ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black N Blue (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #62 : Black N Blue❖The destroyer 'six warlords' 25

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 628
      131
      8 ก.ค. 63

    Warning

    about The destroyer 'six warlords'

         เนื้อหามีความรุนแรง ค่อนไปทางสีเทาและดำ การกระทำและความคิดความอ่านของตัวละครไม่สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างอย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีวิจารณญาณในการอ่าน


    Song; Julia Michaels - Heaven


    EPISODE25

    Alternative Universe 04The destroyer 'six warlords'


    มีน่ากลับมายังคฤหาสน์ของบัตเตอร์ฟลายด้วยความเหนื่อยและหิวแทบขาดใจ เธอกับเวเรสช่วยกันพยุงลิเลียน่าเข้าไปภายใน โดยมีลินดิสเดินเข้าไปก่อนแล้ว

    ทาร่าไม่ให้พวกเราพักอยู่ที่อาณาจักรแวมไพร์ นางให้เหตุผลว่าเดี๋ยวคนรักของพวกเราจะเป็นห่วง แต่ความจริงน่าจะเกี่ยวกับสงครามที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำนองว่ารีบเอาหลักฐานออกจากที่เกิดเหตุดีกว่า

    "เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ?" เสียงตื่นตระหนกของลอเรียลดังขึ้นคนแรก นางถลามาหาลิเลียน่าแล้วจับร่างคนรักไว้ ตรวจสอบความเสียหายส่วนมากทางสายตา ราวกับกำลังวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น "พวกท่านออกไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วเหรอ"

    "พวกนางก็ทำแบบนั้นกันประจำ เจ้าควรชินได้แล้ว" ไวโอเล็ตนั่งอยู่บนโซฟา หน้านิ่งคิ้วขมวด ดูไม่ผ่อนคลายเหมือนคำพูด

    มีน่าคิดว่านางยังโกรธเธอเรื่องสงครามครั้งที่แล้ว เธอหลอกนางว่าจะวางตำแหน่งนางในสงครามให้เป็นมือสไนเปอร์ ด้วยอาวุธสงครามใหม่เอี่ยมที่เธอเสียเงินไปเยอะมากเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง และเมื่อนางหลงกล เธอก็ขังนางไว้ในห้องจนกระทั่งสงครามจบ มัดนางไว้บนเตียงทั้งคืน

    ไม่ใช่ความผิดเธอเสียหน่อยที่ไม่ชอบให้ไวโอเล็ตมาเกี่ยวข้องกับสงคราม เธอก็ไม่ได้ใจดีเหมือนเวเรสและบัตเตอร์ฟลายด้วยที่หยวนๆ ให้คนรักไปอยู่หน่วยพยาบาล

    คิดจะเป็นคนรักของเธอ นางต้องปล่อยวางในหลายเรื่อง

    มีน่าเลยเดินไปหาเด็กน้อยของเธอ ทันทีที่ปล่อยให้ร่างกายนั่งลงบนโซฟา ความเจ็บแปรบก็แล่นเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูบ้านถูกเปิดออกและหญิงสาวที่มีเส้นผมสีแดงหม่นก็สาวเท้าเข้ามาภายในด้วยความโกรธปนกับความกังวลในดวงตา

    "ทาร่าอยู่ไหน" แอสทริดตั้งคำถาม นางยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าเรียวคมดูทั้งเย็นชาและจริงจัง หลังจากเป็นราชินีที่อ่อนด้อยในด้านการปกครองและการกอบกุมอำนาจ ตอนนี้นางได้กลายเป็นหญิงสาวที่ไม่ว่าใครก็แตะต้องไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องสงสัยว่าใครเป็นคนเปลี่ยนนาง

    "อาณาจักรแวมไพร์" ลินดิสเป็นคนตอบคำถามขณะเดินมานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกันกับมีน่า "ถ้าเจ้าจะตามตัวคนรักแล้วถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็รีบไปก่อนที่จะพลบค่ำดีกว่า ไม่อย่างนั้นทาร่าได้โมโหแน่"

    "อย่างกับนางมีสิทธิ์โมโหข้า" ใบหน้าราชินีแห่งแพนเธียดุร้ายขึ้น การเปลี่ยนเป็นครึ่งเผ่าแวมไพร์น่าจะทำให้อารมณ์ของนางเข้มข้นอย่างชัดเจน "เป็นนางต่างหากที่ออกจากวังไปไม่บอกกล่าวตั้งแต่เช้า ทำให้ข้าคอยเป็นห่วงทั้งวัน เป็นคนที่น่าตีจริงๆ เลย"

    "แนะนำให้ตีเลยเพคะ องค์ราชินี" ไวโอเล็ตสนับสนุนความคิดของแอสทริดด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ภายใต้ความสดใสกลับแฝงความหมายบางอย่างลับๆ ส่งมาให้มีน่าที่นั่งเงียบอยู่ที่เดิม

    แอสทริดพึมพำอะไรบางอย่างใต้ลมหายใจของตัวเองก่อนเดินออกจากบ้านไปโดยปิดประตูตามหลัง

    ภายในบ้านเงียบลงถนัดไป ลอเรียล เซฟีร่า และเวเรสอยู่ชั้นบน กำลังดูอาการของลิเลียน่า ทำให้ชั้นล่างมีเพียงเธอ ไวโอเล็ต และลินดิสเท่านั้นที่นั่งรวมกันอยู่ตรงโซฟา ทว่าขุนพลลำดับที่หนึ่งเองก็ไม่ได้สนใจพวกเรานัก นางกำลังพักผ่อนด้วยการหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ

    "ข้าขอตีบ้าง" มีน่ากล่าว ทำให้แม่ตัวดีตวัดสายตามามองทันที

    "ข้าต่างหากที่ต้องพูดคำนั้นกับท่าน ท่านอาจารย์ ท่านเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายโดยไม่บอกข้าอีกแล้ว"

    เธออยากจะเอ่ยว่า 'ไม่ได้ตั้งใจ มันฉุกละหุก' แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ตัวอะไร เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึง เลยกล่าวเรื่องเดิมออกไปแทน

    "ตกลงตีไม่ได้?"

