ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black N Blue (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #52 : Black N Blue❖The destroyer 'six warlords' 15

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 833
      142
      7 ก.พ. 63


    คำเตือน :: บางช่วงบางตอนมีความรุนแรง เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของตัวเกมแต่อย่างใด ฉากที่มีเนื้อหาเรท R จะไม่อัพลงเด็กดี โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


    Song :: Sam Tinnesz - Play With Fire feat. Yacht Money


    EPISODE15

    Alternative Universe 04The destroyer 'six warlords'


    บรรยากาศข้างนอกมืดราวกับพายุจะเข้า ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังเป็นระยะ รวมถึงฟ้าแลบด้วย สิ่งเหล่านั้นทำให้ไวโอเล็ตคิดว่าหลังลูกค้าคนสุดท้ายของร้านออกไปแล้ว เธอคงต้องปิดร้านกาแฟไปสำหรับวันนี้

    อีกอย่างคือเธอรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เหมือนจะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น

    เธอรอคอยอย่างเงียบสงบ จนกระทั่งคุณลุงที่อาศัยอยู่ระแวกนี้ลุกขึ้นยืนแล้วเอาเงินค่าเครื่องดื่มมาจ่ายก่อนเดินออกจากร้านไป มือรีบถอดผ้ากันเปื้อนทันทีก่อนเดินไปหน้าร้านเพื่อจะปิดประตู แล้วค่อยไปจัดการเรื่องล้างแก้วล้างจานเป็นส่วนถัดไป

    ใช่ ตอนที่ประตูยังถูกปิดไม่สุด เธอได้เห็นหญิงสาวคนนั้น...

    หญิงสาวที่มีร่างกายสูงเกือบร้อยแปดสิบ เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบเป็นหางม้า นัยน์ตาสีม่วงมืดทึบมองมาทางนี้ นางใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลธรรมดากับกางเกงแนบเนื้อสีเทา สวมทับด้วยเสื้อโค้ทหนังตัวยาว และกำลังเดินมาด้วยความเร็วเนิบนาบไม่เร่งรีบ

    นางไม่ควรมาอยู่ที่นี่

    ไวโอเล็ตตัวแข็งทื่อ ราวกับสมองและร่างกายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะเพราะทำตัวไม่ถูก ไม่นานนักคนคนนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ มือและนิ้วที่เรียวยาวทาบจับประตูไว้ ไม่ให้เธอดึงมันปิด

    "ไวโอเล็ต คาสเทลาโน่" นางกล่าวอย่างเย็นชา ราวกำลังยืนยันกับตัวเองว่าเจ้าของชื่อกับเธอคนนี้คือคนคนเดียวกัน

    "อาจารย์..." สิบปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน อะไรทำให้คนสารเลวคนนี้ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในชีวิตเธอกัน

    "ทรงผมเปลี่ยนไปนะ ไม่ไว้ผมสั้นแล้วเหรอ" มือใหญ่เอื้อมมาจับเส้นผมที่กลางหลังของเธอ ราวกับว่านางแค่อยากจะวัดความยาวของมันเท่านั้น แต่ไม่ใช่เลย เธอรู้ดีกว่านั้น การทำแบบนี้มันคล้ายกับว่ากำลังโอบกอดไม่ให้เธอหนีไปได้แบบกระทันหัน

    "ข้าเปลี่ยนทรงผมมาหลายปีแล้ว" ไวโอเล็ตยกมือขึ้นวางบนแขนของนางแล้วดันให้มันเลื่อนลง "ท่านมาทำอะไรที่นี่ มีน่า"

    "..." นางไม่ตอบ แค่ยิ้มๆ กับคำถามเท่านั้น

    "ท่านมีธุระอะไรกับข้ารึเปล่า" เธอถาม

    กลัวว่าคำตอบคือ 'ใช่' เพราะเธอได้รับการยืนยันมาจากราชินีแอสทริดและท่านทาร่าแล้วว่าหญิงสาวคนนี้คือขุนพลลำดับที่สาม คนที่ในอดีตเคยเป็นอาจารย์สอนดนตรีของเธอ

    "ใช่" นางกล่าว มือยกม้วนยาสูบกับไฟแช็คขึ้นมาแล้วจุดสูบ หลังพ่นควันสีขาวออกมาได้ก็กล่าวต่อ

    "..."

    "ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีธุระอยากจะคุยกับเจ้า ในที่ส่วนตัว หากเจ้าตอบมาด้วยดี...ข้ารับประกันความปลอดภัยให้ แต่หากไม่ สิ่งใดที่ตามมาแล้วแต่ข้าเห็นสมควร"

    คำกล่าวนั้นทำให้ไวโอเล็ตมีสีหน้าเคร่งเครียด หรือนางจะทราบเรื่องที่เธอคือหัวหน้าสายสืบข่าวกรองของราชินีแอสทริด

    "หากมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราคุยกันตรงนี้ได้ไหม" เธอขอ "ข้ายุ่งมาก เดี๋ยวต้องไปล้างแก้วล้างจานอีก"

    ทั้งหมดก็เพราะเธอยอมปล่อยให้อดีตอาจารย์คนนี้เข้าไปภายในไม่ได้ต่างหาก ในห้องทำงานของเธอมีเอกสารลับที่ราชินีแอสทริดส่งมาให้อยู่ และเธอเองก็ยังไม่ได้เช็กเลยว่ามันคืออะไรเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่งานบังหน้าของตัวเอง

    "ไม่ได้" น้ำเสียงนั้นเจือจุนไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจ "เปิดประตูให้ข้า ไวโอเล็ต"

    "ดะ...เดี๋ยว อาจารย์!" เธอเอ่ยตะกุกตะกักแล้วเบิกตากว้างเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงมหาศาลที่พยายามจะดึงประตูให้เปิดออก

    โครม!

