ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black N Blue (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #54 : Black N Blue❖The destroyer 'six warlords' 17

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 883
      134
      11 ก.พ. 63


    คำเตือน :: บางช่วงบางตอนมีความรุนแรง เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของตัวเกมแต่อย่างใด ฉากที่มีเนื้อหาเรท R จะไม่อัพลงเด็กดี โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


    Song ::  Ruelle  - Fire Meets Fate


    EPISODE17

    Alternative Universe 04The destroyer 'six warlords'


    เกิดความเงียบงันขึ้นระหว่างเรา หลังจากด่ามีน่าว่าสารเลว นางก็ไม่ขยับและไม่ตอบโต้อะไรอีก

    ไวโอเล็ตถอยหลังกลับไปนั่งที่ปลายเตียง ไม่แคร์แม้ว่าร่างกายจะเปลือยเปล่าอยู่

    เธอมองนางอย่างมั่นคงและเงียบสงบ รอดูว่านางคิดจะทำอะไรต่อ คิดจะเล่นตลกอะไรกับเธออีก เธอจะได้เตรียมรับมือถูก

    "ท่านพูดถึงเรื่องคุยกันดีๆ ใช่ไหม มาสิ ข้ารออยู่" เธอพูดราบเรียบ

    เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นคือ...หากให้เดาเธอน่าจะอยู่ในการสะกดจิตของมีน่า นางเป่าขลุ่ยเป็นบทเพลงแห่งความตายจนทำให้ประสาทสัมผัสของเธอหลอน ทำให้เห็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเพราะการคิดไปเอง เพราะความสามารถของมีน่าคือการเล่นกับทุกอย่างที่อยู่ภายใน

    สติ สมาธิ ระบบความคิด รวมไปถึงจิตใจ นางพังทลายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายด้วยบทเพลงและความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีพวกนั้น

    "อยากคุยเรื่องอะไร" นางดึงเก้าอี้ในห้องมานั่งตรงข้ามเธอ ห่างกันประมาณสองช่วงแขน

    "ความหมายของการสลักชื่อ" เธอมองท่อนขาของตัวเอง

    ยังจำความเจ็บปวดและความคมของมีดในตอนนั้นได้ มันทำให้ร่างกายที่เปลือยเปล่าสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

    "เจ้าถามไปแล้ว ข้าตอบไปแล้ว แต่จะตอบอีกครั้งหากมันยังไม่กระจ่างมากพอ" มีน่าพูด นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึก "ความหมายของการสลักชื่อเจ้าเป็นของข้า เป็นสมบัติของข้า แต่ข้าให้โอกาสในการเลือกชีวิตแบบที่เจ้าอยากใช้ด้วยตัวเจ้าเอง"

    "...หมายความว่าอะไร"

    "เจ้ามีสิทธิ์เต็มที่ในการเลือกใช้ชีวิตหลังจบสงคราม ไม่ว่าหกขุนพลจะพ่ายแพ้หรือได้รับชัยชนะก็ตาม ข้าสามารถปล่อยเจ้าไปได้ แต่ไม่สามารถเห็นเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น ข้ายอมฆ่าเจ้าให้ตายดีกว่า"

    ไวโอเล็ตนิ่งเงียบเพื่อใช้เวลาคิด ก่อนเอ่ย "ท่านหวงข้าเหรอ?"

    มีน่าบอกว่านางจะปล่อยเธอไปหลังจบสงคราม การสลักชื่อของนางเพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นคนของใคร เพราะหากเธอมีคนอื่นจริงๆ เธอขึ้นเตียงกับคนคนนั้นแน่ และเมื่อคนคนนั้นเห็นร่องรอยภายใต้เนื้อผ้าของเธอ พวกเขาจะถอย แต่หากพวกเขาไม่ถอย นางจะฆ่าเธอ

    นางยอมให้เธอตายดีกว่าเห็นเธออยู่กับคนอื่นเหรอ...

    "หวง" มีน่ารับคำ นางยกมือขึ้นกอดอก

    "ท่านรู้สึกยังไงกับข้ากันแน่" เธอตัดสินใจถามออกไปตามตรง "ครั้งนี้อย่าพูดโกหกหรือพยายามเฉไฉอีกเลยดีกว่า ท่านไม่คิดเหรอว่าหมดเวลาจะเล่นสนุกกับข้าแล้ว ท่านอาจารย์"

    "ก็จริง" นางบิดยิ้ม ก่อนเอนตัวมาข้างหน้า จรดสายตามองร่างกายของเธอ "ข้าพูดจริงเรื่องไม่รู้สึกถึงความรัก ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง"

    "..." เธอรอให้นางพูดต่อ มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอก เธอทราบดี

    "แต่ว่า...หากการที่ข้าอยู่ใกล้เจ้าแล้วรู้สึกอยากทำให้เจ้ามีความสุข หากการที่เห็นรอยยิ้มของเจ้ามันทำให้ข้ามีความสุข หากความผูกพันธ์สามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ หากมันทำได้ตอนนี้ข้าก็คงจะรักเจ้า"

    นางพูดทุกอย่างออกมาด้วยสีหน้าไม่แสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริง

