ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Synchronicity~Meguru Sekai no Requiem~

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่1: บทเพลงที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 78
      1
      27 พ.ค. 57

    ~~บทเพลงที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก~~ ความปรารถนาที่ลับหายไปในความมืดมิด


    ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
    กรงขังนั้นที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกได้
    ยกเว้นก็เพียงตัวของสาวน้อยเองเท่านั้น

     

    ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งอำพรางปิดซ่อนทุกสิ่งไว้แม้กระทั่งความว่างเปล่า
    มีตัวตนอันแสนบอบบางที่ถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพังเสมอ
    บนร่างเล็กๆนั้นแบกรับภาระหน้าอันหนาหนักไว้

     

    มีบางคนที่ไม่อาจทานทนกับความเดียวดายที่ถาโถมจนกระทั่งหัวใจแหลกสลายลง

    มีบางคนที่แม้อาจพร้อมด้วยใจอันกล้าแกร่ง หากถึงกระนั้นก็ยังต้องเผาผลาญพลังชีวิตที่มีไปจนหมดสิ้น

    ทว่า ผู้คนเกินกว่าครึ่งกลับจัดอยู่ในบุคคลจำพวกนั้นเอง

     

    ผู้ที่แตกต่างจากบุคคลจำพวกนั้นไกลสุดกู่ก็คือ
    สาวน้อยในชุดวันพีซสีขาวชายระบายที่นั่งห้อยเท้าลงมาจากบนศิลาใหญ่ยักษ์
    พลางแหงนมองแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาเพียงรำไรนั่นเอง

     

    เส้นผมของเธอมีสีสันของความอ่อนโยนดั่งถักทอขึ้นจากแสงตะวัน
    ประกอบกับดวงตาสีฟ้าครามชวนให้คิดถึงประเทศทางใต้
    สาวน้อยที่ยังมีเค้าอายของความไร้เดียงสายืดกายออกครั้งนึงก่อนเท้าคางลงบนขาที่วางห้อยอยู่ของตนเอง

     

    วันนี้กำลังเลยผ่านไปอย่างแสนสงบสุขนัก

    แต่จริงๆแล้วในความรู้สึกของสาวน้อย วันหนึ่งวันก็เป็นได้แค่เพียงสิ่งที่คลุมเครือไม่แน่ชัด

    เพราะอย่างไรเสียสาวน้อยก็มีชีวิตได้อยู่แค่เพียงแต่ในโลกใบเล็กที่ถูกปิดตายนี้เท่านั้น

     

    ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความร้อนแรงของดวงตะวันที่ถูกพรากไปพร้อมกับโลกอันเจิดจ้าก็ตาม
    หรือแม้แต่ความร้อนระอุที่เกินกว่าจะเรียกว่าความอบอุ่นนั้น
    เธอก็ไม่เคยได้สัมผัสกับมันเลยแม้เพียงสักครั้ง

     

    นับแต่ถูกพรากออกจากบุพการีทั้งสอง
    ใครสักคนที่สาวน้อยได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วยบนโลกใบนี้ก็มีเพียงผู้ดูแลเพียงหนึ่งคน
    ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยที่สุดตามเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

     

    นอกเหนือจากนั้นก็คือตัวตนซึ่งเธอได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเสมอ
    ผู้เป็นเจ้าของพลังคุกคามน่าเกรงขามอย่างไร้ข้อกังขาที่มากเกินกว่าร่างกายของมนุษย์จะทนรับไหว
    ตัวตนที่ไม่รู้วันใดจะช่วงชิงชีวิตของเธอไป

    ตัวตนที่เธอได้ใช้ชีวิตร่วมกันโดยคอยขับขานบทเพลงขับกล่อมเรื่อยมา

    และนั่นคือแต่ละวันของเธอ เพราะเหตุนี้เธอจึงได้ถูกเรียกขานว่า เจ้าหญิงเสียงเพลง

     

    “เจ้าหญิงเสียงเพลง” ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของการเสียสละที่ไม่ว่าใครก็ต่างรู้จัก
    จนถูกยกย่องให้เป็นที่เคารพบนโลกนี้พร้อมๆกับมังกรผู้คอยเกื้อหนุนให้โลกยังคงอุดมสมบูรณ์ต่อไปได้

     

    สาวน้อยผู้เป็นเจ้าหญิงเสียงเพลงคนปัจจุบันหรี่ตาลงให้กับแสงตะวันบางๆที่เล็ดรอดเข้ามาในถ้ำอันมืดมิด
    และลมหายใจยามหลับใหลที่ดังทุ้มต่ำก้องอยู่ในส่วนลึกของร่างนั้นที่หากเงี่ยหูฟังให้ดีก็จะได้ยิน

     

     

     

     

     

    น่าสงสารเหลือเกิน น่าสงสารจริงๆ

    สมัยก่อน มีหญิงชราที่กล่าวเช่นนั้นและไม่กี่วันหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เห็นแกอีกเลย

