องฝึกงานอีกไม่กี่สัปดาห์ เขายังปล่อยให้อักษราภัคอยู่ในห้องตามเคย วันนี้ถือว่าเขาไม่ได้มีงานให้ทำมาก ยิ่งใกล้ฝึกจบเหมือนว่าพวกพี่ที่บริษัทจะหาเรื่องพาไปเลี้ยงส่ง พันตรีแบ่งเวลาไปเขียนพรีเซ็นต์ศิลปนิพนธ์หลังจากที่แก้งานจนผ่านไปด้วยดี งานบริษัทขนาดกลางไม่ได้มีให้เขาได้ลงมือปฏิบัติเอง เขาเป็นแค่ผู้ช่วย แม้ว่าบริษัทนี้จะเป็นงานเกี่ยวกับการออกแบบภายใน และเน้นไปที่สายสถาปัตย์ฯเสียส่วนใหญ่ แต่พันตรีทำงานในฝ่ายนิเทศศิลป์ ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับสื่อโฆษณา และงานอีเวนท์มากกว่า  เขามีโอกาสได้ออกไปทำงานนอกสถานที่เป็นบางครั้ง ซึ่งไม่ค่อยจะอยู่ในสายงานของเขาเท่าไร แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์


    วันนี้พี่กรพี่เลี้ยงของเขาออกมาหาลูกค้าที่้ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ในเมือง พาเขาติดสอยห้อยตามมาด้วย ภายในร้านผ่านการรีโนเวทมาแล้ว เหลือก็แต่งานโฆษณาหน้าร้านเท่านั้น ซึ่งเจ้าของร้านใช้บริการบริษัทนี้้เจ้าเดิมกับที่รีโนเวทไป ด้วยความที่ร้านแห่งนี้อยู่ติดกับถนน และใกล้ชิดกับแนวป่าตื้นไม่รก ตอนที่เขาออกมาดูแบบที่หน้าร้านเหมือนกับว่ามีคนจ้องมองอยู่ตลอด บางทีเขาคิดไปถึงไวทิน หรือไม่ก็อักราภัค แต่งูเผือกไม่น่าจะมาแอบมองเขาในเวลาแบบนี้

    "มองอะไร"พี่กรถาม เงยมองจากแผนงานในมือ เขาส่ายหน้าก่อนจะหันมาสนใจแบบป้ายในจอโน๊ตบุ๊คที่เจ้าของร้านยังไม่ตัดสินใจ

    "เออ เดี๋ยวเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันเลยก็ดีนะ จะได้ไม่เสียเวลา"พี่กรบอก พันตรีรับคำ หลังจากที่พี่กรคุยรายละเอียดกับเจ้าของร้านเสร็จ เหมือนว่าจะตกลงเลือกป้ายได้แล้ว อีกฝ่ายจึงพาเขาไปทานมื้อเที่ยง ที่จริงงานนี้เหมือนเขาไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ออกมาดูการทำงานของพี่กร

    "ไม่อยากให้อุดอู้แต่ในบริษัท ใกล้จะกลับมอแล้วก็ไม่มีงานให้ทำแล้วล่ะ"

    "...ครับ"พันตรีตอบสั้นๆ ไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่านี้

    "แล้วแขนเป็นยังไงบ้าง"พี่กรละจากทางข้างหน้าหันมอง เด็กหนุ่มจับแขนซ้ายโดยอัตโนมัติ

    "ก็ดีขึ้นล่ะครับ ไม่ได้ชาบ่อยๆ"เขาตอบ ยังดีที่ไม่เป็นอุปสรรคในการฝึกงานมากนัก เพราะเขาจับแต่คอม นึกภาพไม่ออกถ้าหากว่าเป็นข้างขวา เขาจะใช้ชีวิตยังไง พี่กรไม่ได้ถามอะไรอีกก่อนจะขับรถเข้าไปในตลาด เลือกร้านข้าวราดแกงเพราะไม่ต้องรอนาน  ตรงหน้าพันตรีเป็นข้าวเปล่ากับต้มข่าไก่และหมูยอทอด

    "นี่ตรีสนใจเรื่องดูดวงด้วยเหรอ"อีกฝ่ายถามขณะที่ตักข้าวเข้าปาก เด็กหนุ่มส่ายหน้า นึกถึงคำพูดของชายแก่ ก่อนหน้าที่เขาจะเดินเข้ามาในซอยร้านอาหาร มีโตีะดูดวงอยู่ทางด้านหน้าปากทาง พอเดินผ่านก็เอ่ยทักพันตรีว่า 


    'เฮ้ย ไอ้หนูคนนั้นน่ะ ดวงของเอ็งมีคนตามติดนะจะบอกให้ สนใจมาดูดวงไหม ค่าครูไม่แพง' 


    แต่พี่กรเดินนำลิ่วเข้าไปด้านใน เขาเลยไม่ได้หยุดไปถามอะไรต่อ เขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องดูดวงตามตลาดแบบนี้ แต่เพราะคำทักของชายแก่ทำให้มันติดค้างในใจ

    "ไม่ได้สนใจหรอกครับ"เขายิ้มแห้งๆ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

    "ใครจะตามติดตรีวะ แฟนเหรอ"พี่กรหัวเราะเบาๆ เหมือนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ อีกฝ่ายก้มหน้ากินข้าว แต่พันตรียังตะหงิดในใจ

    "แต่ว่าช่วงนี้หน้าตาสดใสขึ้นนะ"พี่กรไม่วายหันมาพูด พันตรีหัวเราะ "พอดีมีเรื่องดีนิดหน่อยนะครับ"

    "ก็ดี นึกว่าจะหงอยไปจนจบฝึกจบ"

    พอทานมื้อเที่ยงจนอิ่ม พี่กรบอกว่าจะเดินซื้อของทอดกินในตลาดสักหน่อย เขาเลยเดินแยกกับอีกฝ่าย ที่จริงย้อนกลับไปทางหน้าซอยเพื่อไปดูหมอคนนั้น พอเขาเลี้ยวออกมาจากปากทาง ชายแก่คนนั้นก็กวักมือเรียกเพราะจำเขาได้ พันตรีลังเลอยู่บ้างเพราะไม่อยากถูกมองว่างมงาย แต่คิดไปคิดมาเรื่องพิธีบูชางูเขายังทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องดูดวง

    "เอ้า มาตาจะดูดวงให้ แม่นนะจะบอกให้ ก่อนอื่นใส่ค่าครูก่อนนะ"อีกฝ่ายบอก แน่นอนว่าโม้ไปซะเยอะ เขาควักเงินออกมาจ่ายค่าครูซึ่งก็ถือว่าเยอะเหมือนกัน ตั้ง 500 แน่ะ

    "เมื่อกี้ที่บอกว่ามีคนตามน่ะ หมายถึงอะไร"เขาต้องการถามเรื่องที่มีคนตามเท่านั้น เรื่องลายมืออย่างอื่นเขาไม่สนใจ ชายแก่มองหน้าเขาก่อนจะขอดูลายมือ พันตรีลังเลใจอยู่บ้างแต่ก็ยอมส่งมือขวาไปให้

    "คนที่ตามติดเราน่ะเป็นคนที่มีชะตาผูกพันกันมานาน เขาเป็นกัลยามิตรที่ดี ไม่คิดร้าย"

    "หมายถึงใคร"เขาลังเลระหว่างอักษราภัคกับไวทินอยู่บ้าง

    "อืม บอกไม่ได้หรอก แต่ชะตาของเราผกพันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ จนกระทั่งช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเหมือนจะเจอเคราะห์ แต่ก็ผ่านมาได้ ชีวิตราบรื่น ส่วนเรื่องของคู่ชีวิต เหมือนว่าเส้นลายมือของเรานี่ชัดขึ้นนะ เอ...เนื้อคู่เหมือนว่าจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นคนที่มีชะตาเกี่ยวข้องกันมาก่อน เส้นชีวิตของเราน่ะมันบอกว่าเนื้อคู่คนนี้มีส่วนทำให้ชะตาชีวิตเราผกพันเปลี่ยนแปร จากร้ายกลายเป็นดี จากดีกลายเป็นร้าย"

    "สรุปแล้วผมมีเนื้อคู่หรือเปล่า"

    "มี...แต่น่าแปลกมาก เหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนจากภพชาตินี้นะ อืม..."เสียงชายแก่เอ่ยดัง จนคนข้างๆที่ขายของอยู่หันมามอง เขานึกถึงคำพูดของอักษราภัคที่บอกว่าดวงเราไม่สมพงษ์กัน

    "คนที่ตามติดเราน่ะไม่ใช่ใครอื่นเลย แต่เป็นคนที่มีรักและซื่อสัตย์มาก"ชายแก่เหลือบมองหน้าเขาไปด้วย จากนั้นก็เสมองไปทางอื่น พันตรีหันไปมองตามแต่ไม่มีอะไรผิดปกติ เขาดึงมือกลับมาเพราะไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด พันตรีผุดลุกขึ้นยืน

    "ส่วนดวงคู่ของเราน่ะ...เหมือนว่าเป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก เขาอยู่กับพ่อหนุ่มตลอดนั่นแหละ"ชายแก่พูด พันตรีเดินหนีเมื่อเริ่มมีคนจับจ้องมากขึ้น พอเดินไปไม่เท่าไรก็เจอกับพี่กร อีกฝ่ายกำลังซื้อไก่ทอดอยู่ ในมือมีขนมหวานติดมาหลายถุง พันตรีหันไปซื้อของมาติดไม้ติดมือบ้างเพื่อไม่ให้น่าเกลียด 


    ระหว่างทางกลับบริษัท ขับรถมาได้ครึ่งทาง อีกฝ่ายเหลือบมองกระจกส่องหลัง แล้วหันมาคุยกับพันตรี

    "นี่...เมื่อกี้นี้เหมือนมีคนตามเรามาเลยนะ"

    "ใครเหรอครับ"เขาแปลกใจ

    "ในตลาดน่ะ พี่ก็ไม่รู้ว่าใครแต่นึกถึงไอ้คนดูดวงคนนั้นเลย...เขาอาจจะเห็นคนตามตรีมาก็ได้.."

