ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #3 : RE : บทที่ 2 นาคาพระคู่หมั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.77K
      180
      5 ส.ค. 61


    บทที่ 2 นาคาพระคู่หมั้น

    แสงสว่างยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบาดเกล็ด สองหูได้ยินเสียงคนพูดคุยแว่วจากชั้นล่าง พันตรีสะลึมสะลือตื่นนอน ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมาบนเตียง พลิกตัวอีกฝั่ง พบว่าอักษราภัคไม่อยู่แล้ว ก่อนจะผงกศีรษะมองไปรอบๆห้อง

    ‘ไม่มีใครอยู่’ รีบสะบัดผ้าห่มออก ไม่ทันจะขยับตัวลุก สัมผัสที่กำลังคืบคลานมาตามท่อนขาก็เริ่มชัดเจน พอก้มมองเห็นเจ้างูเผือกกำลังขดตัวอยู่ 

    “นี่ๆ ตื่นได้แล้ว”พันตรีเรียก เอามือไปจิ้มตามบริเวณหน้าท้องของงูไปด้วย แต่ดวงตาสีดำที่มองจนสังเกตว่าม่านตากำลังหดอยู่ ไม่มีอะไรไหวติง


    เขายกขาลงจากเตียง แต่การกอดรัดจากงูตัวนี้ไม่คลายไปไหน จึงยื่นมือไปดึงลำตัวของเจ้างูออก ทันใดนั้นงูผงกหัวขึ้นทันที แลบลิ้นออกมาตามเคยค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาหา


    “ไม่เข้าใจว่าคุณจะมาวุ่นวายกับผมทำไม ไม่ใช่ต้นไม้ซะหน่อย”


    “ข้าชอบสำรวจเจ้านะ จะว่าไปร่างกายนี้ของเจ้า ข้าเองก็ไม่คุ้นนัก...”คำตอบของเจ้างู ฟังแล้วระคายหูแปลกๆ ระหว่างที่ปล่อยให้งูเผือกที่เลื้อยมารัดพันเกี่ยวบริเวณเอวจนถึงตอนนี้ ชูคออยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มแล้ว


    “จะบอกว่าจะลวนลามผมงั้นเหรอ”

    การ‘สำรวจ’ของอีกฝ่ายมันทำให้เขาจักจี้ในอก ยื่นมือไปกำรอบส่วนลำคอของงูไว้

    “เปล่า...เจ้าคิดไปเอง”งูเผือกตอบช้าๆ เขากลอกตาอย่างอดกลั้น งูตัวนี้กวนประสาทจริงๆด้วย


    “ทำไมกลับมาเป็นงูอีกแล้วล่ะ...เป็นร่างมนุษย์ไปตลอดไม่ได้หรือไง”


    “เจ้าไม่ชอบที่ข้าเป็นงูหรือ”


    “เปล่า แค่สงสัย”พันตรีบอก มองลูกตาสีดำที่มองไม่ขยับไปไหน ใบหน้าเรียวมนขยับส่ายไปมา เขาปล่อยมือออกจากตัวงู อีกฝ่ายจึงเลื่อนส่วนหัวมาใกล้


    “ข้าไม่มีตบะญาณมากพอหรอก...”


    “มีงูสีน้ำตาลแถวหอพักด้วยนะ”เขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าเจ้างูตรงหน้าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายผงกหัว


    “อา...เจ้าตัวน้อยนั่น...พยายามเข้ามาหาข้า เขาพูดอะไรกับเจ้า”


    “บอกว่าให้ระวังคนขององค์อักครา”เขาบอก เสี้ยววินาทีนั้น งูเผือกก็เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม อักษราภัคยืนอยู่ข้างหน้าเด็กหนุ่ม เรียกว่าแทบจะกอดกันกลมเลยล่ะ


    “ตะลึงความงามของข้างั้นหรือ”เจ้าตัวกระเซ้าเย้าแหย่


    “ผมแค่ตกใจ...ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอ”เขาถาม ขณะนั่งลงบนเตียง ส่วนอักษราภัคก้มมองเรือนรางของตัวเอง หยิบจับสร้อยสังวาล ทำเป็นก้มจับผ้านุ่งสีเขียวไปมา


    “เจ้าว่าข้าควรเปลี่ยนผ้าดีหรือไม่”


    “ก็ตามใจคุณ”


    “ข้าอยากสวมสีแดงเข้ม...บางที...เจ้าอาจหาให้ข้าได้”พอได้ฟังแล้วถึงกับย่นหน้าทันที นึกว่าอยากจะได้เสื้อผ้าใหม่ ๆ ทันสมัย ที่แท้ก็อย่างได้ผ้าถุงใหม่ เขามองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ รอให้อักษราภัคเข้าเรื่องเอง


     “....ข้าได้ขโมยมณีนาคาจากถ้ำของเสด็จพ่อ...อักคราคงตามมาเพื่อทวงคืน”อักษราภัคเอ่ยยิ้ม ท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อน พันตรีมองด้วยความอึ้ง มณีนาคาที่เป็นเหมือนของประจำกายของพวกงูน่ะเหรอ


    “แล้วมณีนั่นอยู่ที่ไหนล่ะ”ดูท่ามณีนาคาอะไรนั่นคงสำคัญน่าดู


    “ข้าเอาไปซ่อนแล้ว...จะว่าไป มันก็ไม่ใช่ของเสด็จพ่อมาแต่เดิมอยู่แล้ว”คำตอบของอักษราภัคทำให้เขาเป็นกังวล


    “นี่...ถ้าหากว่าคนพวกนั้นมาตามหาคุณเจอ...แล้วคุณอยู่กับผม....” เหลือบมองอักษราภัคที่ยืนกอดอกนิ่งๆ เจ้าตัวมองเขาเขม็ง


    “อย่ากลัว อักคราเป็นพี่ชายข้า ไม่กล้าแตะข้าหรือเจ้าหรอก”


    “แน่ใจเหรอ งูตัวนั้นมันเตือนผมว่าให้ระวัง”


    พันตรีลุกขึ้นยืน ดูเหมือนว่าการขโมยมณีของอักษราภัคจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้ว่าเจ้าตัวจะทำหน้าชื่นมื่นก็ตามที เขาไม่สบายใจเท่าไหร่ ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดี


    “ข้าหาเจ้าจนเจอ ไม่ปล่อยให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าหรอก...อภันตี”


    “ผมชื่อพันตรี”เด็กหนุ่มย้ำ มองอักษราภัคอย่างข้องใจ อีกฝ่ายไม่หลบตาไปไหน


    “แน่ใจนะว่าผมจะปลอดภัยนะ”เขาถามอีกครั้ง งูเผือกพยักหน้าทันที “ข้าให้คำมั่นต่อเจ้า”

    สิ้นคำของอักษราภัค พันตรีประสานตากับเจ้าตัวอยู่นาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนพันตรีก้มหน้าหลบตา เปลี่ยนเรื่องสนทนาแทน

    “วันนี้ผมมีเรียนแต่เช้า...คุณจะอยู่ที่นี่ได้ไหม”


    “ข้าอยากอยู่กับเจ้า”


    ทันใดนั้น อักษราร่างมนุษย์เลือนหายไป ปรากฏเป็นเจ้างูเผือกแทน งูตัวนั้นเลื้อยไปตามพื้นห้องและขยับขึ้นไปอยู่ในกระเป๋าสะพายใบโปรดของเขาแทน พันตรีได้แต่ส่ายหน้า เม้มปากอย่างหมดหนทาง

    หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แน่นอนว่าเจ้างูไม่ยอมอยู่ที่ห้องพัก ยังคงติดสอยห้อยตามมาเรียน พันตรีจึงเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าแบบสะพายหลังแทน เพราะจะได้ไม่ผิดสังเกต

    อันที่จริงพันตรีมีข้อเสนอให้อักษราภัคอยู่ในร่างมนุษย์แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเหมือนคนปกติ แต่อีกฝ่ายบอกว่าตบะญาณ(บ้าบอ)ของตัวเองมีไม่เยอะ จึงไม่สามารถแปรงกายเป็นมนุษย์ได้ตามชอบ และเจ้างูก็ไม่ยินยอมที่จะไปใส่เสื้อผ้าแบบอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าจืดชืด


    ฉะนั้นพันตรีจึงต้องแบกเอางูเผือกใส่กระเป๋ามามหา’ลัยด้วย



    และท้ายที่สุด เด็กหนุ่มต้องมาขลุกอยู่ที่หอสมุด เพื่อหาข้อมูลของนาคาวังบาดาล และสายพันธุ์งู ได้แต่หยิบหนังสือออกมาอ่านเล่น เพราะหนังสือที่ได้มาไม่ใช่ข้อเท็จริงเลยสักนิด


