ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black N Blue (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #32 : Black N Blue❖I called her 'heroine' 5

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 686
      53
      7 ก.พ. 63

    คำเตือน :: บางช่วงบางตอนมีความรุนแรง เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของตัวเกมแต่อย่างใด ฉากที่มีเนื้อหาเรท R จะไม่อัพลงเด็กดี โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


    Song :: Gasoline vs Savages (mashup)


    EPISODE05

    Alternative Universe 03I called her 'heroine'


    ปวดท้อง...

    อันนาสขดตัวบนพื้นข้างเตียง มือทั้งสองข้างกุมท้อง อยากจะกรีดร้องออกไปให้ให้สมกับความเจ็บปวด แต่เธอไม่มีแรงแล้ว

    บนพื้นห้องมีเลือดเจิงนองอยู่กองเล็กๆ มีดเล่มเล็กตกอยู่ไม่ไกลกัน เสื้อผ้าที่ใส่อยู่เองก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน

    เป็นแค่วิธีที่หวังจะคลายความเจ็บปวดและความเครียดเท่านั้น

    อยากฆ่ามันให้ตาย คนทรยศ

    'คนนี้อย่ายุ่งนะ พี่ชอบ' ตอนที่เธอยังใช้คำว่าพี่กับมัน...

    'อ่า โอเค' และการตอบรับแสนเรียบง่ายในตอนนั้น

    เกิดเป็นเหตุการณ์ที่ฉุดเธอลงนรกแบบกลับขึ้นมาไม่ได้อีกเลย


    Violet's Talk

    หนึ่งวันก่อนวันวาเลนไทน์

    วันนี้ฉันแวะมาหาเตียวเสี้ยนในตอนเกือบเย็น กว่าจะข่มตาหลับลงก็หกโมงเช้าเข้าไปแล้ว

    เซียร์ซี กอร์ดอนยังคงเป็นคนเดิมแบบที่ฉันเคยเห็น ไม่น่าเข้าใกล้ แต่เมื่อฉันเห็นสายตาที่เธอใช้มองเตียวเสี้ยนกับลูกชายตัวเล็กๆของเธอ ราวกับมีออร่าความอบอุ่นกระจายออกมา

    ฉันทักทายเซียร์ซี เมินเฉยเตียวเสี้ยน และแตะนิ้วลงบนมือเล็กของเซฟที่ยื่นมาราวกับเขาทั้งกลัวและสงสัยว่าฉันเป็นใคร

    "ดีฮะ" น้องส่งเสียงทักเบาๆ

    ห้าขวบน่าจะพอรู้เรื่องอะไรเยอะแล้ว

    "เรียกว่าคุณน้าก็ได้ค่ะ" ฉันบอก เด็กชายยังคงท่าทีสงสัยไว้

    "นี่คือญาติของมะม๊าเองค่ะ" เตียวเสี้ยนย่อตัวลงไปคุยกับเซฟิสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "น้องเซฟเรียกว่าคุณน้าไวโอเล็ตนะลูก"

    "คับ" น้องเซฟรับคำเสียงใส ยิ้มกว้างขึ้นเมื่อรู้ว่าฉันเป็นคุณน้าของตัวเอง "ดีฮะ คุณน้า คุณน้าสวยจัง"

    ฉันเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ เตียวเสี้ยนที่เป็นมะม๊าเลยแก้ตัวแทน

    "เซฟชอบคนสวยๆน่ะ"

    "อยู่คุยกับไวโอเล็ตไปแล้วกัน" เซียร์ซีดึงเซฟออกห่างฉันอย่างเบามือแล้วดันให้เด็กชายเดินเข้าไปในบ้าน เธอพูดกับเตียวเสี้ยน "แขกพี่รออยู่"

    ฉันเพ่งสายตามองไปยังบ้านหลังใหญ่แล้วขมวดคิ้ว ผ้าม่านใกล้ประตูยังขยับอยู่เล็กน้อย

    "อยู่ที่จีนสบายดีมั้ย" เตียวเสี้ยนดึงฉันมานั่งที่โต๊ะรับแขกในสวนข้างบ้าน ความกังวลปนอยากรู้อยากเห็นฉายชัด แก้มนิ่มขึ้นสีชมพูระเรื่ออย่างอ่อนไหว