    "เหรอครับ"เขาตอบเบาหวิว

    "เป็นผู้ชายตัวสูงๆ ใส่เสื้อสีดำ"พี่กรเหลือบมอง จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร พันตรีจับแขนซ้ายตัวเอง พลางถอนหายใจ ถ้าเป็นไวทินจริง อีกฝ่ายจะมาตามหาเขาไปทำไม ต่อให้มาตามเขาจริงทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ออกมาคุยกันให้จบๆเรื่องไป นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เห็นเงาดำนั่น คงเป็นไวทินแน่ๆ แต่เขาลืมถามอักษราภัคเลยว่าไวทินเป็นยังไงบ้าง

    "เป็นคนที่ตรีไม่ชอบหรือเปล่า ไปแจ้งความได้นะ"พี่กรแนะนำ พันตรีส่ายหน้า

    "เปล่าหรอกครับ คงเป็นคนรู้จักนั่นแหละ...ช่างเถอะครับ"เด็กหนุ่มบอกปัด

    จากนั้นเขาก็มาถึงบริษัท ตลอดวันก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้อีกเลย ตอนนี้เขาอยากกลับไปเจออักษราภัคมากกว่ามีหลายเรื่องให้ต้องคุย


    เมื่อถึงเวลาเลิกงาน พันตรีเก็บของ เอ่ยลาพี่ๆในออฟฟิศแล้วลงลิฟต์ออกจากตึก แขนข้างซ้ายเริ่มชาขึ้นมาอีกแล้ว เขาไม่รู้ว่าอากาศเย็นมีส่วนหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน พันตรีกำมือเข้าออก จำได้ว่าเขาทานยาตามหมอสั่งครบทุกเม็ด เมื่อพ้นจากประตูอาคาร พันตรีลงบันไดมาได้ไม่กี่ขั้นก็ต้องตะลึงงันเมื่อเห็นร่างคุ้นเคยนั่งคุยกับสุนัขจรจัดสีส้มแดงตัวหนึ่ง

    "..เจอแต่ตัวดำๆ มันจ้องจะกัดข้าลูกเดียว"อักษราภัคในชุดลำลองของพันตรี อีกฝ่ายสวมเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงขาสั้นสามส่วนสีครีมนั่งเท้าแขน จากนั้นเมื่อเห็นพันตรี อีกฝ่ายรีบผุกลุกยืนแล้วโบกมือมาให้ เส้นผมพลิ้วไหวตามแรงเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มหลุดยิ้มออกมา เดินเข้าไปหาทันที

    “มาได้ยังไงกัน”

    “ข้าเบื่อ คิดถึงเจ้าเลยออกมาหา”

    “มารอนานหรือเปล่า”พันตรีนึกห่วง เหลือบตาไปมองสุนัขที่นั่งลิ้นห้อยข้างๆขาของอักษราภัค คนตรงหน้าก้มมองตามก่อนจะหัวเราะออกมา

    “เจ้านี่เป็นมิตร ข้าจึงอยู่เล่นด้วย”

    “แล้วที่ว่าตัวดำๆคืออะไร”

    “อ๋อ สุนัขสีดำน่ะ มันกัดข้า ตอนที่ข้าหนีออกจากตาแก่นั่น”เจ้าตัวพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก เรื่องนี้พันตรีไม่รู้มาก่อน เลยได้แต่เงียบ จากนั้นก็จูงมืออักษราภัคเดินกลับอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ถัดไปไม่กี่ช่วงถนน หันไปสำรวจอีกฝ่ายแล้วก็อดชมความขาวไปด้วย เส้นผมเป็นลอนไม่ยุ่งเหยิงเด้งตัวตามจังหวะเดิน อักษราภัคย่นคิ้วมองเขางงๆ

    “มีอะไร”

    “เปล่า แค่คิดว่าคุณสวยดีนะ”

    “ฮ่ะๆ ข้าสวยหรือ โดนเจ้าชมเช่นนี้ข้ารู้สึกบอกไม่ถูกสักเท่าไร”อักษราภัคบีบมือเขาแน่น พันตรีตวัดตามองอีกครั้ง เดินผ่านร้านดอกไม้เล็กๆที่เปิดประตูไว้ เลยแวะไปซื้อกุหลาบสีชมพูมาหนึ่งช่อ ช่อเล็กๆไม่ใหญ่มาก

    “เจ้าชอบดอกไม้”อีกฝ่ายหันมาถาม พันตรีหัวเราะ ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเอาชื่อดอกไม้ใส่กระเป๋าสะพาย ก่อนจะเดินอย่างไม่เร่งรีบ พาอักษราภัคไปที่สวนสาธารณะที่เคยไปนั่ง อักษราภัคหันมายิ้มกุมมือซ้ายของเขาแน่นขึ้น พวกเขาเลือกเดินเข้าไปนั่งเล่นในศาลาริมสระน้ำตามเดิม เด็กหนุุ่มนั่งลงข้างๆอักษราภัค แล้วหยิบช่อกุหลาบชมพูออกมาดม กลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบสูดขึ้นจมูก เขายื่นให้อักษราภัค

    “ผมให้ คนสวยย่อมคู่กับของสวยๆ”พันตรีแกล้งเอ่ยไปแบบนั้น เจ้าตัวมีสีหน้าเหลือเชื่อยู่บ้าง หัวคิ้วย่นเข้าหากันแต่ยอมรับช่อกุหลาบไป แล้วยกมาดอมดม ทำสีหน้ายับยุ่น

    “เดี๋ยวได้เจอสั่งสอนหรอก”อีกฝ่ายผุดยิ้มมุมปาก พันตรีกัดปากแน่น

    “คนที่เขาชอบพอกันก็ให้ดอกไม้กันแบบนี้แหละ จำไม่ได้เหรอที่เคยบอกไป”

    “อา...จำได้...แต่สีของมันไม่เหมือนกัน”อีกฝ่ายพึมพำ ยังคงก้มลงไปดมดอกดุหลาบอยู่หลายครั้ง พันตรีขยับตัวไปใกล้ เขาไม่อยากทำตัวน้ำเน่าขนาดที่ว่าออกปากถึงความหมายของดอกกุหลาบ แต่พอเดินผ่านร้านแล้วเห็นว่าจัดช่อสวยดีเลยซื้อมาให้อักษราภัค

    “ใช่...แต่ผมให้คุณเพราะอยากให้...ให้คนที่รักน่ะ”พันตรีเอ่ย มองใบหน้าของคนข้างกาย ทีแรกอีกฝ่ายกำลังจดจ้องดอกกุหลาบ พอเขาพูดจนจบฝ่ายนั้นก็หันหน้ามามองด้วย ดวงตาเป็นประกาย แม้ว่าความบกพร่องของดวงตาอีกข้างทำให้ใบหน้าของอักษราภัคดูแปลกไป ไม่อ่อนโยนเสียทีเดียว แต่พันตรีไม่คิดว่าเป็นปัญหา

    "คนที่รักงั้นหรือ"อักษราภัคยิ้มกว้าง โอบแขนมากอดเอวเขาไว้ พันตรีพยักหน้า เขาไม่สนใจเรื่องดวงชะตาบ้าบอ เขาสนแค่ว่าคนที่รักเขาเป็นใครเท่านั้นพอ

    "ใช่...ผมรักคุณ"พันตรีเอ่ย มองลึกเข้าไปดวงตาสีดำข้างนั้น เอื้อมไปเกลี่ยเปลือกตาข้างซ้ายของอีกฝ่าย "ขอบคุณมากนะที่เสียสละอะไรหลายอย่างเพื่อผม"

    "อืม คงเพราะเราต่างไม่ทิ้งกัน...เพราะเข้าปักใจอยู่ที่เจ้าไปแล้ว หากต้องตาย ข้าขอตายไปพร้อมกับเจ้า"

