ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black N Blue (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #35 : Black N Blue❖I called her 'heroine' 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 936
      57
      7 ก.พ. 63

    คำเตือน :: บางช่วงบางตอนมีความรุนแรง เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของตัวเกมแต่อย่างใด ฉากที่มีเนื้อหาเรท R จะไม่อัพลงเด็กดี โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


    Song :: SVRCINA - Who Are You?


    EPISODE07

    Alternative Universe 03I called her 'heroine'


    หนึ่งปีก่อน วันฮาโลวีน

    เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง, รัฐบอสตัน สหรัฐอเมริกา

    "ดึกมากแล้ว...มาทำอะไรอยู่ที่นี่เหรอ สาวน้อย" เสียงนุ่มนวลดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันผงะจนเกือบทำพู่กันอันโปรดของตัวเองตกพื้น ยังดีที่เรียกสติกลับมาได้เร็วมากและหันไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดคอสเพลย์กับหน้ากากขนนกสีขาวปิดบังใบหน้า "ที่นี่วังเวงมาก เธอไม่กลัวเลยเหรอ"

    "กลัวค่ะ" ฉันตอบกลับไปเสียงแผ่ว เพราะไม่คุ้นชินกับการคุยกับคนแปลกหน้า มือเผลอกระชับเสื้อหนาวสีครีมของตัวเองให้แนบขึ้นอีก

    "แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่สุสาน" ร่างที่สูงกว่าฉันนิดหน่อยกวาดสายตามองไปจนทั่วก่อนหันกลับมาจรดที่ฉัน ที่ตรงนี้เป็นสุสานที่อยู่ใกล้กับโบสถ์เพียงแห่งเดียวของเมืองมาก และด้านหน้าของโบสถ์ก็ครึกครื้นเนื่องจากมีคนเดินผ่านไปผ่านมาบ่อย

    เสียงงานเทศกาลที่ดังไกลไปอีกสองบล็อคถนนทำให้ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย

    "..." ฉันไม่ได้ตอบ แค่หลบให้เธอดูกระดาษแผ่นใหญ่ที่วาดภาพของสุสานไปได้มากกว่าครึ่ง อีกไม่นานก็ใกล้เสร็จแล้ว

    "เพราะแบบนั้นเธอเลยอยากพบฉันเหรอ" รอยยิ้มลึกลับบนริมฝีปากนั้นทำให้ฉันขนลุกไปทั้งร่างกาย "มีคนที่โบสถ์ไปตามหาฉัน บอกว่าเธอชอบรูปภาพ 'Heaven in the hell' มากก็เลยอยากเจอฉัน เธออยากให้ฉันเป็นแบบวาดให้เธอ?"

    "คุณเองเหรอคะ..." ฉันคาดไม่ถึง ผู้หญิงที่ฉันรอมาทั้งวันที่จะได้เจอ เธอมาในตอนที่...มืดและน่ากลัวเกินไปหน่อย แต่เพราะแบบนั้นฉันเลยวางพู่กันลงบนจานสี "ฉันขอดูหน้าคุณหน่อยได้มั้ยคะ"

    รูปภาพอันงดงามที่ติดอยู่บนผนังโบสถ์ หญิงสาวหนึ่งเดียวในนั้นสวยจนต่อให้เอาความงดงามของสิ่งใดๆมาเปรียบก็ไม่อาจเทียบติดได้ ฉันดีใจมากที่ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นมีตัวตนจริงและอาศัยอยู่ในเมือง เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันเลยปิดความตื่นเต้นของตัวเองไม่มิดที่จะได้เห็นใบหน้างดงามด้วยสายตาของตัวเอง

    ฉันหันมาสนใจเธออย่างจริงจังจนพบว่าชุดที่เธอใส่เป็นชุดคอสเพลย์ของแม่มด แต่ยากที่จะมองว่าสีของชุดเป็นสีอะไรในความมืด มือฉันเลยเลื่อนไปหยิบแสงไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือมาเพื่อส่องให้เห็นได้ชัด