    “เพราะคุณแท้ๆ ชีวิตผมถึงได้วุ่นขนาดนี้”เขาก้มพูดกับงูเผือกในกระเป๋าบนตัก ใบหน้าเรียวมนโผล่มาจากรอยซิปกระเป๋าเพียงนิดเดียว ดวงตากลมโตจ้องมองมาอยู่ตลอด


    “นั่นเพราะเราคือคู่กันมิใช่หรือ คงไม่ปล่อยให้ข้าลำบากแต่ผู้เดียว”


    “เพราะคุณมันขี้ขโมยต่างหาก พวกนั้นตามมาหาคุณเพราะคุณขโมยของไม่ใช่หรือไง”เขากระซิบ ยื่นมือไปกดหัวของงูเผือกให้กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋า


     “ข้าทำเพื่อเจ้านั่นแหละ”


    “...เพื่อผมน่ะเหรอ”พันตรีก้มลงไปพูดด้วย เจ้างูเผือกอยู่ไม่ห่างจากใบหน้า ผงกหัวช้า ๆ


    “เล่าให้ฟังหน่อยสิ เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะ”


    “คงยาว กว่าจะเล่าจบ...ไปที่อื่นคงสะดวกกว่า”งูกระซิบบอก พันตรีเงยหน้าขึ้นมองรอบบริเวณโซนอ่านหนังสือที่เริ่มมีนักศึกษาเข้ามาจับจองที่นั่ง เขายืดตัวตรงก่อนจะเก็บหนังสือบางเล่มติดมาด้วยเพื่อยืมไปอ่าน ค่อยๆปิดซิปแล้วยกกระเป๋ามาสะพายหลัง


     ‘หนักเอาเรื่องเหมือนกัน’


    พันตรีกับงูเผือกกลับออกจากหอสมุด เขาเลือกไปหาที่นั่งคุยแถวบริเวณลานหญ้าหลังศูนย์วิจัยพลังงานฯของมหา’ลัย เป็นสถานที่ร่มรื่น มีต้นไม้และสระน้ำเป็นแหล่งพักผ่อนของนักศึกษาได้ดี พอหาที่ปลอดคนได้ จึงนั่งลงบนหญ้าเย็นๆ เปิดซิปออกให้เจ้างูเลื้อยออกจากกระเป๋า


    แทนที่งูจะหาที่เหมาะๆของตัวเอง แต่ดันเข้ามาวุ่นวายกับเด็กหนุ่มจนได้ เลือกนอนขดตัวอยู่ตักของเขาแทน ต้องยอมเรื่องความตื้อและดื้อดึงของงูตัวนี้


    “เอาสิ เล่ามาได้เลย”พันตรีอยากรู้เหตุผลที่อีกฝ่ายต้องไปขโมยของของพ่อตัวเองเหมือนกัน งูเผือกผงกหัวอีกครั้ง


     “งั้นข้าจะเล่าตอนที่ข้าเจอเจ้าก็แล้วกัน...”


    พันตรีก้มมองเจ้างูบนตักด้วยสายตาเอืมระอา ที่อยากให้เล่าน่ะ เป็นเรื่องที่อักษราภัคไปขโมยมณีต่างหาก ไม่ใช่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของตัวเองเสียหน่อย


    ในใจหวนนึกถึงในความฝันนั้นอีกครั้ง มันเชื่อมโยงกับมณีนาคาของอัษราภัคด้วยหรือเปล่า....


    “ไม่เอาเรื่องนี้สิ เรื่องขโมยมณีต่างหาก”เด็กหนุ่มบอก แต่งูเผือกมองเขม็ง อ้าปากขบลงมานิ้วมือของพันตรีเบาๆ


    “ข้าอยากเล่าเรื่องของเรามากกว่า ไม่อยากรู้หรือ ว่าอดีตชาติของเจ้า เหตุใดถึงมาเป็นคู่หมั้นของข้าได้”งูเผือกเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย พันตรีมุ่นคิ้ว ตัวเขาเองก็สงสัยนั่นแหละ... พอก้มมองเจ้างูอีกครั้งก็ต้องถอนหายใจ เหมือนว่าเขาจะหลีกเลี่ยงอักษราภัคไม่ได้จริงๆ คงต้องทำใจยอมรับให้ได้สินะ


     “ตามใจ...”


    งูเผือกชูคอขึ้น เด็กหนุ่มยื่นมือไปเขี่ยเล่นอยากลืมตัว ทำเหมือนว่าเจ้างูตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักอะไรแบบนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็อยากจะรู้ว่า ในตอนที่ตัวเขาเป็นงู ‘อภันตี’คนนั้นจะเป็นคนประเภทไหน


    “ที่จริงแล้วข้ากับเจ้าไม่ได้เริ่มต้นกันด้วยดีสักเท่าไหร่”เจ้างูพึมพำ ดวงตาสีดำจ้องมองหน้าเด็กหนุ่มเสมอ


    “ทำไมล่ะ”


    เขาเหลียวมองรอบสวน ไม่มีรถสัญจรไปมา เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับใบหน้าของเจ้างูเบา ๆ  เทียบกับฝ่ามือแล้ว ส่วนหัวของงูเผือกไม่ได้ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือเลย แต่ก็ไม่ได้เล็กเกินไป 


    พยายามนึกถึงภาพของตัวเองกับงูเผือก ว่ามีความเป็นอยู่กันอย่างไร มีชีวิตอยู่ใต้เมืองบาดาล เหมือนในเรื่องเล่าอย่างนั้นเหรอ


    “เพราะในตอนนั้น เจ้าเป็นถึงโอรสแห่งอมรานคร เป็นตระกูลนาคาลำดับสูงกว่าตระกูลข้า...”พอได้ฟังคำตอบของงูแล้วก็อดแปลกใจไม่น้อย เพราะปกติเคยได้ยินมาในกรณีของพญานาค


    “มีแบบนี้ด้วยเหรอ”


     งูคลายขนด ลาบเลื้อยเข้ามาหาที่ท่อนแขน เพื่อใกล้ชิดมากขึ้น คราวนี้เด็กหนุ่มไม่ได้โวยวายอะไร ปล่อยให้งูเผือกค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาสูงขึ้น จนส่วนปรายหางพันอยู่รอบต้นแขน ส่วนลำตัวของงูพาดอยู่รอบบ่า เจ้างูโผล่หน้ามาอยู่ในระดับเดียวกันกับพันตรี มองเห็นลิ้นสองแฉกที่แลบไปมาตามนิสัย


    “อืม...ข้าเป็นนาคาตระกูลต่ำกว่าเจ้า”งูเผือกพึมพำ


     สมัยนั้นคงจะมีเรื่องการเหยียดชนชั้นกันเข้มข้นน่าดู พันตรีเอียงคออย่างสนใจ ปล่อยให้ถ้อยคำของอักษราภัคเป็นตัวนำทางไปสู่เรื่องราวครั้งอดีตนับร้อยนับพันปี...





                   ใกล้กับเทือกเขาสุเมรุ มีดินแดนสมบูรณ์พร้อมด้วยสรรพสัตว์ แผ่นดินสมดุลทั้งใต้และเหนือพิภพ เป็นโลกหล้าที่แม้แต่เทพเทวดาก็ไม่อาจย่ามกายเข้ามาได้ตามอำเภอใจ หากสวรรค์ชั้นฟ้ายังมีแบ่งแยกลำดับสูงต่ำ ภพภูมิแห่งนาคาจึงไม่ต่าง ภพภูมิของนาคาแบ่งวรรณะไว้สี่ระดับ นาคาสีทอง สีเขียว สีรุ้ง  สีดำ และลำดับต่ำที่สุดคืองูบริวารบนบก ทั้งบนดินและใต้บาดาลถูกปกครองโดยเหล่าพญานาคาทั้งสี่ตระกูลใหญ่ล้วนมาจากนาคาลำดับหนึ่งและสองที่เป็นชนชั้นปกครอง  ฐานันดรสูงส่ง ประจำทั้งสี่ทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก เพื่อปกครองเหล่านครน้อยใหญ่ถิ่นบริวารของแต่ละตระกูล

    ผู้เป็นใหญ่ในทางเหนือ มีท้าวปุณมนัส กษัตริย์แห่งอมรานคร นาคาตระกูลสีทอง มีอิทธิฤทธิ์และพิษร้ายแรง มีเมืองในปกครองทั้งสิ้น 5 เมือง (โดยเมืองที่ปกครองมีอาณาเขตรวมกับแผ่นดินบนบก) ท้าวปุณมนัสมีโอรสทั้งสิ้น 4 พระองค์ พระธิดาอีก 2 พระองค์ และยังมีเมืองใต้อาณัติอยู่อีก 1 เมือง คือ เมืองอัตรคุปต์