    "อย่าพูดถึงเรื่องเป็นๆตายๆดีกว่า หนทางยังอีกยาวไกล"เขายิ้ม ยื่นหน้าไปจูบแก้มของอีกฝ่ายรวดเร็ว ไม่อยากทำประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ อักษราภัคยิ้มกริ่ม

    "ข้าอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังพอดี...เรื่องดวงของเรา"

    "ผมไม่อยากรู้หรอกนะ ถ้ามันไม่ช่วยให้รู้สึกดี"

    "อยากที่เคยเขียนบอกไว้ ข้าโกหกว่าเจ้าเป็นคู่ของข้า..."อักษราภัคยังคงพูดต่อ พันตรีจึงต้องฟัง

    "ใช่"

    "แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจละทิ้งบ้านเมือง...ข้าเปิดดูดวงชะตาของข้ากับเจ้าอีกครั้ง ชะตาของเราผกพัน ขาดสะบั้นมาตั้งแต่เจ้าเกิด แต่ข้าพยายามจะเชื่อมมัน คอยดูแลเจ้า ล่อเลี้ยงเจ้าด้วยความรัก...ดอกกระดุมทองที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อวาน...รู้หรือไม่ว่ามีที่มาเช่นไร"อักษราภัคดวงตาอ่อนโยนลง พันตรีส่ายหน้า

    "มีหญิงนางหนึ่ง นางหลงรักทหารในวัง ทว่านางรู้ว่ารักของนางคงเป็นไปไม่ได้ นางจึงปลูกต้นกระดุมทองไว้ ดูแลอย่างดีและขอพรอธิษฐานให้รักของนางสมหวัง วันหนึ่งกษัตริย์ของเมืองรู้เรื่องของนางเข้า ก็ชอบชื่นชมดอกไม้สีทองเหล่านั้น นางเลี้ยงดูดอกไม้เป็นอย่างดีจนมันปกคลุมเลื้อยไปทั่วราชวัง กษัตริย์ได้ทอดพระเนตร จึงเรียกนางมาคุย ถามไถ่จนได้เรื่อง รับนางเข้ามาดูแลสวนในวัง จนสุดท้ายนางได้เจอกับทหารคนนั้นและสมหวังในรัก...เป็นเรื่องเล่าน่ะ ข้าเห็นดอกไม้แล้วนึกขึ้นได้ ข้าจึงมอบให้เจ้า..."อักษราภัคเอ่ย

    พันตรีจ้องมองดอกกระดุมทองในกระถางแล้วยิ้ม

    "...ข้าจึงหวังเช่นนั้น ดวงของข้ากับเจ้าไม่ถือว่าไม่แยกจากกัน หากว่าพ้นเคราะห์ขึ้นมาได้ ดวงดาวบอกแค่ว่าสามารถร่วมทางกันได้...แต่ข้าไม่สนใจนัก เพราะในเพลานี้เราได้รักกัน ย่อมหมายถึงการผูกชะตาของเราขึ้นใหม่ได้...เป็นชะตาของเราเอง"อักษราภัคเอ่ยยาวนาน จากนั้นก็กุมมือของพันตรีไว้ ทอดสายตารักใคร่มองมา เขาคิดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้า

    "...นั่นสิ...ไม่เห็นต้องไปสนใจชะตาที่ผ่านมาแล้ว"พันตรีพึมพำ อยู่ๆก็นึกขึ้นได้ เขารีบควานหาของในกระเป๋าอีกครั้ง ก่อนจะหยิบถุงผ้าขนาดพกพาออกมาหยิบกำไลนาคาออกมา เขาลูบสัมผัสอยู่นาน ไม่เคยเอาออกห่างจากตัวตั้งแต่อยู่กับงูเผือกมา เขาจับแขนของอักษราภัคมาสวมกำไลให้

    "ของที่เป็นของเรา ยังไงก็เป็นของเราอยู่วันยังค่ำ"พันตรีเอ่ยตามคำของย่า เงยมองอักษราภัคด้วยใจยินดี อีกฝ่ายแค่ยิ้มยกแขนข้างซ้ายขึ้นมองดูกำไลสีทองอยู่นาน จากนั้นสองตาก็มีน้ำตาเอ่อคลอออกมา สีหน้าฉายความหม่นเศร้า

    "อยู่ๆข้าก็คิดถึงอภันตีขึ้นมา...ข้า..."อักษราภัคไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาออกมา พันตรีเข้าใจอีกฝ่ายดี การสูญเสียอภันตีไปในคราวนั้นกระทบใจอักษราภัคมากแค่ไหน แม้ว่าเขาจะเป็นดวงจิตที่เกิดขึ้นใหม่ของอภันตีก็ตาม พันตรีเข้าไปกอดอักษราภัคไว้

    "ผมเชื่อว่าอภันตีคงยินดี"เขาบอก นึกถึงรอยยิ้มของอภันตีขึ้นมา อักษราภัคกอดเขาแน่น แต่ไร้เสียงร้องไห้

    "ข้าเสียใจ ข้าไม่อาจช่วยเขาได้ ข้าไม่รู้ว่าความคิดห้วงสุดท้ายของเขาเป็นเช่นไร ขณะที่แตกสลายไปเช่นนั้น...เจ้าคงไม่คิดโกรธข้า หากข้านึกถึงเขา"

    "ไม่หรอก"พันตรีบอก เขาไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น มีแต่เศร้า เศร้ากับอภันตีมากกว่า นาคาสีทองผู้โชคร้าย...

    อักษราภัคสูดจมูกก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของพันตรี ดวงตาแดงก่ำ อีกฝ่ายเผยยิ้มออกมา ก้มมองกำไลด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา อักษราภัคดูเปราะบางขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะสงบใจลงได้

    "เท่านี้ถือว่าเราเป็นคู่หมั้นกันแล้วล่ะ..."พันตรีเอ่ย คว้าแขนข้างนั้นมาจับไว้ พับแขนเสื้อขึ้นจนเห็นกำไลนาคาบนแขนขาวผ่องชัดเจน อักษราภัคหัวเราะ

    "เจ้าช่างคิด นั่นสิ ถือว่าข้ารับของหมั้นจากเจ้าแล้ว"เจ้าตัวยิ้ม ก่อนจะเลื่อนมือไปจับแขนข้างซ้ายของเขามากุมมือด้วย มือข้างนั้นยังคงชาแต่ก็รู้สึกถึงความอุ่นของอักษราภัคได้อยู่

    "ไม่เป็นไร หากเจ้าใช้แขนข้างนี้ไม่ได้อีก ข้าก็จะอยู่เป็นแขนข้างซ้ายของเจ้าเอง เจ้าก็เป็นดวงตาข้างซ้ายให้ข้า"อักษราภัคเอ่ยถ้อยคำที่กระทบใจพันตรีออกมา เด็กหนุ่มเกือบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พยายามยิ้มออกมา เขาพยักหน้า

    "นั่นสิ..."พันตรีกุมมือของอีกฝ่ายไว้แน่น มองข้ามไหล่อักษราภัคไป นอกศาลามีร่างในชุดสีดำของไวทินยืนอยู่

    "นั่นไวทิน"เด็กหนุ่มบอก

    อักษราภัครีบหันไปมองทันที ร่างสูงของไวทินเดินเข้ามาหา พันตรีค่อนข้างแปลกใจที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

    "ข้ายังเคืองที่เจ้าคิดทำร้ายพันตรี"อักษราภัคเอ่ยเรียบๆ เมื่อไวทินยืนจ้องหน้าเด็กหนุ่มเงียบ ๆ ขยับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้าม ไวทินแค่กระตุกยิ้ม

    "นั่นเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ทำ"

    "มีอะไรเหรอ"พันตรีถาม

    "ข้ามาตามคำบัญชาขององค์เหนือหัว ท่านอย่าคิดการอื่น"ไวทินกล่าวนิ่งๆ พันตรีขมวดคิ้ว หันมองหน้าอักษราภัคโดยอัตโนมัติ คนข้างกายเขาคงคิดเช่นเดียวกัน

    "ผู้ใดกันแน่ที่คิดการอื่น"อักษราภัคไม่ปล่อยไปได้ ไวทินถอนหายใจ ไม่ปรากฏอาการแปลกอะไร

    "เอาเถอะ...เรื่องคราวเคราะห์ของเจ้าก็หมดสิ้นแล้ว ข้าเพียงมีคำพูดจากองค์เหนือหัวมาบอกแก่พันตรีและก็เจ้า"

    "ด้วยเรื่องใดเล่า"อักษราภัคถามทันที เหมือนว่าอีกฝ่ายจะขยับมาชิดใกล้มากขึ้น พันตรีมองไวทินอย่างไม่เข้าใจนัก

    "สำหรับเจ้าอักษราภัค... เรื่องมณี ถือว่าองค์เหนือหัวรู้สึกไม่ดีนักที่เก็บแหวนไว้ พระองค์จึงมอบคืนแก่เจ้า"

    "เรื่องนั้นเจ้าบอกข้าแล้ว"อักษราภัคเอ่ยเสียงต่ำๆ ไวทินแค่ยิ้มอย่างสงวนท่าที แล้วเอ่ยต่อเหมือนไม่ใส่ใจ

