คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : Black N Blue❖The destroyer 'six warlords' 3
คำเตือน :: บางช่วงบางตอนมีความรุนแรง เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของตัวเกมแต่อย่างใด ฉากที่มีเนื้อหาเรท R จะไม่อัพลงเด็กดี โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน |
EPISODE03
Alternative Universe 04❖The destroyer 'six warlords'
"อย่าร้องไห้..." น้ำเสียงนางราบเรียบ ทว่าไม่มั่นคง "อย่าทำให้ข้าต้องรู้สึกว่าอยากจะฆ่าลินดิสทิ้งเพราะเจ้าร้องไห้ เซฟีร่า"
จิตสังหารที่แรงกล้าพุ่งไปทั่วทุกทิศ มีเพียงราชินีวีร่าเพียงคนเดียวที่ปรบมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเวเรสมิชอบให้ผู้ใดไปยุ่มย่ามกับการตัดสินใจของนาง" นางกล่าว นัยน์ตาดูซุกซนขึ้น "ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ติดใจสงสัยในเรื่องใดอีกลำดับที่หนึ่งของข้า เอาล่ะ ทาร่า ทำไมเจ้าไม่ก้าวมาข้างหน้าแล้วแนะนำตัวเป็นรายถัดไปล่ะ"
เซฟีร่ายังถูกโอบกอดโดยเวเรส และนางไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยเลย เธอเลยเอี้ยวใบหน้าไปมองหญิงสาวร่างสูงคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า แทนที่ลินดิสที่หลบไปอย่างหัวเสีย
"ข้ามีนามว่าทาร่า ขุนพลลำดับที่สองแห่งราชินีวีร่า" นางโค้งให้เธออย่างสุภาพ เส้นผมสีเขียวแก่ของนางสยายอย่างไม่มีทรง นัยน์ตาสีแดงโลหิตเจิดจ้าเป็นประกายเมื่อมันมองตรงมาที่เธอ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มทะเล้นที่สามารถทำให้เห็นเขี้ยวของนางได้อย่างชัดเจน
ทาร่าคนนี้เป็นปีศาจ และเผ่าพันธุ์ของนางคือแวมไพร์อย่างเห็นได้ชัด
เซฟีร่าไม่เคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์แวมไพร์มาก่อนเลย พวกมันไม่เคยเข้าร่วมสงคราม ทว่าตอนนี้หนึ่งในขุนพลกลับมีผู้นำระดับสูงเป็นแวมไพร์เสียอย่างนั้น
"ข้ามีนามว่ามีน่า ขุนพลลำดับที่สามแห่งราชินีวีร่า แต่ข้าคิดว่าเจ้ารู้จักข้าแล้ว สาวน้อย" มีน่ามีลักยิ้มที่เจือจางบนแก้มตอนที่นางยิ้ม
คราวนี้เป็นหญิงสาวผมขาวที่ก้าวเข้ามาข้างหน้า นัยน์ตาสีทองที่ลึกลับของนางสำรวจเธอ ก่อนที่นางจะโค้งให้อย่างสุภาพ แต่ทว่าสายตาของเซฟีร่ายังจ้องเข้าไปในดวงตาที่ดูน่าหลงใหลและล้ำค่าของนาง
"ข้ามีนามว่าลิเลียน่า ขุนพลลำดับที่ห้าแห่งราชินีวีร่า" นางแนะนำตัวอย่างที่คนอื่นทำ
คนที่คุ้นเคยที่สุดในเหล่าขุนพลก้าวมาข้างหน้าแล้วโค้งให้กับเธอ ริมฝีปากบัตเตอร์ฟลายเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ทว่ารอยยิ้มกลับไม่ปรากฏในดวงตาคู่นั้น
"ข้ามีนามว่าบัตเตอร์ฟลาย ขุนพลลำดับที่หกแห่งราชินีวีร่า" นางกล่าว
เซฟีร่าเก็บข้อมูลของคนเหล่านี้ไว้ในหัว ในภายภาคหน้าอาจจะได้ใช้มันก็ได้ แต่เพราะยังติดใจในดวงตาสีทองของลิเลียน่า เธอมองแผ่นหลังของนางที่เดินกลับไปยืนเป็นแถวตรงกับขุนพลที่เหลือ
"เลิกมองได้แล้ว" ปีกของเวเรสสัมผัสผิวของเธอ มันนุ่มนวลมาก "พวกมันไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าข้าหรอก"
เซฟีร่าเผยยิ้ม เธอพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากเห็นแล้วว่าเวเรสกำลังหลงเสน่ห์เธอ
เมื่อหลงแล้ว...มีเหรอจะปล่อยไป
เธอจุมพิตลงบนแก้มของขุนพลลำดับที่สี่โดยจงใจให้ทั้งราชินีวีร่าและขุนพลคนอื่นเห็น เธอแสดงให้พวกนางเห็นว่าตอนนี้เธอสามารถควบคุมเวเรสได้ ไม่มากก็น้อย
การมีอิทธิพลในตัวขุนพลแม้เพียงคนเดียว มันมากพอจะสั่นสะเทือนทุกอย่างที่เคยมั่นคงได้แล้ว
"ว่าแต่เจ้ามีปีกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" เซฟีร่าแสร้งสงสัย ขมวดคิ้วมุ่นขณะวางมือบนไหล่นางไปด้วย
"ตอนข้าไปพาตัวเจ้าออกมา เจ้าคิดว่าข้าแค่เดินออกมาจากตึกสภาเวทมนตร์หรือไง"
เคยไหมนะที่เวเรสจะตอบคำถามเธอโดยไม่พูดจาประชดประชันก่อน
เซฟีร่าจะใช้ฐานะภรรยาจอมปลอมนี่สั่งสอนมารยาทให้เวเรสซะใหม่ คอยดูเถอะ
"นางเป็นซัคคิวบัส มีปีกถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร" เป็นราชินีวีร่าที่ตอบคำถามแทนลูกสาว นางดูมีเรื่องคุยกับเธอเยอะเลยทีเดียว "ข้าก็มีปีก แต่ไม่เหมือนของนาง ข้าเป็นซัคคิวบัสเต็มตัวแต่เวเรสลูกข้าเป็นลูกครึ่งเทพด้วยเช่นกัน"
"ลูกครึ่งซัคคิวบัสกับเทพงั้นหรือ?" เซฟีร่าหันมองเวเรสที่กรอกสายตาแล้วหุบปีกของตัวเองลง
"ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องบอกเซฟีร่าเสียหมดก็ได้ว่าข้าเป็นตัวอะไร" นางบ่นแล้วคว้าข้อมือเธอไว้ "เราจะกลับแล้ว เวลาในดินแดนปีศาจช้ากว่าโลกข้างนอกมาก ร่างกายเซฟีร่าต้องการการพักผ่อนแล้ว"
"เหตุใดเจ้าไม่ให้เซฟีร่านอนที่นี่เล่า" ราชินีวีร่าถามอย่างคาดหวัง
เซฟีร่ารีบส่งสายตาไปหาเวเรสว่ายังไงเธอก็ไม่นอนที่นี่แน่ๆ และดูเหมือนคนรักจอมปลอมของเธอก็เข้าใจมัน นางส่ายศีรษะให้ท่านแม่ของตัวเอง
"เซฟีร่าชอบคฤหาสน์ของข้ามากกว่า"
"แล้วพระราชวังไม่ดีตรงไหนเล่า"
"ไม่มีความเป็นส่วนตัว"
"เจ้ามีอาณาเขตอยู่ปีกซ้ายทั้งหมดของพระราชวัง ไม่เคยมีผู้ใดได้รุกล้ำเข้าไปรบกวนเจ้ามาก่อน ข้าคิดว่าแค่นั้นก็ส่วนตัวพอแล้ว ลูกแม่"
ห้าขุนพลที่เหลือยืนนิ่ง รับฟังการสนทนาของแม่ลูกราวกับเคยฟังมันมานับร้อยๆ ครั้ง ส่วนเซฟีร่าไม่ชินเท่าคนอื่น ความไม่ยอมใครของสองแม่ลูกอาจจะถ่ายทอดส่งต่อกันมาทางสายเลือดได้ดีเกินไป
"ท่านแม่ไม่ทราบหรือไงว่าทาร่าแอบเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของข้าบ่อยแค่ไหน" เวเรสกอดอก เจาะจงไปถึงขุนพลลำดับที่สอง
"อย่าเอาข้าเข้าไปเกี่ยว" ทาร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรพร้อมรอยยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ขุนพลพวกนี้มีแต่คนแปลกๆ หรือไงนะ เวเรสเคยบอกว่ามีบางคนในนี้เป็นมนุษย์ ทว่าเธอไม่เห็นสักคนที่มีกลิ่นอายหรือมีท่าทางเหมือนมนุษย์
"ข้าไม่เถียงกับท่านแล้วท่านแม่ ข้ากับเซฟีร่าจะมาเยี่ยมใหม่วันหลังเพคะ" เวเรสกล่าวตัดบท เดินไปหอมแก้มทั้งสองข้างของราชินีวีร่าแล้วกล่าวลา เซฟีร่าเพียงแค่ยิ้มรับตอนเดินออกมาพร้อมกับนาง
"ขุนพลคนอื่นเกลียดชังข้าหรือ" เธอสงสัยมาก เหตุใดลินดิสถึงมีท่าทางแบบนั้นกับเธอ หากมันเป็นเพราะเธอคือศัตรู นางควรมีท่าทางแบบนั้นตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว
"นางไม่ได้เกลียดชังเจ้า หากพูดถึงความเกลียดชัง...ต้นเหตุคงไม่พ้นตัวข้าเสียมากกว่า"
ขุนพลลำดับที่สี่เสียงฟังดูไม่ดีนัก เธอไม่ทราบว่านางคิดอะไรอยู่ในหัว
"เวเรส เจ้าคิดอะไรอยู่ตอนนี้"
"ข้าต่างหากต้องถามว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ตอนนี้ เซฟีร่า" นัยน์ตาที่แฝงแววมาดร้ายหันมามองเธอ "ข้าเก็บความสงสัยนี้ไว้ทั้งวันว่าเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป เพราะข้าทราบว่าเจ้าได้ยินเรื่องที่บัตเตอร์ฟลายพูดเรื่องการนำทัพไปบุกพวกมนุษย์ และตอนนี้เจ้าทราบแล้วว่าลินดิสแฝงตัวอยู่ในหมู่สหายเจ้า"
"..." ความตึงเครียดเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เซฟีร่าชะงักปลายนิ้วที่กำลังจะแตะต้องเวเรสแล้วปล่อยให้มันตกลงข้างกาย
"เจ้าคิดจะหนีไป ยังไงเจ้าก็จะหนีไป" เวเรสพึมพำ นัยน์ตาสีดำสนิทของนางไร้แววชีวิต
"เช่นนั้น..." เธอรวบรวมทุกความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อจะพูดประโยคนี้ "ปล่อยข้าไป"
เราเดินมาถึงหน้าประตูเขตแดนพอดี ปฏิกิริยาตอบรับของนางไม่ดีนัก นางเดินจ้ำอ้าวโดยไม่เหลียวหลังมามอง ไม่ปล่อยให้เธอได้เดินเคียงข้าง ความห่างเหินที่เกิดขึ้นกะทันหันสร้างความโหว่งในใจเซฟีร่า ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับเธอครั้งนึงตอนที่ยังเด็กมาก แต่เธอไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะเกิดขึ้นมาอีกเพราะมีนางเป็นสาเหตุ
ระหว่างทางเธอได้ยินเสียงสัตว์อสูรในระยะประชิดบ้าง แต่ไม่เห็นในสายตาเลยสักตัว
เดาว่าทางเดินไปสู่ดินแดนปีศาจนี้เป็นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์และมีเวทมนตร์ป้องกันไว้
เซฟีร่าตามเวเรสเข้าไปในคฤหาสน์
"ดึกมากแล้ว เจ้าไปนอนเถอะ" เวเรสนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก เธอเดินตามมาเพื่อจะคุยกับนางให้รู้เรื่อง
แม่บ้านของที่นี่ เมื่อเห็นเวเรสกลับมาก็รีบหยิบถังน้ำแข็งที่มีไวน์แช่อยู่ภายในมาให้ทันที
แก้วเพียงใบเดียวทำให้เซฟีร่าทราบว่าเธอไม่ถูกรับเชิญ
"เจ้าคิดว่าจะหลีกเลี่ยงข้าไปได้ทั้งวันหรือไง" เซฟีร่าเริ่มไม่พอใจที่เวเรสเมินเธอโดยสิ้นเชิง เธอกำลังไปใกล้นางแต่พบว่าเดินชนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
เธอขมวดคิ้ว ม่านพลัง?