    จากญาติที่หัวแข็งมากๆและมีความต่อต้านรุนแรงอยู่ในตัวกลายเป็นหญิงงามมารยาทดีเต็มตัวไปจนได้

    ฉันยิ้มออกมาเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงที่เซียร์ซีทำแก่เตียวเสี้ยน

    "ก็โอเค ทุกอย่างปกติจนไม่มีอะไรต้องเล่าให้ฟังเลย" ฉันยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าสบายมาก ทั้งๆที่จริงแล้วญาติฝั่งอื่นในครอบครัวแอนตี้ความสัมพันธ์ของเซียร์ซีกับเตียวเสี้ยนอย่างออกนอกหน้า

    เซียร์ซีและครอบครัวรู้ทุกอย่างเท่าที่มาดามหลง แม่ของเตียวเสี้ยนรู้ ทุกคนเก็บมันไว้อยู่ในหมวดเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเล่าเพราะไม่ได้สำคัญอะไร

    กอร์ดอนตกลงที่จะดูแลความปลอดภัยและทำทุกอย่างให้ตระกูลเรา พวกเขามีอำนาจมากพอจะบีบบังคับให้ญาติพวกนั้นธุรกิจล้มละลายได้อย่างถูกกฎหมาย

    กอร์ดอนมักแสดงออกว่าตัวเองเป็นฝ่ายด้อยกว่าและยอมตกเป็นทาสเสมอ แต่ภายในแล้วพวกเขาคือชนชั้นปกครองที่ไม่ว่าใครก็ล้มไม่ได้

    การนึกถึงกอร์ดอนทำให้นึกถึงทิมเบอร์ตันขึ้นมา

    ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดนั้น

    "แล้วที่นี่เป็นไงบ้าง" ฉันถามแบบเปรยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเรื่องอะไรบ้าง

    "ก็ดีนะ" เตียวเสี้ยนเองก็ตอบแบบไม่เจาะจงเหมือนกัน "ฉันเตรียมเรื่องเข้ามหาลัยแล้วด้วย ก็ต้องสอบอะไรหลายๆอย่าง วัดภาษา เกรด ผลการเรียน"

    ฉันรับฟังเรื่องที่เธอเล่า เพราะยังไงฉันก็คงต่อมหาลัยที่จีน

    เราคุยกันตามประสาพี่น้องผู้หญิง แต่ความครื้นเครงนั้นก็จางหายไปเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนเดินเข้ามาใกล้ๆ

    เตียวเสี้ยนยิ้มหวาน ไม่ต้องบอกว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นเซียร์ซี แต่มีเสียงเท้าสองเสียง

    ฉันเหลือบไปมอง นัยน์ตาสีมรกตคือสิ่งแรกที่เห็น

    สงสัยพระเจ้าคงชอบเรื่องตลก

    นาตาเลียส่งยิ้มหวานละมุนละไมมาให้ฉัน ส่วนฉันก็ต้องแกล้งทำตัวปกติโดยการยิ้มตอบ ออร่ามีเสน่ห์รอบตัวเธอทำให้ประหม่าจนแทบนั่งไม่ติดที่ แต่ก็กังวลอยู่เหมือนกัน ฉันให้เตียวเสี้ยนรู้เรื่องนาตาเลียไม่ได้เด็ดขาด

    "กำลังจะกลับเหรอคะ" เตียวเสี้ยนลุกขึ้น ดูเกรงใจนาตาเลียเป็นพิเศษ

    "ใช่ค่ะ" นาตาเลียพยักหน้า เบนสายตามาทางฉัน "กลับด้วยกันมั้ย"

    ฉันสะดุ้งเฮือก ส่วนสองสายตาของคนนอกความสัมพันธ์หันมามองที่ฉันโดยพร้อมเพรียง

    อีกฝ่ายเดินมาหาแล้วถือวิสาสะมากุมมือฉันไว้

    ตายแน่...แน่ๆเลย

    ฉันคิดอย่างตื่นตระหนกเมื่อนาตาเลียเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล

    "มีอะไรต้องคุยอีกมั้ย"

    "ไม่มีค่ะ"

    "..."