    ก่อนหน้าที่จะยอมเป็นขึ้นแก่อมรานคร เมืองอัตรคุปต์นั้นโดดเดี่ยว ซ่อนตัวอยู่ในดงไพลับแล ด้วยองค์อินทร์เกรงว่านาคานอกการปกครองจะทำให้เกิดเภทภัยร้ายแรง จึงมีบัญชาให้นาคาผู้เป็นใหญ่แห่งสี่ทิศผนวกเมืองน้อยใหญ่ที่ไร้ผู้ปกครองเข้าด้วยกันเพื่อความเป็นปึกแผ่น

     ท้าวปุณมนัสจึงกรีฑาทัพเข้าตีเมืองอัตรคุปต์ ดินแดนของนาคาสีดำด้อยวรรณะ ด้วยฤทธิ์เดชแห่งนาคาสีทอง พิษร้ายแรง เดชานุภาพของนาคาสีทองต่างเป็นที่ลือไกล ทั้งสี่ทิศล้วนตระหนักดี ทั้งบนบกหรือใต้บาดาล เจ้าเมืองอัตรคุปต์ล้วนเสียเปรียบ องค์อุภัยภัทรไม่ปรารถนาให้บริวารต้องสู้รบ จึงขอเจรจา และยอมตกเป็นเมืองขึ้นแก่อมรานครโดยไม่เสียเลือดแม้แต่หยดเดียว ท้าวปุณมนัสเห็นว่าองค์อภัยภัทรไม่คิดกระด้างกระเดื่องจึงเห็นควรผูกมิตรสร้างสัมพันธ์อันดีมากกว่าจะเป็นปรปักษ์

    “เพื่อเป็นการยืนยันต่อเจตจำนงว่าอมรานครนั้นไม่คิดจะครอบครองเมืองอัตรคุปต์ ข้าให้คำมั่นต่อท่าน หากเจ้านางอัณยาของข้าให้กำเนิดบุตรเมื่อใด ถือว่าเขาเป็นคู่ตุนาหงันกับบุตรในครรภ์ของชายาท่าน”ท้าวปุณมนัสเอ่ยคำมั่น เจ้านางอัณยานั้นเป็นหนึ่งในสนมเอก แม้ในเพลานี้ยังไม่อาจรู้ถึงเพศของทารกในครรภ์ แต่ท้าวปุณมนัสเอ่ยปากเพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์กับเจ้าเมืองอัตรคุปต์ อีกนัยท้าวปุณมนัสต้องการ‘บรรณนาการ’เพื่อให้เจ้าเมืองอัตรคุปต์ยอมอยู่ใต้อาณัติ มิคิดกบฏในภายภาคหน้า

    องค์อภัยภัทรรู้ดีเจตจำนงของผู้เป็นใหญ่ทางเหนือ จึงตกปากรับคำมั่น มอบบุตรในครรภ์ของสนมนางหนึ่งให้แก่ท้าวปุณมนัส ยกเอานางจันดาหนึ่งในสนมที่กำลังมีครรภ์อยู่ในเพลานั้นให้เป็นพระคู่หมั้นแก่บุตรแห่งท้าวปุณมนัส

    “ขอบพระทัยในเมตตาต่อเมืองเล็กเมืองน้อยเช่นอัตรคุปต์ ...บุตรของนางจันดา ข้าขอมอบแก่บุตรของท่านเช่นกัน”คำมั่นนี้ไม่เอ่ยโดยปากเปล่าเพียงอย่างเดียว เจ้าเมืองทั้งสองได้ทำตราสาร อนุสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกเลิกคำมั่น

    ทว่าท้าวปุณมนัสหาได้รู้ไม่ว่า นางจันดานั้นเป็นเพียงงูบริวาร ฐานันดรต่ำยิ่งว่านาคาสีดำ เมื่อบุตรในครรภ์ของเจ้าเมืองทั้งสองได้ถือกำเนิดในเพลาใกล้เคียงกัน ปรากฏว่า เป็นโอรสทั้งคู่ แต่ด้วยเจ้าเมืองทั้งสองมีโอรสและธิดาอยู่หลายพระองค์จึงไม่คิดบอกเลิกสัญญา นามของสองโอรสจึงมีความละม้ายคล้ายกัน โอรสองค์เล็กแห่งอมรานคร นามว่า อภันตี ส่วนโอรสองค์เล็กแห่งเมืองอัตรคุปต์นามว่า อักษราภัค

    เพลานั้นท้าวปุณมนัสจึงล่วงรู้ความจริงว่าโอรส คู่ตุนาหงันของอภันตีนั้นถือกำเนิดจากเป็นงูบริวาร งูบนบกที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์ใด และเป็นที่ครหาด้วยรูปลักษณ์ของอักษราภัคนั้นผิดแผกไปจากตระกูลนาคาทั้งปวง เป็นสีเผือก...สิ้นด้วยบารมีอย่างแท้จริง มิน่าเล่า เจ้าเมืองจึงได้ยกบุตรชายเป็นเครื่องบรรณาการให้โดยง่าย

    ทว่าท้าวปุณมนัสไม่อาจกลับคำ ทว่ายังพิโรธองค์อภัยภัทรที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย การกระทำที่มิต่างตราหน้าตนเป็นคนโง่งม จึงบัญชาคำสั่งให้เมืองอัตรคุปต์ไร้ซึ่งทหารองครักษ์ มิให้มีกองทัพเป็นของตนเพื่อเป็นการตัดแขนขาขององค์ภัยภัทร ยิ่งไปกว่านั้นท้าวปุณมนัสส่งทหารส่วนพระองค์ไปรักษาการแทน และแต่งตั้งให้เมืองอัตรคุปต์เป็นเมือง ‘หน้าด่าน’ของดินแดนทางเหนือ จึงทำให้องค์อภัยภัทรไม่คิดจะต่อกรกับท้าวปุณมนัสอีกต่อไป เร้นกายอยู่ใต้บาดาล เรื่องการปกครองมอบให้โอรสองค์โต ‘อักครา’ว่าราชการแทน

    เรื่องราวในครั้งนั้นค่อยลดความตึงเครียดลงได้ อมรานครเป็นเมืองชั้นในตั้งอยู่ในใจกลางดินแดนทางเหนือ พงไพรอุดมสมบูรณ์ ธาราวารีล้วนวิจิตรงดงาม ไม่นับถ้ำน้อยใหญ่ใต้บาดาลหรือเหนือพิภพ ก็ตระการตา มิต่างจากสวรรค์ชั้นฟ้า แม้มิใช่เมืองสวรรค์ นอกจากบริวารมีพิษแล้ว สรรพสัตว์ในแดนเหนือมีเผ่าพันธุ์อื่นอาศัยอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ เช่น กินนรและกินรี เทพาลักษณ์สถิตประจำต้นไม้ใหญ่

    ทว่าอภันตีในวัยสิบแปดชันษา ไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหน้าของคู่ตุนาหงัน โอรสองค์เล็กเพียงรู้ว่าพระองค์นั้นถูกล้อเลียนอยู่บ่อยครั้ง ถึงความต่ำต้อยของตุนาหงันนามว่าอักษราภัค วรรณะไม่ถูกจัดว่าเป็นงูบริวาร แต่ก็มิใช่นาคาสีดำ

    ในสายลม และธารธารากระซิบถึงข่าวลือจากทั้งสี่ทิศ ล้วนติฉินถึงเจ้าเมืองอัตรคุปต์นั้นแปลงกายไปบนบก และมีสัมพันธ์กับงูบริวารตัวหนึ่ง นามว่าจันดา เป็นงูสามัญสีเผือก ดูผิดแผกไปจากนาคาทั้งสี่ตระกูล โอรสขององค์อภัยภัทรจึงมีวรรณะครึ่ง ๆ กลาง ๆ

    ช่างน่าละอายนัก พระคู่หมั้นของพระองค์นั้นไม่คู่ควร แม้นไปร้องขอ ยื่นอุทรแก่เสด็จพ่อถึงความอยุติธรรมที่ได้รับ

    ทว่าเสด็จพ่อหาได้รับฟังแม้แต่น้อย ยิ่งทวีความน้อยเนื้อต่ำใจแก่อภันตีมากขึ้น ถึงกับลั่นวาจาตัดพ้อต่อท้าวปุณมนัส

     “เสด็จพ่อทรงเกลียดหม่อมฉันมากหรือพะยะค่ะ”เป็นอีกครั้งที่โอรสองค์เล็กเข้ามาทวงถามด้วยท่าทีมีโทสะ ใบหน้าเกรี้ยวโกรธ ยิ่งทำให้ความอดกลั้นของท้าวปุณมนัสลดน้อยถอยลง 