    "ไม่ได้!" นางยืนยัน หากเป็นแมวคงกำลังแยกเขี้ยวใส่เธออยู่แน่

    "แต่ข้าอยากตีมากๆ" สิ่งที่มีน่ากำลังทำคือดึงดูดความสนใจของไวโอเล็ตให้ไปเรื่องอื่น ไม่อยากให้นางสังเกตรอยแผลบนร่างกายของตัวเองแล้วต้องเป็นห่วง "เจ้าเด็กดื้อ"

    "ข้าเป็นเด็กดื้อตรงไหนกัน" นางขมวดคิ้วมุ่น ราวกับกำลังนึกว่าตัวเองทำอะไรเอาแต่ใจหรือเปล่า "ก็ไม่นี่ คนที่ดื้อนั่นมันท่านต่างหาก ท่านดื้อกับข้าตลอดเลย"

    "ขอโทษที่ดื้อ แต่จะให้กลายร่างเป็นลูกหมาแบบทาร่า ข้าทำให้เจ้าไม่ได้หรอก" เธอเหลือบมองไปยังชั้นสอง นึกได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้ไปตรวจสอบดูสภาพร่างกายบัตเตอร์ฟลายเลย "แต่ข้าที่เป็นแบบนี้ ก็เป็นคนเดียวกับที่เจ้ารักมาตลอดเลยไม่ใช่?"

    จู่ๆ ไวโอเล็ตก็หน้าแดงระเรื่อ นางกำหมัดแน่นราวกับอยากปฏิเสธ

    มีน่าถือโอกาสนั้นในการขยับร่างกายเข้าไปใกล้ แลกเปลี่ยนไออุ่นระหว่างเรา แล้วดึงมือนางมากุมไว้ในมือของตัวเอง

    "ข้าอาจไม่ชอบพูดคำหวาน แต่...เจ้าก็รู้ว่าข้ารู้สึกยังไง"

    "..." ไวโอเล็ตผ่อนคลายลง นางเอนตัวมาหา เธอใช้มือโอบรอบเอวแล้วดึงให้คนตัวเล็กมาอิงแอบ

    "ข้ารักเจ้า" นางกระซิบเพื่อให้นางได้ยินเพียงคนเดียว...

    นางสอดมือเข้ามาโอบรอบต้นคอของเธอ ดึงให้โน้มใบหน้าลงไปหา ริมฝีปากเราสัมผัสกันอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล เป็นความรู้สึกที่แปลกสำหรับขุนพลลำดับที่สาม เธอคิดมาตลอดว่าเธอเกิดมาเพื่อทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า ทุกอย่างที่ขัดหูขัดตา เมื่อต้องโอบกอดอะไรสักอย่างไว้ด้วยความถนุถนอม มันอบอุ่นเกินกว่าที่ใจต้องการ

    ไวโอเล็ตเป็นคนที่เธอต้องรับผิดชอบเพราะการตายของพ่อกับแม่นางเป็นความผิดของเธอ เป็นคนที่ทำให้เธอได้รู้สึกในสิ่งที่ตายไปจากใจนานมากแล้ว

    เธอไม่เคยอยากยอมรับว่านางมีอิทธิพลมากแค่ไหนในชีวิต แต่ใช่ สำหรับคนที่ตอนนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ นางมีอิทธิพลมากจริงๆ

    นางชอบโมโหเธอเรื่องที่ไม่ให้ออกไปเจออันตราย แต่นางไม่เคยคิดถึงใจเธอ

    มีน่าไม่ใช่คนที่จะสนใจหากตัวเองบาดเจ็บ สิ่งเดียวที่ทนไม่ได้คือเห็นนางบาดเจ็บ หากเธอยังอยู่ในจุดที่สามารถห้ามนางได้ เธอก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อห้าม

    หลังสูญเสียพ่อกับแม่ไป ไม่ว่าสิ่งใดในโลกก็เยียวยาไม่ได้ถ้าเธอต้องเสียนางไปอีกคน

    "เชื่อใจข้า" เธอกระซิบหลังถอนจูบออก "นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าขอจากเจ้า"

    "..." นางพยักหน้าโดยไร้เสียงอย่างว่าง่าย

    "ข้าขอตัวไปดูบัตเตอร์ฟลายก่อน เจ้าช่วยไปบอกแม่บ้านให้เตรียมข้าวเย็นให้ข้าหน่อยได้ไหม" มีน่ากล่าว แต่มันไม่ใช่ประโยคคำถามหรือประโยคขอร้อง และไวโอเล็ตก็รู้เรื่องนั้นดี นางปลีกตัวไป

    เธอขึ้นชั้นสอง เดินเข้าไปในห้องที่บัตเตอร์ฟลายนอนเป็นผัก ก่อนพบว่าไอริกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้เตียงนอน

    นางรีบส่งยิ้มให้ทันทีที่เห็นว่าเธอเดินเข้าไปในห้อง

    มีน่าบังคับให้ริมฝีปากส่งยิ้มกลับไป ในขณะเดียวกันก็เบนสายตาไปมองร่างของขุนพลลำดับที่หกด้วย บัตเตอร์ฟลายผอมลงมากในช่วงเกือบเดือน ดูอ่อนแอลงไปถนัดตา

    "นางดู..." เธอพิจารณาความเนียนของผิวและความกระจ่างใส่ของมัน พบว่ามันซีดขึ้นกว่าปกติ "มีปัญหารึเปล่า"