"เวเรส" เธอทุบม่านพลังที่มองไม่เห็นอย่างแรงจนเจ็บมือ แต่ไม่ยักเวเรสจะสนใจเธอ "เวเรส!"
ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้ในที่สุดเซฟีร่าก็เบือนหน้าหนีแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น รู้สึกได้ถึงสายตาของนางที่มองตามหลังมา
ตอนที่เธออยู่นางไม่เหลียวแล พอเดินออกมากลับหันมามอง
เธอกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ถอดเสื้อผ้าที่เกะกะออกเนื่องจากชุดมันไม่สะดวกสบายหากใส่นอน สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วเริ่มคิดถึงสถานการณ์ฝั่งพันธมิตร
ทว่า...ภาพพวกเขาเลือนลางเมื่อเหตุการณ์ที่เวเรสกระทำกับเธอแทรกผ่านเข้ามา
"ข้าเกลียดเจ้า" เธอพึมพำด้วยความน้อยใจ
เซฟีร่าหลับไปทั้งๆ ที่จมอยู่กับความรู้สึกหม่นหมอง ไม่นานนักก็มีสาเหตุของความทุกข์ระทมก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง
เวเรสมองคนรักในนามที่ผล็อยหลับไปแล้วอย่างโล่งอก เธอไม่พร้อมที่จะตอบอะไรในตอนนี้ เพราะว่าเธอน้อยใจที่เซฟีร่าทำเหมือนว่าการปกป้องของเธอไร้ค่า นางแสดงให้เห็นว่าการอยู่กับเธอไม่ใช่เรื่องดี สิ่งที่ลินดิสพูดคือความจริงทั้งหมดที่ว่าหัวใจของนางยังรักใคร่อยู่กับศัตรูเรา
การมีตัวตนอยู่ของเธอในชีวิตเซฟีร่าไม่ได้เปลี่ยนความหมายอะไร มันไม่มีความหมายอะไรเลย
เวเรสคิดว่าเธอจะปล่อยนางไป
"ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากเจ้ายืนยันว่าอยากไปจนตัวสั่นขนาดนั้น" น้ำเสียงเธอเย็นชายามที่เปล่งมันออกไปจากลำคอ
"เหรอ" ทว่าคนที่เธอคิดว่าหลับไปแล้วนั้น...นางลืมตาขึ้นแล้วตอบกลับมา "หลังไม่พูดกับข้ามาสองชั่วโมงเต็ม นี่คือสิ่งที่เจ้าตัดสินใจใช่หรือไม่"
"นี่คือสิ่งที่สมองข้าตัดสินใจ" ไม่ใช่หัวใจ...
หัวใจที่เจ็บปวดขนาดนี้จะไปตัดสินใจเรื่องอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน?
"แล้วหัวใจเจ้าอยากให้ข้าอยู่หรือไป"
"ไม่ว่าข้าจักตอบว่าอันใด เจ้าก็จะจากไปอยู่ดี" เวเรสแค่นยิ้ม เธอหันหลังเมื่อเซฟีร่าลุกขึ้นนั่ง กายของนางเปลือยเปล่า ผิวน้ำนมขาวนวลเนียลภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่าง
"อย่าเย็นชานักเลย" วินาทีที่เสียงแหบพร่าเปล่งออกมา เธอรู้สึกได้ถึงความแตกสลาย... "คืนนี้เจ้านอนกับข้าได้"
เธอชะงักแล้วยืนนิ่งอยู่สักพัก
เวเรสมักเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็ว รุนแรง และตามใจตัวเองอยู่เสมอ เพราะแบบนั้น...เธอหันกลับไปแล้วคว้าเซฟีร่าเข้ามากอด ความนุ่มนิ่มที่น่าถนุถนอมมาพร้อมกับกลิ่นตัวหอมเมื่อเธอฝังจมูกลงไปตรงคอของนาง หลบซ่อนจากสายตาที่เศร้าสร้อย
เธอไม่อยากเห็นแววตาของนาง เหมือนกับที่นางเองก็คงไม่อยากเห็นสิ่งที่สะท้อนในแววตาของเธอเช่นเดียวกัน
คืนนั้นเราสองคนหลับไปโดยที่ไม่รู้ว่าวันต่อมา...บางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือการควบคุมจะพรากเราออกจากกัน
"เซฟีร่า รีบตื่นเร็วเข้า" เสียงกระวนกระวายที่คุ้นเคยทำให้เซฟีร่าสะดุ้งตื่นจากความฝัน เธอหันมองไปรอบๆ ก่อนสังเกตเห็นดาร์ซี่ที่ข้างเตียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มีสีหน้ากังวล เขากุมมือเธอไว้ทั้งสองข้างโดยที่ในห้องนี้ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่
เวเรสไม่อยู่ในห้อง เธอหันไปมองดาร์ซี่อย่างเป็นกังวล
"เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ยังดีที่เวเรสไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นข้าคิดสภาพไม่ออกเลยว่าเจ้าจะ..."
"ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก รีบไปกันก่อน เร็วเข้า!" ชายหนุ่มแห่งสภาเวทมนตร์รีบเร่งมาก เซฟีร่าตกใจเพราะคิดว่าตัวเองยังเปลือยเปล่าอยู่ ทว่าเมื่อสัมผัสดูดีๆ พบว่าเธอใส่เสื้อผ้าอยู่ คนที่ทำแบบนี้ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้นคือเวเรส
เธอรีบลุก พยายามไม่คิดกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนี้
ดาร์ซี่มีพลังเวทมิติ เขาสามารถพาเรากลับไปยังสภาเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็ว
เซฟีร่ามีคำถามมากมายในหัว
เขามาได้ยังไง เหตุใดเขาถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่?
"ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมายในใจ" ดาร์ซี่กระชับมือเธอไว้ สีหน้าเขาเคร่งเครียด "แต่ข้าจักอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เจ้าทราบหลังจากเราปลอดภัยแล้ว"
เซฟีร่าตกลง
ในที่สุดเธอก็ได้กลับมายังตึกสภาเวทมนตร์ บรรยากาศเดิมๆ ถาโถมเข้าใส่ ทว่า...ครั้งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศเป็นห่วง ตื้นตันใจ และโล่งอกเสียมากกว่า
หมับ!
เซฟีร่าชะงักเมื่อเธอถูกกอดเข้าเต็มรัก และคนที่โผเข้ามากอดนั้นคือหญิงสาวผมบลอนด์ผู้มีน้ำตานองอยู่บนใบหน้า
"ลอเรียล ข้ากลับมาแล้ว" เธอฝืนยิ้มแล้วลูบหัวเด็กสาวไปพลาง
"พวกเราคิดว่าพวกเราจักเสียท่านไปเสียแล้ว" ลอเรียลเงยหน้าขึ้นมองจากมุมที่ต่ำกว่าอย่างน่าเอ็นดู
หากเป็นเซฟีร่าคนเก่า เซฟีร่าก่อนเจอเวเรส...เธอคงไม่ปฏิเสธสถานการณ์แบบนี้กับลอเรียล
"ที่นี่คือ...บ้านของข้า ข้าไม่ไปไหนหรอก" เซฟีร่ากระดากปากกับคำว่าบ้านเป็นครั้งแรก เธอมองไปรอบๆ พบว่านอกจากลอเรียลแล้วในห้องประชุมนี้ยังมีผู้นำทุกคนนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
อิลูเมียไม่ได้มองและไม่ได้สบตาเธอ นางนั่งกอดอกแล้วจ้องเขม็งไปยังโต๊ะประชุมราวกับกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ในหัว
อันนามีสีหน้าอธิบายยากในขณะที่มองเธอกับลอเรียลไปด้วย
แอสทริดกับไอรินั่งอยู่ใกล้กัน มีสีหน้ากังวลใจ
นี่ยังไม่นับอีกหลายคนที่มีท่าทางเป็นห่วงเป็นใยและเป็นกังวลต่ออนาคตฝ่ายพันธมิตรในสนามรบอย่างชัดเจน
เซฟีร่าสูดลมหายใจลึก ดึงสติเข้ามาอยู่กับตัว และเธอจะไม่หวนคิดไปถึงเวเรสอีก
"เจ้าอธิบายให้ข้าฟังได้หรือยังว่าเหตุใดตัวเจ้าถึงไปลักพาตัวข้าคืนมาได้ ดาร์ซี่" เมื่ออยู่ตอนหน้าคนอื่นๆ และไม่มีอารมณ์จะแสร้งเป็นคู่รักกับเขาตอนนี้ เธอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดูเหมือนว่าจะติดเชื้อมาจากเวเรสเสียเยอะเลย
"มีผู้หญิงผมสีน้ำเงินมาหาข้า..." เขาเริ่มเกริ่น
"เหตุใดเจ้าถึงทำสีหน้าเหมือนอยากจะฆ่าคนทั้งโลกเช่นนั้นเล่า เวเรส" ลิเลียน่าถามอย่างเฉยชา นางยกชาผสมยาพิษขึ้นจิบอย่างสบายใจ กลิ่นหอมหวลของมันไม่ได้ทำให้อารมณ์ของคนถูกถามดีขึ้นเลย
ปัก!