    “...อภันตี ไม่เห็นหรือ ว่าข้ามีงาน”ณ แท่นศิลาเงางาม สลักลายนาคาพลิ้วพรายอยู่ทั่ว เบื้องหลังแท่นศิลาทรงงาน มีศิลายักษ์สลักลายพญานาคาตัวใหญ่นับแล้วมีสิบเศียร ลำตัวสีทองสีเขียวกอบเกิดจากมณีจินดาทั้งสิ้น 

    “นาคาตัวนั้น หม่อมฉันไม่ต้องการเป็นพระคู่หมั้นด้วย”องค์อภันตีไม่คิดปิดบัง ท้าวปุณมนัสได้แต่ถอนหายใจช้าๆ

    “จะร่ำร้องอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ ข้าเองเห็นสมควรว่าอักษราภัคนั้นเหมาะเป็นคู่ของเจ้า”ท้าวปุณมนัสเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ ไม่ใช่ว่าโอรสองค์เล็กนั้นต่ำต้อยเทียบเท่าอักษราภัค เพียงแค่สงบใจยอมรับงูต่ำต้อยตนนั้นให้เป็นคู่ครองแก่โอรส

     ท้าวปุณมนัสเคยได้ยินถึงรูปโฉมงดงามของคู่พระคู่หมั้นของโอรสนั้นมิได้ด้อยไปกว่าสตรีหรือนาคีองค์อื่น แม้นจะผิดแผกแปลกไปจากตระตูลนาคา เจ้านางอัณยาสนมเอกยังเคยได้เห็นรูปโฉมของอักษราภัคยังเอ่ยปากชมไม่หยุด


    “เช่นนั้น ให้หม่อมฉันแต่งตั้งสนมก่อนไม่ได้หรือ”

    “เจ้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าเมืองอัตรคุปต์งั้นรึ...แม้ว่าเมืองนั้นจะเล็กเพียงใด ด้อยกว่าเมืองเราเพียงใด อย่างไรก็ต้องทำตามครรลองครองธรรมไม่ใช่รึ”เจ้าเมืองแดนเหนือเอ่ยปรามโอรสองค์เล็กด้วยน้ำเสียงติเตียน

    “แต่ เสด็จพ่อ...”อภันตีขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ แต่ท้าวปุณมนัสโบกมือด้วยอารมณ์ขุ่นหมอง

    “พอเถิด...เจ้าช่างมีจิตใจคับแคบยิ่งนัก ไม่เคยเห็นโฉมหน้าโอรสขององค์อภัยภัทรมิใช่หรือ อีกทั้งเจ้ามิสังเกตว่านามของตัวเจ้านั้นคล้องกับอักษราภัค”ท้าวปุณมนัสเอ่ย องค์อภันตีจึงนิ่งคิดก่อนจะก้มศีรษะช้าๆ

    “...จริงพ่ะยะค่ะ หม่อมฉันเองก็นึกสงสัย เสด็จพ่อจะบอกว่ามีที่มาที่ไปงั้นหรือ”

    “ใช่ ...เพราะเจ้ากับบุตรชายของเขาเกิดไล่เลี่ยกัน ในเพลานั้น ข้าเห็นสมควรจะผูกมิตรกับเจ้าเมืองอัตรคุปต์...เพื่อมิให้เขาแข็งข้อกับพวกเรา...มิจำเป็นต้องผู้สมัครรักใคร่กัน รอให้ได้อภิเษกแต่งเข้าเมือง เพลานั้นเจ้าจะมีสนมเป็นสิบเป็นร้อย ข้าก็มิห้าม”ท้าวปุณมนัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึม

    เห็นโอรสองค์เล็กไม่ตอบคำ จึงยิ้มและเอ่ยต่อไป

    “เอาล่ะ เอ่ยเช่นนี้ก็ดี เจ้าเองก็สมควรไปเยี่ยมเยียนคู่ตุนาหงันของเจ้าบ้าง” 

    เมื่อท้าวปุณมนัสเอ่ยเช่นนี้ อภันตีจึงไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้อีก
     

              โอรสองค์เล็กแห่งอมรานครและบริวารจำนวนหนึ่งได้ออกเดินทางทั้งผ่านทางบกและทางน้ำเพื่อไปยังนอกเมืองเหนือ แถบนอกชายก่อนเข้าสู่อมรานคร มีไวทินสหายสนิทติดตามมาด้วย กล่าวถึงเมืองหน้าด่าน อัตรคุปต์ว่าเป็นดินแดนเงียบสงบหลบซ่อนในพงไพร และคณานับไปด้วยถ้ำเล็ก ถ้ำน้อยตามธาราเกือบยี่สิบแห่ง ไม่วิจิตรโออ่าเช่นเมืองบ้านเกิดแต่สวยเรียบน่าหวั่นเกรงดั่งชื่อถ้ำหินดำ เนื่องจากศิลาของถ้ำนั้นล้วนมีสีคล้ำเข้มราวกับนิล

    “ดูท่าแล้ว คงไม่แคล้วจะป่าเถื่อนไร้ความสง่างาม”อภันตีถอนหายใจพรูออกมา เมื่อขบวนราชรถนาคาหกเศียรขนาดเล็กเคลื่อนมาถึงแผ่นดินใกล้กับลานน้ำตกแอ่งใหญ่ มองไปไม่ต่างจากลำธาร ผาศิลาใหญ่เป็นชั้นลดลั่นขนาดไม่เท่ากัน โอบล้อมด้วยป่าพงพนารกครึ้ม หินสีดำคร่ำครึไม่ชวนมอง ทำให้โอรสองค์เล็กไม่คิดจะลงไปเหยียบย่ำบนธรณี

    “องค์ชาย ทางน้ำตกเบื้องหน้าคงจะเป็นทางเข้าเมืองพะยะค่ะ”ไวทินร้องบอก เอื้อมมือไปเคาะกับบานหน้าต่างข้างราชรถเบาๆ


    “เจ้าไม่แน่ใจหรือ”อภันตีขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินน้ำเสียงลังเลอยู่บ้างของสหายคนสนิท ลุกจากแท่นประทับ เปิดม่านสังวาลเพื่อมองดู


    “กระหม่อมอ่านตามแผนที่ที่พระสนมเป็นผู้เขียนให้ คงจะไม่ผิดที่ผิดทางไปหรอกพะยะค่ะองค์ชาย”ไวทินตอบ


    “เอาล่ะๆ ถึงอย่างไรก็คงหนีไม่พ้น”อภันตีเอ่ย ขยับตัวเชื่องช้า เครื่องนุ่งห่มแสดงถึงวรรณะชั้นสูง ตั้งแต่ศีรษะจรดปรายเท้าประดับด้วยมณีสีทองสีเงิน สังวาลเส้นเล็กบนเนื้อผ้าสีอ่อนเนื้อบางปกปิดกล้ามเนื้อท่อนบน รัดเกล้าปิดหน้าผากประกอบด้วยเครื่องหัวนาคาสองเศียร มีมณีสีแดงประจำกายประดับอยู่ กำไลแขนสองข้างเป็นสีทองประด้วยทับทิมเม็ดเล็ก

    อภันตีเหลียวมองไปรอบกาย ขบวนเกี้ยวจอดอยู่ริมต้นไม้ ผืนแผ่นดินที่เหยียบอยู่ต่างจากอมรานครโดยสิ้นเชิง พงป่าพนาลีสูงรกหูรกตา หากมิใช่อยู่ติดกับลำธารใหญ่ คงมิอาจมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่ลอยเด่นกลางหัว ไร้ซึ่งสรรพสัตว์ใดๆ บรรยากาศวังเวงมากกว่าเงียบสงบ

    “ไม่เห็นมีทหารเฝ้าเวรยาม”อภันตีเอ่ยถามสหายสนิทอย่างแปลกใจ


    “ที่นี่เป็นทางเข้าด่านแรก เกรงว่าทหารคงเร้นกายเสียมากกว่าจะยืนเวรยาม”ไวทินเอ่ยตอบ

    เสียงซาดกระเซ็นของธารน้ำดังแว่วให้ได้ยิน อภันตีเหลียวมองคนสนิทอย่างนึกสงสัย ผู้ติดตามสองคนเดินระวังภัยในมือมีศัตราวุธคือตรีศูล คอยเหลือบมองไปทิศทางของเสียง ย่ำก้าวไปไม่ถึงสิบก้าว เห็นเป็นนาคีบริวารประจำถ้ำด่านแรกผ่านพุ่มดอกไม้บดบังมิดศีรษะของผู้มาเยือน นึกประหลาดอยู่ในอก ที่เห็นเหล่านาคีร่างน้อยเปลื้องผ้าเล่นน้ำกันในเพลานี้ เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น