    "มีปัญหาอะไรหรือเพคะ?" ไอริทวนอย่างไม่เข้าใจ

    มีน่าคิดทบทวนทุกอย่างในหัว

    ลิเลียน่าเป็นคนเดียวที่ควบคุมเรื่องความสมบูรณ์และสารอาหารในร่างกายของบัตเตอร์ฟลายด้วยเวทมนตร์แห่งแสง ไม่แน่ว่าการที่ขุนพลลำดับที่ห้าสลบไม่ฟื้น แถมใช้พลังไปเยอะมากๆ กับการต่อกรร่างเลียนแบบ รวมถึงสร้างเกราะป้องกันการโจมตีสุดท้าย

    ตอนนี้พลังของลิเลียน่าน่าจะมั่นคงไม่พอในการดูแลขุนพลลำดับที่หก

    พวกเราใส่พลังเวทลงไปในเกราะป้องกันไม่เท่ากัน แน่นอนว่าขุนพลทุกคนมีพลังเวท ทว่ามันแตกต่างกันตรง 'มากกับน้อย' คนที่ต้องรับภาระหนักคือเวเรสกับลิเลียน่า

    แต่เวเรสนางสามารถดึงพลังงานธรรมชาติรอบตัวมาทดแทนพลังที่หายไปได้ สำหรับลิเลียน่า การที่สลบไปเลยแบบนั้นคงเป็นการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลัง

    นึกแล้วก็เจ็บแผลช้ำภายในร่างกายของตัวเองที่ยังไม่ได้รักษาอย่างเป็นจริงเป็นจัง ดีหน่อยที่ทาร่ายังมีน้ำใจเอาผ้าเย็นมาให้พวกเราคนละผืนเพื่อเช็ดเลือดตามร่างกายออกไป ส่วนรอยแผลภายนอกก็ถูกรักษานิดหน่อยก่อนถูกส่งตัวกลับมา

    มีน่าชะงักเมื่อสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วของบัตเตอร์ฟลายกระตุกเบาๆ

    มันอาจเป็นอาการกระตุกธรรมดา แต่เทียบกับการที่พวกเราไม่เห็นนางขยับร่างกายอะไรเลยมาเกือบเดือน นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี

    และมันเป็นอะไรที่...น่าหงุดหงิดจริงๆ นะ กับการที่เห็นเพื่อนนอนเป็นผักแล้วทำอะไรไม่ได้

    "ปลุกนาง" เธอออกคำสั่งแก่ไอริ

    "คะ?" นางดูตกใจและลังเลที่จะทำตาม

    "..." มีน่าพยักหน้ายืนยัน การปลุกคนที่โคม่าให้ตื่นขึ้นมาอาจเสี่ยงมากก็จริง แต่ยังดีกว่าที่นางจะนอนต่อไปโดยพึ่งพลังเวทของลิเลียน่าในการใช้ชีวิต

    ดังนั้นไอริเลยทำตามแบบที่ยังกล้า กลัวๆ อยู่หลายส่วน แต่ใบหน้านางจริงจังขึ้น แน่วแน่ขึ้น

    จากการขยับและผลักเล็กน้อยก็กลายเป็นเขย่าแรงขึ้นเรื่อยๆ

    นิ้วของบัตเตอร์ฟลายขยับ หางคิ้วของนางเองก็กระตุก

    รำคาญเหรอ รำคาญก็ตื่นได้แล้ว

    มีน่าหยิบปืนที่ไม่มีกระสุนอยู่ภายในออกมาแล้วจ่อไปที่หน้าผากของบัตเตอร์ฟลาย

    "ท่านคิดว่าท่านทำอะไรอยู่" ไอริถามอย่างเคร่งเครียด

    เธอส่งสายตาให้นางเงียบ

    "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบให้ใครใช้อาวุธจ่อใส่หน้า แต่ข้าไม่ได้จะทำแค่อาวุธจ่อใส่หน้าแน่ หากเจ้าไม่ตื่นขึ้นมา ข้าคงไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากยิงเจ้าทิ้งซะ" เธอเอ่ยเสียงราบเรียบ รู้อยู่แก่ใจว่าขุนพลลำดับที่หกมีประสาทสัมผัสและการป้องกันตัวที่ดีกว่าขุนพลคนอื่น ต่อให้นางหลับอยู่ นางก็ยังรู้ถึงอันตราย "หยุดทำตัวเป็นภาระและลุกขึ้นมาได้แล้ว"

    "อา..." เสียงบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์หลุดออกมาจากริมฝีปากของขุนพลลำดับที่หก มือของนางขยับ

    ไอริรีบคว้ามือนายหญิงของนางไปจับไว้ในทันที นางดูตื่นเต้นเป็นครั้งแรกในระยะเวลาที่ยาวนาน

    มีน่าขยับปลายนิ้ว แต่กลับชะงักเล็กน้อยเพราะรู้สึกเจ็บ เธอฝืนให้ตัวเองถือปืนไว้

    "ไอ้..." เสียงของบัตเตอร์ฟลายเริ่มชัดอีกหน่อย มือที่เคยไร้เรี่ยวแรงเริ่มออกแรงจนกลายเป็นกำแน่นอย่างขัดเคืองในอารมณ์

    แต่บางสิ่งบางอย่างกลับผิดแผนไป เมื่อพื้นที่เธอเหยียบอยู่เริ่มสั่นสะเทือนอ่อนๆ จนกระทั่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และทำให้หลายอย่างในห้องสั่นคลอน บางสิ่งบางอย่างกระเด็นตกลงสู่พื้น เสียงโวยวายของขุนพลคนอื่นดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดผัวะอย่างรวดเร็ว

    เวเรสกับลินดิสก้าวเข้ามาในห้อง

    "แผ่นดินไหว?" มีน่าเอ่ย เป็นคำถามเผื่อใครในห้องนี้สักคนรู้เรื่อง

    ท่ามกลางความเงียบระหว่างขุนพล ในที่สุดขุนพลลำดับที่หกก็ลืมตาขึ้นด้วยประกายสีฟ้าที่ต่างออกไปจากปกติ