     

    พายที่ยายคนนั้นอบให้ก็อร่อยดีอยู่หรอก
    แต่ซุปที่ผู้หญิงท่าทางเฉยชาซึ่งมาใหม่หลังจากนั้นไม่กี่วันทำก็อร่อยดีอยู่เหมือนกัน
    เธอจึงไม่ได้ติดใจอะไรมากมายนัก

     

    เพราะสาวน้อยสัมผัสได้แม้จะลางเลือนไม่ชัดเจนว่า
    หากเธอไม่ทำแบบนั้นก็คงจะมีการเปลี่ยนคนอีก

     

    จุดเชื่อมต่อก็คือช่องส่งของที่ติดไว้ด้วยแผ่นกระดานเล็กๆตรงใต้ประตู
    สิ่งที่ถูกส่งเข้ามาจากช่องนั้นคืออาหารและสิ่งของรอบตัวที่อย่างน้อยสุดจำเป็นที่จะต้องใช้สอย

     

    วันพีซที่มีสีขาวเป็นสีพื้นนั้น สาวน้อยไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนเลือกให้
    แต่ทุกครั้งที่เธอเติบโตขึ้น ก็มักจะมีส่งเข้ามาให้ ด้วยขนาดที่เหมาะเจาะราวกับวัดตัวตัดมา
    ตัวที่สวมติดกายอยู่ตอนนี้เองก็มีประดับลวดลายดอกไม้ที่ดูบอบบางอยู่ที่ชายผ้า


    สาวน้อยเคยชอบชุดวันพีซที่มีริบบิ้นสีเหลืองพลิ้วคาดใต้อกซึ่งเคยสวมใส่ก่อนหน้านี้
    ทว่ามันก็เล็กลงจนสวมไม่ได้แล้ว เสื้อผ้าที่เล็กลงนั้นจะถูกใส่ลงตะกร้า แล้วก็ไม่ได้กลับคืนมาอีกเลย

    ไม่ใช่แค่เพียงเสื้อผ้าเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่รอบตัวต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเช่นเดียวกัน

    ทั้งที่โดนตัดสินว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป และไม่ได้คืนกลับมาอีกแท้ๆ
    แต่สาวน้อยเองก็ไม่รู้ว่าคนที่ตัดสินใจให้เป็นใครกันแน่

     

    ตามจริงแล้วสาวน้อยก็ไม่เคยได้รู้จักกับอะไรนอกเหนือไปจากตัวเอง
    กับมือที่นานๆทีจะโผล่มาให้เห็นเพียงส่วนหนึ่งจากรูเล็กๆที่ถูกทำขึ้นตรงประตูเลย

     

    ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสกับใครเลยสักคน

     

    ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง เธอเคยเกือบจะได้สัมผัสกับมือของคนที่ดูแลเธออยู่เหมือนกัน
    ทว่าสุดท้ายเพียงชั่วแวบเดียวก่อนหน้าจะทันได้สัมผัส มือนั้นก็พลันถูกชักกลับไปอย่างตื่นตกใจ
    และแล้วก็เป็นความหวังที่ไม่อาจสมหวังอีกจนได้

     

    แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าสาวน้อยที่ไม่เคยได้รู้จักกับการสัมผัสกับผู้คนก็ได้รู้เข้าในวันหนึ่งว่า

     

     หากจับมือแล้ว จะรู้สึกอบอุ่น

     

    นั่นเป็นเพราะความฝันที่ไม่รู้ว่าเริ่มฝันเห็นตั้งแต่เมื่อใดกัน

     
     

    โดยไม่มีการแบ่งแยกกลางวันกลางคืน
    สาวน้อยที่มักจะหลับใหลลงในเวลาที่ค่อนข้างตายตัวนั้น
    มักจะมีเด็กหนุ่มที่หน้าตาคล้ายกับตัวเองปรากฏเข้ามาในความฝัน

    ในฝันสาวน้อยจะได้กลายเป็นเด็กหนุ่ม
    ได้รับสัมผัสจากมือของมารดาที่ยื่นมาเพื่อที่จะจัดทรงผมที่กระดกหลังตื่นนอนให้
    ได้รับรู้ถึงมือของบิดาที่ลูบลงบนศีรษะ


    มันช่างแสนอบอุ่น อบอุ่นมากๆ
    เป็นความฝันที่สัมผัสได้แม้กระทั่งอุณหภูมิจากมือทั้งสองนั้น

     

    และแล้วในวันหนึ่งเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า
    นั่นอาจไม่ใช่ความฝัน แต่อาจจะเป็นความจริงก็ได้

     

     

     

     

     

    “ได้โปรด ยกโทษให้ข้าเถอะค่ะ”

     