    มีน่าเพียงแค่เบี่ยงตัวหลบนิดหน่อยเท่านั้น เมื่อประตูร้านที่หลุดเป็นแผ่นลงไปกองกับพื้น

    "อย่าเรียกแผ่นไม้นี่ว่าประตูเลยดีกว่า" นางเอ่ยอย่างดูแคลนแล้วเดินเข้ามาภายใน ไวโอเล็ตรีบเดินเร็วไปดักไม่ให้นางเดินเข้าไปลึกกว่านั้น

    "มีน่า ท่านจะเดินเข้ามาในร้านของข้าง่ายๆ แบบนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้" เธอใช้มือดันไหล่นางไว้ และเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางในช่วงที่ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีได้ชัดเต็มสายตา

    มีน่าในตอนนั้นเป็นวัยรุ่นวัยสิบเจ็ดปีที่นิสัยโผงผางมาก แต่กลับกันก็นุ่มนวลในตัวเองด้วย ทว่าตอนนี้เธอเห็นแต่ความแข็งกร้าวในสายตาคู่นั้น โครงหน้านางคมและชัดขึ้น ผิวดูแทนขึ้นหน่อย เธอไม่อาจสรรหาคำเปรียบเทียบมาใช้ระหว่างมีน่าในสองช่วงอายุได้

    นางสมบูรณ์แบบเสมอในแต่ละช่วงอายุของตัวเอง

    "ข้าไม่ชอบฟังคำปฏิเสธ เจ้าก็รู้" นางดูเอาแต่ใจขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

    ไวโอเล็ตเม้มริมฝีปากแล้วหลีกทางให้นาง อย่างน้อยเธอก็ล็อคห้องทำงานตัวเองไว้ตลอด สิ่งที่ต้องทำก็คือให้นางเข้าใจว่าห้องห้องนั้นเป็นแค่ห้องเก็บของธรรมดาไปซะ

    "ทำไมถึงมาเปิดร้านน้ำชาอยู่แถวนี้" มีน่ากล่าวถาม นางเดินลึกเข้าไปหลังร้านโดยมีเธอเดินตามติดๆ "เมืองสเวนทาวน์ไม่เหมือนกับที่ที่เจ้าจะมาลงหลักปักฐานเลย หรือมีเหตุผลอื่น"

    ลักษณะการพูดของนางราบเรียบไม่แฝงสิ่งใดไว้ แต่เธอสัมผัสได้ถึงจุดประสงค์ลึกๆ

    "ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ ไม่แปลกอะไรที่ข้าอยากลองมาลงหลักปักฐาน แถมแถวนี้ก็รายล้อมไปด้วยป่าไม้ อากาศย่อมดีมากอยู่แล้ว" เธออธิบายแก้ต่างให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่จริงนั้นเธอเป็นหัวหน้าหน่วยใหญ่ และจงใจขอราชินีแอสทริดมาประจำการอยู่เมืองทางใต้เอง

    สเวนทาวน์เป็นหัวเมืองใหญ่ทางทิศใต้ โอทิสเป็นหัวเมืองใหญ่ทางทิศเหนือ โรเดอร์เซียร์เป็นหัวเมืองใหญ่ทางทิศตะวันออก ส่วนหัวเมืองใหญ่ทางทิศตะวันตกคือไพธอน

    นานมาแล้วทางสภาวิหารแห่งแสงได้ตัดสินว่าตามหัวเมืองใหญ่ทางทิศต่างๆ จะต้องมีขุนพล อย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนแฝงตัวหลบซ่อนอยู่แน่ ฐานประจำการของหน่วยลับเลยกระจัดกระจายกันไปหลายแห่ง และมันก็ไม่ผิดนักเพราะเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เราเพิ่งค้นเจอคฤหาสน์ของขุนพลลำดับที่หกไป ณ เมืองแห่งนี้ แต่เสียดายที่เราไม่สามารถจับนางเอาไว้ได้นานนัก

    หัวเมืองต่างๆ ขึ้นชื่อเรื่องสภาพอากาศที่แตกต่างกัน สเวนทาวน์จะติดธรรมชาติ พวกป่าไม้ โอทิสขึ้นชื่อเรื่องอากาศหนาวยาวนานสิบเดือนต่อรอบปี โรเดอร์เซียร์เป็นเมืองท่าติดทะเล โด่งดังเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ไพธอนเป็นเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ

    ภูเขาแห่งความเงียบอยู่ใกล้ไพธอนที่สุด ผ่านภูเขาแห่งความเงียบไปมีคนเลื่องลือว่าอาณาเขตปีศาจตั้งอยู่ตรงนั้น

    "โอทิสไม่น่าอยู่?" มีน่าถามกลับ นางไม่ได้หันมามองแม้แต่วิเดียว "พวกเครื่องดื่ม ของร้อน น่าจะขายได้ดีกว่าที่โอทิส"

    แต่ทำไมไวโอเล็ตถึงรู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลากัน ไม่เข้าใจเลย

    "ข้าย้ายออกจากโอทิสมานานมากแล้ว"

    เราเดินมาถึงหลังร้านในที่สุด มันมีแผ่นหินรองล้างแก้วและจานเก่าๆ อยู่อันหนึ่ง เก้าอี้ตัวเล็กๆ และอุปกรณ์ทำเครื่องดื่มกับขนมทานเล่น แต่ถัดไปเป็นประตูบานนั้น ประตูที่กุมความลับทางการเคลื่อนไหวแทบทุกอย่างของแพนเธียเอาไว้

    "อะไรอยู่หลังประตู" มีน่าสูบม้วนยาสูบจนเกือบหมดแล้ว นางพ่นควันออกมาเป็นรอบสุดท้ายแล้วทิ้งซากที่เหลือลงบนพื้นไม้ นางขยี้ไฟที่ยังติดอยู่ให้ดับก่อนเดินไปทางประตู

    "ห้องเก็บของ" ไวโอเล็ตขยับตามไป พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธเป็นอย่างมาก

    ครั้งนี้นัยน์ตาสีม่วงมืดครึ้มหันเหเสี้ยวหนึ่งของมันมามองเธอ

    "ข้าไม่เชื่อ"

    ปัง!