    พื้นดินสั่นสะเทือนจนอีกไม่นานบ้านทั้งหลังต้องพังลงแน่ ไม่ใช่ ภูเขาทั้งลูกเลยต่างหากที่สั่นสะเทือนเพราะพลังที่ยากเกินควบคุมของบัตเตอร์ฟลาย

    "ไอ้ลูกธนูเวรนั่นเป็นของใคร!!" นางตะคอกอย่างฉุนเฉียว และทุกอย่างก็คล้ายกับคลั่งตามอารมณ์ที่แปรปรวนของนางไปด้วย

    ลินดิสพยักหน้าเล็กน้อย

    มีน่ากับเวเรสเลยพุ่งเข้าไปจับร่างของขุนพลลำดับที่หกแล้วกดลงบนเตียงทันที

    "ปล่อย!!!" นางสะบัดร่างกายอย่างโมโหร้าย และบ้านทั้งหลังก็ดูเคลื่อนไปตามขุมพลังตามพื้นดินที่เข้าปะทะจากแก่นฐาน

    วันวันหนึ่งที่มีแต่เรื่องปวดหัวกับกระเพาะที่ว่างเปล่า มีน่าเหนื่อยจริงๆ...


    นาตาเลียพยายามทำตัวปกติกับคริกซี่

    ใช้คำว่าพยายาม เพราะเธอไม่ปกติเลยสักนิดเดียว

    เมื่อคืนเธอโดนนาง 'สอนเรื่องการมีเซ็กส์' ไปนานมาก หรือไม่เธอเองก็เป็นคนทำให้มันนาน เพราะเธอไม่ค่อยอยากจับส่วนลึกลับของคนอื่นสักเท่าใดต่อให้เป็นนางก็ตาม มันทำให้เธอรู้สึกกลัว

    ที่เคยบอกว่าไม่ชอบเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องจริงมาตลอด แต่อย่างน้อยในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง หลังเราเริ่มทำเรื่องนั้น คริกซี่ก็ทำให้เธอผ่อนคลายได้ในที่สุด นางอธิบายอย่างเรียบง่ายในแต่ละเรื่อง บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนอะไรนอกจากสร้างความพอใจด้านร่างกายให้แก่กันและกัน

    สุดท้าย เราก็ 'มี' กันไปหนึ่งรอบ โดยที่ไม่มีใครกระอักกระอ่วนกับมัน

    นาตาเลียจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนนางเกลี่ยกล่อมเธอยังไงบ้าง เธอไม่อยากจำ

    ...ยอมรับก็ได้ว่าอาย

    ตอนนี้เธอกำลังนั่งดูคริกซี่กับลูกทั้งสามของนาง

    คนโตดูเป็นสาวแล้ว อายุประมาณยี่สิบห้า

    คนกลางอายุประมาณยี่สิบ

    ส่วนคนเล็กอายุประมาณสิบสาม

    คริกซี่อธิบายให้เธอฟังว่านางมีความสุขดีที่จะมีลูก นางบอกว่าพวกตระกูลขุนนางฝากเด็กพวกนี้ไว้ให้อยู่ในการดูแลและการสั่งสอนของนาง เพื่อในอนาคตพวกมันจะได้เป็นผู้นำที่ดีให้แก่อาณาจักร

    เด็กทั้งสามไม่ใช่พี่น้องกันด้วยซ้ำ พวกมันมาจากตระกูลขุนนางที่แตกต่างกัน

    ไม่ใช่สายเลือดราชวงศ์ด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจวิธีการปกครองของที่นี่เลยจริงๆ

    เราจะแบ่งอำนาจไปหลายส่วนทำไมในเมื่อเรารวมอำนาจไว้ที่เดียวได้ โดยไม่ต้องมีการแข่งขันและไม่มีใครเดือดร้อนกับมัน

    ในระหว่างที่นั่งคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ จากที่ไกลๆ นาตาเลียก็เบือนสายตามองไปรอบตัว

    อาณาจักรมายามีสิ่งก่อสร้างส่วนมากลักษณะคล้ายกับวิหาร ใช้ในการเรียนรู้ ในการเข้าสังคม และใช้เป็นบ้านด้วย ส่วนที่พักของผู้นำของอาณาจักรจะถูกเรียกว่ามหาวิหาร

    บรรยากาศของอาณาจักรมายาก็คล้ายกับมีหมอกสีขาวเบาบางปกคลุมอยู่ทุกที่ แต่ทุกคนที่นี่ดูมีความสุขกับมันดี

    เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ทุกอย่างสงบ ประชาชนรักกัน แต่มีการแข่งขันที่สูงมากในบรรดาผู้นำ แต่เป็นการแข่งขันในเงามืดจนแทบไม่กระทบกิจวัตรประจำวันหรือเป็นที่ปวดหัวของใคร

    เธอพ่นลมหายใจ อะไรที่มันสงบเกินไปก็น่าเบื่อ เธอไม่คิดว่าคริกซี่จะชอบที่แบบนี้

    นาตาเลียหันกลับมามองคริกซี่ พบว่านางกำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาลุ่มลึก

    "เจ้าไม่อยากเข้าไปคุยกับพวกนางหรือ" นางเดินมาหาแล้วนั่งลงข้างกาย เว้นระยะห่างเราไว้ เพราะนางก็น่าจะรู้ว่าหากใกล้เกินไปพวกเราจะอึดอัดกับเรื่องเมื่อคืน

    แต่อาการขัดใจอย่างแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอกของเธอ

    ทันทีที่เห็นว่าคริกซี่มาอยู่ใกล้เธอ ลูกสาวคนโตของนางก็มีสีหน้าเย็นชา คนกลางมองกรุ้มกริ่ม ส่วนคนเล็ก...มองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

    "ไม่ชอบเด็ก" ในประวัติการใช้ชีวิตตลอดเกือบพันปีที่ผ่านมา มาร์จาคือเด็กคนเดียวที่เธอชอบ "แต่ถ้าเป็นลูกของเจ้าจริงๆ อาจจะชอบ"