    จากอีกฟากของประตู สาวน้อยได้ยินน้ำเสียงสั่นระริกที่เอ่ยขึ้นเช่นนั้น
    พร้อมเสียงของบางสิ่งกระทบบานประตูแขวนแว่วมา


    กว่าสาวน้อยจะทันรู้ตัวว่านั่นเป็นเสียงของหญิงผู้ดูแลที่อยู่อีกฟากของประตูกำลังโขกศีรษะลงกับพื้น
    เธอก็ทำได้แค่เพียงเอ่ยตอบกลับไปว่า “ขอโทษค่ะ”

     

    เธอเพิ่งเคยได้ยินเสียงที่แฝงความรู้สึกปะปนอยู่ในน้ำเสียงจากหญิงที่ดูเอาจริงเอาจังในหน้าที่คนนี้เป็นครั้งแรก

     

    สาวน้อยมองเห็นมือของหญิงสาวที่หลุดเสียงสะอื้นเล็กๆออกมาได้จากช่องว่างอันจำกัดของประตูส่งของ
    มือของหญิงสาวที่หมอบกรานอยู่กับพื้นปูหินนั้นราวกับว่ากำลังวอนขอการอภัยอยู่อย่างนั้น

    ทั้งที่หากวางมือลงกับพื้นเย็นๆแบบนั้นนานๆคงจะหนาวมากแน่ๆ คงจะทำให้เปื้อนเปรอะแท้ๆ

    ตัวเธอเองอาจจะไม่ควรที่จะเกิดความสนใจใครสักคนขึ้นมาตั้งแต่แรกก็เป็นได้

     

    ยามเมื่อถึงเวลาที่อาหารมื้อต่อไปถูกยื่นส่งเข้ามา
    ผู้ที่นำมาให้จะยังคงเป็นหญิงคนเมื่อครู่อยู่หรือเปล่านะ

    ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ อาจจะหมายความว่าเราได้ทำเรื่องไม่ดีลงไปแล้วก็ได้ ส
    าวน้อยได้แต่โอบกอดความรู้สึกผิดที่เลือนรางเอาไว้

     

    และแล้วอีกหลายชั่วโมงหลังจากนั้น ยามเมื่ออาหารอุ่นร้อนได้ยื่นส่งเข้ามาให้
    เสียงที่ได้ยินมาจากอีกฟากของประตูก็กลายเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหูไปเสียแล้ว

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++

     


    หญิงผู้หนึ่งพยายามเหนี่ยวรั้งร่างของนักบวชไว้พลางร้องวิงวอนอะไรสักอย่าง
    ทว่ามือนั้นก็กลับถูกสะบัดทิ้งก่อนชายหลายคนจะลากพาตัวเธอจากไป
    และแล้วยามเมื่อเสียงสั่นระริกวิงวอนไม่หยุดนั้นกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องร่ำไห้ประตูก็ถูกปิดลงอย่างเย็นชา
    บทสรุปของหญิงที่ถูกลากออกไปนั้นคือการถูกกลบฝังโดยไม่มีใครได้ล่วงรู้

     

    นักบวชถอนหายใจออกมาดัง “เฮ้อ” หลังจากที่ต้องกลั้นเก็บไว้มานาน

     

    คงจะคิดว่าการแจ้งไล่ออกอย่างกะทันหันนั้นช่างไร้เหตุผลสิ้นดีเสียกระมัง
    เพราะแท้จริงแล้วหญิงนางนั้นช่างไร้ผู้เปรียบได้นัก

     

    ส่งอาหารวันละสามครั้งตามเวลาที่กำหนด
    พร้อมยื่นสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันที่จำเป็น และรับสิ่งของที่ไม่จำเป็นแล้วกลับออกมา
    เป็นงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรให้มากมายนัก
    แต่กลับได้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่มากพอจะเลี้ยงครอบครัวใหญ่ๆได้อย่างสบายไปเดือนนึง

     

    แม้ไม่ต้องคิดอะไรมากนัก ก็คงรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่งานปกติอย่างแน่นอน
    แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นด้วยค่าตอบแทนที่เย้ายวนจึงทำให้ไม่เคยขาดผู้ประสงค์จะทำงานนี้
    ทำให้หาตัวแทนใหม่ได้เรื่อยๆไม่เคยขาด

    คนที่จะมาทำหน้าที่ดูแลคนใหม่นั้นจนกว่าจะถึงเวลาเตรียมมื้ออาหารครั้งถัดไปก็คงหาได้โดยไม่เสียเวลาอะไรมากมายนัก

     

    เมื่อคิดมาได้ถึงตรงนั้น ด้วยความที่เป็นคนให้ความสำคัญกับการแต่งตัวยิ่งนัก สายตาของนักบวชจึงทอดลงมอง