    อภันตีลอบยิ้ม โบกมือไล่ผู้ติดตามไปให้พ้น จ้องมองผ่านดงไพรริมตลิ่งเห็นเนื้อนวลของนาคีตระกูลสีดำที่มีความเย้ายวนต่างจากนาคีสีทองนัก เอวกิ่วทว่าผ้าคาดอกสีแดงดำนั้นเผยให้เห็นทรวดทรงที่ล้นออกมาจากผ้าผืนน้อย


    “แตกต่างไม่ใช่น้อยทีเดียว”อภันตีพึมพำ นาคีที่เมืองเกิดกิริยาอ่อนช้อย ไม่ออกมาอ้อร้ออวดเรือนรางอยู่ริมธารโดยไร้ผู้ติดตามเช่นนี้ ลอบหัวเราะในใจ ก็เพราะเมืองอัตรคุปต์นั้นลำดับต่ำ ซ้ำยังอยู่ในดงพงไพรไม่วิจิตรชวนมอง คงประมาณ เมืองป่าเมืองเถื่อนกระมัง


    “ไม่คิดว่าโอรสแห่งอมรานคร จะเป็นบุรุษเยี่ยงนี้ ลอบมองสตรีเปลืองผ้า”เสียงหนึ่งดังจากเบื้องหลัง อภันตีหันไปเผชิญกับถ้อยคำปรามาสนั้นอย่างไม่พอใจ เสียงหัวเราะ เสียงน้ำสาดกระเซ็นยังดังให้ได้ยิน


    “เจ้าคือผู้ใด?”อภันตีมองไปยังผู้มาเยือน ในใจด่าทอไวทินที่ปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ตนได้ถึงเพียงนี้ พอได้ยลหน้าอย่างจริงจัง ถึงต้องอุทานในใจถึงความงามของนาคาตนนี้

    พลันเห็นรูปกายของนาคาเบื้องหน้าจึงชะงักงัน เรือนกายขาวผ่องยิ่งกว่าสตรี ใบหน้างดงาม เส้นผมดำขลับหยักศกแผ่ถึงกลางหลัง แต่งองค์น้อยชิ้นไม่ต่างจากนาคีเหล่านั้น มองผ้านุ่งสีเขียวมรกตที่สั้นเหนือเข่า พลันผุดยิ้มกระหยิ่มไม่หวั่นต่อคำครหาของนาคาตรงหน้า

    เมื่ออภันตีรู้แจ่มแจ้งในใจว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด

    “นึกว่าเป็นผู้ใด ที่แท้ เป็นอักษราภัค แห่งเมืองหน้าด่าน อัตรคุปต์นั่นเอง ข้าพอจะได้ยินเรื่องลือของเจ้ามาหนาหู ยิ่งได้ยลกับตาแล้ว คงเป็นจริงดังว่า”โอรสแห่งอมรานครเอ่ยด้วยความรื่นรม เรื่องราวฉาวโฉ่ของเจ้าเมืองอันตรคุปต์ ทั่วทั้งสี่ทิศต่างก็เคยได้ยิน


     สิ้นคำของอภันตี นาคาตระกูลสีดำพลันขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่ใคร่พอใจแก่คำครหาของคู่ตุนาหงันนัก


    “นี่เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้าเลยหรือ”


    “รึมิจริง...เช่นนั้นเจ้าจงแถลงให้ข้าแจ้งใจได้”ยิ่งเห็นฝ่ายตรงข้ามโกรธกริ้วยิ่งทำให้องค์อภันตีกระหยิ่มยิ้มกว้างจนขัดตาแก่เจ้าถิ่นเช่นอักษราภัค


    “เจ้าเอ่ยนอกเรื่อง ข้ากำลังเอ่ยถึงพฤติกรรมของเจ้าต่างหากเล่า...นาคีเล่นน้ำคงยั่วใจท่าน”นาคาตระกูลสีดำ รูปร่างขาวสะอาด หน้าอกขาวสะท้อนกับสร้อยสังวาลเส้นเล็กสองเส้นชวนให้เมียงมองตาม และที่บ่งบอกถึงวรรณะคือรัดเกล้าประดับหน้าผากนั้นไร้มณีประจำกาย...มณีนาคา ของล้ำค่าประดับบารมี แต่นาคาตนนี้ไร้มณี ยิ่งตอกย้ำความด้อยค่าของนาคาตนนี้นัก


    อภันตียกแขนกอดอก ลอบมองคู่ตุนาหงันของตนอย่างไม่วางตา คิดหาทางต้อนให้ฝ่ายนั้นจนมุม


    “ผู้อื่นล้วนชมชอบ...เจ้าเองเห็นข้า แสดงว่าเจ้าก็กำลังลอบมองแม่นางพวกนั้นด้วยเช่นกันไม่ใช่หรือ”


    “ข้าเปล่า...!”อักษราภัคปฏิเสธในบันดล จ้องมองแขกหยาบช้าที่เป็นพระคู่หมั้นของพระองค์ด้วยใจมิชอบ ไม่คิดฝันว่าอุปนิสัยของโอรสองค์เล็กของอมรานครจะเป็นเช่นนี้ไปได้ พลันหวนระลึกถึงคำเยินยอของเจ้านางอัณยา ผู้เป็นพระมารดาของอภันตีจึงนึกบริภาษอยู่ในใจ


    “อันที่จริงเจ้ากล่าวผิด แม่นางพวกนั้นยินดีที่อวดเรือนร่างไม่ใช่หรือ ออกมาเล่นกลางแสงแดดเยี่ยงนี้ ใครบ้างที่ไม่ได้ยล เกรงว่าแม่นางเหล่านั้นยิ่งชมชอบ”


    “เจ้าช่างหยาบคายนัก เจ้าต่างหากคือผู้บุกรุก เห็นว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์คิดจะเหยียดหยามผู้ใดก็ได้หรือ แม่นางเหล่านั้นเป็นบริวารของข้า นางก็อยู่ของนางมาช้านาน มีแต่เจ้านั่นแหละ ที่เมียงมองสตรีอาบน้ำ หากเจ้ามีใจบริสุทธิ์ไหนจะกล้าลอบมองแม่นางอาบน้ำได้นานเพียงนี้”องค์อักษราเอ่ยอย่างไม่คิดยอมพ่ายแพ้ จดจ้องอย่างถือโทษ อภันตีถึงกับร้อนรนในอก ย่างกายเข้าหา


    “....วรรณะต่ำเยี่ยงเจ้า อย่าคิดสั่งสอนข้า”


    “นี่เจ้า...!”ถ้อยคำหยามหยันดังจากพระคู่หมั้นของพระองค์เอง ยิ่งได้ยินยิ่งนึกชังน้ำหน้า เมื่อถูกแขกวรรณะสูงกว่าปรามาสอย่างไม่ไว้หน้า อัษราภัคจึงกำมือแน่น แววตาดุดันจ้องมองด้วยความพิโรธ หากสามารถปล่อยพิษออกมาได้คงกระทำอย่างไม่คิดนาน 


    ฉับพลันโอรสแห่งเมืองอัตรคุปต์คืนร่างเป็นนาคาดังเดิม รูปร่างไม่ใหญ่องค์อาจเท่านาคาโดยทั่วไป เล็กกว่าสี่ส่วนเป็นสีเผือกแปลกตาที่ไม่เห็นในชนชั้นปกครองของอมรานครมาก่อน อีกฝ่ายลาบเลื้อยลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว สิ้นเสียงสาดซ่าของน้ำด้วย หันมองแม่นางเหล่านั้นต่างหายไปหมด


    “นี่เจ้า...”ไม่ทันจะร้องเรียกเอ่ยชื่อ เงาร่างของนาคาตัวนั้นจมลึกไปเสียแล้ว พอได้คิดตระหนักทบทวน กลับรู้สึกว่าพระองค์เองกล่าวเกินจริง หนำซ้ำยังเป็นแขกต่างเมือง ทำกิริยาเช่นนี้น่าขายหน้าเสียจริง ระหว่างนั้นไวทินปรากฏกายมาเงียบเชียบ เหลียวมองไปทิศทางที่นาคาสีเผือกลาบเลื้อยลงน้ำไป ธารธารานิ่งสนิท บ่งบอกว่าเจ้าถิ่นมิคิดต้อนรับ


    “องค์ชาย พระองค์เอ่ยเกินไปนะพะยะค่ะ”เสียงของไวทินสหายคนสนิทเอ่ยด้วยรอยยิ้มไร้ความหมาย อภันตีหันมองด้วยสายตาคมกริบ สหายสนิทได้แต่นิ่งเงียบ 


    “เจ้าปล่อยให้เขาเข้ามาใกล้ข้าเพียงนี้ได้อย่างไร”ทว่าอภันตีมิใส่ใจ เอ่ยตำหนิไวทินอีกรอบ