    หมายถึงลูกที่มีหน้าตาเหมือนนาง นิสัย ประมาณนั้น

    และใช่ ลูกที่มีกับเธอ

    "ข้าไม่คิดจะมีลูกหรอก" นางเอ่ย นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตาเมื่อมองไปยังเด็กทั้งสาม "ถ้าไม่ใช่กับเจ้า...ก็ไม่อยากมี"

    "..." นาตาเลียหันไปสบตากับนาง

    "แต่เจ้ายังโกรธข้าอยู่"

    ปกติเวลาแบบนี้คนปกติที่มีความรักกันจะปฏิบัติตัวยังไง? เธอพยายามหาคำตอบ

    "ไม่จูบเหรอ" นาตาเลียถาม คริกซี่ดูแปลกใจ "ปกติเวลาที่พูดอยากมีลูกกับใครหรือแสดงความรักต้องจูบไม่ใช่?"

    "ทำแบบนั้นต่อหน้าเด็กไม่ดีหรอก นาตาเลีย" นางอมยิ้มอย่างเอ็นดู ครั้งนี้เลื่อนมือมาหาแล้วสอดปลายนิ้วของเราเข้าด้วยกันอย่างเรียบง่าย

    ตอนแรกเธอจะดึงมือหนี แต่สุดท้ายก็ยอมอยู่เฉยๆ... เพราะมือนางนุ่มมาก

    "แต่ในห้องคืนนี้...ก็ไม่แน่" นางแกล้งเธอด้วยการส่งสายตาที่มีความนัยน์แฝงมาให้ ทำให้หัวของเธอย้อนกลับไปยังเรื่องราวเหล่านั้นบนเตียง ตอนที่ร่างกายของเราใกล้ชิดกันจนไม่สามารถใกล้กันได้มากกว่านั้น

    "..." อ่า...

    อายจนอยากตายมีอยู่จริง

    "ว่าแต่จะไม่พูดเรื่องที่เจ้ายังโกรธเหรอ" คริกซี่เปิดประเด็นขึ้นมาอีก

    "ไม่มีอะไรต้องพูด" นาตาเลียส่ายศีรษะ เธอหมายความตามนั้น ตั้งแต่เจอนางอีกครั้งเธอคิดมาตลอดว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำสิ่งใด

    ผลสรุปว่าเธอแค่ยังเจ็บกับสิ่งที่นางทำ

    เธอใช้เวลากับนาง นอนกับนาง และมีความรู้สึกดีๆ ให้นาง แต่ความรู้สึกในส่วนที่ถูกทำลายจะยังอยู่แบบนั้นต่อไปจนกว่านางจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข

    "ไม่มีอะไรต้องพูด ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่อยากพูดอะไรเสียหน่อย" ปลายนิ้วที่สอดเข้ามาดูกระชับขึ้นอีกหน่อยจนกลายเป็นการกระตุกมือเบาๆ นางอยากให้เธอพูดอะไรสักอย่างเพื่อที่นางจะได้ไปต่อได้

    นางอยากให้เธอพูดเพราะ...นางอยากรู้ว่าตัวเองต้องทำยังไงต่อไป

    ถ้ายังอยากสานต่อก็ย่อมได้...

    นาตาเลียเคลียร์ลำคอแล้วปล่อยให้เสียงหลุดออกมา

    "ข้าอยากให้เจ้ากลับอาณาจักรแวมไพร์กับข้า"

    "..."

    "อยู่ที่นั่นกับข้า ในตำแหน่งอะไรก็ได้ที่เจ้าอยากจะเป็น"

    "..."

    "แล้วหลังจากนั้น...อะไรที่คิดว่าดีต่ออาณาจักร ดีต่อข้า ดีต่อเรา อยากทำอะไรก็ทำ"

    "ตำแหน่งอะไรก็ได้ที่ข้าอยากเป็น?" เส้นผมสีชมพูของนางขยับเกลี่ยไหล่เปลือยเล็กน้อยเมื่อนางหันศีรษะมาทิศที่เธอนั่ง "ถ้าข้าอยากเป็นองค์ชายา องค์ราชินีอยากแต่งตั้งให้ไหม"

    นาตาเลียชะงัก ผู้หญิงคนนี้แรงไม่แผ่วตั้งแต่เมื่อคืน... "ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้นก็อาจจะทำให้ได้ แต่การกลับไปอาณาจักรแวมไพร์ไปกับข้าหมายถึงเจ้าต้องทิ้งทุกอย่างที่นี่ ลูกๆ ของเจ้า หรือใครก็ตามที่เจ้ารู้จัก"

    "ทิ้งเหรอ..."

    "ทิ้งในความหมายที่ว่า เจ้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับอาณาจักรมายาอีก"

    "..." นัยน์ตาของนางสั่นไหว

    "เจ้าเคยทิ้งทุกอย่างที่ข้าให้เจ้าไปหาพวกมัน คราวนี้หากเจ้าอยากชดใช้ เจ้าต้องทิ้งทุกอย่างที่มีกับมันแล้วกลับมาหาข้าโดยสมบูรณ์"

    นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่นาตาเลียจะให้ นางจะไม่รับก็ไม่เป็นไร เธอไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะดีขึ้นหรือแย่ลงยังไงหากนางไม่กลับมา มันก็คงเป็นชีวิตแบบเดิมกับเมื่อก่อน ชีวิตที่เธอสนใจอยู่แค่เรื่องอาณาจักร

    คริกซี่ระบายรอยยิ้มที่มีแต่ความเข้าใจ นางเบนสายตาหันกลับไปมองลูกๆ ของนาง

    "เจ้ายังไม่เคยพูดเลยว่ารู้สึกยังไงกับข้า นาตาเลีย"

