ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black N Blue (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #58 : Black N Blue❖The destroyer 'six warlords' 21

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 957
      156
      27 เม.ย. 63

    Warning

    about The destroyer 'six warlords'

         เนื้อหามีความรุนแรง ค่อนไปทางสีเทาและดำ การกระทำและความคิดความอ่านของตัวละครไม่สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างอย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีวิจารณญาณในการอ่าน


    Song; Skillet- Hero


    EPISODE21

    Alternative Universe 04The destroyer 'six warlords'


    บัตเตอร์ฟลายรอวันนี้มานานแล้ว วันที่เธอสามารถฆ่าลูกสาวของคนสารเลวที่ฆ่าครอบครัวของเธออย่างแอสทริดได้

    นัยน์ตาสีฟ้าทะเลของขุนพลลำดับที่หกส่องประกายราวกับไข่มุกสีขาว มันวาววับเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงน้ำพุเลือดที่จะไหลทะลักออกมาเมื่อเธอเสียบดาบเข้าไปในลำคอของราชินีแห่งแพนเธีย แต่ชั่ววูบหนึ่งกลับรู้สึกถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่จับจ้องมาที่เธอคนเดียว และคนมองคือทาร่า

    บัตเตอร์ฟลายมองทาร่าเพียงแวบเดียวเท่านั้นเพราะไม่อยากใส่ใจ ก่อนเบนสายตามองไปยังเวเรสที่ยืนอยู่ซ้ายมือของเธอ

    ขุนพลลำดับที่สี่ยืนกอดอก หน้านิ่งคิ้วขมวด

    "กังวลอะไรอยู่" เธอกระซิบถาม

    "เปล่า" นางปฏิเสธ

    เธอไม่เซ้าซี้ ได้แต่พยักหน้าตอบรับว่าเชื่อคำพูดของนางเท่านั้น ต่อให้นางไม่ได้กังวลจริง...แต่สีหน้าที่ไม่สงบนิ่งแสดงให้เห็นว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

    ในเวลาที่เหลืออยู่ก่อนสงครามเริ่ม บัตเตอร์ฟลายใช้มันสังเกตขุนพลคนที่เหลือ

    ลินดิสมองราชินีอันนาแห่งอาณาจักรป่าแน่นิ่งอยู่แบบนั้น

    นาตาเลียเองก็กำลังมองคนคนหนึ่ง สตรีในชุดขาวที่เธอคิดว่าน่าจะไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อน

    มีน่ากำลังสูบยาสูบ กลิ่นหอมปนเลี่ยนลอยมาแตะจมูก

    ลิเลียน่าก็ยืนสูบอยู่กับมีน่านั่นแหละ แต่สายตาของนางเอนเอียงไปยังทัพศัตรูบ่อยกว่า คงกำลังมองลอเรียลที่ยืนกุมมือกับอิลูเมียอยู่ตรงนั้นแน่ๆ

    บัตเตอร์ฟลายสังเกตเห็นคีร่าเป็นครั้งแรก เด็กสาวที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ นางเดินแหวกทหารด้านหลังเข้ามาแล้วจับมือแอสทริดไว้ และทาร่าก็ไม่ได้ว่าอะไรที่คีร่าทำแบบนั้น

    เหมือนจะมีรูปแบบความสัมพันธ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกแล้ว

    "อีกหนึ่งนาที" ลินดิสกล่าวขึ้น

    บัตเตอร์ฟลายชักดาบออกมาแล้วทิ้งฝักเก็บดาบลงกับพื้น ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะพกสิ่งนี้อีก เวเรสสยายปีกสีเลือดของนางออก มีน่าหยิบไวโอลินออกมาถือไว้ ส่วนคนอื่นไม่มีอาวุธตายตัว พวกนางใช้มือเปล่าและพลังเวทในการต่อสู้

    "แล้วเจ้ากังวลรึเปล่า" เวเรสเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง

    เธอมองทัพศัตรู มองแม่ทัพและจำนวนของพวกมันที่รวมๆ แล้วมีเยอะกว่าเราอยู่หลายเท่า แล้วกล่าวตอบด้วยความมั่นใจ

    "ไม่เลยสักนิด"

    ถึงแม้ว่าลินดิสจะบอกพวกเราก่อนหน้านี้ว่ากับดักของนางถูกทำลายทิ้งด้วยเวทมนตร์แห่งแสง แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาแม้แต่นิดเดียว ต้องพูดว่า 'หากยังมีกับดักของลินดิสอยู่ต่างหาก ถึงจะเรียกว่าหมดสนุก' ซึ่งบัตเตอร์ฟลายจะเกลียดสงครามมากหากมันไม่มีความตื่นเต้นเร้าใจให้แก่เธอ

    "อีกสิบห้าวินาที" ลินดิสกล่าวขึ้นอีกครั้ง เป็นการนับถอยหลัง

    เวเรสชูมือขึ้นสูงเพื่อควบคุมการเป่าแตรเปิดศึก ไม่กี่วินาทีนางก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า ด้วยความเร็วที่มากพอจะเปลี่ยนแรงดันลมรอบตัวของพวกเรา

    เสียงแตรส่งสัญญาณโหยหวน เสียงคำรามดังขึ้นเมื่อทหารแห่งความมืดพุ่งทะยานไปข้างนอกราวกับเป็นหอกแห่งความตาย และหัวหอกนั้นคือบัตเตอร์ฟลายที่สายตาจับจ้องอยู่ที่แอสทริด ร่างกายของเธอตื่นตัว กล้ามเนื้อแข็งตึงและยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน เธอตวัดใบดาบใส่ราชินีแห่งแพนเธียทันทีที่เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในระยะที่สามารถโจมตีนางได้

    แต่ทาร่าก้าวมาข้างหน้าปัดการโจมตีของเธอออกด้วยใบดาบ ใบหน้านางเย็นชา เสียงปะทะรอบตัวเราปะทุขึ้น พร้อมกับความเดือดดาลที่แฝงอยู่ทุกอณูอากาศ

    นัยน์ตาสีโลหิตของอดีตขุนพลลำดับที่สองประสานอยู่กับเธอ และเธอรู้ทันทีว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร

    "ไม่ได้เจอกันนานนะ" นางทักทายเธอด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

    บัตเตอร์ฟลายกำลังจะตอบรับด้วยคำว่า 'อืม' แต่กลับต้องเอี้ยวตัวหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาโดยเล็งที่ลำคอของเธอเสียก่อน ความตระหนักรู้ว่าทาร่าจะฆ่าเธอแน่ๆ ทำให้เธอกลับมาเป็นตัวเองโดยสมบูรณ์ สติกับสมาธิที่เคยถูกปิดผนึกไว้เพราะเธอไม่เคยเอาจริงกับใครตั้งแต่แรกถูกเปิดออกในที่สุด

    แอสทริดกับคีร่าหลบไปทางอื่นแล้ว ทิ้งให้เธอยืนอยู่กับทาร่าในวงล้อมคับแคบของทหารสองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่

    หมับ!

    ต้นคอของบัตเตอร์ฟลายโดนคว้าไว้ ร่างกายของเธอโดนเหวี่ยงไปข้างหลังหลายร้อยเมตร แต่เธอไม่บาดเจ็บเพราะใช้น้ำหนักตัวถ่วงสมดุลร่างกายจนสามารถใช้เท้าเหยียบลงพื้นได้ก่อนที่ร่างกายจะไถลไปกับมันแทน

    ทาร่าตามล่าเธอ นางขยับเคลื่อนไหวมาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าความเร็วแสง แต่บัตเตอร์ฟลายทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเองจะได้เจอกับอะไร

    เราสองคนปะทะกัน ด้วยพละกำลังและความสามารถทั้งหมดที่มี

    เธอตวัดดาบใส่นาง กวาดสายตาหาช่องโหว่ของอดีตขุนพลลำดับที่สอง ใช้ขากันการโจมตีจากเบื้องล่างและยกมันขึ้นสูง กระทืบลงเต็มแรงตรงกลางหน้าอกทั้งๆ ที่เราสองคนยังยืนอยู่

    ทาร่าเซไปด้านหลังแล้วสำลักนิดหน่อย แต่นางสบายมาก เธอรู้

    บัตเตอร์ฟลายขยับปลายเท้าขวาไปข้างหลังขณะเอียงตัวเพื่อตั้งท่าเตรียม เธอใช้มือซ้ายถือดาบ ในขณะที่มือขวาเตรียมใช้พลังเวท สัมผัสกับแหล่งพลังงานโดยรอบที่อยู่ในสนามรบ

    เราพุ่งเข้าใส่กัน ปะทะดาบด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของนางพุ่งเข้าใส่เธอ และเลือดหยดแรกของเธอก็ตกลงสู่พื้นเมื่อแก้มโดนกรีดด้วยมือศัตรูจนเป็นรอยยาวไปจนเกือบถึงใบหูเพราะหลบไม่ทัน

    บัตเตอร์ฟลายไม่คิดว่าตัวเองจะบาดเจ็บเพราะทาร่าก่อน...