    เสื้อตัวนอกที่ลงแป้งไว้และเคยไร้ซึ่งรอยยับย่นแม้เพียงนิดบัดนี้กลับปรากฏรอยขยุ้มยับยู่ไม่น่าดู
    ท่าทางว่าหญิงเมื่อครู่คงดึงไว้ด้วยแรงที่มากพอดูตอนที่โดนพาตัวไป

    ช่างดูไม่เข้ากับชายผ้าของเสื้อตัวนอกที่เนื้อผ้าเป็นพื้นสีเข้มเอาซะเลย คงต้องเตรียมชุดใหม่ซะแล้ว

     

     “ช่วยส่งรายชื่อผู้มีคุณสมบัติมาให้ข้าทีสิ”

     

    เมื่อม้วนกระดาษถูกส่งมาให้ตามคำสั่งนักบวชก็กวาดตามองลงบนรายชื่อเหล่านั้น

     

    ผู้ดูแลนั้นควรให้เป็นเพศเดียวกัน จึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้หญิง
    และเพื่อไม่ให้รอบๆตัวเจ้าหญิงเสียงเพลงมีความรู้แปลกๆผ่านเข้ามาได้
    นักบวชจึงมองหาผู้มีประวัติพื้นเพเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีการศึกษา

     

    และจุดสำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนที่จะสามารถทนกับพื้นที่แคบๆได้โดยไม่เป็นอะไร
    จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามนี้เท่านั้น หากเป็นคนที่ถูกชะตาด้วยได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

     

    หากพูดถึงในแง่นั้นแล้ว หญิงที่เป็นผู้ดูแลที่เพิ่งถูกปลดออกไปวันนี้ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

    เพราะที่ที่เจ้าหญิงเสียงเพลงอาศัยอยู่นั้นเป็นสถานที่ที่เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกนี้

    ที่ที่แม้แต่มิติก็ราวถูกบิดเบือน
    เพื่อไม่ให้ใครก็ตามสามารถเล็ดรอดเข้าไปได้
    เพื่อไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในหลบหนีไปไหนได้

     

    ผู้ดูแลของเจ้าหญิงเสียงเพลงนั้นจะต้องขนอาหารผ่านเข้าไปในช่องมิติอันบิดเบือนเช่นนั้นทุกวัน
    ทางเดินที่มุ่งไปสู่ถ้ำที่อยู่ระหว่างบนพื้นดินกับใต้ดินที่ทอดยาวนั้นเป็นเส้นทางสายเดียวที่ร้อยโยงระหว่างมิติเข้าไว้ด้วยกัน
    ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าใดนักหรอก
    เพียงแต่หากไปๆมาๆระหว่างมิติอันบิดเบี้ยวทุกวันมากเข้าแล้วล่ะก็จะกลายเป็นการสร้างภาระให้กับร่างกายเสียได้

     

    หญิงรายแรกที่ถูกเลือกให้เป็นผู้ดูแลเจ้าหญิงเสียงเพลงคนปัจจุบันนั้น
    มีภูมิต้านทานต่อความบิดเบี้ยวของมิติน้อยนัก ทำให้ไม่นานนักร่างกายก็ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว

     

    ผู้ดูแลคนถัดมาเป็นหญิงชราที่ค่อนข้างใช้ได้อยู่เหมือนกันหรอก
    แต่ว่ากลับเผลอปล่อยใจให้กับเจ้าหญิงเสียงเพลงรุ่นปัจจุบัน
    ซึ่งถูกเลือกให้รับหน้าที่เจ้าหญิงเสียงเพลงตั้งแต่ยังเป็นทารกมากเกินไป

    ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นได้

     

    รายที่สามที่ถูกเลือกมาจึงเป็นคนที่ดูเป็นการเป็นงาน และเป็นหญิงที่เพิ่งถูกปลดออกไปวันนี้นั่นเอง
    เรื่องการงานนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งยังสามารถไปๆมาๆระหว่างเส้นทางแคบๆได้โดยไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าใด
    นับว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

     

    ดังนั้นนักบวชจึงรู้สึกว่าช่างน่าเสียดายนักกับการที่ต้องมาเปลี่ยนออกด้วยความผิดพลาดเล็กๆน้อยเช่นนี้

     

    -- “มังกร” ตัวตนเพียงหนึ่งไม่มีสองได้มอบคำสัญญาจะมอบความอุดมสมบูรณ์ของโลกนี้ให้
    โดยมีตัวตนของ “เจ้าหญิงเสียงเพลง” คอยค้ำจุนโลกไว้ร่วมกันกับ “มังกร”


    คำสอนที่ถูกกรอกหูตั้งแต่ยังเป็นเด็กกันทุกคนนั่นก็คือ

     

    ความสมบูรณ์ของโลกถูกฝากไว้กับ “มังกร” ที่เป็นตัวตนอันสูงส่งเหนือมนุษย์ห่างไกล

    ที่มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่กับวันอันแสนสงบสุข โดยไม่ต้องทรมานกับความอดอยาก
    หรือพบกับความหนาวเย็นที่ทำให้ร่างกายแทบจับแข็งได้
    นั่นเป็นเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับคำมั่นมานั่นเอง