    มีน่าที่เธอรู้จักคือคนที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกของตัวเองให้ใครเห็น ไม่ว่าจะเป็นทางสีหน้า แววตา รวมถึงการกระทำ

    เพราะฉะนั้นมันก็เหลือแค่เธอว่าจะคิดยังไงกับมัน เธอจึงใช้ความเชื่อของตัวเองในการตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

    การตัดสินใจของเธอคือ 'เธอเชื่อในคำพูดนั้น' ไม่ว่ามันจะเป็นความเชื่อที่ผิดหรือไม่ก็ตาม

    "มาหาข้าได้ไหม มาตรงนี้" ไวโอเล็ตขยับขึ้นไปพิงหัวเตียง มีน่าตามมาอย่างว่าง่าย เธอใช้สองแขนโอบรอบคอของนางไว้ให้ชิดใกล้ "ท่านเข้าใจถึงความรู้สึกของข้าดีอยู่แล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก"

    "รู้" นางรับคำ ใช้ปลายจมูกไล้แก้มของเธออย่างเชื่องช้า

    "ท่านอยากให้ข้าทรยศราชินีแอสทริดและขายข้อมูลของแพนเธียให้ท่านใช่ไหม" เธอถาม ลูบปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังบางของนาง เคยอยากจะทำแบบนี้มานานมากแล้ว "หากท่านตอบว่าใช่ และตกลงจะยอมทำตามที่ข้าขอ ทุกข้อมูลที่ข้ารู้จะเป็นของท่าน"

    "บอกสิ่งที่เจ้าต้องการมา" นางว่า มือคู่นั้นวางลงบนสะโพกของเธอ

    "ยอมเป็นของข้า เป็นคนรักที่ดีของข้า"

    นี่คือสิ่งเดียวที่เธอขอ

    เป็นคำขอที่โง่เง่าและไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนพูดออกไป

    "ข้ารู้ว่าท่านอาจจะหลอกข้าว่ารัก ยอมแสดงละครเป็นคนรักของข้าและสักวันหนึ่งอาจจะฆ่าข้าทิ้ง..." เธอปริปากพึมพำ "แต่ข้ายอม..."

    "..."

    "ยอมทุกอย่าง"

    ยอมโดนหลอกและเป็นคนโง่ ยอมปิดตาตัวเองจากความจริง เพื่อให้ได้นางมาอยู่กับเธอ

    "ไวโอเล็ต" นางเรียกชื่อของเธอ กดมือของเธอให้ราบลงกับเตียงนอนด้วยความแรงระดับกลาง "ข้าไม่เคยพูดโกหกกับเจ้า"

    "..." เธอนิ่งเงียบเมื่อนอนราบลงกับเตียงโดยมีมีน่าอยู่เหนือร่าง ความร้อนลื่นไหลจากดวงตาเธอ

    "ข้าจะไม่ขอให้เจ้ามองตาข้าแล้วบอกว่ามันจริงหรือไม่จริง" นางกระซิบที่ข้างใบหู ใบหน้าโน้มลงต่ำยิ่งขึ้น "แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้เอาไว้...เจ้าคือจุดอ่อนเดียวที่ข้ามี"

    ไวโอเล็ตโดนจูบในทันทีที่มีน่าพูดจบ ความรู้สึกอะไรบางอย่างถูกปลุกขึ้นในร่างกายเธอ ความรู้สึกที่พร้อมจะพลีกายให้นาง ความรู้สึกที่พร้อมจะตามนางไปทุกๆ ที่ที่นางไป ความรู้สึกแบบที่ว่าอยากกระชากหัวใจตัวเองออกมาแล้วมอบมันให้

    ความรู้สึกหิวกระหายและโหยหาในตัวนางอย่างรุนแรง

    มันเหมือนกับว่านางเปลี่ยนเธอ...

    ให้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่บ้าคลั่งในตัวนางคนเดียว

    "ปล่อยตัวตามสบาย" มีน่ากระซิบเมื่อถอดเสื้อของตัวเองออกจากร่างกาย ส่วนไวโอเล็ตใช้มือช่วยนางดึงกางเกงขายาวรัดรูปที่เกะกะออกไปอย่างรีบร้อน "ข้ารู้ว่าเจ้าชอบแบบไหน"

    ข้าก็รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบแบบไหน...ข้าอยากเจ็บปวดเพราะท่าน ได้โปรดทำลายข้าด้วยสองมือคู่นั้น จูบข้าอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ดวงใจของข้า แสงสว่างของข้า ข้าต้องการท่านมากจริงๆ

    บนเตียงขนาดใหญ่นั้น เราเบียดกายให้แนบชิดจนคับแคบและเร่าร้อนกันตลอดทั้งคืน

    วันรุ่งขึ้น ไวโอเล็ตที่สวมเสื้อแขนยาวตัวใหญ่เพียงตัวเดียวนั่งกอดแขนมีน่าอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ส่วนคนรักอย่างเป็นทางการของเธอกำลังสูบยาสูบอย่างสบายอารมณ์

    เราสองคนยังไม่ได้นอน มีน่าบอกกับเธอว่ามีประชุมในช่วงสาย เราเลยอาบน้ำด้วยกันแล้วลงมานั่งรอให้ขุนพลคนอื่นมาถึง