    หมับ

    เธอจับมือฉันไว้อย่างแผ่วเบาก่อนดึงโทรศัพท์จากมือฉันไปถือแล้วกดปิดไฟฉาย

    "ได้สิ" เสียงนุ่มนวลตอบรับ มือเรียวบังคับให้มือของฉันเลื่อนขึ้นไปถอดหน้ากากสีขาวอันนั้นออก ฉันแทบลืมหายใจเมื่อเห็นดวงตาน่าหลงใหลในระยะประชิด ใกล้เกินไป ใกล้จน...ได้ยินเสียงลมหายใจที่พ่นรินรดอยู่บนหน้าฉัน กลิ่นน้ำหอมวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ฉันหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นแตะลงมา

    "อะ อื้อ" ฉันทำตัวไม่ถูก สั่นไปทั้งร่ายกาย แผ่นหลังถูกดันให้แนบติดไปกับกำแพงด้านหลัง เป็นรั้วกั้นที่ทำให้คนนอกไม่สามารถมองผ่านเข้ามาได้ นอกเสียจากว่าจะเดินเข้ามาดูด้วยตัวเองเท่านั้น

    แม่มดสาวรุกรานฉันด้วยริมฝีปากและฝ่ามือ พยุงกายให้ฉันยังยืนอยู่ได้ ภายใต้เสื้อผ้าที่ยังอยู่ติดกับร่างกายอย่างเรียบร้อยนั้น กลับมีสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามา ฉันขมวดคิ้วและรื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อรู้สึกว่าสิ่งนั้นกำลังทำร้ายฉัน

    ฉันไม่เคยคิดว่าร่างกายของตัวเองจะมีบางสิ่งบางอย่างสอดเข้ามาได้ลึกขนาดนี้... ฉัน ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร ทำไมถึงแปลกและเจ็บขนาดนี้

    มีคนเดินผ่านเราจากอีกฟากของกำแพง ฉันได้ยินเสียง 'ชู่ว' เบาๆอย่างเซ็กซี่จากคนที่ยังกดร่างกายฉันไว้

    ฉันเม้มริมฝีปาก จุกเสียดไปทั้งร่างกาย ริมฝีปากกับลำคอเองก็ไม่ว่างเว้นจากการถูกจูบเลย แม่มดตนนี้...กระหายมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วทำไมถึงมาทำแบบนี้กับฉัน

    ผิวกายฉันสัมผัสความเย็นของอากาศโดยรอบแล้วสั่นขึ้นมา ภาวนาให้เรื่องนี้มันจบเสียที ขอให้เธอพอใจกับสิ่งที่เธอได้ไปและปล่อยฉัน แต่ความรู้สึกตอนนี้ก็กระตุ้นฉันมากเหมือนกัน

    "ไม่อยากทะ...ทำแล้ว" ฉันสะอื้นแล้วบอกเธอ

    "เด็กดี" เสียงนุ่มกระซิบ เย็นชาที่สุด ฉันเจ็บขนาดนี้แต่เธอทำได้เพียงแค่ช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเท่านั้น ไม่นานบางสิ่งก็ถูกรีดออกจากร่างกาย ฉันหอบหายใจขณะหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม

    แม่มดนิสัยร้ายกาจปล่อยให้ฉันผ่อนคลายตัวเองอยู่สักพักหลังจากผละออกไป เธอช่วยเก็บผลงานวาดของฉัน พู่กัน และสีต่างๆลงไปในกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้น

    ฉันเหนื่อยและตาพร่าเลือนจนแทบไม่สามารถมองใบหน้าที่งดงามที่ยังเห็นไม่ชัดนั้นได้อีกต่อไป

    "กลับบ้านได้แล้วเด็กน้อย" เสียงนุ่มเอ่ยปากไล่อย่างอ่อนโยน เธอลูบไล้ใบหน้าฉันแล้วกระซิบคำพูดปลอบโยนออกมาหนึ่งประโยค "ฮาโลวีนปีหน้ากลับมานะ กลับมาหาฉัน...ให้ฉันได้ตอบแทนเธอสำหรับร่างกายนี้"

    พูดจบเธอก็จากไปอย่างเงียบเชียบราวกับใช้เวทมนตร์ ทิ้งฉันให้โซซัดโซเซกลับบ้านด้วยตัวเองแล้วนอนซมไข้จับอยู่บนเตียงหนึ่งวันเต็ม