เวเรสเหวี่ยงมีดในมือไปยังเป้าลูกดอกอย่างอารมณ์เสีย มันปักตรึงลงตรงกลางพอดี
"เซฟีร่าหายไป"
"หายหรือ นางอาจหนีเตลิดไปแล้วก็เป็นได้" ลิเลียน่าออกความเห็นแบบไม่ได้ใช้สมองคิด คงไม่ได้ใส่ใจเลยว่าเซฟีร่าหายไปแล้วมันมีความสำคัญยังไง
"คฤหาสน์ของข้ามีม่านพลัง และม่านพลังนั้นคนนอกไม่สามารถมองทะลุเข้ามาได้ นอกเสียจากว่ามีเวทมนตร์เฉพาะที่สามารถใช้แก้ม่านพลังอันนั้น และนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงพลังเวทบางชนิดในจุดที่หายไปเท่านั้น" เวเรสกล่าว
ขุนพลท่านอื่นยังคงดื่มด่ำกับน้ำชาอย่างเงียบสงบ
ลินดิสนั่งอยู่เคียงข้างลิเลียน่า ผมสีขาวของทั้งสองเจิดจ้าและสว่างไปทั้งห้อง
ทาร่ากำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา ส่วนใกล้ๆ กันมีมีน่าที่กำลังเล่นเปียโน เป็นทำนองเสนาะหู ทว่าน่ารำคาญสิ้นดี
ส่วนบัตเตอร์ฟลายนั้นยืนอยู่ริมหน้าต่างและมองออกไปข้างนอกอย่างที่นางชอบทำ
"แสดงว่า...มีคนทรยศในหมู่เรา" ลินดิสเอ่ยปากอย่างเรียบง่าย ทว่าประโยคนั้นทำให้การกระทำของคนทั้งห้องหยุดชะงักลง การสั่นสะเทือนทางจิตวิทยาเกิดขึ้นในใจของทุกคนที่นี่
และใช่...ยกเว้นทาร่าที่กำลังหลับสนิท
"มีใครบางคนที่นี่เอาเรื่องม่านพลังและวิธีแก้มันไปให้ศัตรูเรา ไม่มีทางที่เซฟีร่าจะหนีออกไปจากตรงนั้นด้วยตัวนางเองได้ โดยเฉพาะตอนนี้ในเมื่อนางมีความรู้สึกดีๆ กับเวเรสของพวกเราอยู่" การพูดจาของลินดิสในบางครั้งช่างฟังดูโอหัง ทว่าเพราะครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่เธออยากจะฟัง เธอเลยยอมปล่อยผ่าน
"ใจเย็นก่อน" มีน่าวางมือบนไหล่ของเธอ ราวกับนางทราบว่าเธอกำลังอดกลั้นอารมณ์โมโห
"หากเจ้าอยากไปทวงเซฟีร่าคืน วันรุ่งขึ้นเจ้าจักนำทัพไปกับข้าก็ได้" บัตเตอร์ฟลายเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้านางเคร่งเครียด "แต่หากได้เซฟีร่าคืน...เจ้าจะกลับมา ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการรบของข้าอีก"
"ได้" เวเรสกำหมัดแน่น "ข้าจะไป"
เธอคิดว่าตัวเองจะยอมปล่อยเซฟีร่าไปแล้ว
คิดว่าตัวเองสามารถกลับมาใช้ชีวิตเดิมที่ไม่มีนางได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะนำนางกลับมา กลับมาอยู่ในที่ที่นางควรอยู่ กลับมาใช้ชีวิตที่ปลอดภัยภายใต้ปีกของเธอ
นอกสายตาของเวเรส บัตเตอร์ฟลายหันกลับไปมองวิวยามค่ำคืนจากคฤหาสน์พระราชวังของราชินีวีร่าอย่างสบายใจพร้อมกับยิ้มมุมปาก ภายใต้แสงจันทร์และความมืดนี้ เส้นผมสีน้ำเงินของนางกลมกลืนไปอย่างแยบยล
"ใครก็ได้บอกข้าทีว่านี่มันกี่โมงโลกมนุษย์แล้ว" ใครจะรู้ว่าท่ามกลางความตึงเครียด ทาร่ากลับตื่นแล้วยันตัวลุกขึ้นเหมือนคนเมาเสียอย่างนั้น
"สี่โมงเย็น" ลินดิสที่แม่นเวลาในโลกมนุษย์มากกว่าขุนพลคนอื่นเป็นคนตอบ
"ทำไม เจ้าจะไปไหน" เวเรสที่ตกอยู่ในความระแวงมิตรสหายถามออกไปทันควัน ทาร่าหยุดชะงักที่หน้าประตูแล้วโคลงหัวไปมาอย่างมึนงง
"ข้าต้องรายงานเจ้าด้วยเหรอ?"
ทาร่าเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ลึกลับ ไปไหนมาไหนไม่เคยบอกใคร แต่ครั้งนี้มันทำให้เวเรสไม่พอใจ
"แค่ตอบมาก็พอ" เธอมองเข้าไปในดวงตาสีแดงโลหิต กำลังค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทว่าเธอไม่ได้หามันในตัวทาร่าเพียงคนเดียว
เธอกำลังดูปฏิกิริยาตอบรับจากขุนพลคนอื่นในคำตอบของขุนพลลำดับที่สอง
คนพวกนี้มักมากและหยิ่งทะนงตนสูง เพราะฉะนั้นมันจะมี...ท่าทางบางอย่างที่สามารถสื่อถึงความคิดในใจที่ออกมาทางกระทำโดยไม่รู้ตัวได้
"หึ" ทาร่าส่งเสียงไม่พอใจออกมาหนึ่งคำ นางถอนหายใจอย่างลุ่มร้อนแล้วเผยรอยยิ้มที่เห็นลึกได้ถึงเขี้ยวที่แหลมคม "ข้าจะออกไปหาเลือดกิน พอใจหรือยัง"
เป็นที่รู้ๆ กันว่าขุนพลลำดับที่สองไม่ชอบเลือดปีศาจ นางชอบดื่มเลือดมนุษย์
เวเรสกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปทั่วห้องหนึ่งครั้ง...