    เธอสะดุ้งเฮือก แทบไม่สังเกตเลยว่าเมื่อครู่ในมือของนางมีปืน

    ขาเรียวยาวยกขึ้นเตะบานประตูให้เปิดออกหลังจากจัดการกับแม่กุญแจไปได้ ร่างสูงเดินเข้าไปพลางใช้นิ้วคลำหาสวิตซ์ไฟ

    เธอกัดริมฝีปากเมื่อมองภาพนั้น ในหัวคิดวิธีจัดการและยับยั้งคนตรงหน้า

    "ไหนท่านบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าไง" ไวโอเล็ตยกมือขึ้นผลักมีน่า นางเซถอยไปข้างหลัง ลึกเข้าไปในความมืดของห้อง "ทำไมถึงเข้ามาแล้วรื้อค้นของของข้า ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ปริปากถามอะไรสักคำ!"

    "ข้ามีคำถามเดียวให้เจ้า หากเจ้ากล้าตอบ...เจ้าจะปลอดภัย" นางบิดยิ้มที่ร้อนรุ่มในความมืดนั้น

    "..." ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกำลังหานรกเข้าตัว

    "ในห้องนี้มีสิ่งใดอยู่" นางกล่าวถาม

    "ท่านจะทราบได้ยังไงว่าข้าพูดความจริงหรือโกหก" คำถามของนางไม่แปลกไปจากที่เธอคิดมากนัก คนอย่างมีน่าจะต้องถามคำถามที่คิดว่าทำให้เธอจนมุมได้ที่สุดแน่ๆ อยู่แล้ว

    "ไวโอเล็ต..." มีน่าพึมพำชื่อเธอราวกับสังเวช "ข้าทราบเสมอว่าเจ้าพูดเรื่องจริงหรือโกหกอยู่"

    นางกำลังใช้ประโยคนั้นย้ำเธอว่า 'นางรู้จักเธอดีที่สุด'

    "เอกสาร" ไวโอเล็ตกลั้นใจตอบความจริง

    "เอกสารอะไร" นางถามต่อ

    จริงๆ ด้วย ขุนพลลำดับที่สามแห่งขุมนรกมาเพื่อเรื่องนี้ นางต้องการข้อมูลจากเธอ

    "อาจารย์ ท่านบอกว่าท่านมีคำถามเดียวให้ข้า ท่านทำผิดกฎ" เธอขยับเข้าไปภายในห้อง มือเอื้อมไปหมายจะจับมือแล้วดึงให้นางออกมาจากห้อง แต่ทันทีที่แตะ ราวกับผิวของเธอกำลังโดนเผาไหม้ มันทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวแล้วดึงมือกลับ

    มันเกิดขึ้นเร็วจนเธอลืมไปว่าการส่งเสียงร้องเป็นยังไง

    ในมือของมีน่ามีลูกเพลิงกลมๆ อยู่

    สีหน้าของนางยามที่ไฟสาดส่องไปโดนช่างยโส

    "อยู่นี่เอง" นางเหยียดยิ้ม ปลายนิ้วกดลงบนอะไรสักอย่าง รอชั่วครู่เดียวไฟในห้องนั้นก็ติด

    มือของเธอมีบาดแผลไฟไหม้เล็กน้อย ไม่ร้ายแรงมาก เธอเลยเปิดน้ำเพื่อชำระล้างความร้อนออกไปแล้วรีบเดินตามมีน่าเข้าไปในห้องทำงานของเธอ

    นางกำลังอ่านเอกสารที่เธอยังไม่ได้อ่าน ส่วนซองกระดาษถูกฉีกขาดอยู่บนโต๊ะ เมื่อนางวางฉบับนั้นเธอจึงฉวยมันมาอ่านบ้าง ใจความของมันคือ

    'อีกห้าวันนับจากวันที่จดหมายถึงมือเจ้า แพนเธียจะจัดเตรียมทัพใหญ่ไปยังเมืองทิศตะวันตกไพธอนเพื่อรอเปิดศึก ระหว่างนั้นให้เจ้าส่งหน่วยมือสังหารไปลอบซุ่มโจมตีอยู่ที่พิกัด x ในแผนที่ เจ้ารีบเร่งเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงก่อนศึกเริ่ม ข้ามีภาระอื่นให้เจ้าต้องจัดการอีก'

    หัวใจเธอหล่นวูบเมื่อมีน่าหยิบแผนที่ที่แนบมากับซองจดหมายขึ้นมาดู

    เครื่องหมาย x เด่นหราอยู่บนหน้ากระดาษ

    "หลอก" นางกล่าวขึ้นมาหนึ่งคำ นิ้วเรียวฉีกแผนที่ออกเป็นหลายส่วน

    "หลอกเช่นนั้นหรือ มัน..." ไวโอเล็ตตามไม่ทัน

    "เนื้อความในจดหมายเกือบทุกอย่างหลอก ใจความหลักของมันมีแค่อย่างเดียวคือเรียกตัวเจ้ากลับเมืองหลวง" มีน่าหยิบจดหมายฉบับอื่นมาดูขณะนั่งลงบนโต๊ะทำงาน เมื่อดูเสร็จนางก็โยนทิ้งอย่างไม่ไยดี "ฉบับอื่นเป็นเรื่องจริง แต่ฉบับนี้หลอก"

    "..." เธอก้าวถอยหลังไปหลายก้าวเพราะคิดว่าหากอยู่ต่อไป ต้องเกิดเรื่องแน่

    สีหน้าของมีน่าไม่ดี มันดูหงุดหงิดมาก ราวกับนางระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ

    "ทาร่า" นางกัดฟันจนได้ยินเสียง 'กรอด' ลอดออกมาเบาๆ ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาคือชื่อของคนรักราชินีแอสทริดที่เคยเป็นหนึ่งในหกขุนพล "ไวโอเล็ต เจ้า..."

    เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับปลายกระบอกปืน ไวโอเล็ตสูดลมหายใจลึกในขณะที่เล็งปืนคู่ของตัวเองแน่นิ่งไปที่หน้าผากของนาง กะจะไม่ใช้ความรุนแรงอะไรมากแล้ว หวังอย่างมากว่าทุกอย่างจะราบรื่นและนางจะจากไปด้วยดี

    แต่เธอคงต้องทำความเข้าใจกับกลไกของโลกใบนี้ใหม่ ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามที่หวังหรอก

    "กล้ายิงข้าเหรอ?" นางยิ้มหวาน

    แต่เธอทำใจเชื่อรอยยิ้มแบบนั้นของนางไม่ลง...

    "ออกไปจากที่นี่ ไปให้พ้นหน้าข้า" เธอไล่

    "ไวโอเล็ต" หญิงสาวคนนี้ไม่เกรงกลัวลูกปืนหรืออะไรทั้งนั้น นางยื่นหน้าผากของตัวเองมาจนชิดปากกระบอกปืนของเธอในขณะที่พึมพำไปด้วย "หากกล้ายิงข้าก็ยิง"

    "..."

    "หากยิงแล้วเจ้ามีความสุขที่ได้ทำ ก็ทำซะ"

    "ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน อาจารย์" ไวโอเล็ตกล้ำกลืนความกดดันทั้งหมดลงไป สายตาบ้าคลั่งของนางมันเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด วันที่เราต้องแยกทางกันเพราะความผิดที่นางทำ "ทำไมวันนั้นท่านถึงต้องปล่อยให้ข้ารอด"

    "..." นางเป็นฝ่ายเงียบบ้าง

    "ทำไมถึงเป็นข้าคนเดียวที่ท่านละเว้นชีวิตไว้"

    "เพราะเจ้าเป็นลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวของข้า" นางตอบแล้วถอยหลังไป

    "ไม่ใช่เพราะว่าท่านรู้สึกแบบเดียวกับข้าเหรอ" ไวโอเล็ตกำลังหมายถึงความรัก... จู่ๆ ความเจ็บปวดก็ร้าวขึ้นในอก เธอสัมผัสถึงความร้อนบางอย่างที่ไหลออกมาจากดวงตา "มีครั้งหนึ่งที่ท่านเคยบอกว่าท่านรักข้า มันคือเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่"

    "ข้าไม่เคยรักใคร ไม่รู้จักและไม่เคยสัมผัสถึงความรัก"

    "..." คำตอบนั้นทำให้เธอตัวชา

    "ตอนนั้นเจ้าคงโง่มาก...ที่เชื่อทุกคำที่ข้าพูด"

    พรึ่บ!

    เสียงไฟลุกเมื่อมีน่าปล่อยให้ลูกบอลเพลิงในมือร่วงหล่นลงบนพื้นพรม เปลวเพลิงลุกโหมรายล้อมเราสองคนอย่างรวดเร็ว ไวโอเล็ตชะงักและเริ่มรู้สึกตัวเพราะความร้อนที่แรงเกินกว่าความร้อนปกติไปมาก

    "สงสัยการกลับมาเจอหน้ากันในรอบสิบปี ข้าจะใจดีกับเจ้ามากไปหน่อย ถึงได้พูดมากและถามแต่เรื่องไร้สาระวนไปวนมาเช่นนี้"

    อสูรร้ายที่มีนามเล่าขานว่าเป็นถึงขุนพลลำดับที่สามสาวเท้าเข้ามาใกล้ นางกระชากคอเสื้อเธอไว้

    "ข้ารำคาญเจ้าเต็มทน"

    นางเหวี่ยงเธอกลับเข้าไปในห้อง จมลึกลงสู่กองเพลิงที่ยิ่งโหมกระหน่ำ ความแสบและความร้อนพุ่งเข้ามากระทบผิวกายอย่างรุนแรง ส่วนปอดก็สูดแต่ควันดำเข้ามาแต่ไม่สามารถสำลักอะไรออกมาได้เลย

    "คงต้องโทษตัวเจ้าเองที่ใจอ่อนจนไม่กล้าเหนี่ยวไกปืน เพราะฉะนั้นก็จงหายไปจากโลกนี้เสียเถอะ ไวโอเล็ต คาสเทลาโน่"

    รอยยิ้มสุดท้ายของนางประทับแน่นในความคิดเธอ เมื่อนางปิดประตูห้องแล้วหันหลังเดินจากไป

    ไวโอเล็ตรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ไม่ใช่แค่รู้สึกสิ...เธอกำลังจะตายจริงๆ

    เธอจุกในอกเพราะควันที่สูดเข้ามา แต่สุดท้ายก็อดแค่นยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อกำลังถูกเผาทั้งเป็น เธอมองมีน่าผิดไปจากสิ่งที่นางเป็นอยู่จริงๆ อีกแล้ว

    ทำไมเธอถึงคิดว่านางอาจจะดีขึ้นกัน ทั้งๆ ที่ตอนนี้นางคือศัตรูของเธอ

    ไวโอเล็ตหลับตาลง ไม่กรีดร้องกับความเจ็บปวดอีกต่อไป

    เธอยอมรับในความตายครั้งนี้


    9 ปี 11 เดือน 23 วันก่อน

    "อาจารย์ ตื่นเต้นไหมเพคะกับการแสดง" ไวโอเล็ตในชุดกระโปรงลายดอกไม้สีเหลืองวิ่งเข้ามาในห้องพักของโรงละคร สายตาจับจ้องมองไปยังมีน่าในวัยสิบเจ็ดปีอย่างปลาบปลื้ม "ข้าเพิ่งคุยกับท่านแม่มา แม่บอกว่าคนที่มาดูการแสดงครั้งแรกของท่านมีเกือบร้อยคน เยอะกว่านักดนตรีมืออาชีพเกือบเท่าตัวเลยนะ"

    มีน่าเพียงแค่หันมายิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้น อารมณ์บนใบหน้าของนางดูแปลกกว่าทุกวัน

    "พ่อกับแม่เจ้ามาดูด้วยเหรอ" นางถามแค่นั้น ไม่ได้ดูตื่นเต้น

    จากมุมที่เธอมองอยู่ ความคมคายบนใบหน้านั้นคล้ายจะเป็นความเย็นชาเสียมากกว่า

    ไวโอเล็ตใจไม่ดี เหมือนนางมีเรื่องให้คิดและเธอกำลังรบกวน

    "อื้อ พ่อกับแม่บอกไม่อยากพลาดการแสดงของท่านที่เป็นอาจารย์ของข้า" เธอขยับตัวไปใกล้อีกนิด แม้ใจจะอยากหลีกหนีนางตอนนี้เท่าไหร่ ร่างกายก็คล้ายจะไม่ทำตาม

    "..." นางยกมือขึ้นลูบหัวเธอ

    "วันนี้ท่านจะขึ้นแสดงด้วยเครื่องดนตรีชนิดใดเพคะ"

    อาจารย์ของเธอนั้นคือผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด...

    นางเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด และบทเพลงแรกที่นางเล่นได้ถือกำเนิดจากเครื่องดนตรีพิณ โดยที่อายุเพียงห้าขวบเท่านั้น

    อัจฉริยะด้านดนตรีคนนี้เรียนจบในโรงเรียนดนตรีเฉพาะทางตั้งแต่อายุสิบสี่ปี

    หลังจากนั้นนางก็เหมือนไร้จุดหมายในชีวิตไปช่วงหนึ่ง นางไม่ได้ทำงาน แต่ก็ไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กทั่วไป นางอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของตัวเองแล้วอ่านหนังสือเพื่อหาความรู้ทั่วไปนอกเหนือเรื่องดนตรี

    จนพวกเรามาเจอกันโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือ ไวโอเล็ตจำมีน่าได้ตั้งแต่แรกพบ เธอขอให้นางรับเธอเป็นลูกศิษย์ และเพราะอะไรไม่ทราบ นางตกลงจะสอนการเล่นเครื่องดนตรีให้แก่เธอ

    แต่เครื่องดนตรีที่เธอเล่นได้มีอยู่เพียงชนิดเดียว นั่นก็คือ...

    "ไวโอลิน" มีน่าตอบ

    "ทำไมท่านถึงเลือกไวโอลินเหรอเพคะ"

    "เพราะเจ้าชอบ"

    นางขยับมาใกล้ ดึงท้ายทอยเธอให้ขยับเข้าไปใกล้แล้วจุมพิตลงบนหน้าผากเบาๆ ความอ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจเธอเต้นแรงเกินกว่าจะควบคุมไหว

    มีของบางอย่างถูกยัดใส่มือเธอทันทีที่นางผละออกห่าง

    "สวมนี่ไว้ระหว่างที่ข้าแสดง ห้ามถอดเด็ดขาด"

    "..." เธอก้มลงมอง มันคือที่ปิดหูแบบที่ใช้ในตอนกลางคืน เวลามีบางอย่างเสียงดังจนนอนไม่หลับ

    "ข้าจะไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไม แต่ข้าไม่ชอบเด็กดื้อ เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ" มีน่าก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเรือนหรู "เจ้าไปเถอะ อีกไม่กี่นาทีข้าต้องขึ้นแสดงแล้ว"

    ไวโอเล็ตลุกขึ้นยืน เธอถอยหลังไปจนถึงประตูแล้วตัดสินใจพูดออกไปเบาๆ

    "ข้ารักท่าน"

    "..."

    "ขอให้โชคดีกับการแสดงเพคะ"

    อาจารย์ของเธอไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ นางไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ ระหว่างที่เธอเดินออกมาก็ก้มลงมองของในมือไปด้วย

    แม้อยากได้ยินเสียงไวโอลินของนาง แต่ก็จำเป็นต้องใส่ ไว้ค่อยไปถามเหตุผลวันหลังดีกว่าว่าทำไม

    แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นเธอไม่เคยได้ถามอีกเลย...

    ไวโอเล็ตตัวสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม เสียงไม่หลุดออกจากลำคอเลยแม้แต่นิดเดียวเมื่อมองไปรอบตัวแล้วเห็นแต่ศพ เธอหันไปหาพ่อกับแม่ของตัวเอง

    "ท่านพ่อ...ท่านมะ แม่" เธอสะอื้น เห็นมีดที่ปักอยู่บนคอคนทั้งสอง

    พ่อกับแม่ของเธอตายแล้ว...เหมือนกับคนอื่นๆ ทุกคนในโรงละครแห่งนี้

    ร่างกายของเธอบางจุดเลอะเลือด คงเป็นเลือดของใครบางคนที่กระเด็นมาโดน ไวโอเล็ตเงยหน้าขึ้นมองไปยังเวทีขณะถอดที่ปิดหูของตัวเองออก เห็นมีน่ายืนอยู่ตรงนั้นกับหญิงสาวคนหนึ่ง

    ใบหน้าของอาจารย์เย็นชา นางมองคนตายรอบตัวราวกับเป็นเศษขยะ

    หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยกันกับมีน่ามีปีกสีม่วงทึบแผ่สยายอยู่ตรงกลางหลัง ไม่ใช่มนุษย์...

    เธอเห็นภาพที่มีน่าโดนหญิงสาวคนนั้นจูบลงตรงริมฝีปาก ก่อนที่ทั้งสองจะหายไปจากสายตา

    อะไรกัน ทำไมจู่ๆ ก็หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นมาก่อน?