    ในอดีต เคยมีเจ้าหญิงเสียงเพลงผู้หนึ่งที่สามารถสื่อความคิดกับ “มังกร” ที่เป็นตัวตนในมิติอันสูงส่งด้วยบทเพลงได้
    เพราะเหตุนั้น “มังกร” ที่ได้รับฟังความคิดของ “เจ้าหญิงเสียงเพลง” จึงได้พักกายลงบนผืนดินแห่งนี้
    และมอบความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้คนเรื่อยมา

     

    คำสอนที่แม้แต่เด็กก็ยังรู้นี้ มีส่วนถูกต้องอยู่แค่เพียงครึ่งเดียว

     

    ในความเป็นจริง “เจ้าหญิงเสียงเพลง” เป็นตัวตนที่มีอยู่เพื่อเป็นเครื่องมือในการฉุดรั้ง “มังกร” เอาไว้

    ถูกซุกซ่อนอำพรางออกจากเบื้องหน้าเพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้
    ทำได้เพียงคอยถักทอบทเพลงเรื่อยไปโดยมิอาจสมหวังได้แม้การได้สัมผัสกับใครสักคน

    ตราบจนกระทั่งชีวิตนั้นจบสินลง


    “ป่านนี้ทำไมถึงเกิดสนใจโลกภายนอกขึ้นมานะ”

     

    เจ้าหญิงเสียงเพลงที่ถูกคัดเลือกในอดีตที่ผ่านมานั้น นอกจากเจ้าหญิงเสียงเพลงรุ่นปัจจุบันแล้วไม่เคยมีผู้ใดเลยที่ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าหญิงเสียงเพลงตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก

     

    เพราะยังไม่ประสีประสาเรื่องอะไร เพราะยังไม่เคยได้สัมผัสมนุษย์คนใด
    ไม่รู้จักซึ่งอิสรภาพ ถูกเลี้ยงมาให้รู้จักแค่การขับขานบทเพลงเรื่อยไปจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา

    ทั้งไม่เคยได้รู้อะไร ไม่เคยมีใครจะกล่าวสอน

     

    ไม่มีอะไรจะมาเป็นเหตุให้เกิดความสนใจขึ้นได้
    โลกของสาวน้อยนั้นมีแค่เพียงช่องว่างที่ถูกปิดตายแคบๆ ให้อยู่ร่วมกับ “มังกร” เพียงเท่านั้น

     

    ทั้งอย่างนั้นสาวน้อยกลับเริ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของโลกภายนอก

     

    “วันนี้ฝนตกใช่ไหมจ้ะ?”

     

    ได้ยินว่าเธอสามารถทายสภาพอากาศได้อย่างถูกต้อง

    ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาวน้อยได้มีแค่เพียงผู้ดูแลเธอเท่านั้น
    ปกติก็คงจะระมัดระวังรอบคอบดีอยู่หรอก แต่คงมีเผลอหลุดปากพูดมากออกไปไม่ผิดแน่ๆ

     

    หากสาวน้อยเกิดความสนใจโลกภายนอกไปมากกว่าคงจะลำบาก

    เพราะจำเป็นต้องให้สาวน้อยขับขานบทเพลงตลอดไปเพื่อโลกและเพื่อ “มังกร”
    อย่าได้ให้เธอรู้จักระแวงคลางแคลงใจใดได้

     

    ความสามารถอันจำเป็นในฐานะเจ้าหญิงเสียงเพลงอันกล้าแข็งนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง
    แต่ความเข้มแข็งของสาวน้อยนั้นส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่เธอ
    ไม่รู้จักโลกภายนอกนั่นเอง

    เพราะเธอไม่รู้จักโลกภายนอกเหมือนเจ้าหญิงเสียงเพลงคนอื่นๆนั่นแหละ
    จึงทำให้สาวน้อยไม่มองเห็น “มังกร” เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด
    สำหรับสาวน้อยแล้ว ตัวตนเดียวที่เธอสามารถจะสัมผัสกันและกันได้ก็มีเพียงแค่ “มังกร” เพียงเท่านั้น

     

    สาเหตุลึกๆที่เจ้าหญิงเสียงเพลงต้องเผาผลาญพลังชีวิตจนหมดนั้น คือ
    พวกเธอเหล่านั้นเมื่อถูกเลือกมาและรับรู้ว่าต้องรับหน้าที่ของเจ้าหญิงเสียงเพลงแล้ว
    พวกเธอทุกคนต่างก็ต้องโอบกอดความหวาดกลัวต่อ “มังกร” ที่อาจช่วงชิงชีวิตของตนไปได้ทุกเมื่อเอาไว้ในใจ
    ทั้งยังต้องใช้ชีวิตร่วมกับความหวาดกลัวนั้นในโลกที่ตัดขาดจากภายนอก