    "ความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้านอกเหนือจากความเกลียดชังที่เจ้าก่อไว้ คือเจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถนำความสงบมาสู่ใจข้า" เธอลุกขึ้นยืนเพราะไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมแล้ว "ข้าจะกลับไปอาบน้ำ เตรียมชุดไว้ให้ข้าด้วยถ้าเป็นไปได้ ข้าจะกลับอาณาจักรแล้ว"

    เธอไม่ควรอยู่ในที่ต่างแดนให้นานนัก ที่ตามมาที่นี่ก็เพราะเป็นห่วงคริกซี่ แต่ตอนนี้เห็นชัดแล้วว่ามันไม่มีอะไรให้ห่วงอีกต่อไป

    ร่างสูงของราชินีแห่งอาณาจักรแวมไพร์เดินกลับไปยังวิหารที่เป็นที่พักของคริกซี่ เลี้ยวเข้าไปในห้องอาบน้ำขนาดใหญ่แล้วปลดชุดสีขาวที่ยืมมาออกจากร่างกาย

    เธอก้าวเท้าลงไปในน้ำแล้วเอนพิงผนังอย่างผ่อนคลาย

    ทุกครั้งที่อยู่กับคริกซี่ บางครั้งก็รู้สึกกดดัน แต่บางครั้งก็รู้สึกราวกับตัวเองถูกปลดปล่อยจากภาระและหน้าที่ที่มีอยู่

    นาตาเลียหลุบสายตาลงมองน้ำที่ใสจนเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง เธอกวาดมือไปรอบๆ ให้น้ำที่เย็นสบายชำระล้างร่างกายและความสับสนในใจออกไปจนหมด

    คาดเดาไม่ได้เลยว่าคริกซี่จะเลือกแบบใด

    "นาตาเลีย" เสียงคริกซี่ดังขึ้นจากหน้าประตู "ขอเข้าไปได้ไหม"

    "เข้ามา" เธอตอบ ไม่ได้พยายามผลักไสนางออกไปแล้ว

    นางเดินเข้ามาในห้องน้ำ กวาดสายตามองเธอด้วยความสนอกสนใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดชุดตัวเองลงมาอาบน้ำด้วยกัน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงเล็กน้อย

    "ขอโทษที่ต้องตามเข้ามาถึงในนี้ แต่ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าเรายังคุยกันไม่เข้าใจ ได้โปรดคุยกันก่อนได้ไหม" นางรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นพวกชอบตัดบทสนทนาที่ไม่จำเป็น และนางกำลังเอ่ยย้ำเป็นรอบที่สาม ให้เราคุยกันให้เข้าใจก่อน ดูไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ด้วย

    นาตาเลียระบายลมหายใจ เธอจะพยายามไม่ตัดบทอะไรอีกเท่าที่ควบคุมตัวเองไหว

    "ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่ารัก" ครั้งล่าสุดคือเราคุยเรื่องเธอคิดยังไงกับนาง เธอเลยยินยอมสานต่อมันอย่างเรียบง่าย "รู้สึกว่าเจ้าน่ารักตั้งแต่ครั้งแรกทีเห็นเจ้าเดินสวนเข้าไปในห้องประชุมในวันนั้น รู้สึกว่าเจ้าน่าค้นหาและดึงดูดใจวันต่อมาที่เจ้าปรากฏตัวที่วังด้วยฐานะชายารองของท่านพ่อ"

    "..." คริกซี่รับฟังอย่างเงียบเชียบ

    "ข้ารู้สึกผิด ตอนนั้นเจ้าเป็นของเขา ข้าไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับในความรู้สึกพวกนี้" เธอบังคับไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้า แม้คลื่นน้ำที่ใสสะอาดจะรื้นขึ้นที่กรอบตา "ทุกวันนี้ข้าก็ยังรู้สึกผิดกับเขา"

    "เจ้ารักเขา" นางกล่าวเติมเต็มในสิ่งที่เธอไม่เคยแม้แต่จะอยากนึกถึง

    "ต่อให้ข้าปฏิเสธเขามากแค่ไหน แต่ก็ใช่ ข้ารักเขา เขาเป็นพ่อคนเดียวของข้า แต่ข้ากับทาร่าฆ่าเขาลงด้วยสองมือของเรา" ในอดีตที่ผ่านมานาตาเลียทำผิดพลาด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บาดแผลที่เพิ่มขึ้นก็ไม่คล้ายจะถูกเยียวยา "หลังจากนั้นคนที่ข้าสั่งฆ่าคือคนรักของพี่สาว ข้าคิดมาเสมอว่าข้าทำเพื่ออาณาจักร ทำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน ทว่าข้าทำร้ายครอบครัว"

    ซ้ำแล้วซ้ำอีก

    "เจ้าเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้าลืมความเจ็บปวด"

    เพราะทุกครั้งที่นึกถึงนาง นึกถึงสิ่งที่นางทำ ความโกรธที่มีต่อนางทำให้ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดในเรื่องอื่นๆ เลือนหายไป

    เธอกลายเป็นคนที่เธอเกลียดที่สุดอย่างไม่น่าให้อภัย

    คนหลอกลวง

    เธอหลอกตัวเอง เพื่อความสบายใจที่ไม่มีอยู่จริง

    "ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าข้ารู้สึกยังไงกับเจ้า" เธอกระพริบตาเพื่อไล่หยดน้ำ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องทำตัวอ่อนแอหลังผ่านมาแล้วหลายร้อยปี "ข้าขาดเจ้าไม่ได้"

    "นาตาเลีย" คริกซี่เคลื่อนตัวมาหา ร่างกายที่เปลือยเปล่าของนางพาดพิงลงบนกายของเธอ ความนุ่มนวลที่อบอุ่นของคนที่ได้ชื่อว่าพระมารดาทำให้กำแพงในใจของเธอพังทลายลง นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้เจอกับแม่ "ข้าเองก็ขาดเจ้าไม่ได้"

    "..." เธอโอบกอดนางไว้ ซุกใบหน้าลงเหนือเนินอกอย่างหาที่พึ่งพิง

    "ข้าจะตามเจ้ากลับไปยังบ้านของเรา"

    "เพราะข้ารักเจ้า?" เอ่ยอย่างไม่แน่ใจนักว่าตัวเองแทรกขึ้นไปเพื่ออะไร แต่เธอก็อยากบอกนางอยู่ดี

    คริกซี่หัวเราะอย่างเอ็นดูอีกครั้ง นางจูบลงบนศีรษะของเธออย่างรักใคร่ "ใช่ เพราะเจ้ารักข้า และเพราะข้าเองก็รักเจ้ามากกว่าใครในโลกใบนี้"

    เรื่องราวของนาตาเลียกับคริกซี่เริ่มอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้...