    ในที่สุดก็กลับมาอีกจนได้

    "ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหนู" แม่บ้านวัยกลางคนโค้งให้อย่างมีมารยาท ฉันยิ้มพอเป็นพิธีแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อเอาข้าวของที่พกมาไปเก็บ กระเป๋าเดินทางใบโตถูกวางลงบนพื้นห้อง ฉันคุกเข่าแล้วเปิดมันออกเพื่อหาเสื้อกันหนาวตัวใหม่มาเปลี่ยน ส่วนตัวที่ใส่อยู่ก็ถอดใส่ไว้ในตะกร้าผ้าใกล้ห้องน้ำ

    ฉันใส่เสื้อกันหนาวตัวใหม่ อากาศเย็นอาจทำให้ฉันไม่สบายได้ เพราะป่วยง่ายฉันเลยต้องระวังเรื่องของสุขภาพมากเป็นพิเศษ

    เมื่อเปิดหน้าต่างออกก็เห็นเด็กตัวเล็กๆกำลังข้ามถนนกันอย่างเป็นระเบียบ พี่คนโตคอยจูงน้องและระมัดระวังความปลอดภัย ทุกอย่างสดชื่นและดูกระตือรือร้น อาจจะเป็นเพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลที่พวกเขาสามารถเที่ยววิ่งเล่นในตอนกลางคืนได้

    วันฮาโลวีน...เมื่อปีที่แล้วฉันมีเรื่องราวเกิดขึ้นที่นี่ เพราะแบบนั้นเลยต้องกลับมา

    หลังจากยืนสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่สักพักฉันก็เดินกลับลงไปยังเบื้องล่าง เผลอลืมอุปกรณ์วาดภาพไว้หลังรถ ฉันเปิดประตูหลัง หยิบทุกสิ่งที่วางอยู่มาถือ

    แต่ในตอนที่ปิดประตูรถนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมา

    ฉันขมวดคิ้ว หันไปมองรอบๆ

    ถึงจะสัมผัสได้แบบนั้น แต่รอบๆนี้ไม่มีใครเลยที่ดูน่าสงสัย

    ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัดก็จริง แต่ตรงนี้ไม่มีใครเลยที่ดูโดดเด่นได้เท่าเธอคนนั้น

    ฉันก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในบ้าน ตอนนี้ไม่ควรตื่นตูมอะไร เพราะฉันมั่นใจว่ายังไงเธอก็ต้องโผล่มาในค่ำคืนวันฮาโลวีนที่ใกล้จะถึง


    ฉันใช้เวลาทั้งบ่ายไปกับการจัดอุปกรณ์วาดรูปในห้องนอนและสีทุกสีให้วางเป็นระเบียบโดยไม่เกะกะ หลังจากนั้นในตอนกลางคืน ฉันลงมาข้างล่างเพื่อหาอะไรทานรองท้องในคืนนี้ เห็นหลังไวๆของแม่บ้านที่เดินกลับมาจากประตูหน้า

    "คุณหนูคะ มีจดหมายวางไว้ที่หน้าประตูค่ะ" เธอยื่นมันมาให้

    ฉันรับแล้วพลิกซองดู เป็นซองจดหมายสีดำ ไม่มีจ่าหน้าซอง ไม่มีตราประทับ

    "คุณทำงานในวันนี้หมดแล้วใช่มั้ยคะ" ฉันหันไปมองห้องครัว ได้กลิ่นหอมฉุยลอยออกมาก่อนหันไปยิ้มให้เธอ "กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ ส่วนพรุ่งนี้ไม่ต้องมาก็ได้ ฉันอยากอยู่เงียบๆคนเดียว วัตถุดิบทำอาหารอยู่ในตู้เย็นแล้วใช่มั้ย"

    "ใช่ค่ะคุณหนู งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ" เธอกล่าวอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกไปจากบ้าน

    ฉันถือจดหมายฉบับนั้นไปนั่งที่โต๊ะในห้องครัว คลี่ซองให้เปิดออกก่อนหยิบแผ่นกระดาษข้างในออกมาถือไว้แล้วเปิดอ่าน

    'hi baby, you look cutie today, are you ready to see me?'