     

    เพียงแค่ไม่มีความหวาดกลัวเช่นนั้น ก็ทำให้สาวน้อยสามารถเป็นเจ้าหญิงเสียงเพลงได้ยาวนาน
    ซึ่งในฐานะของเจ้าหญิงเสียงเพลงแล้วนับว่าสาวน้อยเหมาะสมยิ่งกว่าใครๆ

     

    เมื่อนักบวชสาวสัมผัสได้ถึงเค้าไอที่ใกล้เข้ามาจากอีกฟากของประตูที่เชื่อมต่อกับระเบียง
    จึงส่ายหัวรอบหนึ่ง ก่อนปรับอารมณ์ใหม่

     

    คงจะเป็นผู้สมัครตำแหน่งผู้ดูแลคนใหม่กระมัง

     

    ก๊อก ก๊อก

     

    เมื่อเสียงเคาะประตูดังเป็นสัญญาณเบาๆ นักบวชสาวจึงแต่งแต้มรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้พบเห็นหลงใหลขึ้นบนใบหน้า
    ก่อนกล่าวว่า “เชิญ”

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++



    มือที่ยื่นออกไปอย่างหวาดหวั่นสัมผัสเข้ากับผิวอันเย็นเยียบ

    แม้จะเรียกว่าผิวแต่สัมผัสตะปุ่มตะป่ำที่รู้สึกกลับทำให้รู้สึกเหมือนแผ่นหิน
    ทั้งสีเองก็เป็นสีเข้มคล้ายกำแพงหินที่รายล้อมอยู่

    มีเพียงสีของดวงตาที่มองเห็นเป็นสีทองเด่นชัดเท่านั้น
    แต่พอคิดเช่นนั้นแล้วดูดีๆก็กลับคล้ายกับเปลวไฟที่เต้นระริก
    หากจะให้อธิบายออกมาเป็นคำพูดก็คงยาก

     

    สาวน้อยลูบเบาๆด้วยมือบนผิวสัมผัสแข็งๆนั้น 2-3 ครั้ง ก่อนแนบแก้มลงอย่างไม่มีท่าทีลังเล
    บนผิวอันเย็นยะเยือกที่แนบลงไปนั้นไม่มีความรู้สึกถึงความอบอุ่นอยู่เลยสักนิด

     

    ในความฝันที่เห็นจนถึงเมื่อครู่นั้น สาวน้อยได้คุณแม่ช่วยหวีผมให้ด้วยมืออันแสนอบอุ่น

    ในฝันนั้นเธอได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกเคลิ้มง่วง กับเสียงอันแสนอ่อนโยนที่พร่างพรมลงมา

     

    เด็กหนุ่มที่มีชื่อต่างกับเธอแค่พยางค์เดียว
    กับเส้นผมที่ดูราวกับสีของแสงตะวันที่ส่องลอดเข้ามา
    และดวงตาสีทะเลแดนใต้เช่นเดียวกับเธอที่เคยมองเห็นผ่านกระจก

     

    ดวงหน้าที่มองเห็นยามหันหน้ามาเผชิญกันนั้น
    แม้จะหักลบความแตกต่างทางด้านเพศของเด็กหนุ่มและสาวน้อยออกไปแล้วก็ยังนับว่าคล้ายคลึงกันมากอยู่ดี

     

    ด้วยร่างกายของเด็กหนุ่มเช่นนั้นเอง ทำให้สาวน้อยได้รู้และสัมผัสกับความอบอุ่น

     

    “รู้หรือเปล่าจ๊ะ? จริงๆแล้วถ้าได้สัมผัสกับใครสักคนแล้วจะรู้สึกอบอุ่นล่ะ ตัวเธออาจจะเย็น แต่ว่าตัวฉันอุ่นใช่ไหมล่ะ”

     

    ร่างใหญ่ยักษ์ขยับกายราวตอบรับคำถามของสาวน้อย
    ดวงตาสีน้ำจัณฑ์เข้มจัดที่กระพริบอย่างไร้สุ้มเสียงใดๆอยู่นั้นสะท้อนภาพของสาวน้อยอยู่

     

    หืม?