    ไวโอเล็ตในวัยสิบสี่ปีกระเสือกกระสนออกจากโรงละครในสภาพเปื้อนไปด้วยเลือด เธอยังกำที่ปิดหูแน่นราวกับกลัวมันจะหล่นหาย ในใจเธอแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีตอนชาวบ้านแถวนั้นไปตามพวกทหารมาดูสถานการณ์ คดีการฆ่าตัวตายปริศนาและนักดนตรีที่หายตัวไปเป็นข่าวดังไปทั่วทั้งอาณาจักรอยู่ช่วงหนึ่ง

    ในภายหลัง ไวโอเล็ตที่ถูกรับเลี้ยงโดยญาติลาออกจากโรงเรียนดนตรี เธอย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแพนเธียและสมัครเข้าเรียนโรงเรียนทางทหาร

    ไวโอเล็ต คาสเทลาโน่เติบโตขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แม้มีสหายบ้าง แต่ก็ไม่เคยยอมให้หัวใจตัวเองรักใครอีกเลย

    ในภายหลัง เธอจัดการตามสืบทุกอย่างและวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นทั้งหมด ได้รู้ว่าทุกอย่างถูกเตรียมการและคิดมาอย่างดีแล้ว เพราะทุกคนที่เสียชีวิตใช้มีดแบบเดียวกันในการฆ่าตัวตาย และมีดเล่มเดียวที่เหลืออยู่คือมีดที่วางอยู่ใต้เก้าอี้ของเธอ

    เป็นเวลาเดียวกับที่การปะทะกับพวกขุนพลเริ่มขึ้น

    เธอได้ทราบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์จะถูกทาบทามให้ย้ายไปอยู่กับขุนพล

    และในห้วงเวลาปัจจุบัน เธอก็ได้รู้ว่ามีน่าคนนั้นเป็นขุนพลลำดับที่สาม โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถระบุได้เลยว่าแท้จริงแล้วความสามารถและอาวุธของนางคืออะไรกันแน่

    แต่ไวโอเล็ตรู้ดียิ่งกว่าใคร ตัวกระตุ้นที่ทำให้คนเหล่านั้นรวมถึงพ่อกับแม่ของเธอฆ่าตัวตาย...


    ปัจจุบัน

    ยังไม่...ตายเหรอ

    ไวโอเล็ตรู้สึกถึงความนุ่มนวลของฟูกปูเตียง เธอค่อยๆ ดันกายลุกขึ้นนั่ง ใช้สายตาที่ยังเลือนลางมองสำรวจความเสียหาย ก่อนพบว่าไม่ค่อยมีความเสียหายอะไรมาก ไม่มีอะไรร้ายแรง

    "ตื่นแล้วเหรอ ดื่มน้ำก่อนสิ" เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น แก้วบรรจุน้ำถูกยื่นมาให้

    เธอรับมาดื่มอย่างกระหายจนหมดแก้ว แล้วเพ่งพิจารณาผู้ที่ช่วยชีวิตเธอไว้

    "เจ้าอาจจะเคยเห็นข้ามาบ้าง" นางคลี่ยิ้มอย่างใจดี เป็นความใจดีที่ไม่เสแสร้งเหมือนคนคนนั้น "ข้ามีนามว่าเทล อันนาส ราชินีแห่งเหล่าเอลฟ์และเป็นผู้พิทักษ์ผืนป่า"

    "ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้" ไวโอเล็ตก้มหัวให้ เธอพบว่าตัวเองอยู่ในชุดใหม่ "ท่านเปลี่ยนชุดให้ข้าใหม่หรือ"

    "มันจำเป็น เสื้อผ้าเก่าของเจ้าแทบจะไม่เหลือโครงเดิมแล้ว" ท่านอันนาอธิบาย "เรื่องแผลไฟไหม้ ข้าใช้พลังเวทรักษาให้เกือบหมดแล้ว แต่บางสิ่งบางอย่างก็คงรักษาไม่ได้"

    นางยกกระจกอันเล็กขึ้น เผยให้เห็นภาพเส้นผมของเธอที๋โดนไฟเผาไหม้ไปหลายส่วน มันทำให้เธอถอนหายใจออกมา

    "ขอกรรไกรหน่อยได้ไหมเพคะ" เธอกล่าว นางจึงเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบกรรไกรส่งมาให้ เมื่อได้รับเธอก็หันไปหยิบถังขยะใกล้เตียงมาวางแทบเท้า ตัดเส้นผมส่วนที่ถูกเผาออกจนเกือบหมด แล้วตัดต่อจนกลายเป็นทรงผมเดิมที่เคยไว้เมื่อนานมาแล้ว

    ผมสั้นแค่ประบ่า...

    เธอยกมือขึ้นเสยผมตัวเองแล้วจัดการแสกข้างเพื่อไม่ให้มันบดบังดวงตา

    "เจ้ามีนามว่าไวโอเล็ตใช่ไหม" หญิงสาวสูงศักดิ์แห่งป่ายกมือขึ้นกอดอก ใช้สายตามองเธอจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ "แอสทริดส่งสาส์นเชิญข้าไปรับฟังการประชุม แต่ข้ากลับมาเจอเจ้าที่อยู่ในกองเพลิงเสียก่อน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"

    สุดท้ายเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะปิดบัง เธอเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านอันนาฟัง

    "แสดงว่าเป้าหมายต่อไปของมัน อยู่ที่เมืองหลวงแพนเธียสินะ" นางพึมพำคนเดียว มือเรียวลูบไล้รอยสักบางอย่างที่ข้อมือเล่น เธอไม่มองว่ามันคือรูปอะไรเพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท

    "เพคะ คนแบบขุนพลลำดับที่สาม หากนางไม่สามารถเอาข้อมูลมาได้ นางก็ต้องจัดการทำลายแนวหลังด้วยตัวของนางเองแน่" ไวโอเล็ตกล่าวอย่างจริงจัง ไม่มีใครสักคนที่เป็นศัตรูเมื่อสบตากับนางแล้วจะรอดไปได้

    แต่มันฟังดูตลกดี หากเทียบกับความคิดที่ว่า 'นี่คือครั้งที่สองที่เธอรอดชีวิตจากนาง'

    เธอไม่รู้จริงๆ ว่าหากไม่ถอนตัวตอนนี้มันจะมีครั้งที่สามไหม แต่เธอทำทุกอย่างเพื่อปกป้องราชินีแอสทริด ความจงรักภักดีของเธอคือสิ่งเดียวที่ไม่เคยหายไปไหน