    ฉันชะงัก ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวกว่าที่คิดไว้ แค่นึกถึงเรื่องที่เธอทำไว้ตอนนั้นและฉันป่วยเพราะมันก็อดกังวลไม่ได้ กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก ครั้งที่แล้วเพราะแม่บ้านแจ้งกับพ่อว่าฉันป่วย พ่อก็เป็นห่วงจนส่งพี่ชายมารับกลับบ้านไป

    ฉันเป็นคนที่หากไม่จำเป็นพ่อกับแม่ก็ไม่อยากให้ออกจากบ้านไปไหนไกลๆ เพราะร่างกายฉันอ่อนแอ ฉันเป็นคนเดียวที่พ่อแม่ให้อิสระในการเลือกงานเต็มที่ แบบนั้นเลยเลือกที่จะเป็นอาร์ตทิส ส่วนตัวก็รักการวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว

    ฉันวางจดหมายกับซองลงบนโต๊ะ แล้วทำสิ่งที่ต้องทำก่อน หลังกินอาหารเสร็จก็ล้างจาน เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยและเตรียมถือจดหมายฉบับนั้นขึ้นไปบนห้อง หากว่าสายตาไม่เหลือบไปเห็นอีกฉบับที่สอดผ่านเข้ามาทางช่องใต้ประตูแบบพอดิบพอดี

    จดหมายซองดำอีกซอง ฉันปิดไฟห้องครัว เดินเข้าไปใกล้แล้วหยิบมันขึ้นมาดู

    ไม่แปลกหรอกที่คนคนนั้นจะสอดจดหมายเข้ามาง่ายขนาดนี้ ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านที่ปลอดภัยและไม่มีโจร บ้านแต่ละหลังเลยไม่มีรั้วบ้าน และก็ไม่แปลกเช่นกันหากคนคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าประตู

    ฉันเปิดซองจดหมาย

    'You wanna open the door? i wanna come in your house'

    'What's your name?' ฉันใช้ปากกาที่หาได้แถวนั้นเขียนแล้วสอดผ่านช่องใต้ประตูกลับไป

    ไม่นานกระดาษแผ่นเดิมก็ถูกสอดกลับมา มันกระแทกกับปลายเท้าฉันเบาๆ

    หัวใจฉันเต้นแรงตอนที่หยิบมันขึ้นมาอ่าน

    'Lauriel Jensen'

    ฉันรวบกระดาษทั้งสองแผ่นไปถือไว้ด้วยกันขณะที่เอื้อมมือไปปลดล็อคกลอนของประตูแล้วบิดลูกบิดเพื่อเปิดมัน

    คนที่ยืนคอยอยู่บิดยิ้มละมุนละไม เธอมีเส้นผมสีบลอนดิเหมือนฉัน นัยน์ตาสีฟ้าเหมือนฉัน แต่กลับไม่ได้ดูเด็กและน่าเอ็นดูตลอดเวลาเหมือนฉัน เธอมีออร่าที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและดู...ยั่วยวนกว่าฉัน ทรวดทรงเธอเองก็ไม่เหมือนนะ มันให้ความรู้สึกน่าสัมผัสแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็เถอะ

    ฉันใจสั่นแรงจนแทบคุมตัวเองไม่อยู่ พ่อกับแม่จะคิดยังไงที่หวั่นไหวกับผู้หญิงด้วยกัน

    "สวัสดีค่ะ คุณเจนเซ่น" ฉันทักทาย พยายามเมินริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงอ่อนๆที่ดูมีเสน่ห์ แต่อย่างนึงที่ฉันไม่กล้าคิดกับเธอเลยคือเรื่องบนเตียง เพราะมันจะไม่เกิดขึ้น

    "คุณหนูจอร์ชวิล" เธอเรียกฉันแตกต่างกับคนอื่น ไม่ใช่ด้านคำพูด แต่เป็นสิ่งที่เธอทำให้ฉันรู้สึกเวลาคำคำนั้นมันหลุดออกมามากกว่า

    อย่างน้อยที่ฉันยืนยันได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้สวยราวกับเทพธิดาบนสวรรค์

    "ไม่คิดว่าเธอจะกลับมาจริงๆ" เธอยิ้มจนตาแทบปิดขณะถือวิสาสะเดินเข้ามาในบ้าน ฉันผงะจนเผลอก้าวถอยหลัง เธอปิดประตูลง ขังเราไว้ด้วยกัน "แต่ฉันก็ดีใจที่เธอยังไม่ทิ้งฉันเอาไว้กับความทรงจำที่ดีในวันนั้น"

    "อะ..." ฉันพูดอะไรไม่ออก

    "นึกไว้รึยัง เธออยากได้อะไรจากฉันเป็นการตอบแทน" คุณเจนเซ่นเขยิบขึ้นมาใกล้อีกก้าว "สำหรับครั้งแรกของเธอ"