    เธอดูถูกการต่อสู้ตัวต่อตัวของนางมากเกินไปหน่อย

    "สีหน้าไม่ดีเลย" อดีตขุนพลลำดับที่สองกล่าวพลางบิดยิ้มยียวน

    "เหรอ" เธอตอบรับสั้นๆ แล้วใช้จังหวะที่นางถอยเคลื่อนตัวไปด้านหลังแล้วฟันลงไปยังเข่าขวาในทันที

    แน่นอนว่าทาร่าหลบ แต่นางไม่เร็วพอจะหลบมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

    นางกัดฟันกรอด ใช้พลังจิตจากดวงตาผลักร่างของบัตเตอร์ฟลายกระเด็นห่างออกมา แล้วถอยไปตั้งหลัก

    ดวงตาของทาร่าเรืองแสงสีแดง และร่างกายของบัตเตอร์ฟลายก็ราวกับถูกดึงดูดอย่างรุนแรงจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น ความเจ็บของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นทันทีที่เธอพยายามจะฉีกตัวออกจากอำนาจแรงโน้มถ่วงของทาร่า

    "ยังไงซะเจ้าก็เป็นแค่มนุษย์เท่านั้น ขุนพลลำดับที่หก" นางส่ายศีรษะขณะเดินเข้ามาใกล้เธอ "มนุษย์ก็ย่อมพบจุดจบแบบมนุษย์ คือการโดนฆ่าโดยผู้มีอำนาจทางเวทมนตร์"

    แปะ! แปะ!

    บางสิ่งบางอย่างตกลงกระทบกับแก้มของบัตเตอร์ฟลาย

    น้ำ? ฝนเหรอ...

    เธอเงยหน้าขึ้นในทันที ก่อนแสยะยิ้มใส่ทาร่า

    "ข้าไม่เคยใช้ ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีเวทมนตร์ ทาร่า" และในที่สุดบัตเตอร์ฟลายก็จำใจปลดล็อคพลังสุดท้ายของตัวเองออกมา เวทธาตุน้ำของเธอ

    ทาร่าดูไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูด นางเงื้อมมือขึ้นสูงพร้อมกับดาบที่ฉายแสงวาววับ

    "หอกน้ำ" บัตเตอร์ฟลายเรียกใช้พลังเวท น้ำฝนที่ควรตกกระทบพื้นถูกดึงดูดไปรวมกันอยู่บนฟ้า แล้วหอกขนาดใหญ่ประมาณหกเมตรก็ปรากฏขึ้น ทำให้อดีตขุนพลลำดับที่สองต้องหยุดชะงักการเคลื่อนไหวแล้วเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าเหนือหัวนาง

    "ข้าจะให้เจ้าลองดูครั้งหนึ่งก็ได้" นางบิดยิ้มอย่างคลุมเครือ

    บัตเตอร์ฟลายกัดฟันกรอดอย่างหัวเสีย

    เธอบังคับให้หอกน้ำพุ่งลงมาโจมตียังทาร่าทันที ก่อนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว

    มันคือดวงตาสีทองกลางหน้าผากของนาง

    เลือดสีแดงกระเด็นมาโดนใบหน้าของบัตเตอร์ฟลาย...

    หอกขนาดใหญ่แทงทะลุกลางลำตัวของอดีตขุนพลลำดับที่สอง สร้างแผลเปิดขนาดใหญ่ที่สามารถฆ่ามนุษย์ธรรมดาได้ภายในการโจมตีเดียว ทว่ากับนางไม่ใช่เลย แผลที่ควรจะร้ายแรงสมานหายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหอกน้ำของเธอที่แตกสลายหายไปหลังเสร็จสิ้นหน้าที่ของมัน

    "เจ้าไม่บาดเจ็บ" เธอลุกขึ้นยืนเพราะพลังแรงโน้มถ่วงของทาร่าไม่ได้กดให้เธอนั่งลงกับพื้นอีกต่อไป ไม่ได้ประหลาดใจกับร่างกายของนางแต่อย่างใด ดวงตาสีทองนั้นคือคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้ว "แต่เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าหากต่อสู้กับข้าแล้วเจ้าต้องเสียอะไร"

    ราชินีแวมไพร์พันปีกับมนุษย์อย่างบัตเตอร์ฟลายจะสามารถสู้กันได้แบบสูสีไหม?

    คำตอบคือได้

    ชีวิตพันปีของนาง...เธอจะจบมันให้ดู

    "มาเริ่มกันใหม่ไหม?" ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาจากฟ้า ชะล้างคราบเลือดและหลั่งรินลงบนศพของพลทหารที่อยู่ในสนามรบ บัตเตอร์ฟลายก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อท้าทายต่ออำนาจที่อยู่สูงกว่าตนเองอย่างไม่เกรงกลัว

    ทาร่าไม่ได้ตอบรับ นางแค่ยิ้มพร้อมประกายอำมหิตในดวงตาเท่านั้น


    แอสทริดสวมใส่เกราะของตัวเองที่ได้มาจากชายาคนแรกของทาร่า เธอกวาดตาไปรอบๆ ขณะเข้าโจมตีกับทหารฝ่ายความมืด โดยที่ข้างตัวก็มีคีร่าร่ายเวทและเข่นฆ่าพวกมันอย่างสนุกสนาน รวมถึงคอยปกป้องเวลาเธอพลาดไปด้วย อดีตขุนพลลำดับที่แปดติดเธอกว่าที่คิด เพราะแบบนั้นเธอจึงเหมือนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปโดยปริยาย

    บรรยากาศโดยรอบยิ่งมืดขึ้นไปทุกที แถมฝนยังตกหนักมาก มันทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง แต่แอสทริดมีสายเลือดแวมไพร์ผสมรวมอยู่ ทำให้ได้รับดวงตาที่สามารถมองในความมืดได้ดีเกินมนุษย์ทั่วไป

    ซึ่งเพราะบรรยากาศรอบข้างมันมืดครึ้มมาก บางสิ่งบางอย่างเลยชัดเจนกว่าปกติ...

    ลูกไฟขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพวกเรา ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่นัก เมื่อมองผ่านความโกลาหลไปก็เห็นเป็นขุนพลลำดับที่สาม มีน่า ซึ่งกำลังใช้เวทธาตุไฟแบบไม่เกรงใจลมฟ้าอากาศ

    แต่เวทมนตร์ของนางรุนแรงมาก แม้แต่ฝนแห่งความบ้าคลั่งยังไม่สามารถดับฤทธิ์ของมันให้มอดลงได้

    "คีร่า" เธอเรียกเด็กสาว ซึ่งผู้โดนเรียกก็รีบมาขมวดคิ้วเคียงข้างกายทันที "ไปกับข้า เราต้องหยุดนาง"

    คีร่ามองตามสายตาของเธอไป ก่อนมีสีหน้าพิศวงเมื่อเห็นมีน่า

    "นาง? ท่านจริงจังหรือเปล่า อย่างท่านมีน่าให้คนอื่นจัดการไปไม่ดีกว่าหรือ"

    ในสายตาของนางซุกซ่อนความกลัวไว้

    "ไม่ได้ คนอื่นไม่ว่าง เหลือแค่เรา" แอสทริดเองก็ไม่ได้อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายนัก แต่ทันทีที่เห็นมีน่าเหวี่ยงลูกไฟยักษ์อันนั้นใส่กองทัพของเธอ และมันระเบิดออกอย่างแรงจนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างขนาดนั้น เธอก็รู้ว่าเธอควรหยุดนางทันที

    คีร่าถอนหายใจระเรื่ออย่างขุ่นมัว ก่อนที่เด็กสาวจะขยับไปทิศทางของมีน่าในทันที

    แอสทริดขยับตามไป พยายามหลบผู้คนที่กำลังต่อสู้กันรอบตัว และไม่นานนักสายตาของมีน่าก็เอนมามองเธอ แต่ทันใดนั้นนางก็หลุบสายตาลงต่ำกว่าเดิม ในเสี้ยววินาทีเดียวกันแขนที่เคยอยู่นิ่งเฉยข้างลำตัวก็ถูกยกขึ้นแล้วตวัดอย่างไร้ความปราณี

    เพียะ!

    คีร่าโดนฟาดอย่างรุนแรงบริเวณแก้มขวาจนกระเด็นไปกับพื้น ขุนพลลำดับที่สามขยับกลับมายืนด้วยท่วงท่าเดิมอย่างไร้ความรู้สึก

    "กล้าดีมากที่คนทรยศอย่างเจ้ากล้าโผล่หัวมาสู้กับข้า" น้ำเสียงของมีน่าดุดันอย่างยิ่งยวด

    เมื่อประชิดตัวคีร่าได้ แอสทริดรีบพยุงให้นางลุกขึ้นในทันทีเพราะเกรงว่านางจะโดนโจมตีซ้ำ

    เธอทราบถึงความสามารถโดยรวมของขุนพลลำดับที่สามแล้ว...

    นางมีความสามารถในการสะกดจิตใจคนด้วยเสียงดนตรี แต่ตอนนี้นางใช้เครื่องดนตรีไม่ได้เพราะฝนตก และนางยังสามารถใช้ธาตุไฟได้ ส่วนทักษะการต่อสู้ด้อยกว่าบัตเตอร์ฟลายไม่มากนัก

    อาวุธของนางหากไม่ใช่เครื่องดนตรีมันจะเป็น...

    วัตถุสีดำทะมึนปรากฏอยู่ในสายตาแอสทริดด้วยความเร็วในระดับที่เธอเองก็มองไม่ทันด้วยซ้ำว่านางหยิบมันขึ้นมาตอนไหน แต่นางไม่ได้เล็งเธอ นางเล็งตรงไปที่คีร่า ราวกับว่านางอยากกำจัดคนทรยศออกไปให้พ้น แล้วค่อยหันมาจัดการกับเธอก็ยังไม่สาย

    แต่คนอย่างแอสทริดไม่มีทางยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับคนในความดูแลของเธอ

    เธอเหวี่ยงคีร่าออกจากวิถีกระสุน แต่มีน่าก็ขยับกระบอกปืนตามมา นางเหนี่ยวไกและลูกกระสุนก็ถูกปล่อยออกมา ห่างจากลำคอเธอไปแค่ไม่กี่เซนเท่านั้น

    เปรี้ยง!