    “เพราะองค์อักษราภัคเป็นพระคู่หมั้นของพระองค์ และเป็นใหญ่ในธารน้ำแห่งนี้ กระหม่อมจึงไม่อาจขวางได้พะยะค่ะ”ไวทินตอบ จ้องมองด้วยสายตาตำหนิชัดเจน อภันตีถอนหายใจอย่างอึดอัด ก่อนจะเหลือบมองไปยังลำธารใหญ่นิ่งสนิทอีกครา


    “ข้าผิดงั้นรึ”โอรสองค์เล็กเอ่ยกับพระองค์เอง ไวทินได้แต่ลอบถอนหายใจ


    “พระองค์น่าจะทราบดีนะพะยะค่ะ เรื่องปัญหาลำดับวรรณะของบ้านเมืองเรา ยิ่งพระองค์ทรงเอ่ยปรามาสองค์อักษราภัคต่อหน้าต่อตาเยี่ยงนั้น เสียเกียรติแก่องค์นาคาไม่น้อย”ไวทินตอบไปตามจริง อภันตีนิ่งสนิท พลันกุมศีรษะอย่างสำนึกในคำกล่าวของไวทิน


    “อา...จริงด้วยสิ ดูท่า เขาโกรธข้า”


    “หนำซ้ำพระองค์ยังมาหยามองค์อักษราภัคถึงถิ่น...”ไวทินค่อยๆเอ่ย เหลือบมองสหายร่วมเรียนร่วมเล่นไปด้วย แม้นาคาตุนาหงันจะเป็นผู้ใดก็เถิด แต่องค์ชายกระทำกิริยาไม่ดีใส่เจ้าบ้านเช่นนี้ ถือว่าเสียเกียรติทั้งสองฝั่ง


    “นั่นวังประทับของเขารึ”อภันตีประหลาดใจเหลือคณา ถ้ำเก่าไร้ความสวยงามเนี่ยหรือ คือวังของตุนาหงันของพระองค์ที่เป็นถึงโอรสแห่งท้าวปุณมนัส กลับมีพระคู่หมั้นไม่สมเกียรติจึงยิ่งทำให้หงุดหงิดใจ


    “พะยะค่ะ”ไวทินตอบ โอรสองค์เล็กพลันขมวดคิ้ว เกรงว่าพฤติกรรมของพระองค์จะทำให้เสื่อมเสียเกียรติแก่เสด็จพ่อ


    “แย่เสียแล้ว”


    “...องค์อักษราภัคเป็นถึงพระคู่หมั้นของพระองค์...”ขณะเดียวกันไวทินค่อยๆเอ่ยถึงนาคาตุนาหงันของอภันตี


    “ไม่ต้องย้ำ ข้ารู้แก่ใจดี”อภันตีย่ำเดินอย่างหนักบรรเทาความอัดอั้นลงดิน หันกายเดินกลับไปยังราชรถที่จอดแน่นิ่งอยู่ไม่ไกล


        หมดสิ้นแสงตะวัน อภันตีนึกถึงแววตาโกรธกริ้วของนาคาตนนั้นแล้วพลันรู้สึกผิดขึ้นมาอีกระลอก เหลียวมองสหายสนิทอย่างขอความช่วยเหลือ บริวารของอภันตีพักอยู่บนบก เลือกทำเลพนาต่ำเรียบ ไม่รกชัฏให้ง่ายต่อการวางการอารักขาโอรสองค์แห่งอมรานคร

    คิดหาหนทางเพื่อเข้าเมืองด่านแรก คู่ตุนาหงันในเพลานี้มิคิดจะเปิดทางให้โดยง่ายเป็นแน่แท้ หากไปผ่านวังของอักษราภัคไปได้ พระองค์ยังต้องไปเข้าเฝ้าองค์อภัยภัทรเพื่อแสดงน้ำใจไมตรีอีก

    เมื่อผ่านไปหนึ่งวันอภันตีลอบเดินไปชมพงไพรรอบน้ำตกให้อารมณ์หุนหันคลายลง จ้องมองผืนน้ำใสนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว เว้นเสียยามที่ใบไม้ล่วงลงสู่น้ำเท่านั้น อภันตีนั่งลงกับแผ่นหินริมธาร พลางรำพึงกับตนเอง แม้นรู้แจ้งในใจว่าอักษราภัคคงจะลอบสังเกตการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล


    “ยามนี้ข้าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เป็นข้าเองที่ทำกิริยาไม่ดีต่อเจ้า...”เอ่ยคำไปอย่างเลื่อนลอย


    “หวังว่าเจ้ามิคิดกริ้วโกรธข้านานนัก ข้ายังต้องเข้าไปกราบเสด็จพ่อเจ้าอีก”


    “เมืองอัตรคุปต์สิ้นน้ำใจไปแล้วรึ”พูดจาล่องลอยปล่อยให้ถ้อยคำไปสู่อักษราภัค ที่อาจพรางตัวไม่ให้เห็น จะมีเพียงแต่สหายเช่นไวทินอยู่เป็นเพื่อน


    “กระหม่อมคิดว่าองค์อักษราภัคคงมิหายโกรธ...จะดาหน้าลงไปยังวังบาดาลเกรงว่าจะเสียมารยาทพะยะค่ะ”


        “ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าควรให้เขาออกมาหาเอง...ทำแง่งอนเป็นสตรีไปไย”อภันตีบ่นพึมพำ ไวทินจึงเหลียวมองไปทั่วพนารอบกายพร้อมถอนหายใจออกช้าๆ ถอยห่างออกจากที่ประทับของโอรสองค์เล็ก ‘อักษราภัค นี่เจ้ามิคิดจะต้อนรับข้าจริงๆน่ะหรือ’



        ผ่านวันคืนไปสองจันทรา ระหว่างที่นั่งชมนกชมไม้ เสียงพงไพรขยับไหวแผ่วเบา อภันตีสะดุ้ง เมื่อสัมผัสถึงน้ำหนักที่ไหล่ข้างซ้าย หันมองไปพบว่ามีนาคาสีเผือกกำลังเลื้อยผ่านข้างกาย ความอุ่นนิ่มสัมผัสได้ชัดที่แขน นิ่งอึ้งเพราะนาคาคู่หมั้นมีลักษณะต่างจากพระองค์ ผิวกายและขนาดตัว ในอมรานคร ไม่ว่าจะเป็นบริวารหรือเจ้านายชั้นสูงต่างเป็นนาคาตัวใหญ่ รูปลักษณ์ต่างจากงูสามัญ ทว่า พระคู่หมั้นของพระองค์องค์กลับไม่ใช่งูสามัญ แต่ก็ไม่ใช่นาคา

    “ยอมมาพบข้าแล้วงั้นรึ”เอ่ยออกไป จ้องมองดวงตาสีดำที่อยู่บนเรียวหน้า  


    “เจ้ารบกวนวันพักผ่อนของข้ามากกว่า”เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยจากนาคาเผือก ลำตัวยาวลาบเลื้อยผ่านอภันตีไปช้าๆ  “มีธุระอันใด”


    “ข้ามาเยี่ยมพระคู่หมั้นของข้าไงเล่า ไมต้อนรับหน่อยรึ”


    “ไม่ประสงค์จะต้อนรับ”เจ้าถิ่นเอ่ยไม่อ้อมค้อม ทำให้พระองค์นิ่งไปทันที ก่อนจะลุกออกจากแท่นหิน จ้องมองนาคาเผือกที่เลื้อยไปริมตลิ่ง


    “ข้าขออภัยที่กล่าวล่วงเกินเจ้าไปเช่นนั้น”


    “ช่างเถิด เป็นความจริงดังเจ้าว่า ข้ามิปฏิเสธ”


    “...ข้าขอโทษ”เป็นเพราะอารมณ์โกรธไร้สติ จึงกล่าวปรามาสคู่หมั้นไปเช่นนั้น แต่เพลานี้อภันตีคิดได้ว่าไม่ควร นาคาเผือกโหยงตัวขึ้นสูง ชูคอมองอยู่นาน ดวงตาสีดำเพ่งเขม็ง ปรายหางจุ่มลงหายลงในธารธาราใสเกิดเป็นวงน้ำ โอรสองค์เล็กแห่งอมรานครยิ้มยินดีกับท่าทีของพระคู่หมั้น


    “ผู้ติดตามของเจ้าเล่า ให้พวกเขาเข้ามาพักใต้บาดาลดีกว่า”นาคาเผือกเอ่ย


    “ไม่เป็นไร พวกนั้นหาที่นอนได้เอง”อภันตีรีบเอ่ยบอก เหลียวมองไปยังทิศของแหล่งพำนักของบริวารติดตาม อักษราภัคนิ่งเงียบ ผงกหัวคล้ายกับยอมถ้อยทีถอยอาศัย หันหน้าเลื้อยลงธารน้ำไปอย่างเชื่องช้า อภันตีมอง เสียงหนึ่งกระซิบบอกเบาๆ “ตามข้ามา”