    "หยะ...หยุดพูดเรื่องนี้ได้มั้ยคะ..." ฉันขอร้องเสียงแผ่ว หลับตาปี๋เมื่อนิ้วของเธอไล้อยู่บนแก้มก่อนไปหยุดที่ปลายคาง ฉันถูกเชยให้เงยหน้าขึ้นมอง

    "มองตาฉันสิ" เธอกระซิบ เมื่อทำตาม แววตาสุกใสอยู่ใกล้เหมือนวันนั้น "แล้วบอกว่าเธอต้องการอะไร"

    แม่มดสาวในวันนั้นกลับกลายเป็นคนธรรมดา แต่ฉันไม่คิดว่ามันแตกต่างเลย เธอใช้มนตร์เสน่ห์สะกดฉันไว้ได้อยู่หมัด

    "ฉันแค่อยากให้คุณเป็นแบบวาดรูปให้" ฉันกลั้นใจพูด "ฉันต้องการแค่นั้นค่ะ"

    เธอพยักหน้าอย่างพึงพอใจที่ฉันพูดแล้วถอดเสื้อโค้ดไปแขวนไว้ เหลือเพียงเสื้อแขนยาวรัดเรือนร่างสีน้ำตาลกับกระโปรงสั้นสีดำ

    "ฉันให้เวลาเธอตอนนี้ ถึงจบวันฮาโลวีน" เธอพูดเป็นนัย ว่าหลังจากหมดวันไป เธอก็จะจากไปเช่นเดียวกัน

    ร่างโปร่งที่ดูเพรียวเดินขึ้นไปชั้นสองอย่างกับรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ฉันเงอะงะแต่ก็ตามเธอขึ้นไป เธอกวาดตาอยู่พักหนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตูห้องนอนฉัน เธอสังเกตเห็นทุกอย่างเพียงแค่มองมันเท่านั้น

    อุปกรณ์วาดรูปฉันอยู่ในห้องนอนทั้งหมด กระดาษเองก็ถูกวางไว้บนขาตั้งรูปแล้วด้วย ฉันคาดหวังแค่จะวาดถนนยามค่ำคืนหลังกินอาหารเย็นเสร็จเท่านั้น

    แต่ดันได้ผู้หญิงมาคนหนึ่ง คนที่รอจะเจอมาทั้งปี เกินคาดไปนิดหน่อย

    "ได้นางแบบแล้ว เธออยากได้รูปวาดแนวไหน" คุณเจนเซ่นถาม ฉันยิ้มแล้วกำลังจะตอบ แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้ฉันอึ้งอีกแล้ว "แบบเปลือยก็ได้ ฉันไม่คิดอะไรหรอก"

    ระหว่างที่พูดเธอก็ถอดเสื้อกับกระโปรงจนเหลือแต่ชั้นในสองตัว จังหวะเดียวกับที่เธอกำลังปลดตะขอบราเซียร์ออก เธอก็หันมาสังเกตเห็นฉันพอดี

    "เด็กน้อย เธอหน้าซีดจนน่ากลัวแล้วนะ" คุณเจนเซ่นขมวดคิ้ว เธอเดินเข้ามาใกล้แล้วโน้มใบหน้ามามอง แต่ฉันไม่ได้มองหน้าเธอ "เป็นอะไรรึเปล่า"

    ฉันหน้าแดงไปจนถึงใบหูขณะหลุบสายตามองพื้นห้อง

    งื้อ จะเป็นลม ผู้หญิงคนนี้...ขาวและดูนุ่มนิ่มเหมือนมาร์ชเมโล่ น่ากินจัง

    "ขอเวลานอกค่ะ สักครู่" ฉันเปิดประตูห้องไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆกัน ใช้เวลาอยู่ในนั้นเกือบห้านาทีเพื่อสงบจิตสงบใจ ปลงไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ห้ามแสดงท่าทีแบบนี้ไปให้เธอเห็นอีก

    ต้องห้ามคิดอะไรแบบเมื่อกี้ด้วยสิ...