    "ไม่มีแล้วจริงๆค่ะ" ฉันเหลือบมองเตียวเสี้ยนด้วยสายตาเว้าวอน เธอเข้าใจ เราทั้งคู่ต่างก็เกรงใจนาตาเลีย ผิดกับเซียร์ซีที่ดูสบายๆแกมไปทางเบื่อที่จะยืนอยู่ตรงนี้

    "ไว้เจอกันนะคะ คุณเซียร์ซี" นาตาเลียก้มหัวให้เซียร์ซี

    "ไปเถอะ กลับบ้านดีๆ" เซียร์ซีไล่แล้วพาเตียวเสี้ยนเข้าบ้านไป

    รถของนาตาเลียเป็นรถแลมโบกินี่สีน้ำเงิน มองผ่านๆยังดูเด่นเลย

    "ไปส่งที่โรงแรมเดิมใช่มั้ย" คำถามที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ของนาตาเลียทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกน้ำร้อนลวกอยู่ในท้องยังไงไม่รู้ จากเมื่อวาน...นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนต่อหน้าและคุยกันโดยไม่มีใครห้าม แต่ความรู้สึกตอนนี้กลับบอกว่าไม่ใช่

    "ใช่ค่ะ โรงแรมเดิม" ฉันประสานมือวางลงบนตัก พยายามไม่ประหม่า

    "เมื่อคืนอันนาสก่อกวนอะไรเธอมั้ย"

    "..." ฉันเหลือบไปมอง

    "ว่าไง"

    "ก็ไม่เชิงก่อกวนหรอกค่ะ แต่ก็..." ที่จริงควรตอบว่า 'ใช่' ไปเลย แต่ดันแก้ตัวไปให้ผู้หญิงคนนั้นจนได้ "ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น"

    "หมายถึงจะยอมให้อันนาสยุ่งกับเธอแบบนั้นเหรอคะ" เสียงนาตาเลียอ่อนลง

    "ทำไมเหรอคะ" ฉันถามกลับ

    ไร้เสียงตอบรับ แต่ความเร็วลดเพิ่มขึ้น ฉันแอบหันไปมองสีหน้าของอีกฝ่าย ก่อนพบว่ามันขุ่นมัวไปด้วยความไม่พอใจ ความกังวล จนมาถึงโรงแรม เธอหันมาจับแขนฉันไว้ก่อนจะลงจากรถ

    "พี่เป็นห่วงเธอนะ" น้ำเสียงเธอจริงจัง "ทั้งห่วงและหวง"

    จริงจังจนน่ากลัว

    "อย่าให้อันนาสยุ่งกับเธอดีกว่า"


    ฉันกลับขึ้นมาบนห้อง ต้องการจะพักมากๆ แต่เมื่อมาถึงทางเดิน ฉันชะงักเมื่อเห็นอันนาสนั่งหลับอยู่หน้าห้องโดยการเอาศีรษะกับแผ่นหลังพิงประตูไว้

    "พักอยู่ห้องนั้นเหรอคะ" ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันที่ขึ้นลิฟต์มาพร้อมฉันถาม "ผู้หญิงคนนั้นนั่งรอคุณมาเกือบสามชั่วโมงได้แล้วค่ะ"

    "..."

    "ฉันเข้าไปชวนคุยก็ไม่พูด ถามอะไรก็ไม่ตอบ"

    "..."

    "พูดอย่างเดียวว่า 'รอคนอยู่' ฉันเลยแบ่งน้ำกับขนมให้กินระหว่างรอก็ไม่เอา"

    "..."

    "ดูน่าสงสารมากเลยนะคะ"

    "อ่า เหรอคะ" ฉันรับคำอย่างปลงๆ

    คนอย่างอันนาส ทิมเบอร์ตันคงไม่พอใจที่โดนสงสาร...ผู้หญิงคนนี้ไม่โดนด่าสวนมาก็โชคดีมากแล้ว

    "นี่" ฉันเดินเข้าไปแล้วย่อตัวลงนั่ง ตบแขนอันนาสไปสองที "นี่!"