    “รอข้าอยู่บนบก...”อภันตีบอกแก่บริวารรวมทั้งไวทิน ก่อนเปลี่ยนร่างเป็นนาคาตัวใหญ่เลื้อยลงธารธาราตามหลังอักษราภัคไป


    ใต้ธารามืดสลัว ลงลึกจนมองไม่เห็นแสงบนผิวน้ำ องค์อักษราภัคใช้อาคมเปิดทางประตูเมืองด่านแรก แสงสีมรกตวาบขึ้นวูบเดียว ค่อยปรากฏเป็นกำแพงอิฐสีดำ มีทหารเวรยามเฝ้าอยู่หน้าปากประตู มองปราดเดียวจึงรู้ได้ว่านั่นคือทหารส่วนพระองค์ของเสด็จพ่อ


    โอรสเล็กแห่งสองนครจึงเปลี่ยนเป็นมนุษย์ เดินเข้าสู่ประตูเมืองไปคู่กัน พอเข้าเขตเมือง เบื้องหน้าเป็นเพียงบันไดอิฐมองไม่เห็นว่าด้านบนนั้นเป็นเช่นไร อักษราภัคเหลียวมอง ยิ่งทำให้อภันตีเร่งฝีเท้าตามไปเดินข้างกาย  พ้นจากบันไดขั้นบนสุด จากที่คิดว่าจะเจอวังงดงามเป็นปราสาท ทว่าเบื้องหน้ามีเพียงศิลาดำตั้งตระหง่านท่วมศีรษะ ไม่ต่างอะไรจากถ้ำบนบก


    “ที่นี่คือวังของเจ้าหรือ”อภันตีถาม ถ้ำแห่งนี้ไม่โออ่า บริวารมีทั้งชยและหญิงคละกันไป


     เมื่อเดินเข้าไปยังด้านใน เห็นเป็นลานกว้าง คบไฟสีส้มจุดประกายความสว่างไสว ริมห้องมีแท่นศิลาใหญ่สำหรับประทับนั่ง มีบริวารเป็นนาคีร่างผอม อดไม่ได้ที่จะกล่าวทีเล่นทีจริงคลายความอึดอัด


    “ว่าไปแล้ว เมืองเจ้านุ่งน้องห่มน้อยนัก ข้าเลยอดประหลาดใจไม่ได้”


    “ประหลาดใจรึ นึกว่าเจ้าชมชอบ”อักษราภัคหันมอง ปรายสายตาไปหาบริวารสาวร่างน้อยที่เดินมาใกล้ พร้อมถาดสำรับกายาหารและเครื่องดื่ม อักษราภัคเชิญชวนให้นั่งลง โอรสจากอมรานครหันมองพระคู่หมั้นด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ละสายตาจากไปไหน


    “เจ้าเอ่ยไปเรื่อย เพราะเมืองข้าไม่มีนาคีเช่นนั้น”พระองค์ได้แต่หัวเราะ


    “ถึงพวกนางจะแต่งกายเช่นนั้น ก็หาใช่ว่านางจะต่ำต้อย ไร้เกียรติ จริงอยู่ที่บ้านเมืองข้าไม่อาจเสมอเจ้าได้ หากเจ้ามิชินหูชินตาก็คงช่วยอะไรไม่ได้”


    “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าแค่ไม่เคยเห็น พอเห็นบ่อยเข้าก็คงชินตาไปเสียเอง”อภันตีรีบเอ่ย เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าความนัยผิด จ้องมองเส้นสังวาลกระทบกันบนผิวกายขาวผ่อง ชวนให้มองไม่หยุด ทั้งยังมีความระยิบระยับของทับทิบบนสร้อย ยิ่งขับให้ผิวดูงดงาม


    ฝ่ายอักราภัคนิ่งงัน ไม่ตอบโต้ เมื่อเห็นสายตาของนาคาหนุ่มพระคู่หมั้นจึงทำเมินเฉย 


    “ใช่สิ ข้าจำได้ เมื่อหลายปีก่อนเสด็จแม่ของเจ้ามาเยี่ยมข้า เห็นเครื่องแต่งกายของนางแล้ว อดเห็นความต่างไม่ได้ สง่างามนัก ต่างจากเมืองข้าอย่างไม่ต้องคิดเทียบเทียม...เช่นกันกับวังของข้า ไม่ใช่ถ้ำงาม เป็นแค่ศิลาดำที่กำเนิดตามมีตามเกิด”อักษราภัคเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใด ทำให้อภันตีเงียบ


    จากที่ไม่เคยคิดถึงความต่างในเรื่องนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เรื่องวรรณะของนาคาสี่ตระกูลเป็นที่ชินชา เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่จะเห็นนาคาสีดำไม่ได้รับการเชิดชูนัก น้อยคนที่จะได้ขึ้นตำแหน่งใหญ่โตด้วยฐานันดรด้อยค่า หากไม่ได้คนค้ำชู ในประวัติศาสตร์ยังมีนาคา ตระกูลสีดำได้รับตำแหน่งสูงในทางทิศใต้ เชี่ยวชาญด้านศาสตราวุธ และการศึก
    ทว่าห้าสิบปีอาจเจอสักหนหรือน้อยกว่านั้น


    “องค์อภันตี มีสิ่งใดอยากคุยก็เริ่มมาได้”


    “ข้าแค่อยากมาเห็นหน้าเจ้า...ต่างจากที่คิดไว้มาก”


    “ใช่สิ ข้าผิดแผกจากนาคาตนอื่น”นาคาเผือกเอ่ยชัดถ้อยคำ โอรสองค์เล็กแห่งอมรานครได้แต่ตีหน้าเศร้า


    “แต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เจ้างามในแบบของเจ้านะ”อภันตีเอ่ยไม่ใช่โป้ปด รูปโฉมของคู่หมั้นไม่น้อยหน้านาคานาคีจากอมรานครแม้แต้น้อย


    “เจ้านี่ช่างเจรจา ก่อนหน้ายังปรามาสข้าเสียๆหายๆ กลับคำได้เร็วจริง”คำเยินยอหวานหู ไม่ช่วยให้พระคู่หมั้นของพระองค์ใจอ่อน สายตาคมกริบจดจ้องไม่ละจากนาคาที่วรรณะสูงกว่า


    “ข้าสำนึกผิดแล้ว... ขอเจ้าอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เถิด ถึงแม้ว่าเหตุที่ข้ามาเป็นเพราะคำสั่งเสด็จพ่อก็ตาม แต่ได้เจอเจ้า ข้าไม่คิดรังเกียจหรอก”อภันตีกล่าวด้วยกิริยาถ้อยอาศัย แย้มยิ้มให้พระคู่หมั้นอยู่บ่อยครั้ง 


    “...อย่างนั้นรึ”อักษราภัคแปลกใจมากยิ่งขึ้น จดจ้องคอยมองใบหน้าคมคายของนาคาหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา แววตาจริงใจเป็นประกายชัดแจ้งจนต้องเหลียวไปมองสิ่งอื่น


    “ใช่...ข้าขออภัยที่เอ่ยล่วงเกิน...เสด็จพ่อเอ่ยได้ถูกว่าเจ้าสมควรเป็นคู่ครองของข้า”

    คำของอภันตีทำให้นาคาเผือกแปลกประหลาดใจมากขึ้น ทว่ายังไร้การตอบสนอง อภันตีจึงพูดต่อ

    “อีกเรื่อง ข้าไม่ควรมองผู้อื่นแต่เปลือกนอก ไม่ควรตัดสินผู้ใดทั้งที่ยังไม่รู้จัก...”