    เธอซบใบหน้าลงบนไหล่ของขุนพลลำดับที่สาม เอี้ยวมองเสี้ยวหน้าคมคายอย่างรักใคร่

    ไม่ถึงสิบนาทีขุนพลอีกห้าคนก็เดินเข้ามาด้วยกัน พร้อมกับท่านเซฟีร่าและท่านไอริ

    "ไวโอเล็ต?" ท่านไอริส่งเสียงเรียกเธออย่างสงสัย

    แต่เธอเพียงแค่ยกยิ้ม แล้วเมินนาง ในที่นี้ไม่มีใครน่าสนใจเท่ามีน่าอีกแล้ว ในสายตาของเธอมีแค่นางเท่านั้น

    คนอื่นหาที่นั่งแล้วนั่งลง เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับขุนพลลำดับที่หนึ่ง ลินดิส อย่างพอดิบพอดี

    ร่างกายของไวโอเล็ตยังคงรอยผ่าวเพราะรอยจูบทั่วทั้งตัวที่มีน่าทิ้งเอาไว้ ระหว่างที่เหล่าขุนพลกำลังเปิดประชุมกัน

    "วันรุ่งขึ้นเราจะบุกอาณาจักรป่ากัน" ลินดิสแง้มและอธิบายแผนการของตัวเอง "เราจะทำลายพวกมันให้ย่อยยับ ขังราชินีของพวกมันเอาไว้ ตัดกำลังเสริมของศัตรูในวันรบจริง"

    ขุนพลลำดับที่หนึ่งหันมามองเธอ

    "เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าศัตรูของเราจะเดินทัพมาถึงไพธอนเมื่อใด"

    ไวโอเล็ตยกยิ้มเมื่อตัวเองเป็นประโยชน์ เธอคำนวนเรื่องระยะเวลาการเดินทัพในหัว ระยะห่างจากเมืองหลวงแพนเธียมาถึงเมืองใหญ่ไพธอน จำนวนคน และวันเวลาที่เคยได้รับแจ้งมา

    "อีกสี่วันเพคะ" เธอตอบในที่สุด

    ลินดิสพยักหน้ารับคำ "วันนี้ข้าจะกลับไปยังอาณาจักรป่าเพื่อดูลาดเลา ส่วนคนที่ข้าจะให้นำทัพในครั้งนี้คือบัตเตอร์ฟลายกับมีน่า"

    นางเพิ่งพูดชื่อคนรักเธอเหรอ?

    กริ๊ก!

    "เจ้า..." ขุนพลลำดับที่หนึ่งชะงัก

    ไวโอเล็ตบิดยิ้มด้วยความไม่พอใจบนริมฝีปาก เมื่อครู่เธอคว้าปืนที่ซ่อนอยู่ตรงเอวของมีน่าแล้วขึ้นไกปืน ก่อนจ่อมันไปยังลินดิส

    "ข้าให้โอกาสท่านเปลี่ยนคน" เธอกล่าวอย่างหงุดหงิด "ท่านอาจารย์จะไม่ไปไหนจากข้าทั้งนั้น"

    ขุนพลคนอื่นในห้องมีความเคลื่อนไหว

    มีน่าที่หลุดหัวเราะกับท่าทางของเธอ

    เวเรสหลุดยิ้ม แม้พยายามปั่นหน้าให้ดูเครียดมากก็ตาม

    บัตเตอร์ฟลายยกมือขึ้นกอดอกอย่างอยากรู้ว่าลินดิสจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้

    นาตาเลียไม่ใส่ใจ นางดูจะสนใจแค่เฉพาะตอนลินดิสพูดถึงแผนการรบ

    ส่วนลิเลียน่านั้นมีการตอบรับที่รุนแรงกว่าคนอื่น นางขมวดคิ้ว ดาบเวทมนตร์ปรากฏในมือนั้นแล้วจ่อชี้มาที่เธอ นัยน์ตาสีทองแฝงไปด้วยความหมายที่ต้องการจะฆ่าเธอ

    แม้แต่คนรักของขุนพลอย่างท่านเซฟีร่าและท่านไอริยังดูตกใจ

    แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่สร้างความหวาดกลัวให้ไวโอเล็ตได้

    "ข้าจะไม่พูดซ้ำสองว่าต้องการอะไร" เธอย้ำอย่างเรียบง่าย ส่วนท่านมีน่าที่เธอกอดอยู่ไม่มีความเห็นใดๆ นางพ่นควันยาสูบแล้วเอนตัวผ่อนคลายบนโซฟา

    นัยน์ตาสีขาวบริสุทธิ์ของลินดิสดำมืด นางหลุดยิ้มออกมาแล้วพยักหน้า

    "ก็ได้ เช่นนั้นบัตเตอร์ฟลายไปกับลิเลียน่า"

    นางส่งขุนพลลำดับที่ห้าและหกให้ไปโจมตีอาณาจักรป่าแทน

    ขุนพลลำดับที่ห้ามองเธอที่ยังจ่อปืนไปยังลินดิสแล้วสลายดาบเวทมนตร์ไป นางนั่งลงเหมือนเดิม เธอที่เห็นแบบนั้นก็ลดปืนของตัวเองลงด้วย แต่ก็ยกปืนขึ้นในวินาทีถัดมาอย่างรวดเร็ว

    ปัง!