    "นั่นถือว่าพระองค์ทรงเอ่ยคำขอโทษแก่เจ้า"

    "อา...เรื่องผ่านมาเนิ่นนานข้าไม่เหลือความรู้สึกขุ่นข้องใจอีก แต่ข้าก็ยินดีรับ เพราะมันทำให้ข้าสามารถกลับมาพันตรีได้สมบูรณ์"

    "อีกเรื่อง ...พันตรี....องค์เหนือหัวยังคงมีความเป็นห่วงให้ท่านเสมอมา เพราะเรื่องแขนซ้ายของท่าน พระองค์มีบัญชาให้ข้าคอยตามติดดูแลท่านอยู่ห่างๆ"ไวทินปรายตามองมาที่เด็กหนุ่ม เขาเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม

    "เขามีข้าแล้วไวทิน"

    สิ้นเสียงอักษราภัคเกิดความเงียบชั่วขณะ

    "...หมายถึงคุณจะยังอยู่ในเมืองมนุษย์งั้นเหรอ"พันตรีเอ่ยถาม เพราะไม่อยากให้เงียบเกินไปจนน่าอึดอัด ไวทินหันมองเขา สีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาของอีกฝ่ายมีบางอย่างที่บอกไม่ถูก

    "...ตามบัญชาขององค์เหนือหัว"

    "แน่ใจหรือ...เจ้าอ้างคำของท้าวปุณมนัสมากี่ครั้งแล้ว...ที่นี่พันตรีจะไม่เจอเรื่องอันตรายใดอีก..."อักษราภัคพูดทันที หันมองพันตรีไปด้วย วางมือลงกับขาของเด็กหนุ่มจนรู้สึกอุ่นผ่านเนื้อกางเกง ไวทินเหลือบมองนิ่งๆ

    "...ถือว่าข้าบอกต่อท่านตามหน้าที่"ไวทินยืนยำเช่นเดิม พันตรีเองก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร จะให้เอ่ยปากไล่อีกฝ่ายไปก็ดูเหมือนใจร้าย คนข้างกายขยับตัวไปมา

    "ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยไวทิน"

    "ข้าไม่มีเจตนาอื่นใดให้เจ้ากังวลไม่ใช่หรือ"ไวทินตอบ

    "เจ้าไปหาพันตรีในที่ร่ำเรียนของเขาทำไมกัน"อักษราภัคสวนกลับทันที พันตรีเองก็อยากรู้ ได้แต่มองไวทินอยู่เงียบๆ เจ้าตัวเหมือนอึดอัดใจขึ้นมา

    "ข้าแค่ไปดูเขา แต่ไม่เจอ"

    "เจ้าไม่รู้หรือว่าพันตรีย้ายที่อยู่ชั่วคราว"

    "..."

    "เอาเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน"พันตรีโพล่งออกมา ยังไงซะหากไวทินไม่คิดบอก ก็ไม่มีทางง้างปากให้พูด อักษราภัคพ่นลมอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเอื้อมไปตบขาอีกฝ่ายเบาๆ

    "ไม่มีเรื่องอะไรแล้วใช่ไหม"เขาถามเป็นครั้งสุดท้าย ไวทินมองอยู่นาน ปรายตาไปทางอักษราภัคแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ อักษราภัคจึงโน้มมากระซิบกับเขา "กลับกันเถอะ"

    "งั้นผมกลับแล้วนะ"พันตรีบอก ลุกขึ้นยืนคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมา แต่โดนอักษราภัคยกไปถือให้ เขาส่งยิ้มให้ไวทิน แล้วเดินลงจากศาลาไม้ไปพร้อมกับอักษราภัค ระหว่างทางที่เดินกลับไม่ได้หันไปมองคนด้านหลังอีก อักษราภัคแค่นเสียงในลำคอ


    เมื่อมาถึงซอยอพาร์ทเม้น พวกเขาสองคนแวะซื้ออาหารติดขึ้นมาได้ อีกฝ่ายจึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเมื่อได้กลิ่นของไก่ปิ้ง เขาซื้อติดมาสามสี่ไม้ พอเข้ามาในห้องพัก เขาจัดแจงทานมื้อเย็นตรงตามเวลา เพราะต้องทานยาหลังอาหารให้ครบ อักษราภัควุ่นวายกับการจัดโต๊ะให้ เอาดอกกุหลาบมาเสียบลงแก้วทรงสูงส่งเสียงฮัมเพลงอย่างสบายใจ พันตรีขยับเก้าอี้มานั่งข้างๆอีกฝ่าย ลงมือทานข้าวด้วยกันเงียบๆเป็นครั้งแรก เห็นอักษราภัคเลือกกินแต่ชิ้นไก่และเนื้อ

    "แม้อาหารของมนุษย์จะไม่ถูกปากข้า แต่ถือว่าย่อยได้"อักษราภัคบอก ตักแกงจืดมะระให้เขาอย่างเอาใจ พันตรียิ้มออกมา เหมือนว่าอีกฝ่ายจะซึมซับปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มากขึ้น เมื่ออาหารบนโต๊ะถูกจัดการจนหมด พันตรีทานยาเรียบร้อย เดินไปนั่งบนโซฟาตัวเล็ก มีอักษราภัคตามมานั่งเบียดเสียดด้วย เด็กหนุ่มชินกับการใกล้ชิดแบบนี้แล้ว จึงยื่นมือไปสางผมของอีกฝ่าไปพลาง แอบถักเปียอันน้อยได้สองเส้น

    "เจ้าว่าไวทินคิดเช่นไร"

    "...ไม่รู้สิ ผมไม่สนใจเรื่องของเขาแล้ว เขาก็ไม่คิดร้ายอะไร"

    "แต่บางครั้งก็ทำให้รำคาญใจเหมือนกันนะ"อักษราภัคเอนตัวมาซบไหล่พันตรีเหมือนเด็กๆ

    "ผมมีอักษราเป็นหนึ่งเดียวในใจ ไม่สนใครที่ไหนหรอก"เด็กหนุ่มบอก อีกฝ่ายหัวเราะสุขใจ

    "นั่นสิ แต่เดี๋ยวนะ ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้าแล้ว แต่ข้ายังไม่มีของหมั้นให้เลย"อักษราภัคมอง ท่าทีเหมือนเพิ่งคิดได้ เขาไหวไหล่ ไม่ได้นึกถึงของหมั้นจากอีกฝ่ายตอนที่มอบกำไลให้ แต่เหมือนว่าอักษราภัคจริงจังขึ้นมา

    "ไว้ค่อยให้ก็ได้"

    "ข้าคิดไม่ออก...บางที ข้าอาจหาแหวนให้เจ้าสักวง...แต่ข้าไม่มีอะไรสักอย่าง"อักษราภัคเอ่ยหงอยๆ พันตรียิ้ม

    "เรื่องเล็กน้อยน่า แค่มีคุณอยู่ด้วยก็ดีแล้ว"เขาเอ่ยไปแบบนั้น แต่อักษราภัคยังมีเรื่องนี้ติดค้างในใจ แม้ว่าจะยิ้มออกก็ตาม

    พอตกกลางคืนเม็ดฝนก็หระหน่ำตกลงมาเหมือนทุกที ทำเอาพันตรีนอนซุกกับงูเผือกอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาเป็นไฟไว้ที่หัวเตียงตามเคย อักษราภัคคืนร่างงูเวลานอนเสมอ เขาลูบร่างอุ่นของงูไปมา งูเผือกขยับตัวม้วนขดใกล้ชิดพันตรี ยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาเหมือนคืนก่อนๆ เขายิ้มยื่นหน้าไปจุ๊บที่ศีรษะของงูบ้าง

    "ราตรีสวัสดิ์นะ"เขาพึมพำ นอนกอดงูเผือกไว้อย่างที่เคยเป็น




    -อักษราภัค


    ผ่านเวลาไปหลายยาม ข้าตื่นขึ้นมากลางดึก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเข้าใกล้ เห็นพันตรียังคงนอนหลับใหล ใบหน้าสงบกับลมหายใจสม่ำเสมอ ข้ายังคงนอนหลับในอ้อมกอดของเขา เป็นงูเผือกตัวน้อยเช่นเดิม ทว่าระหว่างนั้นมีมือหนึ่งเข้ามาลูบสัมผัสศีรษะของพันตรีแผ่วเบา ข้าได้แต่เดือดดาลในใจ เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรือ ฉับพลันข้าคืนร่างเดิมทันที ไม่ได้ทำให้พันตรีตื่นแต่อย่างใด แต่คนแปลกหน้ากลับถอยตัวออกห่างจากเตียงราวกับคนทำความผิด

    ข้านั่งมองไวทินที่ปลายเตียง จ้องมาอย่างเงียบเชียบ "ถือว่าเจ้ากล้า ที่สัมผัสเขาเช่นนั้น"