    เสียงฟ้าผ่าดังแทรกขึ้นมา นัยน์ตาของมีน่าหันมาจรดอยู่ที่เธอ

    "เหลือเจ้า" น้ำเสียงนางราบเรียบ

    แอสทริดค่อยๆ หันไปมองคีร่า พบว่าเด็กสาวนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น นางยังไม่ตาย แต่ลูกกระสุนที่เจาะโดนไขสันหลังนั้นทำให้นางขยับตัวไม่ได้

    ทุกวินาทีที่มีน่าใช้ดวงตามีอะเมทิสต์ของนางมองเธอ ราวกับว่าร่างกายเธอเกร็งเครียดขึ้นในทุกขณะเช่นเดียวกัน

    ใบหน้าของเธอเปียกปอนจากน้ำฝนจนเหงื่อที่ซึมอยู่ตรงขมับเลือนหายไปกับมัน

    แอสทริดยืนขึ้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับขุนพลลำดับที่สาม

    "เจ้า..." น้ำตาเธอไหลแต่ก็โดนน้ำฝนชะล้าง ความรู้สึกปนเปอยู่ระหว่างความโกรธและหวาดกลัว แต่วินาทีที่ตัดสินใจว่าจะสู้กับนาง คือวินาทีที่เธอจะไม่หันหลังให้นางอย่างเด็ดขาด

    "เข้ามา" นางยกปลายกระบอกปืนขึ้น คราวนี้เล็งตรงมายังเธอ

    แอสทริดคำราม เธอพุ่งเข้าไปด้านหน้า นัยน์ตาสีโลหิตข้างซ้ายเรืองแสงเข้มข้นจนสามารถสังเกตได้ในระยะหนึ่งเมตร มันตอบรับแรงอารมณ์ที่มากล้นของเธอแล้วปลดปล่อยอสูรเทวะประจำกายออกมาเพื่อกำจัดศัตรูที่บังอาจมาทำร้ายเจ้านายของมัน

    เสียงนกฟีนิกซ์กรีดร้องลั่นอย่างมีชีวิตชีวา นี่คือครั้งที่สองแล้วที่มันโดนเรียกออกมา นัยน์ตาที่ร้อนแรงไปด้วยเพลิงอัคคีจับจ้องที่มีน่า ปีกคู่ใหญ่สะบัดไปตามแรงลม บังเกิดคลื่นลมแห่งเปลวเพลิงพวยพุ่งเข้าใส่ศัตรู โดยที่ขุนพลลำดับที่สามก็ยืนอยู่ในอาณาเขตการโจมตีของฟีนิกซ์ไฟด้วยเช่นกัน

    ผัวะ!

    แอสทริดเหวี่ยงหมัดไปกระแทกสันกรามของมีน่าในระหว่างที่นกฟีนิกซ์โบราณดึงความสนใจของนางไป ทำให้เกิดร่องรอยความช้ำได้นิดหน่อย

    "น่าสนใจดี ฟีนิกซ์ไฟที่ไม่เคยถูกพบตัวในระยะเวลาสามพันปี เป็นโชคดีของข้าที่ได้เห็น" ขุนพลลำดับที่สามแค่นหัวเราะ ราวกับไม่ได้ดีใจอย่างที่กล่าวไว้ นางเงยหน้าขึ้นสูงพลางวาดรอยยิ้มน่าสยดสยองขึ้นบนริมฝีปาก "แต่เวทแห่งไฟทำอะไรตัวข้าไม่ได้นักหรอก"

    "..." แอสทริดสะท้านเฮือกเมื่อพบว่าตัวเธอโดนพลังแห่งไฟระเบิดใส่จนกระเด็นถอยหลังมา หลังมือที่โดนไฟคลอกเพราะยกมันขึ้นบังใบหน้าแสบร้อนมาก

    ทาร่าเคยกล่าวไว้ว่าขุนพลลำดับที่สามคือมนุษย์ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในสายตาเธอตอนนี้ 'ไม่ใช่มนุษย์' อีกต่อไปแล้ว...

    มีน่าในร่างที่มีเพลิงสีดำลุกท่วมกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าโปรยรอยยิ้มให้แอสทริด นัยน์ตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้มแบบเดียวกับเปลวเพลิง

    ขุนพลลำดับที่สามทรงอำนาจเกินกว่าที่คิดไว้มากนัก มันทำให้แอสทริดอยากจะวิ่งหนีแทนที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง แต่เธอหยิบมีดสั้นทั้งสามเล่มของตัวเองมาถือไว้ ขณะที่ฟีนิกซ์ไฟร่อนตัวลงเกาะอยู่ตรงไหล่ซ้าย

    "ข้าจะให้เจ้ากับฟีนิกซ์ตัวนั้นได้รับรู้ว่าความสิ้นหวังที่แท้จริงเป็นอย่างไร" นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างคนใจดี

    แอสทริดสูดลมหายใจลึกจนเต็มปอด ขณะที่ดวงตาสีโลหิตของเธอเรืองแสงอีกครั้งเพื่อเรียกใช้ทักษะสุดท้ายของตัวเองที่ได้รับมาจากสายเลือดแวมไพร์ มันคือพลังที่แฝงอยู่ในดวงตาของเธอ

    ร่างกายแห่งความอนันต์

    เลือดสีแดงลอยปกคลุมเจือจางอยู่รอบร่างกายของเธอ ทักษะนี้ เธอจะไม่ได้รับความเสียหายจากทั้งอาวุธและพลังเวท แต่มีผลแค่ภายในระยะห้านาทีเท่านั้น

    เคร้ง!

    มีน่าไม่ได้สนใจ นางพุ่งเข้ามาพลางเตะดาบของใครสักคนที่ตกอยู่บนพื้นเข้าใส่เธอ แต่แอสทริดใช้มีดสั้นของเธอปัดมันออกไป

    ผลัก!

    ขาเรียวยาวของมีน่ากระแทกเข้ากับสีข้างของเธออย่างแรงจนเธอลอยตัวปลิวออกจากจุดที่ยืนอยู่ นกฟีนิกซ์ตกใจจนบินขึ้นฟ้าแล้วโจมตีใส่มีน่าอย่างแรง แต่เพลิงของนกฟีนิกซ์เหมือนจะสามารถสร้างได้เพียงแค่ความระคายของผิวให้แก่ขุนพลลำดับที่สาม

    "โอ้ย..." เธอครางในลำคอเมื่อกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง และโดนกระชากขึ้นมาในวินาทีต่อมา

    ตามสัญชาตญาณแล้ว คนเราจะร้องคำคำนี้ออกมาแม้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดก็ตาม เพราะเรารู้ว่าเรากำลังโดนอะไร

    แอสทริดไม่เจ็บ แต่ตอนนี้เธอสู้แรงโดยธรรมชาติของขุนพลลำดับที่สามไม่ได้

    "ปล่อย!" เธอพยายามแกะมือนางออกจากคอเสื้อที่โผล่ออกมานอกเกราะของตัวเอง รีบใช้มีดแทงลงไปมั่วๆ บนร่างกายที่ลุกท่วมไปด้วยไฟรัตติกาลของนาง "บอกให้ปล่อย!!"

    ร่างกายเธอถูกทุ่มลงพื้นอย่างแรงในวินาทีถัดมา

    แอสทริดสำลักอย่างแรงจากความจุก รับรู้ว่ามีน่าคุกเข่าลงแล้วจับขาขวาของเธอไว้

    "ตอนนี้ไม่เจ็บใช่ไหม" นางถาม "เวลาทองเลยไม่ใช่เหรอ เลือกมาสักอย่างหน่อยว่าอยาก 'โดนตัดขาด้วยดาบ' หรืออยากให้ข้า 'หักขาเจ้าด้วยมือของข้าเอง' ดี?"

    "ไม่..." เธอพึมพำ ร่างกายเหมือนถูกล็อคให้อยู่นิ่งเมื่อหน้าท้องโดนเข่าของนางกดไว้อย่างแรง

    "ไม่ค่อยได้ยินเลย อีกสักรอบสิ ขอดังๆ" นางถาม

    "..." ส่วนเธอส่ายหน้าอย่างเดียว ในใจเริ่มร้องหาคนรักอย่างทาร่า

    "พูดสิ" มีน่าเริ่มหุบยิ้มของนางลง

    "..."

    "เลือกมา!" คราวนี้นางคำรามใส่เธอ ใบหน้าดุร้ายอย่างคนที่พร้อมจะฆ่า

    "ไม่!" แอสทริดตะคอกกลับไป เวทมนตร์แห่งเลือดระเบิดออกจากตัวเธอ เข้าโจมตีมีน่าอย่างดุดัน แต่ขุนพลลำดับที่สามเพียงใช้เวทมนตร์ธาตุไฟต้านไว้เท่านั้น

    นางถอยห่างออกจากตัวเธอเพราะไม่ทันตั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้

    แอสทริดลุกขึ้นยืน เธอเตรียมวิ่งหนีตอนที่โดนจับข้อมือไว้

    หมับ!