    นัยน์ตาสีมรกตปรือขึ้นมองเมื่อฉันขึ้นเสียงใส่

    "เธอ..." อันนาสกระซิบออกมาคำหนึ่งราวกับยังไม่มีสติ

    "ขวางทาง" ฉันดึงให้เธอลุกจากหน้าห้อง "จะนอนก็เข้าไปนอนในห้อง"

    "หืม?" เธอขมวดคิ้ว

    "งงอะไร ไม่นอนแล้ว?" ฉันหันไปถามเมื่อเปิดประตูห้อง

    อันนาสตอบรับโดยการดันฉันให้เดินเข้ามา ก่อนแทรกตัวเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลังอย่างเงียบเชียบ

    หึ...

    อันนาสถอดเสื้อโค้ดแล้วพาดมันไว้บนเก้าอี้นวมแล้วนั่งลง เธอเก็บท่าทางเมื่อสักครู่รวมถึงความง่วงได้อย่างมืออาชีพ

    "มีอะไรถึงมาที่นี่" ฉันถาม รินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้อันนาส ก่อนหยิบแก้วตัวเองไปนั่งลงตรงข้าม

    "แวะมาชวนไปเที่ยว" เธอพูด คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น มือขยับวางลงบนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ "พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์ เดาว่าเธอคงไม่อยากนอนไร้ความหมายอยู่ในห้องหรอกใช่มั้ย"

    "เป็นการเลือกใช้คำที่น่าโดนตีปากสักที" ริมฝีปากฉันกระตุกยิ้ม แต่ใบหน้าไม่ได้ยิ้มตาม "ที่ไหน"

    อันนาสยิ้มกว้างขึ้นในทันที "ไนท์คลับ GT ถนนโรเจอร์ ไปกับฉันก็ได้"

    "ไนท์คลับ?" ฉันทวน "ไปกับเธอน่ะเหรอ"

    "สาบานว่าจะไม่ทำอะไร" เธอมีดวงตาของสัตว์ร้ายที่ไม่น่าไว้วางใจ อสรพิษ...สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มันกัดไม่เลือกแม้แต่คนที่ช่วยมัน "ไปเปิดหูเปิดตา เธอจะทำอะไรก็เรื่องของเธอ ส่วนฉันจะไปที่ชอบที่ชอบของฉัน แต่ถ้าจะกลับก็หาฉันให้เจอแล้วกัน"

    "..." ฉันไม่ได้พูดอะไรกลับไป แต่ใช้สายตาเชิงหงุดหงิดสื่อสารแทน

    น้ำเสียงที่เธอใช้เหมือนเธอเอาฉันไปทิ้งเป็นเด็กๆแล้วปล่อยให้เดินเล่นเอง อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ค่อยตามหา

    "ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก คุณหนูคิงสตัน" เธอหลุดหัวเราะ "ญาติเธอไปด้วยน่ะ"

    "ญาติ..." ฉันขมวดคิ้ว เท่าที่นึกออกก็มีแต่เตียวเสี้ยน แต่ตอนนี้จะชวนเตียวเสี้ยนไปไนท์คลับน่ะเหรอ ฮึ ฝันไปอีกสิบปี "ใคร แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาสืบเรื่องครอบครัวฉัน"

    "เหมือนที่เธอสืบเรื่องนาตาเลียกับฉันน่ะเหรอ"

    ฉันตัวแข็งค้าง รอยยิ้มของอันนาสตอนนี้เตือนฉัน...ว่าเธอเองก็เป็นอีกคนนึงที่ฉันควรจะเกรงใจด้วย

    "รู้ได้ยังไง" ฉันไม่ปฏิเสธ รอจับผิดเรื่องที่เธอเล่า ฉันไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ใช่คนดังอะไร ก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ทำอะไรตามใจชอบและเที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่มีทางที่ข้อมูลส่วนตัวจะไปปรากฏบนอินเตอร์เน็ตให้สืบเหมือนที่ฉันทำกับนาตาเลียและอันนาสแน่