    สาวน้อยที่เอียงคอตบเบาๆดังพั่บๆราวจะปลอยโยน

    ทั้งๆที่กำลัง ร่างกายต่างก็ต่างกันลิบลับแท้ๆ แม้ไม่ต้องออมแรงก็ไม่เป็นอะไรสักหน่อย

    แต่สาวน้อยก็ยังสัมผัสอย่างแผ่วเบา ราวกับพยายามจะจำลองความอ่อนโยนที่ได้รับมาในความฝันออกมา

     

    เมื่อดวงตาที่เคยจ้องมองสาวน้อยแน่วนิ่งค่อยๆหรี่ลง

    สาวน้อยที่หัวเราะดัง หึหึ จึงวางมือทั้งคู่ลง และแนบกายลงกับร่างของ “มังกร” ก่อนเผยอริมฝีปากออก
    แล้วขับกล่อมบทเพลงกล่อมเด็กที่เธอเพิ่งฝันเห็นออกมาด้วยร่างกายที่ยังสั่นน้อยๆด้วยความเย็นจากร่างของ “มังกร” ที่เล็ดรอดผ่านเนื้อผ้าบางๆของชุดวันพีซมา

     

    --นั่นเป็นบทเพลงที่คุณแม่ขับขานในความฝัน และสาวน้อยที่เป็นเด็กหนุ่มในฝันฮัมออกมาเป็นท่วงทำนอง

     

    เสียงลำนำของสาวน้อยสั่นไหวก้องอยู่ในช่องว่างอันปิดขังที่ถูกจำกัดไว้

    ช่องว่างที่เคยมีบรรยากาศหนักอึ้งกลับค่อยผ่อนคลาย สัมผัสได้ถึงสติที่ค่อยๆดำดิ่งลงช้าๆ

    เจ้าหญิงเสียงเพลงที่ถวายตัวให้กับ “มังกร” นั้น
    ไม่ว่าเมื่อใดก็จะต้องสามารถทำให้มังกรสามารถสงบลงได้ จะต้องปลอบโยนมังกรให้ได้

     

    และแล้วบทเพลงกล่อมเด็กของสาวน้อยซึ่งไร้ความหมองหม่นใดๆก็สามารถระงับมังกรให้สงบลงได้

    เมื่อสาวน้อยเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจของ “มังกร” ที่หลับใหลลงอีกครั้งแล้ว เธอก็หลุบตาลง

    ก่อนนั่งลงเกยศีรษะลงบนร่างใหญ่ยักษ์ของ “มังกร” พลางหวนคิดถึงความอบอุ่นที่ตนไม่เคยได้ลิ้มรสด้วยร่างกายนี้ของตนเองมาก่อนภายในช่องว่างที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน

     

    ณ สุดปลายทางความฝันนั้น
    สาวน้อยสามารถจะมองเห็นและสัมผัสได้ถึงโลกที่ดวงวิญญาณอีกส่วนนึงที่ยังเชื่อมโยงกันอยู่มองเห็นได้

    ทว่าหากแม้อาจจะสัมผัสได้ด้วยมือเล็กๆคู่นี้โดยตรงได้แล้วล่ะก็...


    ...อยากจะสัมผัสกับมือนั้นที่แสนอบอุ่น

     

    อยากจะลองสัมผัสมือของเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเช่นเดียวกันกับตนเอง

    เพราะเธอรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่ความฝัน

    เพราะเธอสัมผัสได้จากปลายสุดของวิญญาณที่เชื่อมโยงกันอยู่ว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเล็นมีตัวตนอยู่จริง

     

    ...คนแรกที่จะได้สัมผัส ได้รับรู้ถึงอุณหภูมิกายที่ถ่ายทอดมา อยากให้เป็นเล็นจังนะ

     

    และแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เธอก็เลิกที่จะฝืนยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสกับหญิงผู้ดูแล

    เลิกที่จะถามเรื่องราวของภายนอก

     

    หากสาวน้อยทำเรื่องที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของใครสักคนที่เธอเองก็ไม่รู้จักแล้วล่ะก็
    หญิงผู้ดูแลก็จะถูกเปลี่ยนไปทุกครั้ง แม้เธอจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่อย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องดี

     

    ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงของคนที่เปลี่ยนเข้ามาทำหน้าที่นั้น แม้ท่าทีของผู้ดูแลจะเหมือนนิ่งสงบสักเพียงใด
    หากก็ยังสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่น ส่วนเสียงสุดท้ายที่ได้ยินนั้นจะมีกังวานของคนที่พยายามยึดเหนี่ยวสุดชีวิตอยู่

     

    เรื่องเร้นลับที่แสนละเอียดอ่อนจนไม่เคยสังเกตเห็นเมื่อครั้งยังเล็กนั่น
    บัดนี้เมื่อได้เห็นโลกที่อาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ผ่านทางความฝันจึงทำให้เธอเพิ่งรู้สึกตัว

     

    ว่าพวกเค้าเหล่านั้นกำลังหวาดหวั่น กำลังเกรงกลัวในบางสิ่งบางอย่าง

     

    เมื่อหันสายตามองขึ้นไป

    สาวน้อยก็ราวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากผิวหนังของ “มังกร” ที่แตะอยู่
    เธอจึงเอียงคอก่อนยิ้มฝืดเฝื่อนพลางเอ่ย “อา เหมือนกันเลยนะ”

     