    ร่างของราชินีแห่งแพนเธียถูกเหวี่ยงด้วยพลังกำลังมหาศาลให้ลอยขึ้นจากพื้น เธอลอยข้ามหัวคนอื่นแล้วกระแทกอย่างแรงเข้ากับต้นไม้ที่ริมป่า หากเมื่อครู่เรากำลังสู้กันอยู่แถวตรงกลางสนามรบ แปลว่ามีน่าเหวี่ยงเธอมาไกลกว่าหกสิบเมตร

    แอสทริดสำลักเลือดจากอาการจุก ลำตัวบอบช้ำจากการกระแทกที่รุนแรงเกินไป

    ส่วนข้อมือที่โดนจับเมื่อครู่ก็เหมือนเลื่อนหลุดจากการโดนเหวี่ยง

    มีน่าตามมา ร่างกายที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงทมิฬพุ่งเข้าใส่เธอ นัยน์ตาของนางแฝงความบ้าคลั่งในแบบของคนที่หลงใหลในการได้ฆ่า นางคว้าลำคอเธอที่กำลังลุกขึ้นไว้

    นี่มันเหมือนครั้งนั้นไม่มีผิด ตอนที่ทาร่าทำแบบนี้กับเธอ

    แอสทริดคิด กัดฟันกรอดขณะที่โดนยกจนร่างกายลอยขึ้นจากพื้นแล้วกระแทกเข้ากับต้นไม้ด้านหลังอย่างแรง

    ในชั่ววินาทีที่คิดว่ามีน่าจะบีบคอเธอจนตาย กลับมีคนคนหนึ่งเข้ามาขวางไว้

    "ถอยไป" เสียงเย็นเยียบดังขึ้น

    ในสายตาของแอสทริดคือคีร่าที่กลับมาขยับได้แล้ว เด็กสาวใช้มือที่ปกคลุมไปด้วยเวทมนตร์มืดจับบนไหล่ของมีน่า มันทำให้ขุนพลลำดับที่สามเอนเอียงไปมองอย่างดูแคลน

    "เจ้าอีกแล้วหรือ?" มีน่าหัวเราะอย่างรำคาญใจ นางโจมตีคีร่าด้วยมือขวา แต่คีร่าป้องกันและยึดมือข้างนั้นไว้ นางใช้พละกำลังเหวี่ยงมีน่าออกไปไกลจากตัวเธอ

    คีร่าพยุงให้เธอลุกขึ้นยืน

    "หนีไป ตรงนี้เดี๋ยวข้ากับท่านคนนั้นจัดการเอง"

    "ท่านคนนั้น?"

    "ใช่ คนนั้น" คีร่าใช้สายตามองไปทางหนึ่งที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาในอาณาเขตการสู้รบระหว่างเธอและขุนพลลำดับที่สาม

    ร่างกายผอมเพรียวแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาเห็นชัดในสายตา นัยน์ตาดุดันคู่นั้นจับจ้องไปยังขุนพลลำดับที่สาม เสื้อผ้าที่สวมใส่เลอะไปด้วยคราบสกปรกและคาวเลือดแห้งกรัง ใบหน้ามีรอยแตกอยู่หลายส่วน แต่เขากลับเจิดจรัสยิ่งกว่าใครๆ ด้วยสายฟ้ามากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัว

    เขาปรายตามองเธอแล้วเบนไปจรดอยู่ที่มีน่า

    แอสทริดพยักหน้า เธอรีบหลบจากตรงนั้น ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของคีร่าและทูเลนไป


    มีน่ามองตามหลังราชินีแห่งแพนเธีย แต่เธอไม่สามารถตามไปได้ เมื่อครู่คีร่าจงใจออกแรงบีบที่ไหล่เธอจนเจ็บระบม คาดว่ากระดูกร้าว แต่ด้วยพลังปีศาจในตัวเดี๋ยวกระดูกที่แตกหักก็จะฟื้นสภาพเอง

    เธอเบือนสายตาหนีคีร่าและทูเลนอย่างไม่ใส่ใจขณะมองไปยังอีกด้านหนึ่ง จิตสังหารที่นี่รุนแรงมาก ในแนวป่านี้มีใครบางคนในหกขุนพลกำลังสู้อยู่ และหากให้เดามันคือนาตาเลียแน่ๆ มีน่าเคลื่อนตัวไปยังทิศทางที่คิดว่ามันคือทางที่นาตาเลียอยู่ ลากคีร่าและทูเลนที่คิดว่าเธอกำลังหนีให้ไล่ตามมา

    เธอกำจัดสองคนนี้ได้ แต่ต้องยืมพลังนาตาเลียด้วย จะได้ไม่เสียแรงมากนัก

    ไม่นานนักเธอก็พบ ขุนพลลำดับที่สองกำลังสู้อยู่กับราชินีแห่งป่า เหมือนทั้งคู่จะมีความแค้นส่วนตัวกันจึงมาตามไล่ล่ากันแบบนี้

    "นาตาเลีย" เธอเรียก

    นางแค่เหลือบนัยน์ตาสีแดงโลหิตมามอง ส่วนนัยน์ตาสีทองนั้นปิดสนิท

    โดนโจมตี?

    มีน่าสงสัย แต่ก็มุ่งหน้าไปยืนเคียงข้างกับขุนพลลำดับที่สองในทันที

    ราชินีแห่งป่าชะงักเมื่อเธอโผล่มาเป็นมือที่สามในการต่อสู้ ใบหน้าของนางมีเลือดอาบและมีรอยแตกอยู่หลายส่วน นาตาเลียมีสภาพที่ดีกว่านิดหน่อย ไม่นานคีร่าและทูเลนก็ตามมา สองคนนั้นขยับไปยืนข้างกับศัตรูของเรา

    เดี๋ยวมีน่าจะแสดงให้ดูว่าสองรุมสามมันเป็นยังไง

    "ทำอะไรของเจ้า" นาตาเลียพึมพำ ดูรำคาญใจที่ต้องสู้กับคนอื่นด้วย

    เธอเพียงแค่ยกมือโอบไหล่นางเป็นเชิงปลอบประโลมความหงุดหงิดเท่านั้น ไฟที่ลุกท่วมทั้งร่างกายแผ่ความร้อนสูงกว่าเดิม แสดงถึงอารมณ์และเจตนาแห่งเพลิงที่ต้องการเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้


    ลอเรียลพบว่าเวเรสมีการเคลื่อนไหวที่ดีมากเลยทีเดียว หากให้เทียบกับคนอื่นด้านความเร็ว ด้านพละกำลัง ด้านพลังเวท นางเทียบคนที่สุดยอดมากๆ ของด้านนั้นไม่ติดเลย แต่นางกลับสมดุลมากในทุกด้านแทน และมันอันตรายสำหรับเธออยากยิ่งยวด

    เธอปาดน้ำออกจากใบหน้า เป็นอีกครั้งที่เห็นสายฟ้าสีทมิฬที่เวเรสถืออยู่ในมือ มันไม่คล้ายกับของท่านทูเลน เพราะนางแค่ยืมใช้พลังธรรมชาติและแปลงมันด้วยการผสมรวมกับความมืด

    สถานการณ์ของเธอแย่ ทุกอย่างมันแย่ไปหมดเมื่อขุนพลลำดับที่สี่เอาจริง เพราะหากไม่นับธาตุสายฟ้าที่เกิดขึ้นจากสภาพอากาศตอนนี้ นางใช้ได้เกือบทุกธาตุ

    ลอเรียลใช้พลังแห่งแสงห่อหุ้มร่างกายไว้ มันหนาแน่นมากพอจะป้องกันการโจมตีจากเวเรสได้สองสามครั้ง

    ขุนพลลำดับที่สี่พุ่งเข้ามาโจมตีด้วยปีกสีแดงเลือดบนแผ่นหลังของนาง ส่วนปีกทั้งหกบนแผ่นหลังของเธอก็แผ่สะท้อนไอความมืดให้กระจายหายไปก่อนทันกระทบตัว

    สายฟ้าที่ตอนนี้เวเรสใช้เป็นอาวุธถูกปักเหนือบริเวณหน้าผาก นางกดแรงลงมา ยืนยันเจตนาว่าจะโจมตีทะลุการป้องกันของเธอ

    ลอเรียลไม่อยู่เฉย เธอร่ายเวทแห่งแสงในใจ มือทั้งสองเรืองรองไปด้วยความบริสุทธิ์

    แต่เวเรสกลับแค่นยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา

    "สงสัยเจ้าคงไม่รู้..." นางเอ่ยแกมส่งเสียงขำขัน

    "..."

    "ว่าข้าโจมตีทะลุธาตุแสงได้ง่ายดายมาก"

    "เหรอ" เธอครางรับ หวาดระแวงจนต้องเพิ่มพลังเวทลงในการป้องกัน มองเห็นเส้นเลือดตามท่อนแขนและข้อมือของเวเรสได้เป็นอย่างดีเมื่อนางออกแรงจนเกร็งขนาดนั้น "แต่เจ้ายังทำไม่ได้เลย พูดออกมาก่อนมันจะไม่ดูเพ้อฝันไปหรือไง ขุนพลลำดับที่สี่"

    "ข้าไม่รีบทำแบบนั้น มันจะไม่สนุกเอา เพราะเราดูเหมือนจะเป็นคู่ที่สูสีของกันและกัน จริงไหม?" นางกล่าว

    เป็นความจริงที่ว่าเมื่อแตรเริ่มสงครามดังขึ้น ลอเรียลกางปีกทั้งหกออกแล้วพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเพื่อดูลาดเลาและคอยช่วยเหลือผู้อื่นจากบนฟ้า แต่เวเรสกลับทำแบบเดียวกับเธอในเวลาเดียวกัน

    เมื่อสบตากับนางตอนนั้น...เราสองคนรู้ทันทีว่าเราหนีชะตาที่ต้องสู้กันอีกครั้งไม่ได้

    ครั้งแรกนั้นจบลงด้วยการที่เวเรสบาดเจ็บ แต่หนีไปได้ ถือเป็นความพ่ายแพ้ของเธอ

    ส่วนครั้งนี้มันจะเป็นความตายของใคร เธอไม่อยากให้คำตอบ

    ลอเรียลไม่ใช่คนแรกแน่ที่สังเกตได้ว่าเวเรสมีส่วนที่คลับคลากับท่านแม่อิลูเมียของเธอในบางมุม หนึ่งในนั้นคือความหยิ่งทะนงของนาง

    เปรี้ยง!