    เธอปล่อยกระสุนให้โลดแล่นเป็นอิสระ

    กระสุนเม็ดนั้นปะทะกับลูกดอกจากหน้าไม้ของลินดิสอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังลินดิสตัวจริงที่นั่งอยู่บนโซฟา

    ลินดิสอีกคนมีทุกอย่างที่เหมือนกับลินดิสตัวจริง เพียงแค่เลือนลางมากราวกับเป็นตัวตนแห่งความตาย สีสันของนางเป็นสีเทาเสียส่วนมาก หากไม่สังเกตให้ดีคงมองไม่เห็น

    เธอไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ร่างแยก? ร่างเงา?

    ขุนพลลำดับที่หนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองแล้วเดินมาหาเธอ นางโน้มตัวลงจูบบนหน้าผากของเธอท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนในห้อง

    "ข้าชอบคนนี้" นางกล่าว

    เพล้ง!

    เวเรสทำแก้วน้ำหลุดมือจนมันหล่นแตก

    ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงหายใจ

    "เกิดอะไรขึ้น" เธอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ขณะมองตามลินดิสที่กลับไปนั่งที่ตัวเอง

    "ก็ไม่มีอะไรมาก" บัตเตอร์ฟลายทำสีหน้าพิศวง

    "เจ้าแค่เป็นคนแรกที่ลินดิสทำแบบนั้นด้วย...แค่นั้นเอง" ลิเลียน่ากล่าวต่อจนจบ

    ไวโอเล็ตไม่ใส่ใจ เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับนัยน์ตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยของมีน่าแล้วสอดมือเข้าไปในมือของนาง กระชับเบาๆ เพื่อให้นางทราบว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับท่าทางพวกนั้น

    ลินดิสส่งยิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้ายอย่างจงใจแล้วเริ่มพูดต่อ

    "บัตเตอร์ฟลายกับลิเลียน่า เดี๋ยวพวกเจ้าตามข้าไปที่นรกภูมิ ทหารกองเล็กถูกแบ่งจากทัพใหญ่เอาไว้แล้ว เราจะบุกวันรุ่งขึ้นในเวลาเก้าโมงเช้า"

    "ข้าขอไปด้วยได้ไหม" ท่านไอริกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

    "ไม่" ลินดิสและบัตเตอร์ฟลายตอบพร้อมกัน ก่อนบัตเตอร์ฟลายจะกล่าวต่อ "ไอริ ข้ากับเจ้าเรามีเรื่องต้องตกลงกัน แต่เก็บไว้คุยตอนกลางคืน รอได้ไหม"

    "นายหญิง" ท่านไอริพึมพำ ดูไม่อยากตอบรับ แต่สุดท้ายก็จำใจ "ได้ค่ะ"

    "เจ้ารู้หน้าที่ที่ต้องทำแล้วใช่ไหม เวเรส" ลินดิสหันไปหาขุนพลลำดับที่สี่

    "อืม" เวเรสตอบรับด้วยการครางในลำคอ "เดี๋ยวข้ากับเซฟีร่าจะไปตรวจสอบคลังอาวุธ ทัพใหญ่จะถูกจัดเตรียมหลังจากทัพเล็กโจมตีอาณาจักรป่าแล้ว"

    "ดีมาก นาตาเลีย" ลินดิสหันไปหาขุนพลลำดับที่สอง "กองทัพของอาณาจักรแวมไพร์พร้อมเคลื่อนทัพมาเมื่อไหร่ก็ให้มาได้เลย แต่จะเหมาะสมมากหากว่ามาถึงในอีกสองวันข้างหน้าในเวลาเที่ยงคืนตรง"

    "สงครามจะเริ่มในเวลากลางคืนใช่ไหม" นาตาเลียถาม

    "หกโมงเช้ากับหกโมงเย็น ได้ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าทั้งเราและศัตรูของเรานำทัพเข้าสู่อาณาเขตสนามรบได้เมื่อไหร่" มีน่ากล่าว "และที่เป็นเวลาหกโมง เพราะมันคือเวลาที่แสงสว่างและความมืดหล่อรวมอยู่ในระดับเดียวกัน"

    "เราจะทำให้แน่ใจว่าต้องเป็นเวลาหกโมงเย็นเท่านั้น" ลิเลียน่าเสริม

    ไวโอเล็ตคิดตามคำพูดของเหล่าขุนพลเงียบๆ แผนการของพวกนางล้วนแล้วแต่เป็นแผนสถานการณ์เฉพาะหน้า

    อย่างเช่นการจะทำให้สงครามเริ่มในเวลาหกโมงเย็น กลางคืนเป็นเวลาที่กองทัพแวมไพร์และกองทัพแห่งความมืดแข็งแกร่งที่สุด นอกเหนือจากนั้นไม่มีใครพูดถึงกำลังรบอีกเลย