    ข้อมูลอันนาสในเน็ตก็มีไม่มากนัก แต่...มากพอจะทำให้ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณหญิงทิมเบอร์ตัน

    สายตาของอันนาสแพรวพราวเมื่อมองสำรวจร่างกายฉัน คงเพราะนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ฉันเห็นชัดเลยแหละว่าเธอทำมัน

    "เธอเล่าให้ฉันฟังเองนะ" ดั่งตาฝาดที่เห็นว่าสายตานั้นแสดงถึงความเจ็บปวด

    "ฉันไม่ได้เล่าให้เธอฟัง" ฉันปฏิเสธแล้วลุกขึ้นยืน "ฉันไม่อยากฟังอะไรไร้สาระหรอกนะอันนาส ได้เวลาไปแล้ว ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ค่อยมารอรับข้างล่าง"

    "..." เธอกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะ เห็นความหมางเมินที่แสดงออกมาเพราะคำพูดฉันได้ชัด

    "แค่รอจนกว่าฉันจะลงไป เธอคงทำได้อยู่แล้ว" ฉันมองอันนาสที่เดินออกไป เราสบตากันเสี้ยววินาทีก่อนประตูปิดลง ดวงตาคู่นั้นน่ากลัวและมืดมิด ฉันปิดประตูแล้วได้แต่คิดว่าตัวเองคิดผิดที่ตกลงจะไปกับเธอ

    ฉันรู้สึกว่าคิดผิด แต่ก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า 'ควร' ทำแบบนี้


    Annas's Talk

    "ยอมผู้หญิงคนนั้นขนาดนี้โดยที่ไม่บอกอะไรเลย ดีแล้วเหรอ" เสียงแหบหวานมีเสน่ห์ดังมาจากคนที่ยืนรอฉันอย่างเงียบสงบ ฉันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เป็นเหตุให้เสียงหวานพูดต่อ "ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สนใจอะไรพี่ ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ นอกจากรังเกียจ ดีแล้วจริงๆเหรอ"

    "ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเครียดไปสิปีศาจน้อย" ฉันยิ้มแย้มส่งไปให้ 'ปีศาจคนเล็ก' แห่งกอร์ดอนแล้วยื่นมือไปวางบนเส้นผมนุ่มลื่นสีเทา "พี่โอเค"

    "ก็ว่าไป" เธอปัดมือฉันออกจากเส้นผมของตัวเอง "อย่ามาร้องไห้จะเป็นจะตายแล้วคิดสั้นแบบวันนั้นอีกแล้วกัน"

    ฉันหุบยิ้มลงเมื่อคิดถึงเรื่องราววันนั้น "นั่นสินะ จะไม่ทำให้เธอเป็นห่วงแล้วกัน ผู้หญิงคนนั้นถ้าเค้าคิดอะไรไม่ได้เลย พี่จะปล่อยเค้าไปตามทางเค้าเอง"

    ถ้าไม่เอะใจเลยสักนิดว่าคนในวันนั้นคือฉัน ไม่ใช่นาตาเลีย ก็จะไม่ทำอะไรอีก

    หลังจากนั้นเธอจะเจ็บกับนาตาเลียอีกสักกี่สิบรอบก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน

    "ไปกันเถอะ เดี๋ยวสักสามทุ่มค่อยมารอแล้วกัน"

    "..."

    "แล้ว...ออกมาเที่ยวเตร็ดเตร่แบบนี้ บอกพี่สาวของเธอรึยังล่ะ วีร่า"

    นัยน์ตาสีเทาควันบุหรี่เหลือบมามอง มันฉายแววดูแคลน

    "ฮึ ยังเลย ไปกันเถอะ"


    21.00 P.M

    ฉันมารอตามที่นัด ครั้งนี้ไม่ได้หนีบน้องเล็กกอร์ดอนมาด้วย ผู้หญิงคนนั้น...ปล่อยออกมาที่อโคจรไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะแปดเปื้อนเสียเปล่าๆ