    ฟ้าผ่าดังลั่น เธอสะดุ้งเมื่อเผลอจมอยู่กับความคิดนานเกินไปจนไม่ได้สังเกตเวเรสเลย

    นางเงื้อมมือที่ถือสายฟ้าขึ้นสูง ประกายไฟเดือดดาลในอาวุธเกิดจากการที่ฟ้าผ่าลงมาเมื่อครู่จนนางสามารถใช้พลังธรรมชาติเพิ่มพลังให้อาวุธของตัวเองได้

    ลอเรียลเอี้ยวตัวหลบ สายฟ้าที่รุนแรงขนาดนั้น ต่อให้มันทะลุผ่านเวทมนตร์แห่งแสงเข้ามาไม่ได้ มันก็ต้องมีผลกระทบอะไรสักอย่างกับร่างกายเธอแน่

    หลังหลบการโจมตีแรกได้ เธอรีบผละออกไปอีกทาง บินหนีเพื่อหาช่องว่างให้โจมตีกลับ

    พลังเวทที่ร่ายไว้แล้วอยู่ในมือ แต่ยังไม่เห็นช่องว่างให้โจมตีกลับ

    "หยุดหนีได้แล้วลอเรียล" เวเรสไล่ตามหลังมา เสียงตะโกนแทรกผ่านเสียงจากสายฝนและเสียงกู่ร้องคำรามจากผู้ที่ต่อสู้อยู่บนพื้นดิน

    ลอเรียลหยุด เธอหันไปเผชิญหน้า เคร่งเครียดอยู่กับการหาวิธีเอาชนะเวเรส และนางเองก็คงหมกมุ่นอยู่กับหาวิธีที่จะทำลายพลังเวทมหาศาลและเกราะป้องกันเข้ามาทำอันตรายร่างจริงของเธอ

    เราสองคนยุ่งอยู่กับกันและกันเกินกว่าจะสนใจความผิดปกติรอบด้าน...

    "ได้" ลอเรียลลดเกราะป้องกัน เธอเสริมพลังส่วนนั้นเข้าไปในพลังโจมตี "เรามาตัดสินกันเลยดีกว่า ผู้ใดที่ทนไม่ไหวก็พ่ายแพ้ไป"

    เวเรสรับคำด้วยความเงียบงัน แต่ประกายในดวงตาเป็นคำตอบของทุกอย่าง

    ลอเรียลภาวนาถึงท่านแม่อิลูเมียก่อนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เวเรสเองก็พุ่งมาหาเธอเช่นกัน พลังในร่างกายเราสองคนมหาศาล หากได้ปะทะกันอาจจะทำลายสนามรบได้ทั้งสนาม

    แต่...

    หมับ!

    "อ๊ะ!" ลอเรียลอุทานด้วยความตกใจเมื่อเอวของตัวเองโดนรวบไว้แล้วถูกดึงอย่างแรงให้หลบไปด้านหลัง หางตาเห็นว่าเวเรสเองก็ถูกใครบางคนจับตัวไว้เช่นเดียวกันก่อนเข้าปะทะกับเธอ

    พลังแห่งความมืดที่แปลกใหม่ รุนแรง เฉียบคม และทรงพลังกว่าของเวเรสถูกปล่อยออกมา และมันเข้าปะทะกับพลังเวทสีแดงเลือดที่ถูกร่ายโดยหญิงสาวที่จับตัวเธอไว้

    พลังเวทแบบท่านทาร่าเหรอ...

    ลอเรียลถูกดึงตัวออกมาให้ห่างตอนที่ขุมพลังเวททั้งสองปะทะกันแล้วระเบิดออกอย่างแรง จนมายืนบนต้นไม้ต้นหนึ่งได้ในที่สุด พร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด

    ใบหน้าของนางสวย เครื่องหน้าและดวงตาดูคมเข้มไปหมด แต่ดูอ่อนโยนตัดกันมากเช่นกัน ริมฝีปากหยักสวยขยับราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าดูเขินอายและไม่มั่นใจจนไม่มีสิ่งใดหลุดมา นางหลบสายตาเธอไป หากสังเกตไม่ผิดคงเป็นดวงตาแบบเดียวกับนาตาเลีย ดวงตาสองสี ข้างหนึ่งสีทองแบบเผ่าเทพ ส่วนอีกข้างสีแดงโลหิตแบบเผ่าแวมไพร์

    ชุดที่นางใส่ดูเป็นชุดกระโปรงผ้านิลสีน้ำเงินทึบธรรมดาๆ ไม่เหมาะอย่างมากที่จะมาอยู่ในสนามรบ

    "ท่าน..." ลอเรียลกระซิบ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เอ่ยไปก่อนว่า "ท่านเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่"

    "ข้า..." นางเอ่ยแล้วเงียบไป ในดวงตาสองสีแฝงความเศร้าเสียใจอยู่อย่างแนบเนียน "นางไม่เคยบอกอะไรเจ้าเลยสิ ถูกไหม ลอเรียล"

    "นาง?" ลอเรียลมึนหนักกว่าเดิม ชัดเจนว่าหญิงสาวแปลกหน้ารู้จักเธอ

    "การพบหน้ากันครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปีเช่นนั้นหรือ มาร์จา?" เสียงเย้าเย้ยของใครดังขัดจังหวะเรา

    เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นราชินีปีศาจวีร่ากับเวเรสที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน ซึ่งลอเรียลทราบอยู่แล้วว่าเวเรสเป็นลูกของราชินีวีร่าเมื่อไม่นานมานี้จากข้อมูลโดยรวมของท่านทาร่า

    แต่มันทำให้เธอรู้ว่า หญิงสาวแปลกหน้าผู้มาใหม่ชื่อ 'มาร์จา'

    "อ้อ..." ราชินีวีร่าลากเสียงยาว นัยน์ตาดูร้ายกาจและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง "เราเองก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

    "ท่านวีร่า" หญิงสาวที่ยืนข้างเธอกระซิบ นางน้อมศีรษะให้ราชินีปีศาจเล็กน้อย

    "หยุดการกระทำของเจ้าซะ!"

    คลื่นพลังสีดำกระแทกลอเรียลอย่างแรงจนกระเด็นตกจากต้นไม้เมื่อราชินีวีร่าสะบัดมือพร้อมกับเสียงตะคอกแห่งความอาฆาต

    แต่ร่างของลอเรียลก็ถูกรับไว้โดยท่านมาร์จาอีกครั้ง นางกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างถนุถนอม

    "ไม่เป็นไรใช่ไหม" ท่านมาร์จาถามเบาๆ

    "เพคะ ข้าไม่เป็นไร" ลอเรียลยืนยันเพราะเห็นว่านางกังวล

    "ทำไมไม่พูดออกไปว่าลอเรียลเป็นลูกของเจ้า" ราชินีปีศาจตามมา ทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้าโจมตีโดยเวเรสรั้งรออยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ขุนพลลำดับที่สี่ดูสับสนไม่แพ้เธอและไม่ได้ทำอะไรโดยผละการเพราะเกรงใจแม่ของตัวเอง

    แต่คำพูดของราชินีวีร่าทำให้ร่างกายของลอเรียลเย็นเฉียบ และอบอุ่นขึ้นในวินาทีถัดมา

    "ท่านแม่?" เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าท่านมาร์จาให้ชัดอีกครั้ง "ท่านแม่จริงๆ เหรอ?"

    "ใช่..." นางพยักหน้ารับแผ่วเบา

    "ให้ข้าเสริมให้อีกเรื่องไหม?" ราชินีวีร่าปริปากขึ้นมาอีกครั้ง และตอนนี้นัยน์ตาของนางก็ดูเศร้าสร้อยไม่แพ้กับท่านแม่ของเธอ "เวเรส ลูกฟังที่แม่จะพูดไว้ให้ดี"

    "..." เกิดความเงียบที่กดดันมากขึ้นระหว่างเราสี่คน

    "ความจริงของต้นกำเนิดที่แม่ไม่เคยบอกลูกเลยก็คือ..."