    "เขาเป็นมนุษย์ หาใช่องค์อภันตี"ไวทินตอบเรียบๆ อีกฝ่ายยืนเหม่อมองไปที่มุมห้องขาตั้งรูปวางอยู่ถัดไปมีกล่องใส่กระดาษปรูฟ ด้านหลังมีแผ่นภาพวางซ้อนกันหลายชิ้น ในห้องนี้ไม่เหลือร่องรอยของศิลปะแบบอื่นนอกจากงานจิตกรรม ไวทินใจมีสีหน้าเรียบเฉย

    "ก็ใช่ ไหนว่าจะตามอยู่ห่างๆไงเล่า เพียงแค่ข้าหลับไป เจ้ากล้าเข้ามาถึงในห้อง จับต้องเขาโดยพลการ"ข้าเอ่ย มองไวทินไม่กะพริบตา อีกฝ่ายยังคงเงียบไม่พูดจา ข้าขยับมือเข้าหากันอย่างกังวลใจ มือซ้ายหมุนกลึงอยู่แหวนสีอำพันไปมา แหวนที่ท้าวปุณมนัสมอบให้

    พอนึกถึงท่าทางลับๆล่อๆของไวทิน เขานึกถึงคืนที่มีเค้าลางเรื่องน่ายินดี ข้าในร่างงูเผือกจับได้ว่าไวทินแอบตามพันตรีมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ที่ข้ากลับมาหาเขา อยู่ด้วยกันเหมือนเคย ไวทินก็เอาแต่หลบซ่อนในความมืดตามดูพันตรีอยู่ร่ำไป ข้าไม่ชอบใจนักแต่บอกพันตรีไม่ได้ วันนั้นข้าเห็นดอกกระดุมทองตั้งอยู่ ทำให้ข้ามีหวัง มันเหมือนว่าเป็นสัญญาณเตือน ข้ารู้ว่าจะมีเรื่องดี แต่ไม่อาจคาดเดาว่าจะเป็นเหตุการณ์ใด

    จนกระทั่งกลางดึกคืนนั้น ข้าเห็นเงาร่างสูงกำยำที่ปลายเตียง ข้าถึงรู้ได้ทันทีว่าคือไวทิน

    'ข้าเอง'ไวทินร่างมนุษย์ยืนอยู่ตรงหน้า ข้าเงยมองพันตรีที่หลับใหล จากนั้นก็ค่อยๆเลื้อยออกจากอ้อมแขนของพันตรีช้าๆ มาหาไวทินที่ปลายเตียง

    'มีอะไร'

    'เจ้าอาจคาดเดาถูก...ข้ามีเรื่องน่ายินดีมาบอกเจ้า'

    'อืม...ว่ามา'ข้าบอก มองไวทินที่แบมือมาตรงหน้า เผยสิ่งเรืองรองในความมืด แหวนวงหนึ่งที่คุ้นเคยต่อข้า มณีสีอำพันส่องวาบออกมาวูบเดียว ข้าใจสั่นไหว มณีนาคาของข้า ข้าผงกหัวมองไวทินที่มีสีหน้าเรียบเฉย ข้ามองอย่างมีความหวัง ข้าคิดเอาเองว่าในที่สุดข้าอาจได้รับอาคมคืนกลับมา

    'องค์เหนือหัวมอบให้เจ้า...บอกว่าใช้ให้ดี'

    'หึ มันเป็นของๆข้าไม่ใช่หรือ...'ข้าใจกระตุกอยู่บ้างที่ท้าวปุณมนัสเอ่ยเช่นนั้น แต่ก็ยื่นหน้าไปหาแหวนในมือของไวทิน ข้าร่ายอาคมไม่ได้ แต่ไวทินใช้ได้ เขาเพียงแค่ใช้มืออีกข้างวาดผ่านแหวนมณีของข้า พริบตาเดียวข้าเหมือนโดนกระชากวิญญาณ สองตาเหมือนมองดวงไฟสว่างเจิดจ้า ข้าหรี่ตาลง

    ปึก

    รู้ตัวอีกทีข้าล้มลงอยู่ที่ข้างเตียง เข่าสองข้างเจ็บแปลบ ร่างกายหนาวสะท้านเมื่อพบว่าข้าไร้อาภรณ์ใด ข้าเงยมองไวทิน อีกฝ่ายืนอยู่เหนือข้า สีหน้าไร้อารมณ์ ข้าไม่นึกชอบที่เป็นฝ่ายต่ำกว่า แต่ว่ากล่าวอะไรไม่ได้เพราะเขาช่วยข้าเช่นกัน ข้าเหลือบมองแหวนตรงหน้า วางอยู่บนพื้น ข้าเอื้อมไปหยิบ มือสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะสวมลงนิ้วชี้ ฉับพลันความอุ่นหลั่งไหลไปทั่วทั้งสรรพยางค์กาย ข้ารู้ได้ทันทีว่าข้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมทว่า....ดวงตาข้างซ้ายคล้ายกับมองไม่ชัด มันไม่เห็นอะไรในระยะทางฝั่งซ้ายมือ แต่ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก ข้ายินดีอยู่นาน

    'เจ้าช่างโชคดี องค์เหนือหัวเมตตาเจ้า...และพันตรีด้วย ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงเป็นงูบริวารเช่นเดิม'

    'เจ้าคิดเช่นไรกันแน่ไวทิน...'

    'อย่าสนใจเรื่องข้าดีกว่า...เจ้าได้รับพลังของเจ้าคืนเป็นเรื่องที่สมควร เพราะแต่เดิมมณีเป็นของเจ้า'

    'ขอบใจ'ข้าเอ่ยบอกไป เป็นครั้งที่สองที่เขามาช่วยข้า...


    ไวทินมาช่วยข้าในวันที่หนีออกจากบ้านเศรษฐีนั่น ข้าขึ้นจากน้ำเน่าเลื้อยราบไปตามตลิ่ง หนีเตลิดให้ห่างจากบ่อน้ำมากที่สุด ข้าเลือกเข้าป่าแต่แถวนั้นหาได้ยากเหลือเกิน ไม่มีป่าลึกมีเพียงสวนเล็กๆที่ไม่มีต้นไม้สูงใหญ่ ข้าจึงหลบซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ต่ำที่ตัดแต่งแปลกตาเป็นแนวตามถนนหนทาง แต่ข้ายังหวาดกลัวว่าจะเจอกับสุนัขเข้า ข้าอาจตายเพราะมันได้ เมื่อซุ่มซ่อนไปได้หลายชั่วยามเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามมา ข้าจึงย้ายที่หลบซ่อน

    คืนนั้นฝนตกกระหน่ำจนมองไม่เห็นทาง ยิ่งข้าดวงตาไม่ดี ยิ่งเป็นอุปสรรค ข้าเลื้อยไปตามถนน เลือกไม่ผ่านบ้านเรือนที่มีคนชุกชุม มีเสียงกัปนาทดังสนั่น ทำให้ข้าใจสั่น ราวกับมีอาเพส ข้ามองไม่เห็นรถน้อยใหญ่แล้ว ฝนตกหนักเช่นนี้คงไม่มีใครเสี่ยงออกจากบ้าน ข้าคิดจะข้ามถนนไปอีกฝั่งที่มีป่าหญ้าเตียนๆ ตัดสินใจยื่นหน้าไปมองถนนสายยาว เพ่งมองอย่างแจ่มชัด ข้าไม่เห็นแสงไฟของรถ ทว่าข้าเห็นเงาร่างสูงใหญ่ ข้าตกใจคิดว่าเป็นคนติดตามของเศรษฐีคนนั้น จึงเลื้อยหนี

    'ข้าเอง'

    'ไวทิน!'ข้าแปลกใจนัก เพราะความมืดสลัวกับเสื้อผ้าสีดำที่อีกฝ่ายสวมใส่ทำให้ข้าจำเขาไม่ได้ อีกฝ่ายเดินมาหาราวกับไม่เกรงกลัวต่อเม็ดฝน ใบหน้าซูบตอบทว่ามีเค้าความหล่อเหลา หยุดอยู่ตรงหน้าข้า แปลกใจว่ามาหาข้าด้วยเรื่องใด แวบเดียวข้านึกถึงพันตรี

    'ข้ามาเพราะช่วยเจ้า...'

    'ช่วยข้า?'

    'ใช่ มณีของอภันตีนำข้ามาหาเจ้า'อีกฝ่ายเอ่ยเรียบๆ มือข้างหนึ่งเผยให้เห็นมณีแดงวิบวับเรืองรองในความมืดเป็นอย่างดี ข้าพูดไม่ออก พันตรีสามารถเรียกมณีกลับมาได้งั้นเหรอ

    'ไม่มีเวลาอธิบาย...ข้ามาทำตามหน้าที่...ทว่าพันตรีมีสิ่งที่ต้องแลก ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยเปล่า'ไวทินเอ่ยเสียงเรียบเฉย จากนั้นก็โน้มเข้ามาจับข้าไว้ แทบไม่ต้องออกแรงอะไรเพราะเขามีพละกำลัง

    '...ข้าจะสามารถอยู่กับเขาได้ใช่ไหม'ข้าถามเพราะกังวลใจ ไวทินไม่ตอบไม่ยิ้มแย้ม

    'เดี๋ยวก็รู้'เขาพูด จากนั้นก็วาดมือผ่านหน้าข้าไป ข้าเหมือนเข้าสู่ห้วงนิทราไม่รับรู้สิ่งใดอีก จนกระทั่งข้าลืมตาขึ้นมองแสงสว่างจ้าตรงหน้า พยายามมองเบื้องหน้าให้ชัดขึ้น เหมือนว่าข้ากลับมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ลองขยับตัวพบว่าอึดอัดอยู่ในอ่างล้างหน้า...