    “...คิดได้เช่นนี้ เป็นเรื่องดี”อักษราภัคยอมเอ่ย และมีรอยยิ้ม ความไม่ชอบพอเมื่อหลายวันก่อนค่อยคลายลงได้



        ในทีแรก อภันตีเพียงมาพบหน้าพระคู่หมั้นของพระองค์เพียงไม่กี่วัน ตามบัญชาของเสด็จพ่อ แต่เพลานี้กลับกลายเป็นแรมเดือน นานวันอภันตียิ่งผูกพันกับพระคู่หมั้นจนปักใจเสน่ห์หาและไม่ชายตาแลนาคีองค์ใด ประทับอยู่ที่วังบาลของอักษราภัค ไม่ย่างกายขึ้นบก

    กระทั่งไวทินส่งข่าวจากท้าวปุณมนัส พระบิดาของพระองค์ ในตราสารไม่ได้ติเตียนบริภาษแก่นาคาทั้งสอง เพียงแค่เรียกตัวโอรสองค์เล็กให้กลับเข้ามาเฝ้ายังอมรานคร เร่งรับตำแหน่งในหัวเมืองเล็กของแดนเหนือ   เป็นเหตุให้อภันตียิ่งพะเน้าพะนอพระคู่หมั้น เกรงว่าอีกฝ่ายจะคิดไปไกล


    ในทางกลับกันอักษราภัคนั้น แม้อายุจะเทียบเท่าอภันตี แต่ในด้านอารมณ์และทัศนะคติ อักษราภัคนำหน้านาคาหนุ่ม วรรณะทองไปมากโข อักษราภัคไม่คิดมากความ เพียงแค่เห็นเป็นเรื่องยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจากท้าวปุณมนัส


    “ข้ามอบให้เจ้า”องค์อภันตียื่นกำไลข้อมือเป็นของแทนใจแก่อักษราภัค ฝ่ายนั้นดูแปลกใจทว่าเปรมปรีดิ์


    “นึกว่าเป็นของสำคัญของเจ้าเสียอีก”อักษราภัคเพียงแค่มอง 


    “ข้ามอบให้เจ้า เพราะเจ้าคู่ควรได้รับ กลับอมรานครครานี้ ข้าอาจขอเสด็จพ่อให้เจ้ามาอยู่กับข้า”อภันตีเอ่ยจริงจัง


    “ไม่เร็วไปหรือ”


     “หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าข้าไม่สะดวกไปมาหาสู่เจ้าได้บ่อย รับเจ้าเข้าวังคงง่ายกว่า ส่วนเมืองด่านหน้าแห่งนี้ องค์ชายอื่นไม่สามารถปกครองได้รึ”


    “เอ่ยเอาแต่ใจนัก...เช่นนั้นเจ้าไม่ลองเอ่ยขอกับเสด็จพ่อข้าดูก่อนเล่า”อักษราภัคเปรยขึ้น อภันตีได้แต่ลอบถอนหายใจ เพลานี้ องค์อักคราอยู่ในฐานะเจ้าเมือง ส่วนองค์อภัยภัทรนั้นจำศีลอยู่ใต้วังบาดาลในเมืองหลวง พระองค์ไม่มีโอกาสได้เข้าองค์อภัยภัทรสักคราเดียว เจอแต่พระปิตุลา เช่นองค์อิศรา เป็นผู้รับน้ำใจไมตรีของนาคาหนุ่มแห่งอมรานคร


    “ถ้าเช่นนั้น เจ้ารับของหมั้นของข้าไม่ได้รึ”อภันตีจับมือข้างถนัดของนาคาในดวงใจไว้ สอดกำไลให้แก่อักษราภัคช้า ๆ กำไลของหมั้นเป็นของส่วนพระองค์ ตกทอดมาจากพระมารดา กำไลสีประกายทองลักษณะกลม เฉกเช่นนาคากำลังรัดเกี่ยวข้อมือของอักษราภัคไว้


    อักษราภัคก้มมองลายสลักนาคาสองตัวอยู่เคียงคู่กัน แม้จะไม่ประดับทับทิมแต่มีค่ายิ่งกว่า

    ภายหลังนาคาหนุ่มกลับสู่อมรานคร ผ่านพ้นไม่ถึงเดือน ทว่าโลกภายนอกหาได้ปราณีแก่นาคาเผือก ด้วยวรรณะสีดำ เสียงลือเล่าอ้างกระจายไปทั่วทั้งผืนดินและใต้บาดาล ว่าเจ้าเมืองอมรานครนั้นไม่ชมชอบอักษราภัคจึงได้ตามตัวโอรสกลับวัง ตามมาด้วยข่าวลือที่ว่า วังประทับของอภันตีจัดพิธีเลือกสนม

    “เห็นหรือไม่ พวกอมรานครไม่เห็นเราอยู่ในสายตา คงหัวร่องอหงายเรื่องของเจ้ากันทั่วเมือง”องค์อักคราสบถตามหลังด้วยโทสะ ส่วนอักษราภัคได้แต่นิ่งเงียบ ไม่แสดงอารมณ์ ทว่ากลับจับของหมั้นไว้แน่น องค์อักคราเห็นทีท่าของน้องชายเช่นนั้นยิ่งสำทับต่อด้วยใจไม่ชอบ


    “น้องข้าช่างน่าอดสู ยังไม่ทันได้เข้าอภิเษก อภันตีหักหน้าเจ้า เลือกสนมไว้ข้างกายเสียแล้ว เจ้าควรอยู่เฉยรึ ถอนหมั้นเถิด ข้าจะถวายเรื่องให้เจ้าเอง”


    “ไม่ต้อง ไม่ใช่กงการอันใดของเจ้า”อักษราภัคเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ เหลือบมองพี่ชายด้วยความนิ่งเฉย วาจาโง่งมเช่นนี้ หากมีผู้ใดได้ยิน อาจเกิดข่าวลือไปกระทบกระทั่งกับอมรานครได้


    หลังจากนั้น อักษราภัคได้รับสั่งจากองค์อักครา ให้ร่วมขบวนเสด็จไปยังชายแดนของนครเหนือ ประจวบเหมาะ พระองค์ได้รับสารจากท้าวปุณมนัส มีใจความสำคัญ ‘ดูแลโอรสข้าให้ดี...เพลานี้อภันตีกำลังพ้นวัยหนุ่ม ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถรับมือกับโอรสเอาแต่ใจผู้นี้ของข้าได้ ส่วนเรื่องการตัดเลือกสนมของอภันตีนั้นอย่าได้ใส่ใจ โอรสข้ามีใจมั่นคง และรอเจ้าแต่ผู้เดียว’

    เท่านี้ถือว่าอักษราภัคได้รับความไว้วางพระทัยจากผู้เป็นใหญ่ของแดนเหนือ จึงร่วมเดินทางไปยังหัวเมืองอมรานครเพื่อพบกับพระคู่หมั้น ความด้อยวรรณะไม่ใช่หลักสำคัญ เพียงได้การยอมรับจากท้าวปุณมนัสแล้วใครอื่นจะกล้าตั้งข้อครหาได้




    พันตรีไม่คิดว่าเรื่องราวที่อักษราภัคเล่าให้ฟังนั้นจะเป็นความจริง ก้มมองงูเผือกตรงหน้าด้วยใจที่เปลี่ยนไปบ้าง มีความเห็นใจให้อีกฝ่าย เผลอยื่นมือไปสัมผัสเกล็ดเงางามสีเผือกช้าๆ เจ้างูเผือกไม่ขยับไหว แปลกใจในท่าทีของเด็กหนุ่ม


    “คงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเลยนะ”เขาพูดเสียงเบา เริ่มรู้สึกถึงความโดดเดียวของอักษราภัค


    “ใช่ ในอดีตนั้นพอเจ้ามอบกำไลให้ข้า...เราต่างก็รักใคร่กันดี ผู้อื่นมีแต่แปลกใจที่เจ้าชมชอบข้าที่ต่ำต้อยกว่า”


    “แล้วกำไลนั่นล่ะ”เขาถามถึงของหมั้นทันที


    “ยังอยู่ที่ข้า...กลับเถอะ ข้าอยากพัก”เจ้างูผงกหัวขึ้นสูง


    “คุณง่วงเหรอ”เขาแปลกใจ อีกฝ่ายที่เอาแต่นอน เจ้างูคลายขนดเลื้อยผ่านจากท่อนแขนลงไปยังพื้นหญ้าเพื่อกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋า ก่อนจดจ้องออกมาจากซิปที่เปิดอ้า


    “อืม ข้ามันก็งูสามัญนั่นล่ะ”งูเผือกพึมพำ พันตรีถอนหายใจนั่งมองงูอยู่สักพัก ก่อนจะเอื้อมไปคว้ากระเป๋ามาสะพายอย่างระมัดระวัง


    เอาเถอะ ถึงงูเผือกตัวนี้จะเอาแต่ใจไปหน่อย ก็คงต้องยอมรับให้ได้ว่าอีกฝ่ายตามหาเด็กหนุ่มจนเจอ ซึ่งนั่นอยู่นอกเหนือความเข้าใจของตัวเองด้วยเหมือนกัน


    ทั้งที่พันตรีอยากใช้ชีวิตเงียบ ๆ รักสันโดษ แต่พอมีงูเผือกตัวนี้มาติดสอยห้อยตาม ดูท่าแล้ว เด็กหนุ่มคงไม่ได้สงบง่ายๆ เพราะไม่รู้ว่าพวกงูตัวอื่นจะโผล่มากันอีกเท่าไร


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×