    อีกด้านหนึ่ง อิลูเมียยืนอยู่ในมุมที่สามารถเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสี่คนนั้นได้ชัดเจน เธอลอบยิ้มคนเดียวขณะยกมือขึ้นกอดอก

    ในที่สุดผู้หญิงทั้งสองที่เธอเคยยุ่งเกี่ยวด้วยเมื่อในอดีตก็วนกลับมา

    ส่วนเรื่องที่เวเรสเป็นลูกของเธอก็คงปิดบังไม่ได้อีกต่อไป

    วีร่าคือผู้หญิงคนแรกของเธอ มาร์จาเป็นคนที่สอง ส่วนลูกๆ...หากให้เรียงลำดับคงเป็นเวเรสคนพี่ และลอเรียลคนน้อง ถ้าเธอจำวันเกิดลูกทั้งสองคนไม่ผิด แต่โดยรวมแล้วพวกนางเกิดปีเดียวกัน

    นั่นเท่ากับว่าอิลูเมียพัวพันกับผู้หญิงสองคนพร้อมกันใช่ไหม? ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบคือ ใช่

    หลังรู้ว่าทั้งสองท้องลูกของเธอ ลูกที่เธอจงใจขอพวกนางสร้างขึ้นมาร่วมกันเพราะต้องการหาทายาทโดยตรงให้แก่วิหารแห่งแสง เป็นเด็กที่พระเจ้าประทานมาให้ เพื่อรักษาอำนาจและความมั่นคงในตำแหน่งเทพีแห่งแสง เธอก็ไม่ได้สนใจจะใช้ชีวิตร่วมกับสองคนนั้นอีกต่อไป

    เธอขอลูกจากทั้งสอง มาร์จายกลอเรียลให้แก่เธอ ให้เธอมาเลี้ยง ส่วนวีร่าไม่ให้

    หลังได้ลอเรียล เธอจากพวกนางมา ไม่เคยเล่าความสัมพันธ์ให้ใครฟัง มันมีแค่เราสามคนที่รู้ และพวกเราเองก็ไม่ปริปากเช่นกัน

    อิลูเมียไม่เล่าเพราะมันไม่จำเป็นที่คนนอกต้องรับรู้

    วีร่าไม่เล่าเพราะไม่อยากสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะราชินีปีศาจ หลังเลี้ยงเวเรสจนโตขึ้น นางก็คิดเรื่องสงคราม เพราะความโกรธที่มีต่อเธอ จึงบอกใครไม่ได้เด็ดขาดว่าเวเรสเป็นลูกของศัตรูคนสำคัญ

    มาร์จาไม่เล่าเพราะไม่ต้องการให้พี่สาวทั้งสองอย่างทาร่าและนาตาเลียรู้เรื่องลอเรียล เรื่องที่นางมีลูก และสองคนนั้นก็มีหลานเป็นตัวเป็นตน ลึกๆ แล้วนางกลัวว่าอาณาจักรแวมไพร์จะประกาศสงครามเพื่อชิงตัวลอเรียลจากวิหารแห่งแสงขึ้นมา ในเมื่อตัวนางเองยินยอมจะให้ลูกมาตามคำขอเธอ

    ตั้งแต่แยกทางกัน เธอไม่เคยเจอวีร่าและมาร์จาอีกเลย แต่ทว่ายังเห็นเวเรสเป็นบางครั้งโดยบังเอิญ

    อิลูเมียใช้ชีวิตเลี้ยงลูกมายาวนานกว่ายี่สิบปีโดยไม่ได้มองผู้ใด ไม่ได้สนใจสานสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นในเมื่อวีร่าสร้างสงครามนี้ขึ้นมาเพื่อแก้แค้นเธอ เธอเลยตอบรับมันด้วยความยินดี

    เธอวางแผนซ้อนแผน เพื่อล่อให้ผู้หญิงของเธอแสดงตัวออกมาเอง

    วันที่เซฟีร่าโดนจับตัวไป เป็นเธอเองที่บอกลอเรียลให้ไปหาเซฟีร่าที่ห้องด้วยเหตุผลที่โกหกขึ้นมา ให้ลอเรียลได้เจอกับเวเรสเพราะเธอมีลิเลียน่าเป็นไส้ศึกคอยบอกเรื่องบางเรื่องที่ขุนพลจะทำ และเธอเจาะจงให้นางรายงานความเคลื่อนไหวของเวเรสให้ฟังเป็นพิเศษ

    ขุนพลลำดับที่ห้าไม่ได้เรียกว่านกสองหัว แต่ต้องเรียกว่านับไม่ถ้วนเลยมากกว่า นางขึ้นตรงต่อราชินีวีร่ากับลินดิสมากเป็นพิเศษ ทว่าไม่ได้หมายความว่าหากมีคนอื่นที่ให้ผลประโยชน์นางได้มากกว่า นางจะไม่รับข้อเสนอไว้

    เธอปล่อยให้ลูกทั้งสองเป็นศัตรูกัน เพราะรู้ว่าคนเป็นแม่จะต้องเดือดร้อนแทนแน่

    เธอจงใจลากลอเรียลมาเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ก็เพราะแบบนี้

    เพราะเธอรู้ว่าผู้หญิงที่เก็บตัวอยู่ในห้องตลอดเวลาแบบมาร์จาต้องมาช่วยลูกของเรา

    ส่วนวีร่า...

    นางเป็นไม้ที่หักได้ แต่ไม่ยอมงอ เพราะฉะนั้นในสงครามครั้งนี้ อิลูเมียจะหักไม้ที่ดื้อมากนี่ทิ้งซะ

    เธอมองภาพที่ทั้งสี่คุยกันอย่างเงียบงัน ส่วนมากจะเป็นวีร่าที่คุยกับเวเรสที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงมาก นางคงบอกเวเรสแล้วว่าเป็นลูกของเธอ

    ลอเรียลมีสีหน้าราวกับคนผิดหวัง ส่วนสีหน้ามาร์จาเดาไม่ออก

    ลูกจะผิดหวังในตัวเธอก็ไม่แปลก ไว้เธอค่อยไปคุยกับนางเป็นการส่วนตัว

    เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆสีดำทมิฬ คบเพลิงเวทมนตร์สว่างจ้าอยู่ทั่วสนามรบ ฝนเริ่มซาลงแล้ว

    อิลูเมียไม่ได้ลงสนามรบเพราะเก็บพลังไว้จัดการกับวีร่า และคิดว่าการรบในคืนนี้ควรพักได้แล้ว เราสองฝ่ายไม่ใกล้เคียงกับคำว่าชนะกันเลย

    ตอนนี้ในสนามรบ ซีเนียลเพิ่งโดนลินดิสจัดการไป ยังไม่มีใครหยุดขุนพลลำดับที่หนึ่งได้ ขุนพลลำดับที่สองและสามกำลังสู้อยู่กับทูเลน คีร่า และอันนา ซึ่งดูยับกันทั้งสองฝ่าย ขุนพลลำดับที่สี่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเรื่องปัญหาชีวิตกับแม่นางอยู่ตรงนั้น ขุนพลลำดับที่ห้าอยู่ไกลกว่าเพื่อน นางแทบจะออกเขตสนามรบไปแล้วและกำลังสู้อยู่กับเอมิลี่ สองคนนั้นสูสี

    ส่วนขุนพลลำดับที่หกและอดีตขุนพลลำดับที่สองอย่างทาร่า คู่นี้สู้กันกะจะเอาชีวิตอีกฝ่าย นับชั่วโมงแล้วที่โจมตีกันแบบนั้นไม่หยุดหย่อน ร่างกายของทาร่าฟื้นตัวได้ดี แต่บัตเตอร์ฟลายจับจุดในการหยุดยั้งไม่ให้ดวงตาของเทพฟื้นฟูร่างกายให้ทาร่าได้แล้ว

    ถือว่าจับจุดเร็วมาก

    อิลูเมียชิงชังบัตเตอร์ฟลายมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย เพราะเธอรู้ความจริงข้อหนึ่ง

    ความจริงที่แม้แต่ตัวบัตเตอร์ฟลายก็ยังไม่รู้...

    เธอหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังอาณาเขตที่พัก ปล่อยให้สงครามดำเนินต่อไป


    นาตาเลียสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยของน้องสาว เธอปล่อยให้มีน่ารับมือกับสามคนนั้นไปก่อน ขณะเดินไปยังทิศทางที่คิดว่ามาร์จาอยู่ และได้สังเกตเห็นน้องที่โอบร่างของทูตสวรรค์หกปีกไว้ในอ้อมแขน

    ความสงสัยก่อขึ้นในใจเธอ หางตาเหลือบไปเห็นว่าทาร่าที่สู้กับบัตเตอร์ฟลายอยู่ไกลลิบก็สังเกตเห็นมาร์จาเช่นเดียวกัน พวกเราสองคนในฐานะพี่สาวที่มีน้องสาวร่วมกัน ย่อมต้องเป็นห่วงน้องและสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้น

    ราชินีวีร่ากับเวเรสเองก็ยืนอยู่ด้วย

    ไม่นานนักสี่คนนั้นก็เปลี่ยนท่าที ต่างคนต่างจับอาวุธขึ้นมา

    นาตาเลียพ่นลมหายใจ เธอต้องดูแลน้องให้ได้

    นัยน์ตาสีแดงโลหิตของรัชทายาทแวมไพร์ทั้งสามในสนามรบส่องแสงเรืองรอง ริมฝีปากขยับร่ายเวทโบราณ พร้อมกับการปรากฏตัวของอสูรประจำกาย

    "อสูรเทวะ"

    อสรพิษสีเขียวทมิฬในร่างจิ๋วของมันเลื้อยอยู่รอบไหล่ของนาตาเลีย

    เสือสีเหลืองลายพรางสีแดงคำรามกึกก้องขณะยืนเคียงกายทาร่า

    มังกรธาตุดินยืนอยู่เหนือร่างของมาร์จากับลอเรียลเป็นเชิงปกป้อง

    "ปกป้องมาร์จา" นาตาเลียกล่าวกับอสูรเทวะของตน อสรพิษน้อมรับคำสั่ง มันเลื้อยลงจากไหล่ของเธอแล้วตรงไปยังทิศทางที่มาร์จาอยู่ กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่าสิบเมตรที่ดุร้ายพอๆ กับเจ้าของ

    อสูรเทวะของทาร่าที่มีชื่ออันน่ารักน่าเกลียดว่าทินทินเองก็เคลื่อนไหวมายังทิศที่มาร์จาอยู่

    ไม่รู้ว่าอสูรเทวะของเธอและทาร่าจะตีกันเองก่อนได้ช่วยมาร์จาไหม แต่เรื่องนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเธอแล้ว

    นาตาเลียหันกลับไปช่วยเหลือมีน่าที่เริ่มเสียเปรียบ

    ถึงเวลาแล้วที่จะทวงคืนความได้เปรียบสู่สนามรบและกองทัพเรา

    "ข้าจะกางอาณาเขตขนาดใหญ่ให้เจ้า" เธอร่ายเวทโลหิต สรรสร้างอาณาเขตสีเลือดขนาดใหญ่ในรัศมีสามสิบเมตรขึ้นมา ทุกอย่างโดยรอบถูกปกคลุมด้วยสีแดง "เล่นดนตรีเดี๋ยวนี้"