    และในอนาคตอันใกล้ ใครจะรู้ว่าราชินีแวมไพร์จะต้องใช้ชีวิตหงอเป็นลูกหมาทุกวันเพราะองค์ชายาของเธอได้รับการขนานนามจากประชาชนว่า 'โหดที่สุด' เท่าที่ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเคยมีมา


    เป็นครั้งแรกที่เวเรสได้ก้าวเท้ามาเหยียบในวิหารแห่งแสง

    หนึ่งเดือนหลังจากสงคราม อิลูเมียทำตามที่นางเคยกล่าวไว้ นางส่งคนมาเชิญให้พวกเรามาร่วมทานอาหารค่ำด้วยกัน เธอมาที่นี่กับท่านแม่วีร่าและบัตเตอร์ฟลาย ซึ่งรายหลังสุดดูไม่ปลื้มนัก แต่ก็ยอมจำใจมา

    พี่สาวของเวเรสฟื้นจากอาการโคม่าได้ประมาณสามวันแล้ว นางไม่มีปัญหาด้านร่างกายเลย ยกเว้นเรื่องของน้ำหนัก เพราะเรื่องอื่นๆ โดนพลังเวทของลิเลียน่ารักษาไว้ให้หมด

    "ท่านแม่ หากท่านไม่อยากมาที่นี่ เราจะกลับกันก็ได้" เวเรสกระซิบข้างใบหูของท่านแม่วีร่าเมื่อเรามาหยุดยืนหน้าประตูขนาดใหญ่ เหลือเพียงแค่ผลักเข้าไปเท่านั้น ส่วนบัตเตอร์ฟลายยืนหาวอยู่เคียงข้าง นางกอดอกราวกับกำลังนับเวลารอคอยว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ

    "ไม่ได้หรอก" ท่านแม่วีร่าปฏิเสธ นัยน์ตาของนางมักดำมืดและไร้ความสดใสอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องอิลูเมีย "เข้าไปกันเถอะ"

    เวเรสผลักประตูให้เปิดออก เพื่อพบว่าคนที่เหลืออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว

    อิลูเมียในชุดสีทองงามสง่านั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ใบหน้านางสงบและดูรอคอยการมาถึงของพวกเรา แต่นัยน์ตาของนางฉายแววไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นบัตเตอร์ฟลาย

    เวเรสเหยียดยิ้ม นี่คือเหตุผลหลักๆ เลยที่เธอพาพี่สาวมา

    ส่วนน้องสาวนอกสายเลือดของพวกเรานั่งตัวเล็กอย่างไม่กล้าสบตาใครอยู่ตรงเก้าอี้ใกล้แม่ของนาง

    เวเรสดึงเก้าอี้ให้ท่านแม่วีร่า เป็นที่นั่งที่อยู่ซ้ายมือของอิลูเมีย ก่อนนั่งลงเคียงข้างนาง ส่วนบัตเตอร์ฟลายก็นั่งลงข้างเราอีกทอดหนึ่ง

    ในความคิดของเธอ ตลอดระยะเวลาทานอาหารและบทสนทนาของเราช่างน่าอึดอัดเสียจริง

    มีบ้างที่เธอรวมหัวกับบัตเตอร์ฟลายกลั่นแกล้งลอเรียลให้อับอายเล็กๆ

    มีบ้างที่สังเกตเห็นว่าท่านแม่วีร่าเหลือบมองมาร์จาอย่างลึกลับ

    และอิลูเมียก็มองพวกเราทั้งหมดอย่างนิ่งสงบ

    "วีร่า มาร์จา ข้าได้พูดไปหรือยังว่าพวกเจ้ากับลูกต้องนอนค้างที่นี่ด้วยกัน" อิลูเมียเอ่ย นางเช็ดปลายนิ้วกับผ้าเช็ดมืออย่างบรรจง ริมฝีปากเรียวยกยิ้มราวกับภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองคิด

    "นอนค้าง?" เวเรส บัตเตอร์ฟลาย กับลอเรียลเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

    พวกเราชะงัก แอบเหลือบมองกันแล้วแสดงท่าทีว่าไม่ใส่ใจอย่างรวดเร็ว

    มันก็รู้ทันกันหมดแล้วไม่ใช่หรือไง พวกเราไม่ได้มีใครบอกคนรักตัวเองไว้สักหน่อยว่าต้องนอนค้างที่อาณาเขตสวรรค์

    "ไม่ เจ้ายังไม่ได้บอกข้า เชิญกล่าวต่อเถิด" ท่านแม่วีร่ายกผ้าขึ้นเช็ดริมฝีปากอย่างสำรวม

    "ข้า เวเรส บัตเตอร์ฟลาย และลอเรียลจะนอนห้องเดียวกันเพื่อสานสัมพันธ์ตามประสาแม่ลูก" อิลูเมียเปรยพร้อมอธิบายไปด้วย "เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าอยากจะสื่อไหม"

    "..." ราชินีปีศาจเพียงแค่เหลือบสายตามองรัชทายาทลำดับสุดท้ายของอาณาจักรแวมไพร์อย่างนิ่งสงบ แต่ภายใต้ความนิ่งของนาง มันมีความเดือดดาลแฝงไว้