    "เจ้าพูดเหมือนรู้จักนางดี" ท่านอันนามองเธอด้วยสายตาจับผิด

    "แค่บังเอิญเคยรู้จักกันมาก่อนเพคะ แต่มันก็เป็นเพียงความหลังอยู่ดี"

    "แบบนั้นก็ดี หิวไหม ข้าจะให้คนเตรียมอาหารมาให้" นางถาม เธอจึงพยักหน้า ไม่นานนักก็มีอาหารมาเสิร์ฟถึงเตียง เป็นสเต๊กเนื้อแกะอย่างดี ระหว่างที่ทานอาหารเธอแอบสังเกตท่านอันนาไปด้วย

    ไวโอเล็ตเจอกับคนระดับผู้นำไม่บ่อย เพราะหน้าที่ของเธอไม่อำนวย เธอไม่เคยรับฟังการประชุมโดยตรงด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันรายงานสรุปการประชุมจะถูกส่งมาถึงมือเธอเสมอ

    ท่านอันนาเป็นผู้หญิงตัวสูงไล่เลี่ยกับมีน่าเลย นางมีสองสิ่งเรียกว่า 'ภาวะความเป็นผู้นำ' และ 'ความรับผิดชอบ' ฉายชัดออกมาจากตัว นางมีเส้นผมสีน้ำเงินทึบกับดวงตาสีเขียวมรกต ที่ใบหูหากสังเกตดีๆ จะเห็นต่างหูประมาณสองอันเรียงกันอยู่ ชุดที่นางใส่ก็ดูค่อนข้างทันสมัย

    นางใส่คอลเล็คชั่นล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อไม่ถึงเดือนก่อนเลยไม่ใช่เหรอ?

    เป็นคนที่เซ้นส์ทางแฟชั่นสูงจริงๆ

    "แล้วจะเอายังไงต่อ" หลังจากทานอาหารเสร็จ นางก็เอ่ยถาม "ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวง เจ้าอยากไปด้วยกันไหม"

    "ไม่เป็นไรเพคะ ข้าว่าข้ามีที่ที่ต้องไปแล้ว" หากเดานิสัยของมีน่าไม่ผิด เธอรู้ว่านางอยู่ที่ไหนตอนนี้

    "เจ้า..." ท่านอันนาราวกับเดาออกว่าเธอจะทำอะไร ในที่สุดนางก็ถอนหายใจแล้วโยนเสื้อคลุมสีเทาตัวใหญ่มาให้ "โชคดี ไวโอเล็ต"

    นางเข้าใจว่าเธอต้องการจะเดินทางไปคนเดียวจึงยอมปล่อยไป เธอลุกขึ้นสวมรองเท้าคู่ใหม่ ใส่โค้ทตัวใหญ่แล้วเดินออกมาจากบ้านพักที่คาดว่าคงเป็นของท่านอันนาในเมืองนี้

    หลังตรวจสอบเส้นทาง ไม่นานไวโอเล็ตก็มาหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นโฮเทลขนาดใหญ่ที่สุดของเมือง ตรงทางเข้ามีชายน่าเกรงขามหลายคนยืนเฝ้าอยู่ พวกเขาจ้องมองเธอเป็นตาเดียวเมื่อเธอเดินไปหยุดตรงหน้า

    ด้วยอำนาจของมีน่าและเงินทองของนาง นางมักหาความสำราญสักอย่างใส่ตัวเสมอก่อนเริ่มทำในสิ่งที่ต้องทำจริงๆ นางเป็นคนบอกเธอเอง

    "มีธุระอะไร ที่นี่ถูกจองไว้ทั้งคืน" ชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มห้าว

    "บอกเจ้านายของพวกเจ้าหน่อยว่าไวโอเล็ตมาหา" เธอโปรยรอยยิ้มมั่นใจให้พวกเขา

    แต่ในใจหวาดหวั่นแทบตาย เธอกลับมาพบหน้าคนที่โยนเธอเข้าไปในกองเพลิงเพราะต้องการจะหยุดยั้งไม่ให้นางไปเมืองหลวง

    ใช้เวลาแค่สองนาที ชายคนที่เดินเข้าไปในโฮเทลก็กลับออกมาพร้อมกับกุญแจห้องพักที่มีตัวเลข 551 กำกับเอาไว้

    "นางบอกให้เจ้าไปเจอนางได้เลย" เขากล่าวแล้วหันไปทำหน้าที่เฝ้ายามตามเดิม

    เขาเป็นปีศาจ ความเร็วระดับนั้นกับการขึ้นไปชั้นห้าแล้วลงมามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แม้จะใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างลิฟท์ก็ตาม

    ไวโอเล็ตตรงไปยังลิฟท์ไม้แล้วกดชั้นห้า และตระหนักได้ว่าตัวเองไม่มีอาวุธเลยสักอย่างตอนมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของมีน่า แต่เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากสอดกุญแจเข้าไปแล้วไขปลดล็อค เธอทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากเดินหน้าต่อ

    มีน่านั่งอยู่บนโซฟาในสภาพเปลือยท่อนบน ขาของนางวางพาดอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กตรงหน้า บนโต๊ะมีทั้งที่เขี่ยบุหรี่ ชั้นในของใครบางคน ขวดเหล้าเปล่าหลายขวด และไวโอลินใหม่เอี่ยม

    มีหญิงสาวอีกสองคนอยู่ในห้อง พวกนางกำลังร่ายรำให้ขุนพลลำดับที่สามดูในสภาพที่ไม่มีอะไรอยู่บนร่างกายเลยสักชิ้น แถมยังหัวเราะคิกคักอีกต่างหากเมื่อหันมามองเธอผู้มาใหม่

    "ท่านมีน่าเรียกมาเพิ่มเหรอ" หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาถาม ส่วนอีกคนปิดประตูห้องแล้วดึงให้เธอเดินเข้าไปข้างใน

    "ปะ..." กำลังตอบปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่กลับโดนผลักไปหามีน่าเสียก่อน

    ไวโอเล็ตเซถลาไปนั่งกองอยู่แทบเท้าขุนพลลำดับที่สาม นางเลื่อนสายตาลงมองเธอ นัยน์ตาสีม่วงล้ำค่าราวกับมีหมอกบางอย่างปกคลุมอยู่ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ส่งผ่านมาให้เธอเห็น

    มีสติอยู่รึเปล่า ทำไมไม่เหมือนคนมีสติเลย

    เมาเหรอ?