    มีน่าพยักหน้า นางหยิบขลุ่ยที่ซ่อนอยู่ในชุดเกราะออกมา ที่นางเลือกเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องดนตรีขนาดเล็กก่อนที่สงครามจะเริ่มเพราะว่าเห็นสภาพอากาศและคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว

    ขุนพลลำดับที่สามเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งความตาย

    นาตาเลียมองด้วยความสงบนิ่ง ก่อนสังเกตโดยรอบ

    ศัตรูที่อยู่ในอาณาเขตและได้ยินบทเพลงเริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งแล้วหันมาโจมตีกันเอง ทูเลนทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกของเขากำลังถูกทรมานด้วยบทเพลงจากมีน่า

    ส่วนคีร่าถูกตรึงให้ยืนแน่นิ่ง นางยกมือขึ้นปิดหูขณะกัดฟันกรอดเพื่อตั้งสติ

    มีเพียงราชินีแห่งป่าที่มีสายตามุ่งมั่น มือนางจับลูกธนูไว้

    นาตาเลียแปลกใจ แต่ไม่นานก็กระจ่าง นางใช้พลังเวทปิดกั้นการรับฟังของตัวเองทัน

    แต่การทำแบบนั้นสร้างความได้เปรียบแก่เธอ

    "ข้ากับเจ้า เรายังสะสางกันไม่จบ" นาตาเลียเดินไปหยุดยืนข้างหน้ามีน่า บดบังขุนพลลำดับที่สามจากสายตาราชินีแห่งป่า เธอแค่ต้องปกป้องพรรคพวกของตัวเองจนกว่าทัพศัตรูจะพินาศและเข่นฆ่ากันเพราะบทเพลงเท่านั้น


    ลิเลียน่ากดเอมิลี่ลงกับพื้นด้วยปลายเท้า หลังจากสู้กันมานานในที่สุดองค์รัชทายาทของอาณาจักรใต้น้ำก็สิ้นฤทธิ์เสียที เธอสูบยาสูบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์และความเจ็บปวดจากบาดแผล ต้นไม้รอบด้านมืดทึบไปหมดจากความมืดยามราตรี

    คืนนี้แทบไม่มีพระจันทร์ แต่ยิ่งไม่มีพระจันทร์ ลอเรียลก็ยิ่งส่องสว่างมากขึ้นเท่านั้น

    ลิเลียน่าคิดถึงนาง เธออยากพบหน้านาง แต่เธอมีภารกิจที่ต้องสะสางให้จบ

    "อยากตายแบบรวดเร็วหรือทรมานดี" เธอกล่าวถาม จงใจมองออกไปเหนือผืนน้ำ เราออกมาสู้กันไกลมากเพราะเอมิลี่ล่อให้เธอมาแถวริมทะเลสาบ นางอยากอยู่ใกล้แหล่งพลังของนาง

    "ทรมาน" นางสำลักเศษฝุ่นบนพื้น แต่ก็ยังตอบกลับมาอย่างอวดดี

    "ได้"

    ลิเลียน่ากระทืบเท้าลงไปอย่างแรงหนึ่งครั้ง...

    ได้ยินเสียงกระดูกหักชัดเจนมาก แต่เอมิลี่กลับไม่ส่งเสียงเลยสักนิด ถือว่าเป็นคนที่อดกลั้นความเจ็บปวดได้ดีพอสมควร เธอชอบ

    เธอพ่นควันจากยาสูบ พยายามคิดถึงใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูของลอเรียลในขณะที่ยกเท้าขึ้นอีกครั้งแล้วเตรียมกระทืบลงไปใหม่

    แต่ทว่าบางสิ่งบางอย่างหยุดเธอไว้

    เสียงแตรยาวนานดังขึ้น

    ถอยทัพอย่างนั้นหรือ ลิเลียน่าขมวดคิ้ว หรือว่าลินดิสเป็นคนสั่ง?

    "ทรมานไม่ได้แล้ว ขออนุญาตฆ่า" เธอร่ายเวทเพื่อเตรียมปลิดชีพ แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นร่างร่างหนึ่งปลิวมาหาเธอเสียก่อน มันมืดจนมองไม่ออกเลยว่าเป็นใคร แต่ด้วยความตกใจจึงยื่นมือออกไปแล้วรับคนคนนั้นเอาไว้อย่างพอดิบพอดี

    เธอไถลถอยหลังไปเล็กน้อย แต่เพราะบาลานซ์ร่างกายดี แถมคนที่เธอรับก็ไม่ได้ดูต้องการความช่วยเหลือเท่าไหร่

    ไม่ต้องการจริงเหรอ?

    ลิเลียน่าถามตัวเองอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพบัตเตอร์ฟลาย นี่หากไม่สังเกตเห็นเรือนผมสีน้ำเงิน กับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลเย็นชา เธอคงไม่รู้เลยว่าร่างที่เลือดท่วมไปทั้งตัวแบบนี้จะเป็นบัตเตอร์ฟลาย

    แต่เมื่อมองคนที่ไล่ตามมา เธอก็รู้ว่าทำไม

    ทาร่าบาดเจ็บไม่แพ้กัน ศีรษะแตก หน้าผากมีแต่รอยกรีดลึก ที่หน้าท้องมีแผลโดนแทง แต่ยังดูยืนได้มั่นคงกว่าบัตเตอร์ฟลายเยอะมาก

    ส่วนบัตเตอร์ฟลาย...

    ลิเลียน่ากวาดตามองรวดเดียวหนึ่งครั้ง

    นางมีแผลบาดเจ็บที่ข้อมือ เลือดไหลไม่หยุด ไหล่ขวาฉีกขาดอย่างน่ากลัว คงเกิดจากการโจมตีจากมือของทาร่า ที่สะโพกมีรอยโดนฟัน และที่ต้นขาก็เช่นกัน

    แผลเหล่านั้นหากให้เดาจากความสกปรกที่เกิดขึ้น รวมถึงการไม่ถูกรักษาอย่างเร่งรีบ บัตเตอร์ฟลายต้องติดเชื้อในกระแสเลือดหรืออะไรทำนองนั้นไปแล้วแน่ๆ ซึ่งเธอสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกติก็จริง แต่ทว่าด้วยร่างกายที่อ่อนล้าขนาดนั้น นางยังต้องการการพักผ่อน

    "บัตเตอร์ฟลาย มานี่" ลิเลียน่าขยับหา จับร่างขุนพลลำดับที่หกไว้ ราวกับนางปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าเข้าควบคุม สิ่งที่คิดได้มีแต่การเข้าโจมตีทาร่าเท่านั้น

    "ปล่อย" เสียงทุ้มต่ำและแหบสนิท ให้เดาว่าป่วยด้วย

    "แลกกัน" ลิเลียน่ากล่าวกับทาร่า เธอใช้มือที่ร่ายเวทไว้เล็งไปยังเอมิลี่ หากทาร่าอยากให้สหายนางรอดตาย ตอนนี้นางก็ต้องปล่อยให้บัตเตอร์ฟลายไปกับเธอเหมือนกัน

    "ฆ่ามัน..." เอมิลี่ส่งเสียงขึ้นมาแผ่วเบา

    เธอกรอกตา เผลอเตะปากนางเพราะความรำคาญ

    "หุบปาก"

    เอมิลี่ปากแตก มีแผลที่ใบหน้าเพิ่มขึ้นเพราะเธอ

    "ได้" ทาร่ากล่าว นางไม่แม้แต่จะพิจารณา อดีตขุนพลลำดับที่สองเดินเข้ามาหาเอมิลี่ และลิเลียน่าก็เคารพการตัดสินใจของนางด้วยการกึ่งพยุงกึ่งลากบัตเตอร์ฟลายออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปหาที่ที่ไกลกว่านี้ในการเคลื่อนย้าย

    เมื่อได้ทำเล เธอใช้พลังเวทพาเรากลับมายังแคมป์ที่ตั้งไว้ในที่สุด

    "นายหญิง?" เสียงไอริดังขึ้น

    น้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่นั้น

    ลิเลียน่าลำบากใจเล็กน้อย เธอไม่อยากให้ไอริเห็นบัตเตอร์ฟลายสภาพนี้ แต่หญิงสาวคนนั้นตรงปรี่มาหานายหญิงของนาง แล้วรีบร่างของบัตเตอร์ฟลายไปไว้ในอ้อมกอดทันทีโดยที่เธอยังคุมเชิงอยู่ เมื่อมองเข้าไปในเต็นท์พยาบาล เห็นเซฟีร่ายืนเตรียมพร้อมอยู่ภายใน

    ส่วนพวกขุนพลคนที่เหลือซึ่งถอยทัพกลับมาก่อนแล้วกำลังทำแผลด้วยอารมณ์มืดครึ้มผิดปกติ

    ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างที่เธอต่อสู้กับเอมิลี่

    บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเมื่อคนอื่นเห็นสภาพปางตายของบัตเตอร์ฟลาย โดยเฉพาะท่านวีร่าที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างปิดไม่มิด

    "มานั่ง ลิเลียน่า" แต่นางยังสามารถควบคุมเสียงให้เป็นปกติระหว่างเรียกเธอ "เราจะได้เริ่มประชุมกันเกี่ยวกับวันรุ่งขึ้นตอนหกโมงเช้า"