    ราวกับว่า แค่หาความได้เปรียบนิดๆ หน่อยๆ จากสมรภูมิและเวลาก็สามารถชนะได้ เรื่องกำลังรบไม่ต้องกังวล

    "ข้าขอเสนอความคิด" เสียงของมีน่าทำให้ไวโอเล็ตเงยหน้าขึ้นมองนาง รอยยิ้มของนางเย็นชา "หากในอีกสี่วันข้างหน้าทัพของพวกมันยังเคลื่อนมาไม่ถึงสนามรบ เราก็เคลื่อนทัพโจมตีเมืองไพธอนก่อน เพื่อใช้เมืองนั้นเป็นชัยภูมิตั้งรับ หรือใช้มันเป็นสนามรบเลยย่อมได้เช่นกัน"

    "ได้" เวเรสตอบรับความคิดของมีน่าอย่างรวดเร็ว "มีเรื่องอะไรที่ต้องทราบอีกไหม ลินดิส"

    "นี่คือเบื้องต้นสำหรับวันรุ่งขึ้น นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรแล้ว" ลินดิสลุกขึ้นยืน "บัตเตอร์ฟลาย ลิเลียน่า ตามข้ามา"

    "ก่อนไป ข้ามีอีกเรื่องอยากจะบอก" ไวโอเล็ตยกยิ้มแล้วมองแผ่นหลังลินดิสที่หยุดนิ่ง

    นางหันเสี้ยวหน้าที่ฉาบเคลือบด้วยความร้ายกาจมามอง

    ขุนพลคนอื่นก็หันมามองเช่นเดียวกัน

    "ราชินีอันนามีอาวุธลับที่พวกท่านต้องไม่ชอบใจแน่ๆ...อยู่อย่างหนึ่ง" เธอเตือนเพราะเห็นแก่ที่คนพวกนี้เป็นสหายของมีน่า "ข้าไม่แน่ใจในรายละเอียด แต่หากข้าจำไม่ผิดการส่งมอบอาวุธลับนั้นเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน"

    "..." สองอาทิตย์ก่อนเป็นช่วงทามไลน์เวลาที่งานแต่งงานจอมปลอมระหว่างขุนพลลำดับที่ห้ากับทูตสวรรค์ถูกจัดขึ้น

    "ตอนนี้ข้าคิดว่า 'คนคนนั้น' อยู่กับราชินีแอสทริดแล้ว"

    "ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร" ลินดิสยกมุมปากขึ้นอย่างเลือนลาง "ข้าจะจัดการกับมันเอง"

    สงสัยตำแหน่ง 'ขุนพลลำดับที่หนึ่ง' จะไม่ใช่แค่โชคช่วยและมีดีแค่สติปัญญาอย่างที่ท่านทาร่าเคยกล่าวไว้

    ไวโอเล็ตอมยิ้ม มองเวเรสกับท่านเซฟีร่าที่ลุกตามออกไป สองคนนี้คงไปดูคลังอาวุธอย่างที่ว่าไว้ ส่วนท่านไอริเดินขึ้นห้องนอนเพื่อไปพักผ่อน สาเหตุที่ท่านไอริไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไปวันรุ่งขึ้นเพราะนางป่วย

    "ข้าจะกลับอาณาจักรแวมไพร์" นาตาเลียหันมากล่าวกับมีน่า

    "ไปเถอะ เดี๋ยวข้าอยู่ที่นี่เอง" ขุนพลลำดับที่สามตอบรับ

    จนกระทั่งภายในบ้านหลังนี้เหลือแค่เราสองคน

    "ในที่สุด" ไวโอเล็ตพ่นลมหายใจออกมา เธอยืดตัวขึ้นจูบลงบนแก้มของมีน่า "ท่านเหนื่อยไหม เราไปพักผ่อนกันก่อนดีหรือเปล่า"

    "ข้าไม่เป็นไร ยังมีเรื่องที่ข้าสงสัยอยู่" มีน่ากล่าว นางลุกขึ้นแล้วเรียกให้เธอเดินตามไปทางสายตา

    พวกเราเดินมาถึงห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สลักถูกเปิดออก เผยให้เห็นถึงห้องทำงานที่หรูหราที่มีทั้งชั้นวางหนังสือและเอกสารเต็มไปหมด มีน่าเดินไปยังกองกระดาษขนาดใหญ่บนโต๊ะแล้วหยิบกระดาษสี่แผ่นขึ้นมา

    "กระดาษพวกนั้นคืออะไรหรือ" เธอโอบเอวนางไว้จากทางด้านหลัง เอี้ยวมองอย่างสงสัย

    "รายงานสรุปผลสงครามของขุนพลลำดับที่เจ็ด แปด เก้า และสิบ" มีน่ากล่าว

    ไวโอเล็ตถือวิสาสะอ่านรายละเอียดในแผ่นกระดาษเหล่านั้นด้วย


    รายงานผลการรบขุนพลลำดับที่สิบ เซฟิส

    สถานะขุนพล : เสียชีวิตในการรบ

    สถานะทหาร : เสียชีวิต 34,851 รอดชีวิต 15,149

    ผู้สังหารขุนพลลำดับที่สิบ : ราชินีวิหารแห่งแสง อิลูเมีย

    รายละเอียดการรบ : การรบเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเช้าและจบในเวลาสี่โมงเย็นกว่าๆ สังหารดิแรค หนึ่งในผู้นำสภาเวทมนตร์ลงได้