    "ทำไมไม่จูบกันล่ะ" หญิงสาวที่ดึงไวโอเล็ตเข้ามาในห้องเดินมาใกล้ นางใช้มือบีบท้ายทอยเธอจากด้านหลังแล้วบังคับให้เธอโน้มไปข้างหน้า ไปหามีน่าที่ยังนั่งนิ่ง

    "นี่ มันจะมากไ...ป" เธอพูดขึ้น ตั้งใจจะหันไปตวาดหญิงสาว

    แต่อาจารย์จูบเธอ...

    ริมฝีปากร้อนที่เคลือบจางด้วยรสชาติเข้มของแอลกอฮอล์บุกรุกเข้ามา กลีบปากเธอโดนขยี้ด้วยแรงที่มากกว่าคนทั่วไปจะใช้ ปลายคางที่ถูกเชิดขึ้นเพื่อรองรับแรงอารมณ์ หัวใจเธอเต้นแรงเมื่อเสื้อที่สวมใส่อยู่โดนดึงคล้ายกับนางอยากถอดมันออก

    นี่มันไม่ใกล้เคียงกับจูบแรกที่ใฝ่ฝันไว้...

    ริมฝีปากเธอแข็งเกร็ง ร่างกายเหมือนจะต่อต้านไปซะทุกส่วน

    ปลายลิ้นที่ร้อนผ่าวสอดเข้ามาในปากเธอ หมุนวนและสัมผัสอย่างเร่าร้อนอยู่ข้างใน ความขมและรสแอลกอลฮอล์กลั้วอยู่ในลำคอ เป็นจูบที่นานเกินพอดีและไม่หยุดให้พักหายใจ

    เมื่อจูบแรกถูกถอนออกไป สิ่งแรกที่เห็นคือนัยน์ตาที่ชุ่มฉ่ำเพราะความเมากับลมหายใจในจังหวะที่เต็มไปด้วยความอยาก

    ปลายนิ้วเย็นเฉียบยังคงสัมผัสปลายคางเธอ

    "ทำไมยังไม่ตาย..." นางพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เยิ้มนิดหน่อย แต่ยังฟังรู้เรื่อง

    "..." เธอไม่ตอบ สมองว่างเปล่าจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

    "ช่างเถอะ"

    นางพ่นลมหายใจที่กรุ่นร้อนกระทบกับแก้มของเธอ คนเมาตั้งท่าจะจูบเธอใหม่ แต่เธอเบี่ยงใบหน้าหลบออกได้ทันเวลา

    แต่การทำแบบนั้นทำให้โดนมือข้างที่พยายามดึงเสื้อของเธอก่อนหน้าเปลี่ยนมาบีบต้นแขนของเธอแน่นเช่นกัน

    "ถอดสิ" มีน่ากระซิบบางอย่างด้วยเจตนาที่ร้อนลึก เหมือนนางจงใจจะลืมว่าเธอเป็นใคร เสี้ยวหัวใจของเธออดหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ "ถอดออก"

    "ถอดอะไร" ไวโอเล็ตไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรื่องนี้ ไม่ได้มาเพราะอยากเจอแบบนี้

    "เสื้อผ้าเจ้า ถอดมันซะ..."

    เธอคิดว่าเธอเจอมีน่ามาเกือบทุกรูปแบบแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เลย...

    "มานี่"

    เธอโดนลากด้วยฝ่ามือของหญิงสาวอีกสองคนในห้อง เสื้อโค้ทโดนกระชากออกอย่างรุนแรง รู้ว่าต้องขัดขืนเดี๋ยวนี้จึงฟาดฝ่ามือออกไปมั่วๆ มันกระทบกับต้นคอของหญิงสาวคนหนึ่ง

    "นังบ้านี่!!" นางคำราม กดให้เธอคุกเข่าลงบนพื้นขณะฉีกกระชากเสื้อผ้าออกจากตัวเธอ

    "ไม่!" เธอขัดขืนอีก เหวี่ยงหญิงสาวทางขวามือจนนางเซจนล้มลง

    หัวใจของเธอวูบโหว่งเมื่อพบว่าท่อนบนของตัวเองเปลือยเปล่า และโดนผลักอย่างรุนแรงจนริมฝีปากกระแทกกับพื้นห้อง กลิ่นคาวเลือดแทรกเข้ามาเมื่อปลายลิ้นสัมผัสมัน

    กางเกงถูกดึงออกโดยผู้หญิงสองคนนั้น ร่างกายเธออ่อนปวกเปียกเพราะเจ็บและจุกกับการกระแทกเมื่อครู่อยู่พอสมควร แต่พวกนางไม่ได้ถอดปราการสุดท้ายของเธอออกตอนที่โยนเธอขึ้นมาบนเตียงขนาดใหญ่

    เธอยันตัวลุกขึ้นนั่ง เห็นว่ามีน่ายืนอยู่ปลายเตียง มือข้างหนึ่งยกยาสูบขึ้นสูบจนหมดมวน ส่วนอีกมือหนึ่งจับขอบกางเกงที่เลื่อนลงต่ำของตัวเองไว้

    นางสูดลมหายใจราวกับกำลังดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัว

    บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกลัวของเธอ...

    และในที่สุด นางก็มองมา

    ตลอดทั้งชีวิตที่เรารู้จักกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนในสายตานางมากที่สุด

    ด้วยความเงียบงันและดวงตาคู่นั้น เธอรู้ว่านางจะทำอะไร


    [100%]
    - Mina -
    3rd Warlord
    Cast By -

    - Violet -
    Secret Team's Leader of Panthea Kingdom
    Cast By Dasha Taran


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×