ลินดิสจิบน้ำชาต่ออย่างไม่ใส่ใจบทสนทนา
ลิเลียน่าเองก็มัวแต่กินคุกกี้น้ำผึ้งที่นำมาเป็นของว่าง
เธอตัดสองคนนี้ออกจากผู้ต้องสงสัย
ส่วนมีน่าหันไปเล่นเปียโนต่อ จากมุมนี้เวเรสสังเกตเห็นได้แค่เสี้ยวหน้า รอยยิ้มเจือจางยามที่นางบรรเลงปลายนิ้วช่างดูอ่อนโยนเสียจริง
คนสุดท้ายคือบัตเตอร์ฟลาย เสี้ยวหน้าของนางมืดมิด ริมฝีปากเหยียดตรงไม่ยิ้มและไม่ผ่อนคลาย คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเล็กๆ
เวเรสสลักชื่อมีน่าและบัตเตอร์ฟลายลงในบัญชีผู้ต้องสงสัยของเธอแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำชาที่เย็นชืดขึ้นมาจากโต๊ะแล้วชิมรสชาติ ความขมปี๋ของมันทำให้เธอหันไปคว้าคุกกี้้น้ำผึ้งมาใส่ปากในทันที
ลิเลียน่ามองตามแล้วหันกลับไปอย่างไม่สนใจ
หลังใช้ความหวานละลายความขมได้ เวเรสอดคิดไม่ได้
น้ำชาผสมยาพิษชนิดพิเศษนี้เป็นสิ่งที่ลินดิสมักทำขึ้น ส่วนคุกกี้น้ำผึ้งเป็นของที่ลิเลียน่ามักเตรียมมากินคู่กับมัน
เวเรสศึกษาจุดอ่อนของพันธมิตร แต่ไม่เคยเข้าใจพื้นเพชีวิตของพวกมัน และเหมือนลินดิสกับลิเลียน่าจะสนิทกันมากกว่าใครในที่นี้
เพราะถ้าเป็นเธอ น้ำชาขมปี๋ทำลายประสาทการรับรสนี่...ต่อให้ต้องตายก็ไม่กินเด็ดขาด
ในช่วงบ่ายของวันถัดมา หลังได้นอนอย่างสงบสุขในห้องและใส่เสื้อผ้าที่เป็นของตนเอง เซฟีร่ารู้สึกชุ่มชื่นมากเป็นพิเศษ
"ลำดับการตั้งรับของพวกเรายังเหมือนเดิม ตรงนี้เป็นส่วนที่ดินแดนแห่งป่าป้องกันแนวหน้าของเรา ราชินีอันนา ครั้งนี้ท่านให้เกียรตินำทัพของเราเหมือนเดิมหรือไม่" ดาร์ชี่กล่าวถามอันนา สายตานับสิบในห้องประชุมหันไปมองราชินีแห่งป่า เมื่อนางพยักหน้าตกลง ดาร์ชี่จึงพูดถึงส่วนถัดไป นิ้วแกร่งชี้ไปยังส่วนถัดไปบนแผนที่ "ตรงนี้เป็นส่วนที่สภาเทมนตร์กับวิหารแห่งแสงคอยบุกโจมตี ส่วนพวกมนุษย์..."
"..."
"พวกเจ้าเป็นกองหนุน อยู่ตรงส่วนนี้ ไกลจากการรบหน่อย แต่ว่าอาวุธของพวกเจ้าใช้ยิงในระยะไกลได้ดีอยู่แล้ว"
แม้หลายคนในห้องอยากจะแย้งก็ทำไม่ได้ สงครามใกล้มาถึงแล้ว มันจะเป็นการสร้างความขัดแย้งโดยไม่จำเป็นเสียเปล่าๆ
การหาที่ให้มนุษย์ในสงครามบางครั้งก็ยาก พวกเราพยายามควบคุมความเสียหาย และชีวิตพวกมนุษย์ก็ถูกพรากไปได้ง่ายที่สุดในหมู่นี้
เซฟีร่าที่บอกให้ทุกคนทราบข้อมูลของเหล่าขุนพลไปแล้วไม่ได้มีหน้าที่อะไรมาก เธอต้องตั้งทัพรวมกับวิหารแห่งแสงและสภาเวทมนตร์อย่างที่ทำมาทุกศึกอยู่แล้ว
แต่เรื่องที่เธอไม่ได้เล่าคือ...ลินดิสแฝงตัวอยู่ในสภาสิบสองที่ชิดเชื้อกับราชินีอันนามาก และเธอยังทราบอีกว่าบัตเตอร์ฟลายเป็นคนเอาที่อยู่ของเธอขายให้แก่ดาร์ชี่
เขาบอกเธอว่า 'สตรีนางนั้นอยากได้ตัวเจ้าหนึ่งอาทิตย์เป็นการตอบแทนความช่วยเหลือ พวกเรารีบตกลงกันเกินไป ตอนนี้แม้ได้ตัวเจ้ามาแล้วแต่มันยังเสี่ยงที่จักส่งเจ้าให้นางไป'
ขุนพลลำดับที่หก...ท่านอยากได้ตัวข้ามากหรืออย่างไรกัน?
เซฟีร่าอดแค่นยิ้มไม่ได้ กับขุนพลคนอื่นที่ไม่ใช่เวเรส หากเธอไปอยู่ด้วย แม้เพียงหนึ่งวัน...ระยะอันสั้นไม่ได้การันตีว่าเธอจะมีร่างกายครบสามสิบสองและสุขภาพจิตที่ครบถ้วนทุกประการ
ขอหนึ่งอาทิตย์กับการเสพสมตัวเธอ มันมากเกินไปจริงๆ
บัตเตอร์ฟลายขอให้ส่งตัวเธอออกไปที่ที่หนึ่งในวันนี้เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน แต่เซฟีร่าคุยกับคนอื่นเรื่องนี้ไว้แล้ว เราเลยได้ข้อสรุปที่ลงตัวจากการเสนอตัวของคนคนนึง
คนคนนั้นถูกส่งตัวไปหาบัตเตอร์ฟลายแทนเธอ ในฐานะสปาย
ก่อนไป เซฟีร่าได้เตือนนางไว้แล้วว่าให้ระวังการเล่นแง่ของบัตเตอร์ฟลายไว้ เพราะขนาดเธอเองยังตามไม่ทัน หากไม่ได้เวเรสช่วยไว้เธอไม่น่ามายืนอยู่ตรงนี้ได้
หลังเสร็จสิ้นการประชุม ต่างคนต่างเตรียมกองกำลังเพื่อไปยังสนามรบ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายกิโล และใช่ สงครามมักเริ่มในตอนกลางคืน
"เซฟีร่า" เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นข้างหลัง เธอหันไปมอง
"ว่าไงเพคะ ราชินีวิหารแห่งแสง" เป็นอิลูเมีย
"เจ้ามั่นใจว่าอาการดีขึ้นมากพอจะออกรบแล้วหรือ" อิลูเมียยื่นมือนุ่มนิ่มออกมาแตะแขนเธอ ดวงตาเข้มอ่อนจางด้วยความกังวล เส้นผมสีบลอนด์ปรกหน้าเธอเมื่อนางโน้มลงมาใกล้ในมุมที่สูงกว่า
เซฟีร่ายิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็นไรหรอก"
"..."