    ฉันออกมาจากห้องน้ำ กลับเข้าไปในห้องนอนก็พบว่าคุณเจนเซ่นใส่เสื้อแล้ว แต่กระโปรงยังไม่ได้ใส่ เธอนั่งอยู่บนเตียงในท่าไขว่ห้างแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง

    "ขอโทษนะ เธอคงตกใจ" คุณเจนเซ่นหันเสี้ยวหน้ามามองพลางยิ้ม "คนที่มาติดต่อฉันเกี่ยวกับงานเป็นแบบวาดรูปทั้งหมดสนใจแบบเปลือยกาย เปลืองเนื้อเปลืองตัว ฉันมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับคนพวกนี้เลยไม่อยากตกลงกับใครเรื่องเป็นแบบให้"

    "ขอโทษที่ทำให้คุณเข้าใจผิดเหมือนกันค่ะ" ฉันก้มศีรษะเล็กน้อย "ฉันไม่ได้สนใจธีมเปลือยกายหรอกค่ะ หลังจากเห็นคุณวันนั้นฉันอยากวาดรูปคุณในภาพลักษณ์ของแม่มดมากกว่า ชุดคอสเพลย์นั้น...ยังอยู่มั้ยคะ"

    คุณเจนเซ่นดูแปลกใจ ก่อนผ่อนคลายลงในวินาทีถัดมา

    "อยู่ งั้นวันนี้คงไม่ได้แล้ว เธอคิดว่าจะใช้เวลากับรูปฉันภายในวันเดียวเสร็จเหรอ" เธอถามและแสดงท่าทางสงสัยใคร่รู้ออกมาจริงๆ เมื่อเธอดูไม่อึดอัดหรือเกร็งอะไรฉันเลยทำตัวให้ไม่เกร็งมากนัก

    "ว่ากันตามตรงก็ไม่เสร็จหรอกค่ะ แต่ถ้าไม่เสร็จจริงๆ ฉันจะไปขอซื้อภาพ Heaven in the hell จากที่โบสถ์แล้วก็..." ฉันชะงักเมื่อคิดได้ว่าตัวเองพูดเกินความจำเป็น ครั้งนี้กัดปากแน่นเมื่อเธอดูแปลกใจอย่างชัดเจน แถมยังแสดงท่าทางกึ่งขบขันออกมาจนฉันอับอาย

    คำพูดนั้นไม่ต่างจากการบอกเป็นนัยว่าฉันแอบคลั่งไคล้เธออยู่เงียบๆ ตั้งแต่เห็นรูปนั้นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว

    มันเป็นเรื่องจริง แต่...ฉันไม่อยากให้เธอรู้

    เพราะฉะนั้นเธอจะรู้ไม่ได้

    "เอาไปติดที่หอศิลป์ส่วนตัวอะไรแบบนั้นเหรอ" คุณเจนเซ่นเลิกคิ้วสูงขณะถาม "คนชอบรูปภาพแถมมีเงินอย่างเธอต้องชอบทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้วสิ ใช่รึเปล่า"

    "ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ" ถึงจะเอะใจอยู่บ้างที่เธอพูดแบบนั้น แต่คงเพราะนามสกุลจอร์ชวิล ใครๆเลยคิดแบบนั้น "ขออนุญาตนั่งข้างๆนะคะ"

    ฉันเดินไปนั่งที่เตียงเพราะห้องนี้ไม่มีที่นั่งตรงอื่น แถมฉันก็ไม่อยากนั่งพื้นด้วยสิ

    "คุณไม่ชอบคนประเภทฉันเหรอคะ" ฉันถามต่อ พยายามชวนคุย

    "แบบไหนล่ะ"

    "แบบ 'พวกคนรวยมีเงิน' น่ะค่ะ"

    "ไม่เชิงไม่ชอบหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าชอบเหมือนกัน" เธอยิ้ม "เธอสนใจพวกโลกธุรกิจรึเปล่าล่ะ แต่ถ้าให้ฉันเดาก็คงไม่...ถ้าเธอสนใจเธอคงไม่มาอยู่แถวนี้ด้วยซ้ำ"

    "ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้สนใจ ร่างกายฉันอ่อนแอตั้งแต่ยังเด็ก แถมยังหัวช้าเรื่องวิเคราะห์และหาผลประโยชน์ให้ตัวเองมากๆ ในสังคมของตระกูลจอร์ชวิล ฉันถือเป็นคนอ่อนแอค่ะ แต่ก็ไม่มีใครว่าฉันหรือบังคับอะไรฉันตรงๆเพราะเรื่องสุขภาพ"

    "..."