    ห้องน้ำของพันตรี

    ข้าลิงโลดยิ่งนักแต่ไม่ทันไร มีเสียงเหมือนอะไรสักอย่างล้มลง ข้าพยายามเลื้อยออกจากอ่างแต่เหมือนไร้ผล ข้าไร้เรี่ยวแรง เพราะตากฝนเมื่อตลอดคืนจนหนาวสั่นขึ้นมาบ้าง ตาข้างซ้ายพร่ามัวเหมือนเคย ไวทินเดินเข้ามาในห้องน้ำจ้องมองข้าอยู่นาน

    'เกิดอะไรขึ้น'

    'พันตรีช่วยเหลือเจ้า เขายอมแลก...กับบางสิ่ง'

    'อะไร...'ใจข้าสั่นสะท้าน

    'เขาจะไม่สามารถเข้าใจภาษางูได้อีก'วินาทีที่ฟังไวทินบอก จากนั้นเหมือนว่าข้าล่วงหล่นจากที่สูง นึกถึงคำของพญานาคาขึ้นมา นี่คือสิ่งที่พันตรีต้องแลกงั้นเหรอ

    'อีกข้อ...เจ้าสูญเสียดวงตา...เขาสูญเสียแขนซ้ายไป อาจจะไปทั้งหมด แต่มันไม่เหมือนเดิม เขาจะมืออ่อนแรงไปตลอดชีวิต'ไวทินสาธยาย ข้าตระหนก มองคนตรงหน้าอีกครั้ง ข้าเดาใจเขาไม่ออก แต่ที่ชัดเจน เขาซื่อสัตย์ต่ออภันตี แต่กับพันตรีข้าไม่รู้ เหมือนว่าเขาใส่ใจพันตรี แต่ก็ไม่ถึงกับชมชอบ ข้าพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าชีวิตของพันตรีจะเป็นอย่างไร เหมือนว่าอีกฝ่ายจะร่ำเรียนศิลปะจำเป็นต้องใช้สองมือปั้นแต่งงานออกมา

    'พันตรีเป็นเช่นไรบ้าง'

    'เดี๋ยวเขาก็มา....เจ้ารออยู่ตรงนี้...'ไวทินทำท่าจะเดินจากไปแต่ข้ารั้งไว้

    'ทำไมถึงต้องช่วยพันตรี องค์เหนือหัวรู้หรือไม่'

    'ย่อมรู้...เขาไม่ปล่อยให้ร่างที่เป็นดวงจิตของพระโอรสเป็นอะไรไปหรอก'ไวทินตอบกลับมาไม่ทำให้กระจ่างขึ้น

    'มณีของอภันตีกลับมาได้อย่างไร'

    'องค์เหนือหัวคืนมันให้มนุษย์...ตอนที่อภันตีแตกสลายไป...พระองค์คาดการบางอย่างได้จึงมอบคืน ก็ไม่ถือว่าพระองค์ทำผิดกฎ ในเมื่อมณีกลับมาในฐานะของของพันตรี'ไวทินอธิบาย ข้าจึงเข้าใจ บางครั้งการยึดติดถือเป็นเรื่องดีขึ้นมา ข้าไม่ได้มองไวทินอีก ได้แต่ขดตัวเข้ากันเพราะว่าหนาวสั่น

    'ต่อไปนี้...เจ้าจะเป็นแค่งู เขาจะเป็นมนุษย์ เขาสามารถทนอยู่ได้หรือ'

    '...ข้าคิดว่าเขาไม่ทอดทิ้งข้าแน่นอน'ข้าตอบ ข้ามั่นใจในตัวพันตรี และรู้ว่าเขาเป็นคนเข้มแข็งและหนักแน่น ไวทินหันมองข้าอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นก็เดินออกไปพ้นจนพ้นสายตาข้า...เรื่องราวในคืนนั้นจบลงที่ข้านอนกับพันตรี รับไออุ่นจากเขาตลอดคืน แต่ที่ข้ารับรู้จนเจ็บในใจ พันตรีโศกเศร้า ทั้งเรื่องข้าและเรื่องตัวเขาเอง


    กลับมาที่ปัจจุบัน ข้านั่งมองไวทินอยู่นาน อีกฝ่ายมีสีหน้าอึดอัดใจขึ้นมาอีกแล้ว เวลาถูกต้อน ข้าจึงอยากย้ำกับเขาให้แน่ชัด

    "เขาไม่ใช่อภันตี"

    "ใช่...เพราะเขาไม่ใช่อภันตี"คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ข้าหงุดหงิด นั่นเพราะพันตรีคือมนุษย์ธรรมดางั้นหรือเขาถึงกล้าข้ามเส้นมา แต่ก็ไม่ทั้งหมด

    "ข้าไม่เคยคิดเดาใจเจ้ามาก่อน...เพราะเจ้าเป็นสหายของอภันตี"ข้าเอ่ย ไวทินไม่ตอบอะไรเพียงแค่จ้องมองข้าด้วยสายตานิ่งเฉยเหมือนทำไม่สนใจ แต่ข้าคิดว่าเขาคงร้อนรน

    "แต่ตอนนี้ข้ามีคำตอบชัดในใจ...แต่เอาเถิด เจ้าอาจจะมองพันตรีเป็นมนุษย์จึงได้เข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วย แต่อย่าลืมว่าหน้าที่เจ้าเพียงแค่เฝ้าระวัง อย่าทำให้เขาต้องอึดอัดใจ"

    "ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดให้เขาอึดอัดใจ"

    "การที่เจ้าเอาแต่ตามเขา คิดว่าพันตรีไม่สังเกตเห็นหรือ...เลิกตามติดเขาได้แล้ว...หรือต่อให้ตาม ก็แค่เป็นบางหนแห่ง อย่ามาตามแม้กระทั่งในที่ส่วนตัว"ข้าย้ำบอก

    "ข้าแค่มายืนยันว่าเขาปลอดภัย"ไวทินเอ่ย ยังคงพูดจาเป็นงานเป็นการ ข้านึกถึงคำพูดเมื่อตอนเย็น

    "แล้วเจ้าจะอยู่ที่เมืองมนุษย์ไปตลอดเลยหรือ"

    "เปล่าหรอก...จนกว่าข้าจะวางใจ"ไวทินเหลือบมองข้า ขณะนั้นดวงตาของอีกฝ่ายก็หันมองพันตรีอีก ข้าหมุนแหวนบนนิ้วไปมา

    "แล้วเมื่อไรเล่า"

    แต่ไม่มีคำตอบจากไวทินอีก ข้าถอนหายใจ ลูบแหวนบนนิ้วอย่างครุ่นคิด

    "ช่างเถิด ข้าจะทำเป็นมองไม่เห็นเจ้าก็แล้วกัน...เหมือนที่ท้าวปุณมนัสเลือกไม่ใส่ใจ"ถ้อยคำของข้าคงทำให้ไวทินว้าวุ่นอยู่เงียบๆ เห็นคิ้วขมวดของอีกฝ่ายแล้วพอใจขึ้นมา ท้าวปุณมนัสน่าจะมองออกอยู่แล้ว

    "...ข้าจะออกไปแล้ว"

    "โชคดี...เอ๊ะ แต่เจ้านอนพักที่ใดกัน"ข้านึกสงสัย

    "...ไม่ใกล้ไม่ไกล"ไวทินตอบ ก่อนจะเดินออกไปทางประตู มีเสียงดังคลิกและเสียงปิดประตูตามมา ข้ามองไปทางทิศทางของไวทินแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วคืนร่างงูดังเดิมเลื้อยเข้าไปนอนซุกพันตรีเช่นเดิม

    'ข้าชักห่วงเจ้าเลยสิ'อักษราภัคคิด ก่อนจะวกไปที่ของหมั้นที่จะให้พันตรี ข้าคิดไม่ออก จากนั้นก็ผล็อยหลับไป



    ช่วงเช้าพันตรีตื่นก่อนข้า เห็นเขาเดินเปลือยอย่างเคยชิน ในตอนนี้ข้าแสร้งทำเป็นหลับแต่ตาจดจ้องเขาไม่ห่าง รูปร่างผอมของพันตรีสะกดใจข้า อาจเพราะข้าได้ครอบครองเขามาแล้วจึงติดใจเป็นพิเศษ พันตรีเช็ดผมไปมา จากนั้นก็หยิบชั้นในมาสวมตามด้วยกางเกงขาสั้นตัวบางๆ เขามองกระจก เหลือบมองมาทางข้าอยู่นาน แต่เขาไม่มีทางรู้ว่าข้าตื่นนอนหรือไม่ เขาแต่งตัวด้วยชุดเดิมๆเสื้อสีขาวกางเกงสีดำ เตรียมพร้อมไปทำงาน ข้าคงคิดถึงเขาอีกแล้ว