    บางครั้งเมื่อสัมผัส “มังกร” เวลาที่อารมณ์ดีแล้วล่ะก็
    จากปลายทางที่สัมผัสลงนั้นเธอจะรู้สึกรับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นความทรงจำ หรือจิตใจของ “มังกร” ทียุ่งเหยิงได้

    สิ่งที่ลูบไล้ประสาทสัมผัสของสาวน้อยอย่างแผ่วจางอยู่ตอนนี้เองก็เช่นเดียวกัน

     

    สาวน้อยไม่อาจทำความเข้าใจกับความทรงจำที่กระจัดกระจายเป็นเสี้ยวเศษนั้นได้
    ทว่ามีเพียงความรู้สึกยินดีเมื่อแขนขาวแบบบางที่นอกเหนือจากตัวเองกล้าที่จะสัมผัสอย่างไร้ความลังเลใจเท่านั้นที่เธอสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด

     

    ตัวตนที่เคร่งขรึมซึ่งคอยแต่จะโอบกอดความหวาดกลัวในสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากตัวเองไว้นั้นช่างเหมือนกับตัวเธอยิ่งนัก ที่ต่างก็ใฝ่หาความอบอุ่นและการได้สัมผัสกับใครสักคน

     

    “ฉันกับเธอต่างก็เหมือนกันเลยนะ ไม่ต่างกันเลย”

     

    ต่างก็ต้องการความอ่อนโยน และการได้เป็นที่รักของใครสักคน

     

    ใบหน้าอันแสนอ่อนโยนของใครสักคนที่ไม่รู้จักที่ได้เห็นเพียงชั่วพริบตานั้นเป็นตัวตนที่ทำให้รู้สึกอยากพบทว่าไม่มีทางได้พบ ใครสักคนที่ผุดขึ้นมารางๆในซอกมุมหนึ่งของสมองซึ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นจนอยากยื่นมือออกไปเพื่อไขว่คว้า

     

     

    ...แต่ว่า ขอโทษนะ

     

     

    สาวน้อยที่ควรจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รู้อะไรเลยนั้น
    กลับได้รับรู้ถึงโลกภายนอกผ่านทางความฝัน

     

    เธอรู้ทุกสิ่งดี ทั้งเรื่องที่ตัวเองถูกปิดขังไว้เพื่อโลก ทั้งเรื่องที่จะต้องขับขานบทเพลงเรื่อยไปเพื่อฉุดรั้ง “มังกร”  ไว้
    และเรื่องที่ว่าตราบใดที่เธอยังคงขับขานบทเพลงต่อไป “มังกร” ก็จะไม่มีวันถูกปลดปล่อยไปได้

     

    ดังนั้นสาวน้อยจึงได้เลือกอนาคตที่มิอาจมีวันได้สัมผัสกับผู้ใด

     

    หากนั่นจะทำให้สามารถที่จะปกป้องโลกที่น้องชายผู้ผูกพันกันไว้ ณ ปลายสุดของวิญญาณสามารถจะยิ้มหัวเราะมีชีวิตต่อไปได้แล้วล่ะก็ แม้ตัวเธอจะต้องขับขานบทเพลงเรี่อยไปจนกว่าความตายจะมาเยือนเธอก็ยินดี

     

    สาวน้อยผู้ตัดสินใจแน่วแน่อย่างน่าเศร้าเช่นนั้นส่งเสียงดัง “อ๊ะ” ออกมาเบาๆด้วยความตกใจชนิดแทบลืมหายใจเลยทีเดียว

     

    เพราะมุมมองสายตาของเด็กหนุ่มที่ได้เห็นชั่ววูบราวกับถูกดึงเข้ามานั้น
    มีร่างของแม่ผู้แสนอ่อนโยนที่ล้มป่วยด้วยความตรอมใจอยู่ ภาพที่เห็นนั้นแทบทำลมหายใจของเธอขาดห้วง

     

    นอกจากนั้นความมุ่งมั่นที่จะช่วยสาวน้อยจนตั้งตนเป็นอริกับทั้งโลกของน้องชาย
    ยิ่งทำให้น้ำตาของสาวน้อยรินไหลลงมาเป็นทาง

     

    สาวน้อยแหงนมองร่างใหญ่ยักษ์ที่ขยับน้อยๆราวมองทะลุถึงความสั่นไหวในจิตใจของเธอ
    สิ่งที่ขับขานออกจากริมฝีปากที่เผยอน้อยๆของสาวน้อยนั้น
    คือบทเพลงเพื่อปกป้องรักษาโลกไว้ ไม่ว่านั่นจะเป็นโลกเช่นไร

     

    บทเพลงที่เธอขับขานนั้น คือบทเพลงแห่งแสงสว่าง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสวนสวรรค์จอมปลอม

     


    ++++++++++++++++++++++++++++++



    ~~จบบทที่1~~
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×