    รายงานผลการรบขุนพลลำดับที่เก้า เรียวมะ

    สถานะขุนพล : เสียชีวิตในการรบ

    สถานะทหาร : เสียชีวิต 39,010 รอดชีวิต 10,990

    ผู้สังหารขุนพลลำดับที่เก้า : ราชองครักษ์วิหารแห่งแสง ซีเนียล

    รายละเอียดการรบ : การรบเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเย็นและจบในเวลาบ่ายสองโมงของอีกสองวันถัดมา สังหารเอ็นโซ หนึ่งในเทพสภาของวิหารแห่งแสง, วูคอง หนึ่งในเทพสภาของวิหารแห่งแสง, เพนณ์ ผู้นำรบสภาเวทมนตร์, อารัม ผู้นำรบอาณาจักรแห่งป่า, แวนไฮล์ ผู้นำรบอาณาจักรแพนเธีย

    รายงานผลการรบขุนพลลำดับที่แปด คีร่า

    สถานะขุนพล : เสียชีวิตในการรบ

    สถานะทหาร : เสียชีวิต 50,000 รอดชีวิต 0

    ผู้สังหารขุนพลลำดับที่แปด : ราชินีเหล่าเอลฟ์ เทล อันนาส

    รายละเอียดการรบ : การรบเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเย็นและจบในเวลาหกโมงเย็นวันถัดมา ไม่มีข้อมูลว่าศัตรูสูญเสียใครไปบ้างเนื่องจากไม่เหลือทหารและศพเอาไว้ให้ดู

    รายงานผลการรบขุนพลลำดับที่เจ็ด โอเมน

    สถานะขุนพล : เสียชีวิตในการรบ

    สถานะทหาร : เสียชีวิต 20,613 รอดชีวิต 29,387

    ผู้สังหารขุนพลลำดับที่เจ็ด : หนึ่งในผู้นำสภาเวทมนตร์ ดาร์ซี่

    รายละเอียดการรบ : การรบเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเช้าและจบในเวลาเที่ยงตรง สังหารเตียวเสี้ยน ผู้นำรบสภาเวทมนตร์และกษัตริย์แพนเธียคนปัจจุบัน


    ไวโอเล็ตขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองมีน่า

    "ทำไมตัวเลขเสียชีวิตทหารของขุนพลลำดับที่แปดมันแปลก" เธอถาม รายงานแบบนี้แพนเธียไม่เคยทำมันมาก่อน และเธอเองก็ไม่เคยได้รับด้วย

    "ข้าสงสัยมานานแล้ว เราทุกคนสงสัย" มีน่าพึมพำ นางวางกระดาษลงบนโต๊ะแล้วดูครุ่นคิด "เป็นไปได้ว่าคีร่าอาจยังไม่ตายก็ได้ ข้าจำได้ว่าพวกเราหาศพนางไม่พบ แต่อาณาเขตสู้รบแทบไม่เหลือโครงเดิม"

    "ตอนแรกพวกท่านคิดว่าร่างของคีร่าน่าจะเละไปแล้วเหรอ" เธอกระชับวงแขนของตัวเอง

    "ใช่"

    "หากนางเป็นอาวุธลับอย่างที่ว่าไว้จริงๆ ท่านจะทำยังไง"

    "พวกเราที่เหลืออยู่ทุกคนแข็งแกร่งกว่านางหลายเท่า แต่หากทักษะการต่อสู้ของนางได้รับการส่งเสริมอย่างดีจากศัตรูของเรา ข้าก็ไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้เช่นกัน"

    นัยน์ตาของมีน่าไร้ความกลัวและความกังวล ไวโอเล็ตกอดแขนนางไว้ตอนที่พวกเราเดินออกมาจากห้องทำงานนั้นแล้วกลับขึ้นห้อง

    เราสองคนล้มตัวลงนอนบนเตียง เธอเบียดกายเข้ากับความอบอุ่นจากร่างกายนาง

    "ท่านพักผ่อนหน่อยดีกว่า ข้าไม่อยากให้ท่านหักโหม" ไวโอเล็ตกล่าว เธอเองก็แทบไม่มีอะไรต้องกังวลเช่นกันเกี่ยวกับสงครามที่จะเกิด เหมือนกันกับมีน่า เธอไม่คิดถึงชัยชนะและความพ่ายแพ้

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอคิดคือการเข้าร่วมสงครามกับนาง ต่อสู้เคียงข้างนาง และหากนางพลาดท่าจนถึงแก่ความตายขึ้นมา...เธอจะตายกับนาง

    "อืม พักหน่อยก็ดี" มีน่าหลับตาลง มือของนางลูบไล้แก้มของเธอเล่น จนเวลาผ่านไปสักพักมันก็นิ่งลงเมื่อเจ้าของร่างกายเข้าสู่ห้วงนิทรา

    แต่ไวโอเล็ตยังไม่หลับ

    เธอคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว

    มือลูบไล้ไปตามหน้าท้องของอาจารย์อย่างเชื่องช้า...