    พันตรีเดินมานั่งบนเตียง ก้มมองข้าด้วยสายตารักใคร่ เขาลูบสัมผัสข้าอีกแล้วทำเช่นนี้เหมือนข้าเป็นพวกสัตว์เลี้ยงน่ารักอะไรทำนองนั้น รู้ตัวอีกทีใบหน้าของพันตรีก้มลงมาจูบข้าอีกแล้ว ...จูบที่หัวเช่นเคย ข้าขยับตัว เขาดูแปลกใจแต่ยังคงก้มมอง ข้าจึงยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาต่อ

    "นึกว่าตื่นสาย"เขาพูดยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกายสดใส ข้าเลื้อยไปหาเขาซุกไซ้ที่หน้าท้องก่อนจะเคลื่อนตัวไปหาที่หัวไหล่ กอดรัดเขาไว้ไม่ปล่อย พันตรีดูประหลาดใจที่ข้าไม่คืนร่างมนุษย์ แต่ยอมอยู่เฉยให้ข้าคลอเคลียที่ใบหน้า ข้ากดหน้าลงกับริมฝีปากของเขาอยู่หลายครั้ง เห็นพันตรีกลืนน้ำลายอยู่หลายอึกทำให้ข้าพอใจมาก แต่แค่เย้าหยอกเขาเท่านั้น อดไม่ไหวคืนร่างมนุษย์ดังเดิม ข้าอยู่ในร่างเปลือยเช่นเดิม ตอนนอนข้าไม่ใส่อะไร ข้าว่ามันสะดวกสบายดี

    "ข้าจูบเจ้าเช่นนี้ดีกว่าเยอะ"ข้าหัวเราะเบาๆ เข้าไปกอดพันตรีไว้ แล้วจูบเขา สักพักก็เปลี่ยนไปหอมแก้มอีกรอบ เห็นพันตรีหน้าแดงเรื่อขึ้นมา

    "ทำไมต้องอ้อนด้วยหือ"เขาประคองใบหน้าข้าแล้วจดๆจ้องๆ ก่อนจะยื่นหน้ามาจูบที่หน้าผาก เปลือกตาของข้าเหมือนเคย ข้าเลยไล่งับเขาไปทั่ว จนพันตรียอมเข้ามาจูบข้าเอง ข้าโอบตัวเขาไว้ เลื่อนมือไปทั่วแผ่นหลัง แต่พันตรีแต่งตัวรัดกุมเอาเสื้อใส่ในกางเกง ข้าจึงหยุดอยู่ที่จูบลำคอของเขาแทน

    "อืม...พอได้แล้ว"พันตรีว่า แต่ไม่ผลักไสข้า

    "อย่าให้ใครมาเกาะแกะเจ้าล่ะ"ข้าบอก นึกถึงไวทินขึ้นมา พันตรีไหวไหล่ "อือ ไม่ให้เกาะแกะหรอก"

    ข้าส่งพันตรีที่หน้าประตู จากนั้นทั้งห้องก็เข้าสู่ภาวะสงบเงียบ ข้าเดินไปนอนที่เตียง นึกหาของขวัญให้พันตรีอยู่นานแต่นึกไม่ออก ข้าจะให้อะไรเขาดีหรือ พันตรีชอบอะไรบ้าง นอกจากข้า นอกจากการวาดรูปแล้ว ข้ากลิ้งตัวอยู่บนเตียง ได้กลิ่นหอมของผลไม้รวมทั้งจากเส้นผมข้าเองและกลิ่นของพันตรี ข้าชอบกลิ่นนี้ไปแล้ว จับเส้นผมออกมาม้วนเล่น เห็นเปียเล็กๆยังไม่คลายก็อดยิ้มไม่ได้


    ข้าอยากกลับไปหอพักเก่าของพันตรี ที่โน่นข้ามีของมีค่าทิ้งไว้ แต่เกรงว่ามามันจะหายไปแล้ว ข้าต้องมีเงินไว้จับจ่าย หรือข้าจะขโมย.....อา ไม่ได้สิ พันตรีคงโกรธน่าดู


    ข้าลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปค้นตู้เสื้อผ้าของพันตรีอีกรอบ ข้าเปิดไปที่ลิ้นชักอันล่างสุดเจอหีบของข้าที่ทิ้งไว้ ข้าเปิดออกเจอแต่กำไลแขนกับรัดเกล้าของข้า นอกนั้นไม่มีอะไรเลย ข้าหยิบกำไลแขนออกมาอย่างน้อยก็มีทับทิมติดอยู่ ข้าจะเอาไปขายแลกเงินได้ที่ไหนกันคิดเช่นนั้นแล้วปวดหัวยิ่งนัก ข้าจึงเก็บของไว้ที่เดิม เหลือบไปเห็นผ้านุ่งจึงหยิบมาคลี่ผ้าออกมาพันรอบเอวก่อนจะค่อยๆจับจีบ ข้านุ่งผ้าแบบเดิมคล้ายกับการนุ่งหน้านางแบบหางไหลเพียงแต่จะสั้นไปหน่อย พันตรีชอบบ่นว่าข้าโป๊ แต่ข้าว่ามันก็เหมาะ หันมองหาเข็มขัดสักเส้นแต่ไม่เจอเลยหยิบของพันตรีมาใช้แทนก่อนจะจับขอบที่เหลือบนเข็มขัดดึงออกมาให้พับปิดเข็มขัดเพราะมันไม่งามสำหรับข้า

    จากนั้นก็สวมกำไลแขนทั้งสองข้าง หยิบรัดเกล้าออกมาใส่ เท่านี้ข้าก็หวนคืนเป็นอักษราภัคคนเดิม ข้าเดินไปนั่งบนเตียง เอาล่ะ ข้าล้มเลิกเรื่องของหมั้นไปเป็นดีที่สุด ยกแขนออกมาดูกำไลอย่างหวงแหน  จากนั้นก็นอนพักเอาแรงสักเดี๋ยว รอพันตรีกลับมาจากการทำงาน ข้ามีเรื่องจะเอ่ยกับเขา

    ทว่านอนพักผ่อนอยู่ดีๆ ข้าเหมือนใจสั่นคล้ายจะเป็นลม อาการเช่นนี้...เหมือนกับว่าข้าเสียตบะไปอีกแล้ว ก้มมองแหวนอีกครั้ง

    'เฮ้อ สงสัยข้าจะอยู่ร่างมนุษย์บ่อยเกินไป'นึกไปถึงวันแรกๆที่อยู่กับพันตรี เมื่อก่อนข้าจะไม่คืนร่างมนุษย์แบบพร่ำเพื่อ เห็นทีข้าต้องกลายเป็นงูเผือกสักระยะ พันตรีของข้าขอแค่พูดคุยเท่านั้น ข้าว่ามันไม่ต่างจากเมื่อก่อนนักหรอก ตอนนั้นเราก็มีความสุขกันดีไม่ใช่หรือ อา คิดได้ดังนั้นข้าผล็อยหลับไปอีกรอบ มณีบนแหวนทำให้ข้าหลับได้ง่ายขึ้น...


    .

    .


    พันตรีกลับมาถึงห้องพักอีกครั้ง คราวนี้เขาแวะซื้อหนูแช่แข็งติดมือมาด้วย เพราะจะให้อักษราภัคกินแต่อาหารมนุษย์คงมวนในท้องแย่เลย พอไขกุญแจเข้าไป ภายในห้องเงียบกริบ พพันตรีวางของก่อนจะเดินไปดูที่เตียง เห็นงูเผือกนอนอยู่บนผ้าห่มยับยู่ยี่ ที่แปลกคือที่ศีรษะของอีกฝ่ายราวกับว่ามีหงอนโผล่ขึ้นมาแล้ว มันสวยลักษณะเหมือนนาคราชพริ้วไหว นึกขึ้นได้ว่าอักษราภัคได้มณีกลับมาแล้ว แต่เมื่อเช้าเหมือนว่าจะยังไม่มีหงอนออกมา

    พันตรีได้แต่แปลกใจ ถอดกางเกงออกเพื่อความสบายตัว เขาเปลี่ยนเสื้อมาสวมเสื้อแขนสั้นตัวใหญ่ แล้วปีนขึ้นไปหาอักษราภัคบนเตียง กึ่งนอนกึ่งนั่งลูบมือไปทั่วลำตัวของงู อีกฝ่ายผงกหัวขึ้นมอง

    "กลับมาแล้วหรือ ข้าหลับไปนานนัก"

    "คุณมีหงอนคืนมาแล้ว สวยเชียว"พันตรีเอ่ย ลูบไปที่หัวของอีกฝ่าย งูเผือกเลื้อยมาใกล้ ยื่นหน้ามาชนแก้มก่อนจะขยับไปที่ใบหู