    วีร่า กอร์ดอนกับฉันรู้จักกันเมื่อสามปีก่อนเหมือนกัน หลังจากโดนทรยศโดยน้องสาวที่เคยไว้ใจ ฉันทำร้ายตัวเองในห้องนอนส่วนตัวของคอนโด แต่นาตาเลียก็มาหาที่ห้องแล้วเรียกรถพยาบาลให้ หลังจากนั้น หมอที่ดูแลเคสฉันเสนอเรื่องจิตแพทย์ให้ ฉันตกลง แต่ขอให้มันเป็นความลับทางการแพทย์เท่านั้น

    วีร่า กอร์ดอนคือจิตแพทย์ที่ส่งมารักษาฉัน หลังจากนั้นมันก็ถักทอเป็นสิ่งพิเศษที่หากขาดกันไปต้องแย่แน่

    มันไม่ใช่ความรักนะ แต่...จิตใต้สำนึกเราแค่ผูกพันกับคนที่เยียวยาเราได้เท่านั้น

    ฉันพิงประตูรถ สูบบุหรี่ราคาแพงแล้วปล่อยให้อากาศเย็นลอยมากระทบกับแก้มของตัวเอง สีของท้องฟ้าตอนนี้วังเวงและเงียบเหงาจริงๆ

    "มานานรึยัง" เสียงเรียบเฉยเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง

    "สักพักแล้ว" ฉันพยายามใส่ความจริงใจลงไปในรอยยิ้มขณะหันไปมองไวโอเล็ต

    แทบหยุดหายใจเมื่อเห็นชุดที่เธอใส่ เธอแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีทึบที่ตัดกับสีขาวของผิวได้อย่างแนบเนียน เส้นผมเกลาขึ้นเป็นมวย และแต่งหน้าอ่อนๆ

    แถบยุโรปหาผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานและสวยขนาดนี้ไม่ได้ง่ายๆหรอก ไปถึงไนท์คลับต้องโดนรุมทึ้งแน่ๆ

    "..." ไวโอเล็ตปรายตามองสีหน้าของฉันอย่างเฉยเมยแล้วเดินขึ้นรถ

    หยิ่งผยอง จองหอง เหมือนนาตาเลียไม่มีผิดเลย

    ฉันขบริมฝีปากแน่นเมื่อความทรงจำโหดร้ายผุดขึ้นมา ภาพไวโอเล็ตเปลือยเปล่าที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงวันนั้นโดยมีน้องสาวผู้ร้ายกาจของฉันนั่งอยู่ปลายเตียง

    ฉันขึ้นรถแล้วขับออกมาจากจุดนั้น ระหว่างทางก็ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าทำไมคำว่าเกลียดของฉัน เธอถึงต้องฝังใจมันขนาดนั้น

    ทำไมฉันที่รักเธอถึงต้องดูร้ายในสายตาเธอขนาดนั้น

    "ฉันดูเธออยู่" ฉันพูดเมื่อกำลังเข้าไปในไนท์คลับด้วยกัน "นี่คีย์การ์ดห้องพักของที่นี่ ถ้าไม่ไหวก็ไปพักที่ชั้นสาม"

    "..." ไวโอเล็ตเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่นั้นจริงๆ

    "ไม่ไหวของฉันคือ เธอเมา หรือ เธอเหนื่อย ไม่ใช่เธออยากนอนกับผู้ชายสักคนแล้วพาเขาขึ้นไป โอเคมั้ย" ฉันกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้นเล็กน้อย กำลังคิดอยู่ว่าถ้าไวโอเล็ตทำอย่างหลัง ฉันต้องคลั่งตายแน่ๆ

    ผลัก!

    ไวโอเล็ตผลักฉันจนเซไปหลายก้าว

    "ปากแบบนั้น..." เธอเหยียดตามองด้วยความโมโหแล้วเดินเข้าไปข้างใน

    "หึ"

    ฉันสบถในลำคอ มือหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความลงไลน์กลุ่มลูกน้องว่าให้ดูแลไวโอเล็ตเป็นพิเศษ

    ไนท์คลับนี้ฉันเป็นเจ้าของร่วมกับวีร่าที่เป็นหุ้นส่วน แต่ก็ถือว่าฉันมีอำนาจเต็มที่ล่ะนะ เพราะวีร่าไม่ค่อยสนใจธุรกิจแนวนี้เท่าไหร่นัก