    เวลาตอนนี้ประมาณสี่ทุ่มยาม

    "บัตเตอร์ฟลายต่อสู้กับทาร่า" เธอกล่าวเมื่อเห็นสีหน้าของเวเรส

    "อืม" ขุนพลลำดับที่สี่รับคำ ดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่

    ลินดิสดูไม่มีบาดแผลอะไรร้ายแรง เรียกว่าขุนพลลำดับที่หนึ่งแทบจะไม่มีบาดแผลเลยจะถูกกว่า ถัดไปเป็นนาตาเลียที่ดูช้ำอยู่หลายส่วน มีบาดแผลร้ายแรงบ้าง แต่ร่างกายนางฟื้นฟูไว ส่วนมีน่ามีแต่รอยแตกเสียส่วนมาก โดยเฉพาะใบหน้า แต่หากมองลึกลงไปเสียหน่อยจะพบว่านางกระดูกหักด้วย

    ลิเลียน่าวางมือลงบนไหล่ของมีน่าแล้วรักษาให้นาง ไม่ช้าขุนพลลำดับที่สามก็กลับมาอยู่ในสภาพที่ครบสามสิบสอง

    "พรุ่งนี้บัตเตอร์ฟลายไม่น่าจะออกไปสู้ได้" ท่านวีร่ากล่าว ซึ่งตรงกับความคิดของเธอ จะให้ขุนพลลำดับที่หกไปฝืนไม่ได้หรอก "แต่มันคงไม่ลำบากมากนัก"

    "..." ทุกคนรับฟัง ดื่มเครื่องดื่มของตัวเองเงียบๆ

    "ลินดิส พรุ่งนี้เจ้ากับเวเรสใช้การโจมตีหมู่เลย เราจะไม่ออมมือให้พวกนั้น และเราจะไม่ต่อสู้แยกเป็นคู่อีก เข้าใจไหม?"

    ทุกคนพยักหน้า

    ลิเลียน่ารับฟังแผนการรบอีกหลายส่วน รวมถึงเรื่องที่ท่านวีร่าฟื้นจากการจำศีลในวันนี้ด้วย เธอปล่อยกายให้เคลิ้มกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนคิดได้ว่าอยากไปหาลอเรียล

    เธอขอตัวจากการประชุม ขุนพลที่เหลือยังนั่งอยู่ ละเอียดละไมกับการผ่อนคลายความตึงเครียดที่มีตลอดช่วงสี่ชั่วโมง แต่เห็นจากหางตาว่าเวเรสก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน นางมุ่งตรงไปที่ไหนสักแห่งโดยไม่สนใจฟังเสียงเรียกของใคร

    ลิเลียน่าเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังเต็นท์ของลอเรียล ที่แน่นอนว่าอิลูเมียอยู่ด้วย

    เธอมึนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ขณะกวาดสายตามองบุคคลที่นั่งอยู่ภายใน จ้องมองเธอเป็นตาเดียว

    "ท่านพี่" ลอเรียลลุกขึ้นมาหาแล้วกอดเธอไว้ ร่างกายนุ่มนิ่มของนางพอเหมาะพอดีกับอ้อมแขนของเธอ "ท่านแม่ นี่คนรักของข้าเอง"

    ลิเลียน่ามองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอเรียลแนะนำตัวเธอไป เป็นคนที่สวยมากทีเดียว แต่นางนั่งอยู่ใกล้กับอิลูเมีย ซึ่งมีความห่างเหินเล็กน้อยปกคลุมระหว่างสองคนนั้นอยู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ

    เดาได้ไม่ยากหรอก ลอเรียลเคยมีแม่ที่ไหนอีกนอกจากอิลูเมีย

    เธอคิดว่าต้องการมีพรากลูกพรากแม่เกิดขึ้นแน่ๆ

    "ตามสบาย" เป็นครั้งแรกที่อิลูเมียอนุญาตให้เธออยู่กับลอเรียลสองต่อสอง "มาร์จา เจ้ามากับข้า"

    นัยน์ตาคมปราดเปรี่ยวของเทพีแห่งแสงมองหญิงสาวที่ชื่อมาร์จาแน่นิ่ง คล้ายจะเป็นการขมขู่ไปในตัว ก่อนที่ผู้ถูกพูดจาข่มขู่ใส่จะพยักหน้าโดยไร้เสียงตอบรับ

    หญิงสาวทั้งสองเดินออกจากห้องไป

    ลิเลียน่าที่เมานิดหน่อยจึงเดินไปทิ้งตัวนอนบนเตียงของคนรัก

    "ท่านพี่ดื่มมาหรือ" ลอเรียลถามอย่างเป็นกังวล

    "ใช่" เธอกุมมือนางไว้

    นางนั่งลงบนเตียงเคียงข้างเธอ บรรยากาศเย็นสบายแต่กลิ่นเลือดที่ลอยจางในอากาศ เธอยื่นมือออกไปแล้วคว้าต้นคอนางไว้ ดึงให้ริมฝีปากนุ่มนวลก้มลงมาประทับอย่างแผ่วเบา

    ลอเรียลเปลี่ยนเป็นนอนลงเคียงข้างเธอ มือวางพาดรอบเอว ใบหน้าเนียนอิงแอบแนบชิด

    "ข้าคิดถึงท่าน" นางกระซิบ

    ลิเลียน่าเพียงแค่ยกมือลูบศีรษะคนรักเท่านั้น เธอขยับเพื่อจูบนางอีกรอบ ครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ดุดันไปด้วยแรงอารมณ์ที่แฝงซ่อนไว้

    "ท่านพี่..." ลอเรียลหน้าแดงซ่าน นางพึมพำขณะโดนกดให้นอนราบอยู่ใต้ตัวเธอ

    "หืม" เธอครางรับในลำคอ

    "...เดี๋ยวท่านแม่กลับมาเห็น"

    "พี่เมาอยู่" ลิเลียน่ามึนพอจะพูดประโยคนั้นโดยที่วิเคราะห์คำพูดก่อนหน้านี้ของคนรักไม่ได้เลย เธอใช้ริมฝีปากเม้มลงตรงซอกคอขาว สำรวจหาร่องรอยบาดเจ็บของนางไปด้วยขณะเลื้อยสัมผัสไปทุกซอกมุม

    "เมาก็ควร...นอน..." ลอเรียลหอบหายใจ ดูตื่นเต้นมากขึ้นจากการเร้าอารมณ์ของเธอ

    เมาแล้วควรนอน?

    ไม่...

    พี่ไม่ชอบนอนตอนเมา

    แต่พี่ชอบ 'เอา' ตอนเมา

    "พี่ขอ" เธอพร่ำจูบร่างกายนาง มือเลื่อนลึกเข้าไปสัมผัสและเน้นคลึงสิ่งที่ซุกซ่อนในซอกขา สัมผัสความเปียกชื้น พร้อมจะทำให้นางเป็นของเธออีกครั้งในคืนนี้


    ในหัวของเวเรสมีแต่อารมณ์เกรี้ยวกราดและความเกลียดชัง การจะยอมรับว่าเลือดเนื้อเชื้อไขฝ่ายเทพที่อยู่ในตัวเป็นของอิลูเมียนั้นยากจะรับได้ ทำไมถึงเป็นนาง จากคนทั้งหมดทั้งมวล

    เธอมานอนอยู่บนโต๊ะไม้ในป่า ต้องการที่สงบๆ ในการคิดอะไรคนเดียว

    แต่ความสงบมักไม่สงบอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่เธอเกลียดดันตามมาหลอกหลอน

    อิลูเมียเดินเข้ามาในป่าพร้อมกับมาร์จา แม่ของลอเรียล ทั้งสองสนทนากันโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเธอกำลังแอบจ้องมองอยู่อย่างเงียบเชียบ

    ทั้งสองหยุดคุยกันในที่ที่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากต้นไม้ที่เวเรสอยู่นัก

    สงสัยบรรยากาศตรงนั้นจะดีมาก...เพราะไม่นานมาร์จาก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อจูบอิลูเมียอย่างดูดดื่ม

    เวเรสกรอกสายตา ส่งเสียง "หึ" ในขณะที่คิดว่ามือที่สามคนนี้เองก็ร้ายใช่เล่น

    เธอยกมือขึ้นรองศีรษะของตัวเองไว้ เอนตัวพิงลำต้นของต้นไม้ มองภาพการร่วมกามาของเทพีแห่งแสงและคนรักอีกคนของนางตรงนั้น แม้ทั้งสองจะไม่ถอดเสื้อผ้าออก มีแค่เลื่อนให้มันหลุดจากร่างกายนิดหน่อยเท่านั้น แต่มันก็น่าขนลุกพอสมควร

    เสียงครางต่ำและเสียงหอบหายใจสั่นสะท้านความเยือกเย็นของอากาศลอยมากระทบหูเวเรส

    อิลูเมียคงมีความสุขมาก ในขณะที่ปล่อยให้ท่านแม่วีร่าทุกข์ใจ

    อิลูเมียคงมีความสุขมาก ที่ปล่อยเธอผู้เป็นลูกทิ้งไว้โดยไม่สนใจเลยมาตลอดหลายปีได้ และใช้ชีวิตอยู่กับเด็กอีกคนอย่างมีความสุข

    อิลูเมียคงมีความสุขมาก กับการไร้ความรับผิดชอบของนาง

    เพราะแบบนั้นเวเรสจึงไม่คิดให้อภัยและไม่ยอมให้คนคนนี้เป็นแม่เด็ดขาด ต่อให้เลือดในตัวเธอจะเป็นของนางครึ่งหนึ่งก็ตาม

    เธอปล่อยหัวใจและความคิดให้เกลียดชัง แต่ทว่าน้ำตากลับไหลปริ่มอย่างไร้สาเหตุ...


    [150%]
    Character





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×