    "อืม ข้าได้มณีแล้ว ข้ากลับคืนสู่อักษราภัคเช่นเดิม...อักษราภัคที่เป็นงูน่ะพันตรี"อีกฝ่ายว่า ทำเอาเขาหดคอหนีเสียงกระซิบต่ำของงู พันตรีนึกถึงวันแรกที่เคยเจออักษราภัค แต่ก่อนอีกฝ่ายอยู่ในร่างงูซะส่วนใหญ่

    "ผมไม่รังเกียจคุณหรอกน่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย"พันตรีเอ่ย จับใบหน้าของงูไว้แล้วยื่นจมูกไปแตะที่ศีรษะของอีกฝ่าย อักษราภัคหัวเราะ

    "ข้าไม่มีของหมั้นให้เจ้าเลย นอกกเสียจากตัวข้าเท่านั้น...รับข้าเป็นของหมั้นได้หรือไม่"งูเผือกเอ่ย เอียงหน้ามองนิ่งๆ พันตรีทำตาโต มองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง

    "คุณน่ะเหรอ..."เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ ล้มตัวนอนไปกับเตียง มีงูเผือกเลื้อยตามมาบนตัว คืบคลานมาที่หน้าอกของเขา งูยื่นคอมอง

    "อือ ข้าไง งูเผือกตัวนี้ขอเป็นของหมั้นเอง...เจ้าจะได้เป็นเจ้าของข้า"อักษราภัคเอ่ย พันตรียิ้ม เอาเข้าจริงเขาไม่อยากได้ของหมั้นมีค่าอะไร...เป็นงูเผือกตัวนี้ก็ดีเหมือนกัน

    "ตกลงครับ...ของหมั้นก็ของหมั้น...แล้วก็เป็นคนที่ผมรัก"พันตรีเอ่ยจากใจ งูเผือกจึงม้วนตัวอยู่บนหน้าอก เขาประคองตัวงูไว้ เนื้ออุ่นเกล็ดเงางามทำให้เขาชื่นชอบไม่น้อย เขาไม่เคยรังเกียจอักษราภัคเลยจริงๆ

    "เจ้าอาจสงสัยว่าเพราะเหตุใดข้ากลับมาอยู่ในร่างงู ข้าว่าข้าใช้พละกำลังในร่างมนุษย์มากเกินไป...คงเสียตบะไปน่ะ ข้าคงต้องอาศัยร่างงูร่างจริงของข้าแทน"งูเผือกอธิบาย พันตรีพยักหน้าเข้าใจ แต่พอนึกไปถึงเรื่องที่ทำให้เสียพลัง...เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมา อักษราภัคหัวเราะยื่นหน้ามาคลอเคลียใกล้กับปลายคาง

    "ข้าคงอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิตนั่นแหละพันตรี เจ้าไปไหนข้าไปนั่น ตามติดเจ้าไม่ห่างเช่นเดิม"ถ้อยคำของงูเผือกทำให้เขายิ้ม หัวใจเหมือนมีไฟอุ่นชโลม เขาลากมือไปตามลำตัวยาว สอดแขนข้างถนัดเข้าไปพันท่อนล่างของงูเอาไว้ รู้สึกถึงแรงรัดจากงูเผือก

    พันตรียิ้มกว้าง พลิกตัวนอนตะแคงดึงอักษราภัคมาไว้แน่น ร่างงูครึ่งหนึ่งขดพันแขนเขาไว้ ที่เหลือส่วนบนเข้ามาซบอยู่ที่หัวไหล่ เวลานี้เขาไม่ขัดข้องกับอักษราภัคในร่างงูเพราะพวกเขาสื่อสารกันได้

    "อือ ผมก็เพิ่งซื้อหนูแช่แข็งมาให้ตั้งหลายแพ็คแน่ะ ไหนจะยาถ่ายพาธิอีกหลายกล่องเลยนะ ไม่ต้องห่วงคุณจะสุขสบายแน่ๆ อยู่กับผม ผมเลี้ยงดีนะ ขาวๆแบบนี้ โชว์ตัวกับผมคนเดียวก็พอ"พันตรีแกล้งเย้าแย่ งูเผือกผงะไปก่อนจะอ้าปากมางับใบหูของเด็กหนุ่มเบาๆจนขนลุกไปหมด ยิ่งเขาเองหน้าหนี งูก็ยิ่งตามมางับแล้วงับอีก

    "งั้นข้าไม่คืนร่างมนุษย์แล้ว อยู่เป็นงูเพื่อสั่งสอนเจ้า!"งูเผือกเอ่ยกลับมาอย่างไม่จริงจังนัก ดวงตาสีดำกลมโตจ้องเขม็ง พันตรีได้แต่หัวเราะ กอดอีกฝ่ายไว้กับตัว

    "ฮื่อ แล้วแต่เลย ทนได้ทนไปสิ"พันตรีปรายตามองงูเผือกที่เริ่มอยู่ไม่สุข ยื่นหน้ามามองใกล้ มุมนี้ใกล้ไม่กี่นิ้วจนเขาเห็นตาดำๆราบกับหน้าแป้นของงู ช่องปากมีที่ลิ้นผลุบโผล่

    "ผมรักคุณนะอักษราภัคจะคนจะงู ผมก็รัก"พันตรีเอ่ย สบตากับงูเผือก

    "ข้าก็เช่นกัน อยู่ไปจนเฒ่ากับเจ้านั่นล่ะ เป็นคู่ตุนาหงันของข้าตลอดไป"อักษราภัคยื่นหน้าเข้ามาชนกับริมฝีปากของพันตรีเบาๆอยู่หลายครั้ง เด็กหนุ่มมองงูเผือกอย่างรักใคร่ นึกถึงอนาคตที่มีอีกฝ่ายแล้วระบายยิ้มออกมา

    "อือ อยู่ไปจนแก่เฒ่า"เขาว่า

    ฉับพลันความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว 'เอ...หรือเนื้อคู่ของผมจะเป็นงูเผือกจริงๆ'

    'งูเผือกตัวเป็นๆนี่ล่ะ'

    พันตรีกอดงูเผือกไว้ ทั้งคนทั้งงูต่างฝ่ายต่างเย้าหยอกจนเผลอหลับไปกันเอง ขณะเดียวกันที่ด้านนอกฝนค่อยๆตกลงมาพรำๆ ขับกล่อมให้พันตรีหลับใหลไปอย่างง่ายดาย งูเผือกขยับจากท่อนแขนม้วนตัวเข้ามานอนซุกตัวอยู่ใต้คางของเด็กหนุ่ม ดวงตาสีดำจดจ้องอยู่กับคนที่รักมาเนิ่นนาน ยื่นหน้าไปหอมแก้มก่อนถอยลงมานอนซบที่หัวไหล่แทนหมอน หลับพริ้มไปกับคนรัก



    -จบบริบูรณ์-




    [Talk] จะลงรูปงูนะคะ 

    ผ้านุ่งแบบที่อักษราภัคใส่ แต่จะสั้นกว่า



    ใครนึกตัวงูเผือกไม่ออก จะคล้ายแบบนี้แต่ลำตัวจะกลม ไม่แบน



    ส่วนไวทินเคยเห็นกันแล้วมั้งคะ งูเขียวหางไหม้




    แฮปปี้จ้า จะคนจะงูก็แฮปปี้ ไม่ใช่ว่าอักษราภัคจะเป็นงูไปตลอด ก็คงมี 5 สภาวะของนาคาเช่นเคย

    เป็นร่างงูบ้าง ร่างคนบ้าง (มันเปลืองพลังงาน) เลยต้องอยู่ในร่างงูเผือกบ้าง(เป็นร่างจริง)

    ตอนนี้ยาวมาก เราอยากเขียนให้มันหวานๆส่งท้าย เราว่าเขาหวานกันมากๆ 55 

    มากกว่านี้้คงน้ำตาลเชื่อมแล้วค่ะ 

    อ้อ ตัดตอน nc ไปแล้ว เดี๋ยวผิดกฎเอา 

    ขอบคุณทุกคนๆที่สนับสนุนพี่งูกับพันตรีมาตลอดนะคะ เราปลื้มใจมาก

    แม้จะมีช่วงที่คนหายๆไป เพราะช่วงดราม่ากับพาร์ทอดีตหรือเปล่าคะ? แง บางคนอาจไม่ชอบเพราะมันลิเกจักรๆวงศ์ๆสุด แต่มันปมของตัวละครน่ะ เราไม่อยากให้เรื่องโฟกัสที่งูตามจีบตามลวมลามคนอย่างเดียว เลยใส่ปูมหลังของอักษราภัคมา ทำให้ต้องเข้าสู่ช่วงแดนนาคา มันก็จะใช้ภาษาลิเกหน่อย อะไรๆจะดูอภินิหารมนตรานาคราชไปหมด 555 

    ทิ้งคอมเม้นท์ติชมได้นะ (แต่อย่าด่าเด้อ) 

    สามารถติดตามเราได้ที่ แฟนเพจ หรือ ทวิตเตอร์ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×