    หลังจากเช็คดีแล้ว และคิดว่าไม่มีอะไรทำ ฉันเดินขึ้นไปชั้นสามเพื่อเข้าไปนอนในห้องส่วนตัว คีย์การ์ดที่ให้ไวโอเล็ตไปก็ของห้องนี้ ที่นี่มีห้องเดียวและเป็นของฉัน เพราะฉันไม่สนับสนุนให้เลือกคู่นอนแล้วเปิดห้องมีเซ็กซ์กันเหมือนธุรกิจผิดกฎหมาย


    01.12 A.M

    ผลัก!

    "อึก..." ฉันจุกเมื่อมีร่างของใครบางคนนอนทับลงมาเต็มแรง จากที่หลับสนิทอยู่ก็ตื่นเต็มตาแถมปวดร้าวไปทั้งร่างกาย "ไวโอเล็ต"

    เสียงฉันแหบพร่าด้วยความเจ็บปวด เนื้อกระแทกกับกระดูก ไม่เจ็บก็บ้าแล้ว

    "หืม" เสียงหวานหยดย้อยอย่างน่ากลัวดังขึ้น บ่งบอกว่าคนพูดกำลังเมามากแค่ไหน ฉันทำตัวไม่ถูก กำลังลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืดก็โดนกดไว้ "อันนาส"

    "หนัก..." ฉันพึมพำแล้วหลีกเลี่ยงจะมองเธอ เพราะรู้ว่าเธอมองฉันอยู่

    "อันนาส" มือเรียวเชยปลายคางฉันขึ้นสูง

    "..."

    "..." ไม่มีคำพูดใด ลมหายใจกรุ่นร้อนอยู่ใกล้มาก ริมฝีปากไวโอเล็ตบดเบียดลงมาอย่างแนบชิด สองมือเธอกำคอเสื้อเชิ้ตที่ฉันใส่อยู่แน่นมาก ก่อนกระชากมันอย่างแรงให้ฉันลุกขึ้นนั่งในขณะที่โดนรุกรานทางริมฝีปาก

    เสื้อฉันขาด ริมฝีปากปริแตกเพราะการกดจูบที่รุนแรงเกินไป

    ฉันเช็ดเลือดที่ไหลออกมาตอนที่ไวโอเล็ตผละออก

    ครั้งนี้เงยหน้ามองใบหน้าหวานจนเต็มตา

    "ปากไม่ดี" ไวโอเล็ตบ่นพึมพำอย่างคนที่ไม่มีสติ เธอยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่จางอยู่บนริมฝีปากฉันแรงๆ

    ฉันไต่ปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังของไวโอเล็ต หาตะขอซิปของชุดกระโปรงอย่างฉวยโอกาส

    "ฉันปากดี" ฉันผ่อนลมหายใจ กลัวเธอตื่นตระหนกระหว่างรูดมันลง ฉันจะไม่ยอมให้เหยื่อหนีไปอีกในครั้งนี้

    "หืม" ไวโอเล็ตกำคอเสื้อฉันจนแทบหายใจไม่ออก แต่ฉันไม่สนใจ

    "ปากดีมาก ถ้าอยู่บนร่างเธอ" ฉันถอดเสื้อตัวเองให้เธอไปกำเล่นให้พอใจ คราวนี้เป็นฝ่ายกดให้เด็กดื้อจมลงไปกับเตียงบ้าง

    ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมนาตาเลียถึงไม่ปล่อยไวโอเล็ตไปสักที

    แต่ไม่ว่ายังไง...ตอนนี้เธอเป็นคนของฉัน

    "อันนาส อื้อ...ทำอะไร" ไวโอเล็ตไว้เล็บ และเธอจิกต้นคอฉันแรงมากตอนที่ฉันใช้ปากกับร่างกายส่วนล่างของเธอ "ปะ ปล่อย"

    "ถ้าอยากให้ปล่อยต้องร้องดังกว่านี้ นี่คือข้อตกลงบนเตียงของเรา...ไวโอเล็ต"









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×