    ไม่นานนักความง่วงก็แทรกผ่านเข้ามาในโสตประสาท กลบเกลื่อนเรื่องที่กำลังคิดอยู่ให้จางหายไป เธอจูบมีน่าเบาๆ แล้วตามเข้าสู่ภาวะหลับใหล


    ทาร่ายกขาขึ้นไขว่ห้างขณะมองตรงไปยังเด็กผู้หญิงตรงหน้า ใบหน้าอ่อนโยนกับรอยยิ้มน่ารักบนริมฝีปากหลอกเธอไม่ได้อย่างที่นางใช้มันหลอกคนอื่น

    "คีร่า"

    คนถูกเรียกชื่อยังคงรอยยิ้มเอาไว้

    นางยังเหมือนเดิมในความทรงจำของเธอ ขุนพลลำดับที่แปด

    หรือไม่ก็เป็นเพียงแค่อดีตขุนพล

    "ท่าทางง่วงนอนของเจ้าหายไปไหนหมดแล้ว ทาร่า" นางกล่าวจบก็ยกโกโก้ร้อนขึ้นดื่ม ตรงหน้าเราสองคนมีเค้กวานิลลาตั้งอยู่ทั้งก้อน คิดว่านางเองก็คงชอบขนมหวานไม่แพ้เธอ แอสทริดถึงสั่งทำเค้กทั้งก้อนขึ้นมาเพื่อให้พวกเราทานระหว่างนั่งสนทนากัน

    ทาร่าตัดเค้กเป็นสองส่วน แล้วเลื่อนอีกส่วนหนึ่งไปให้คีร่า ไม่จำเป็นต้องตัดชิ้นเล็กกว่านี้

    "ทำไมยังไม่ตาย รอดมาได้ยังไง" เธอถามกลับไป ไม่ตอบคำถามของนาง

    "ราชินีอันนาเห็นใจข้า นางเอ็นดูและไว้ชีวิตข้าในสงคราม ตอนที่ข้ากำลังจะตาย...นางสั่งการอย่างลับๆ ให้ช่วยชีวิตข้าไว้ ผู้รับทราบมีแค่คนระดับผู้นำเท่านั้น"

    คีร่าพักการเล่าเรื่องเนื่องจากตักเค้กขึ้นมาทาน

    ส่วนทาร่าที่เป็นเพียงผู้รับฟังก็ทานเค้กจนหายไปแล้วหนึ่งในสี่ส่วน

    "นางตัวคนเดียวตามฆ่าทหารของข้าตอนนั้นทุกคนเพื่อไม่ให้มีผู้ใดสามารถกลับไปรายงานได้ว่าข้ายังไม่ตาย" นางเล่าต่อ

    "..." ทาร่ารับฟังแบบไม่ออกความเห็นและไม่สงสัย

    "นางเก็บข้าไว้ เลี้ยงดูข้าแบบเงียบๆ ที่บ้านลับของนางในป่าลึก แต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนข้าถูกส่งตัวมาที่แพนเธีย อาศัยอยู่ในบ้านของนาง เพื่อมาปรากฏตัวที่วังในวันที่พวกเจ้าต้องการข้ามากที่สุด"

    "แล้วอันนาทราบหรือยังว่าลินดิสเป็นขุนพลลำดับที่หนึ่ง" เธอถาม

    "ข้าเพิ่งเล่าไปเมื่อสองเดือนก่อน แต่นางยังไม่ได้จัดการลินดิส เพราะลินดิสไม่ค่อยเข้ามาที่อาณาจักรเอลฟ์ ลินดิสมีหมู่บ้านของนางที่อยู่ไกลออกไป และเป็นเพราะลินดิสมักใช้เวลาอยู่กับพวกขุนพลมากกว่า" นางตอบ

    คีร่าไม่ค่อยพูดอะไรสั้นๆ นางมักพูดจายาวเหยียดและบรรยายอย่างละเอียดเสมอ

    ทาร่าคิดว่าราชินีอันนาคนนั้นช่างแปลกจริงๆ

    นางทราบตั้งแต่สองเดือนที่แล้วว่าขุนพลคือใครบ้างจากคีร่า

    แต่นางไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยสักคนเดียว

    แอด!

    เสียงประตูถูกเปิดขึ้น แอสทริดเดินเข้ามาในห้องแล้วพยักหน้าให้ทาร่า นัยน์ตาของนางตอนนี้แปรเปลี่ยนไป ข้างขวาเป็นนัยน์ตาสีน้ำตาลของมนุษย์ ส่วนข้างซ้ายเป็นนัยน์ตาสีโลหิตของแวมไพร์

    ทาร่ายกยิ้มอย่างภูมิใจในผลงานการถ่ายเทสายเลือดแวมไพร์ของเธอ

    ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่สามารถถูกเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์

    นางเป็นมนุษย์ การเปลี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์แวมไพร์จะช่วยให้นางมีอายุที่ยืนยาวขึ้น มีพลังกำลังและความเร็ว

    แต่เรื่องพลังที่แฝงอยู่ในดวงตา มีเพียงชนชั้นสูงของเหล่าแวมไพร์เท่านั้นที่ถ่ายทอดพลังแฝงเหล่านั้นมา และมันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