    "ข้าไม่คิดว่า..." มาร์จาพยายามแย้งคำพูดของอิลูเมีย แต่กลับโดนขัดขึ้น

    "ข้าคิดว่าเป็นความคิดที่ดี" ท่านแม่วีร่าแทรก นางยิ้มหวานเมื่อมองไปยังเมียน้อยในความสัมพันธ์ "เราจะได้ทำความรู้จักกัน...อย่างลึกซึ้ง"

    เวเรสมองบรรยากาศภายในห้องที่ถูกความกังวลปกคลุมแล้วเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน

    "บางทีวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอยู่จริงก็ได้" บัตเตอร์ฟลายกล่าวพลางเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างคนที่พร้อมจะนอนเต็มที่ "ข้าจะเข้าห้องไปแล้วหลับเลย เจ้าช่วยปลุกหน่อยแล้วกันหากมีใครคิดจะฆ่าข้า"

    'ใคร' ที่นางหมายถึงเจาะจงอิลูเมียอย่างชัดเจน

    เธอหัวเราะให้กับคำพูดของพี่สาวที่ฟังแล้วไม่รู้เลยว่าเป็นแค่มุกตลกหรือหมายความตามนั้นจริงๆ กันแน่

    มาดูกันสิว่าคืนนี้...ระหว่างเธอ อิลูเมีย ลอเรียล บัตเตอร์ฟลายในห้องเดียวกัน

    กับท่านแม่วีร่าและมาร์จา

    ห้องไหนจะอยู่ ห้องไหนจะตาย?


    มาร์จาไม่เคยได้ยินท่านอิลูเมียเกริ่นอะไรเกี่ยวกับการนอนห้องเดียวกับท่านวีร่ามาก่อน เธอไม่มีเวลาได้เตรียมใจในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นและไม่ได้คิดวิธีป้องกันให้ตัวเองรอดตายผ่านคืนนี้ไป

    ใจพะวงและว้าวุ่นเกินกว่าจะสนใจว่าท่านอิลูเมียพาลอเรียลไปที่ไหน เธอก้าวเข้ามาในห้องของตัวเองภายในวิหารแห่งแสง รู้สึกตัวว่าท่านวีร่าเดินตามหลังมาอย่างมั่นคงตลอดเวลา เพราะแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวในการมองของนางทุกย่างก้าว

    แต่เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง

    มาร์จาเติบโตมาคนเดียวในวัยเด็ก เธอไม่มีเพื่อนเล่น และกลัวสัตว์ตัวใหญ่ๆ มาก เป็นเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งที่อสูรเทวะของเธอเป็นมังกรตัวใหญ่

    พี่สาวทั้งสองของเธอ ทาร่าและนาตาเลีย ท่านแม่บอกว่าพวกนางนำทัพเข้าสู่สงครามกับอาณาจักรอื่นเลยไม่ว่างมาดูแลเธอ

    กว่าพวกนางจะกลับคืนสู่อาณาจักรก็หลายปี แต่มันสายเกินแก้แล้วสำหรับนิสัยขี้กลัวของมาร์จา เธอมักหลบสายตาผู้คนอยู่ในพระราชวังริมทะเลสาบของท่านแม่ สั่งสร้างและต่อเติมห้องของตัวเองใหม่ กลายเป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆ ที่มีเตียงนอนเป็นส่วนประกอบในห้อง

    เธอออกจากห้องเดือนละครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ไม่เคยออกจากพระราชวัง และครั้งแรกที่ออกมาจากพระราชวังในรอบสิบปีเพราะอยากมาดูว่าสภาพภายนอกมันเปลี่ยนไปมากขนาดไหน เธอเจอท่านอิลูเมีย

    การเจอท่านอิลูเมียในครั้งนั้น ทำให้มาร์จาไม่ได้ออกจากห้องเลยตลอดระยะเวลาเก้าเดือน

    เพราะต้องอุ้มท้องลอเรียล

    แต่เธอไม่อยากลงรายละเอียดมากนักในตอนนี้ ขบกัดริมฝีปากอย่างกังวลเมื่อนั่งลงบนเตียง หันไปเผชิญหน้ากับท่านวีร่า

    แสงยามเย็นจากหน้าต่างส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง วินาทีที่ดวงตาของเราเกือบประสานกัน เธอเอนเอียงสายตาออกเพราะไม่อยากรับรู้ความเกลียดชังในดวงตาสีอะเมทิสต์งดงามคู่นั้น

    หมับ!

    แต่ใบหน้ากลับถูกคว้าไว้อย่างรุนแรง

    แรงบีบบนแก้มเพิ่มขึ้น นางใช้ปลายเล็บกรีดไปตามสันกรามของเธอ

    มาร์จาน้ำตารื้นอย่างไม่กล้าสู้กลับ ในสนามรบที่กล้ายืนหยัดต่อนางก็เพราะปกป้องลูกเท่านั้น

    "แสดงให้ข้าดูหน่อย" นางกระซิบอย่างเย้ายวนข้างใบหู ไอความมืดโอบล้อมร่างกายเราเมื่อนางปิดกั้นทางหนีของเธอ "ทำให้ข้าเห็นหน่อยว่า...ทำไมอิลูเมียถึงรักเด็กแบบเจ้า"

    เธอรู้...

    รู้มานานแล้วว่าหากปล่อยให้ตัวเองรักท่านอิลูเมีย เธอต้องเจอกับอะไร

    ท่านวีร่าเป็นความกลัวของเธอ

    และท่านอิลูเมียก็ผลักให้เธอไปเผชิญกับความกลัวของตัวเองอย่างโหดร้ายที่สุด


    [100%]


    - Natalya -
    Queen of Vampire's Kingdom
    Cast By Liza Soberano

    - Krixi -
    Mother of Illusion's Kingdom
    Cast By Bridget Rose
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×