    "ฉันไม่ได้ชอบการใช้เงินอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ อยากบอกให้รู้ไว้"

    "ขอโทษนะ ฉันทำให้เธอคิดว่าฉันมองเธอเป็นพวกคนรวยโง่เง่าอยู่รึเปล่า เด็กน้อย" สัมผัสอบอุ่นจางเบาอยู่ที่แก้ม เสียงหัวใจฉันแทบทะลุออกมาจากอก ฉันนั่งนิ่งไม่ตอบโต้อะไรจนกระทั่งเธอผละปลายนิ้วออกไป "ที่จริงฉันก็ไม่มองอะไรใครจากภายนอกหรอก ยกเว้น...พี่สาวน่ะนะ"

    "พี่สาวเหรอคะ" ฉันหันไปมองอย่างสนอกสนใจ

    "ใช่ ถ้าเธอชอบฉัน เธอก็คงชอบพี่สาวฉันด้วย" คุณเจนเซ่นหลุดหัวเราะ

    ให้ตายเถอะ ฉันต้องแสดงออกไปให้เห็นขนาดไหนเธอถึงมั่นใจจนพูดออกมาแบบนั้นนะ...

    "ทำไมเหรอคะ" ฉันกระซิบถาม

    "ฉันชื่อลอเรียล ส่วนพี่สาวฉันชื่อลอริเอล"

    "คะ?"

    "เราเป็นฝาแฝดน่ะ" เธอยกมือขึ้นกอดอกขณะพูดด้วยน้ำเสียงที่ขรึมลง ราวกับว่าเรื่องพี่สาวทำให้เธอ...ไม่พอใจ? "ชื่อของเราเขียนเหมือนกันเลยจำเป็นต้องอ่านคนละแบบ แล้วก็เพื่อไม่ให้สับสนเลยใช้คนละนามสกุลกันด้วย ลอริเอลให้นามสกุลของแม่ ส่วนฉันใช้นามสกุลพ่อ"

    "..."

    "แต่แม่ฉันเป็นลูกคุณหนูจากฝั่งประเทศกรีซ เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์ที่ถูกล้มล้างมานานโขแล้ว เธอจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ ฉันเองก็ฟังมาเหมือนกัน แม่เล่าให้ฟังตอนยังเด็กมาก"

    "แล้วยังไงต่อเหรอคะ" ฉันขมวดคิ้ว สงสัยใคร่รู้ในเรื่องราวต่อไปที่ออกจากปากเธอ "แล้วพี่สาวคุณไม่ได้อยู่กับคุณเหรอคะ"

    "เราถูกแยกกันตั้งแต่เจ็ดขวบ แม่พาพี่ไปและขอหย่ากับพ่อ หลังจากนั้นไม่กี่ปีพ่อก็เสีย ส่วนฉันก็ทำอะไรเองตั้งแต่นั้นมา อยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ ชีวิตประจำวันไม่สำคัญอะไรเท่าไหร่เพราะสมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้"

    "แต่สมบัตินั้นมันมากพอให้คุณอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานเหรอคะ" ฉันถาม รู้สึกว่าตัวเธอนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฉัน อิสระมากแต่ก็โดดเดี่ยว แต่ฉันเลือกที่จะทำงานเพราะเห็นว่ายังเป็นสิ่งที่ตัวเองสละเวลาไปกับมันและมีความสุขได้

    "เมื่อหกปีที่แล้วพี่สาวกลับมาหาฉัน" เธอแค่นยิ้มอย่างปลงๆ "ตอบแทนการหายไปด้วยจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีทุกเดือน ก็แค่นั้น เธอไม่ได้กลับมาอยู่ด้วย"

    "..."

    "แต่ฟังแล้วไม่ต้องคิดอะไรหรอกนะ แล้วก็เรียกคนว่างงานที่ชอบทำอะไรตามใจชอบอย่างฉันว่าพี่ลอเรียลก็พอ ไม่ต้องเรียกคุณเจนเซ่นอะไรนั่นหรอก" พี่ลอเรียลหันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มใจดีที่มองผ่านๆยังรู้เลยว่าจริงใจมาก

    คนว่างงานที่ชอบทำอะไรตามใจเหรอ...แล้ววันนั้นที่ทำแบบนั้นกับฉัน คนว่างงานคนนี้คิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ?