"ไม่เป็นไรจริงๆ" เธอถือวิสาสะกุมมือนางไว้หลวมๆ
เพราะไม่ได้เล่าละเอียดถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เธอจึงตัดสินใจปกป้องเรื่องราวของเธอและเวเรสให้อยู่ในมุมมืดและห้ามใครขุดคุ้ย ตอนนั้นเธอบอกแก่พันธมิตรไปว่า 'โดนวางยาพิษ' เกือบจะตลอดเวลาที่อยู่ในคฤหาสน์ของศัตรู เลยมีคนกังวลไม่อยากให้เธอไปสนามรบหลายคน
อิลูเมียไม่ใช่คนถามมาก เซฟีร่าบีบมือนางอีกหนึ่งครั้งแล้วปล่อยให้นางไปทำธุระที่อื่น
ทีนี้ก็เหลือแต่เปลี่ยนชุด
เธอเดินกลับห้อง หยิบชุดที่ใส่สบายที่สุดกับหน้ากากทรงญี่ปุ่นที่มีคนไปจัดเตรียมมาให้ขึ้นมาถือไว้
เธอส่องตัวเองในกระจกอีกหนึ่งครั้ง
เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าภาพสะท้อนในนั้นเป็นเธอ
เป็นเธอ...ที่ตอนนี้คงเป็นคนอกหัก และเจ็บปวดกับความรักที่ไร้เยื่อใยอย่างสุดซึ้ง
เซฟีร่าหยิบน้ำยาย้อมผมฉับพลันที่ซื้อจากพ่อค้าในเมืองขึ้นมา เทน้ำยาที่มีน้อยนิดในขวดขนาดเล็กลงบนศีรษะแล้วตั้งสมาธิิคิดสีสีหนึ่งในใจ 'แดง'
สีผมของเธอเปลี่ยนไป...จากสีฟ้าสดใสกลับแซมด้วยสีแดงเลือดในหลายส่วน กลมกลืนกันจนเป็นสีผสม
สิ่งนี้ให้มันสะท้อนถึงเซฟีร่าและเวเรสผู้อยู่ร่วมกันได้ แม้ไม่ใช่เราทั้งคู่ในตอนนี้ก็ตาม
เซฟีร่าใส่หน้ากาก มองดวงตาที่สะท้อนกลับมาแล้วลงไปร่วมขบวนนักเวทที่กำลังเคลื่อนทัพออกจากเมือง ถือพิณที่ใช้เป็นอาวุธของตัวเองไว้ในมือ
ดาร์ซี่รออยู่ เราเข้าไปในรถม้าคันเดียวกัน นอกจากเราแล้วยังมีลอเรียลเดินทางไปด้วย
เธอคุยเล่นกับเด็กสาวทูตสวรรค์และไม่นานนางก็ผล็อยหลับสนิทไป
ความเงียบเข้าปกคลุม เธอหันมองริมทางแทนที่การมองหน้าดาร์ซี่
จากหางตา ใบหน้าคมเข้มแสดงออกถึงความลำบากใจบางอย่างออกมาเด่นชัด เขาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เก็บเงียบไว้อยู่หลายครั้ง
"เซฟีร่า" ในที่สุดเขาก็เอ่ยหลังผ่านมาอีกหลายนาที "เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงอยากจะเลิกเป็นคนรักของข้าแล้ว"
"ข้าไม่ได้รักเจ้า"
"อื้ม ว่าแล้วว่าเจ้าต้องตอบเช่นนั้น" ชายหนุ่มยิ้มรับแล้วเงียบไป เขามองออกริมทางคนละด้านกับเธอ เสี้ยวหน้าที่เจ็บปวดทำให้เธอตัดสินใจไม่มองอีก
เซฟีร่าเป็นผู้หญิงเห็นแก่ตัว เพราะเธอเคยลากเขามารับบทเป็นคนรักต่อหน้าคนอื่น เพื่อที่ลับหลังเธอจะได้มีความสุขกับคนอื่นได้เต็มที่
คือเธอเองที่นิสัยไม่ดี เป็นผู้หญิงร้ายกาจที่หักอกใครต่อใครไปตามๆ กัน
มือของเธอสั่น แต่เธอแอบซ่อนมันไว้ในมุมมืดของรถม้าคันนี้ มันเป็นทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรบางอย่างส่งผลต่อจิตใจมากๆ
แท้จริงแล้วเซฟีร่าไม่ได้กลัวความตายขนาดนั้น เธอกลัวการที่ต้องตายโดยที่รู้สึกโดดเดี่ยวต่างหาก
ทุกครั้งที่เข้าร่วมสงคราม นำทัพการรบ เธอไม่เคยกลัว
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นโดยใจที่สั่นไหว
เธอเคยตั้งคำถาม 'จะใช้ชีวิตยังไงต่อไปด้วยใจที่ไม่มั่นคงเมื่อไม่มีเวเรส' แต่ได้คำตอบว่าเมื่อก่อนเธอก็ไม่เคยมีนาง ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม เธอต้องอยู่ให้ได้
"เซฟีร่า ขอถามอีกคำถามนึงสิ"
"..."
"เจ้า...รักใครอยู่รึเปล่า"
เธอใช้มือขวากดทับอาการสั่นของมือซ้ายในขณะที่หลุบสายตาลงมองหน้าตัก
"ไม่ได้รักใครหรอก" สมองสั่งให้ตอบแบบนี้ "ไม่เคยรักใครเลย"
เธอตอบคำถามนี้ให้ดูเหมือนคนที่หัวใจไร้ความรู้สึกให้มากที่สุด
ตึง!
ฉับพลั้นนั้น รถม้าถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนล้มคว่ำ ทำให้รถม้าคันอื่นที่ตามหลังตกใจจนหยุดลง
"นั่นรถม้าของท่านดาร์ซี่กับท่านเซฟีร่านี่! คนที่อยู่ใกล้สุดไปดูอาการเร็วเข้า!!"
"นั่นมัน...!"
"แก แกเป็นใคร!!!"