    แอสทริดเป็นคนที่ถูกทาร่าเปลี่ยนโดยตรง นางเลยได้รับพลังแฝงในดวงตานั้นมาพร้อมกับอสูรเทวะของนางเอง

    ส่วนอสูรเทวะ เราไม่ได้เลือกกันเองหรอกว่าอยากได้สัตว์แบบใด ประเภทใด มันจะถูกคัดเลือกมาให้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เป็นแวมไพร์แล้ว

    อย่างทินทิน เสือของเธอก็เป็นสัตว์โบราณ ภายนอกมันอาจดูเป็นเสือทั่วไป แต่มันเก่าแก่และพิเศษกว่านั้นเยอะมาก

    แวมไพร์เป็นสายเลือดที่ลึกลับและทรงอำนาจมาก

    "ไปกันเถอะ" ทาร่าเรียกอดีตขุนพลลำดับที่แปดแล้วเดินไปโอบเอวแอสทริด "พันธมิตรฝ่ายอื่นมากันครบแล้ว ตอนนี้เราจะเคลื่อนทัพไปยังไพธอน"

    "ราชินีแอสทริด" คีร่าวิ่งมาจากเก้าอี้แล้วจับมือขวาของแอสทริดไว้ ส่วนทาร่าขมวดคิ้วกับการกระทำของนาง "หากสองวันนี้ข้าหิวของหวานข้าจะทำยังไงดี ท่านได้เตรียมอะไรไว้ให้ข้าไหม"

    "ไม่ต้องห่วง คีร่า เจ้าไม่ใช่คนแรกที่เสพติดของหวาน" แอสทริดยิ้มหวานแล้วลูบหัวคีร่า นัยน์ตาของคนรักเหลือบมองมาที่เธอเล็กน้อย "ข้าส่งคนครัวของเราไปรออยู่ที่เมืองไพธอนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกเขาจะเตรียมน้ำ อาหาร และของหวานไว้ให้เจ้าเอง"

    อย่างน้อยทาร่าก็อุ่นใจเรื่องของหวานไปได้หนึ่งเรื่อง


    ตกดึกคืนเดียวกัน

    "ลินดิ...ส" เสียงของราชินีอันนาแหบพร่า นางนั่งลงบนเตียงโดยมีร่างของลินดิสตามไปนั่งทาบทับอยู่ข้างบน ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ขับเคลื่อนเราสองคนให้มาอยู่ในจุดนี้

    ร่างกายร้อนผ่าวของเราบดเบียดกัน ลินดิสกัดริมฝีปากขณะจินตนาการถึงสิ่งที่นางจะทำกับเธอบนเตียงนี้ เธอไม่ได้เมามากขนาดนั้นเพราะตัวเองคอแข็ง แต่การเล่นดวลเหล้ากับพวกสภาสิบสองโดยที่ราชินีอันนาร่วมเล่นด้วยไป ยอมรับว่าสติแทบจะหายไปเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์

    หลังจัดการเรื่องการบุกที่จะมีในวันรุ่งขึ้นเสร็จ เธอก็กลับมายังอาณาจักรป่า พวกมันจัดงานเลี้ยงกันเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบห้าร้อยปีในการครองราชบัลลังก์ของราชินีแห่งป่า

    "ราชินีอันนา..." เสียงของเธอเต็มไปด้วยความเสน่หา

    ริมฝีปากของคนเป็นราชินีแห่งป่าแตะลงบนลำคอของเธอ...ก่อนนางจะชะงัก

    "ไม่..." นางส่ายหน้า เงยหน้าขึ้นสบตาเธอที่นั่งคร่อมอยู่บนตักด้วยดวงตาที่หวานเชื่อม "อย่า...เราไม่ควรทำแบบนี้"

    "ทำไม?" เธอกระซิบแนบชิด ประคองใบหน้านางไว้ด้วยสองมือ

    "ข้ากับเจ้า เราไม่ได้รักกัน..."

    เป็นอีกครั้งที่ความเจ็บปวดเสียดแทงในใจเธอ เพราะผู้หญิงคนนี้ที่เธอหลงรักมาตลอดยี่สิบปีไม่เคยหันกลับมามองเธอเลย เธอไม่เคยอยู่ในสายตาและความสนใจของนางมาก่อน

    เพราะแบบนั้นเธอถึงเลือกที่จะโจมตีอาณาจักรป่าเป็นที่แรก เพื่อเหยียบย่ำนาง เพื่อเตือนให้นางรู้ว่าควรมองแค่เธอคนเดียว

    "แต่ข้าไม่สนใจอะไรแบบนั้น" เธอจูบนาง

    "...อือ" นางครางเพราะการจูบที่หนักหน่วงจากเธอ

    "ทำข้าสิ...ทำเดี๋ยวนี้"

    ลินดิสกล่าวอย่างแข็งกร้าวและเริ่มบดสะโพกลงบนตักของนางอย่างเชื่องช้า...


    [100%]

    - Mina -
    3rd Warlord
    Cast By -

    - Violet -
    Secret Team's Leader of Panthea Kingdom
    Cast By Dasha Taran

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×