    "มานั่งนี่ได้มั้ย" เธอเขยิบตัวไปพิงผนังห้องแล้วเรียกฉันไปนั่งข้างๆ ฉันเห็นว่าน่าจะไม่มีอะไรเลยขยับตัวไปนั่งด้วยง่ายๆ "ฉันเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังแล้ว อยากฟังเรื่องของเธอบ้างจะเป็นไรรึเปล่า"

    "เรื่องของฉันเหรอคะ" ฉันทวน "แต่พี่ยังเล่าไม่หมดเลยนะ ทำไมไม่เล่าให้ละเอียดกว่านี้ล่ะ"

    "แล้วเธออยากฟังอะไรมากกว่านี้ล่ะ เด็กบ๊อง" เธอดีดจมูกฉันเบาๆ

    "ก็คงอายุ น้ำหนัก ส่วนสูง วันๆทำอะไร ชอบกินอะไร มั้งคะ" ส่วนฉันลูบจมูกตัวเอง สัมผัสจางๆของเธอติดหนึบเลยทีเดียว

    "เธอถามอย่างกับว่าเราจะไปเดทกันเลยนะ" พี่ลอเรียลหลุดขำ ก่อนเอ่ยประโยคจริงจังต่อมาด้วยสีหน้าเหมือนเดิมเป๊ะๆ "แต่ฉันว่าฉันคงไม่ต้องตอบอะไรแบบนั้นหรอกในเมื่อเราก็ไม่ได้จะรู้จักกันนานขนาดนั้นนี่"

    "อ่า...ลืมไปเลยค่ะ" หัวใจฉันเจ็บจนรู้สึกได้ชัดเจน

    ครั้งแรกเลยนะ ที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้

    ผิดหวังจัง

    "เรื่องฉันก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ" ฉันไม่สบตาเธอระหว่างที่เล่า "ฉันมีพี่ชายกับพี่สาวอย่างล่ะคน ทุกคนก็แค่โอ๋ฉันมากๆจนบางครั้งก็รู้สึกอึดอัด ฉันพยายามหลีกเลี่ยงที่บ้านโดยการไปเรียนที่ไกลๆ แต่ปัญหาสุขภาพรั้งฉันให้ไปได้ไม่ไกลเท่าที่ต้องการ เพราะถ้าไม่มีครอบครัวก็จะไม่มีใครดูแลฉัน"

    "..." เสียงรอบข้างช่างเงียบงัน เธอคงตั้งใจฟังมากเกินไปจนไม่เกิดเสียงอะไรเลย

    "ฉันมีเงิน แต่ฉันไม่ต้องการจ้างใครมาดูแล ฉันไม่ไว้ใจคนอื่น"

    มีเสียงขยับเล็กน้อย รู้ตัวอีกทีอ้อมกอดอบอุ่นของพี่ลอเรียลก็ปลอบโยนให้ภายในฉันที่กำลังสั่นคลอนสงบลงอย่างง่ายดาย

    "ไม่ต้องคิดมากนะ ฉันจะดูแลเธอเอง" เธอกระซิบแล้วบีบรัดอ้อมกอดให้แน่นขึ้น "แต่คงได้แค่ในวันพรุ่งนี้นะ"

    "ค่ะ" ฉันตอบรับ ภายในใจยังคงคิดว่า 'เป็นคำตอบที่น่าผิดหวังจริงๆ' อยู่เลย...

    "ตอนนี้ดึกแล้ว ฉันควรกลับบ้านได้แล้ว" พี่ลอเรียลผละออก ความอบอุ่นอ่อนโยนหายไป ฉันมองตามแล้วพบว่าเธอหันไปหยิบกระโปรงตัวสั้นของตัวเองมาถือไว้แล้วลุกขึ้นยืน

    หมับ!

    ฉันคิดอะไรอยู่ในหัวไม่รู้ถึงเอื้อมไปจับมือข้างนั้นไว้แล้วฉวยกระโปรงของเธอมา

    "เธอ..." พี่ลอเรียลชะงักไปเลย

    "คืนนี้ไม่ไปได้มั้ยคะ" ฉันถาม ขยุ้มกระโปรงที่ร้อนผ่าวของเธอไว้ในกำมือ






    - Lauriel Jensen -
    Cast By Amber Heard


    - Ilumia Joshville -
    Cast By Anna Speckhart


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×