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นใกล้ตัวเซฟีร่า ทว่าไม่มีความร้อนใดๆ ที่สัมผัสกับผิวของเธอเลย
"อื้อ..." เธอครางเพราะรู้สึกหนักหัว ตอนรถม้าล้มหัวน่าจะกระแทกกับอะไรบางอย่างแรงไป เมื่อลืมตาขึ้นได้ก็เห็นสถานการณ์เลวร้ายรอบข้าง
รถม้าของสภาเวทมนตร์ถูกคว่ำหมดแล้ว นักเวทคนอื่นกำลังรวมกลุ่มกันเพื่อสู้กับใครบางคนที่สวมชุดคลุมและหน้ากากปิดบังหน้าตา แต่ทว่า...ช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน
ดาร์ซี่นอนสลบอยู่ใกล้กับเธอ เขามีเลือดออกที่ศีรษะและหน้าท้องที่โดนเศษไม้เสียบทะลุไป เซฟีร่ายื่นมือออกไปแตะบาดแผลที่หน้าท้องแล้วรักษาให้เขาทันที
ตุบ!
เพราะวิงเวียนศีรษะ และใช้พลังเวทรักษาดาร์ซี่ไป เซฟีร่าร่างกายอ่อนแรงจนนอนฟุบลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง
ลอเรียลล่ะ ลอเรียลไปไหนแล้ว
เธอรีบกวาดสายตาที่หนักอึ้งเพื่อหาเด็กสาวทันที หากนางบาดเจ็บต้องรีบรักษาก่อน ไม่อย่างนั้นเราได้บาดหมางกับวิหารแห่งแสงจริงๆ แน่
แต่ทว่าไร้วี่แววของนาง
หรือว่า...
เธอจรดสายตาที่เลือนลางไปยังศัตรูที่โจมตีขบวนรถม้าจนมอดไหม้
เป็นจังหวะเดียวกับที่ศัตรูคนนั้นจัดการนักเวทที่เหลืออยู่จนหมด บ้างก็ตาย บ้างก็แค่สลบ แต่ส่วนใหญ่บาดเจ็บหนักด้วยกันทั้งสิ้น
มันเดินกลับมา...เดินเข้ามาใกล้เธอ...
มือเรียวถอดหน้ากากออก
"เวเรส" ชื่อของนางหลุดออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำตาไหลปริ่มที่ขอบตา
"คนที่พูดว่าไม่ได้รักข้า จู่ๆ มาเรียกชื่อข้าแบบมีเยื่อใย...ข้าควรคิดยังไง" นางกำข้อมือที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอไว้ ใบหน้าระเรื่อด้วยความโกรธ
เซฟีร่าเริ่มปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้
นางปลอมตัวเป็นลอเรียลและแฝงตัวอยู่ในรถม้าด้วย ทำไมเธอไม่เอะใจตั้งแต่แรกว่าลอเรียลตัวจริงจะมานั่งตรงนี้ทำไม ลอเรียลตัวจริงต้องโดนอิลูเมีย ทูเลน และซีเนียล บังคับให้นั่งกับขบวนวิหารแห่งแสง
ที่นางรู้จักลอเรียล ไม่แน่ว่าวันแรกที่ลักพาตัวเธอไป เป็นลอเรียลที่ทำให้นางบาดเจ็บ
"เวเรส" เธอใช้มือข้างที่ยังอิสระกำเสื้อคลุมของนางไว้ กำแน่นมากจนนางต้องโน้มตัวลงมาหาเธอ "อยู่กับข้า..."
อยู่กับเธอ
อย่าจากไปไหนอีก
เวเรสชะงัก แล้วตอบกลับสั้นๆ อย่างคาดเดาความรู้สึกไม่ได้
"อืม" คำตอบช่างคลุมเครือจริงๆ
"..."
"จะอยู่ก็ไป กลับบ้านกัน"
เวเรสดึงร่างของเธอขึ้นมากอดไว้ นางกางปีกทั้งสองข้างออกแล้วใช้มันพยุงน้ำหนักของเราสองคน
เซฟีร่าสลบเพราะอาการที่ศีรษะในที่สุด ภายใต้อ้อมกอดร้อนเร่าของเวเรส โดยที่เธอไม่ได้คิดคำนึงเลยว่าเธอทิ้งภาระที่หนักอึ้งขนาดไหนไว้ให้อดีตเพื่อนและพันธมิตรของเธอ
เวเรสไม่ได้ใช้พลังตัวเองทำลายอะไรมากขนาดนี้มาสักพักใหญ่แล้ว เธอหลุบสายตามองใบหน้าใสที่ดูซื่อทว่าร้ายกับใจของเซฟีร่าที่หลับอยู่ในอ้อมแขน อย่างน้อยก็ร้ายกับใจที่ตอนนี้ไม่เข้มแข็งแล้วของเธอ
ใจเธออ่อนแอ...หวั่นไหวง่าย แต่มันเป็นแค่กับนาง
ตอนนี้เธอกำลังบินผ่านสนามรบและเผลอสังเกตเห็นทัพอื่นของฝั่งศัตรูพอดี
วิหารแห่งแสง ดินแดนแห่งป่า พวกมนุษย์ พวกมันนี่เอง...
เป็นพวกมันนี่เองที่เซฟีร่าคอยปกป้องนักหนา
นัยน์ตาสีดำสนิทลุกโชนด้วยไฟแห่งนรก พลังที่ถ่ายทอดกันมาทางสายเลือดไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย เวเรสยื่นมือไปข้างหน้าแล้วร่ายเวทบางอย่างในใจ
กองทัพอันเดธจากนรกปรากฏตัวขึ้นดักทางรถม้าเหล่านั้น กองทัพโครงกระดูกนับพันที่เสียชีวิตไม่ได้
"ไปตาย" เธอกล่าวแล้วตรงกลับคฤหาสน์อย่างไม่ใส่ใจอีกต่อไป โดยที่เธอไม่ได้คำนึงเลยว่าการกระทำของเธอจะไปจุด 'สัญชาตญาณบ้าบิ่น' ของขุนพลคนที่หกเข้า
ความคิดเห็น