ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #11 : ` ( 두근두근 ♡ 10 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.94K
      21
      27 ก.ย. 56









        


     

     

    ถึงฝนจะไม่ตก แต่ท้องฟ้าในวันนี้ก็ดูจะหม่นหมองกว่าทุกวัน อาจด้วยความรู้สึกที่มีอิทธิพลเหนือสายตาก็ได้ที่ทำเอาอะไร ๆ ไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น

     

    ร่างสูงเดินทอดน่องผ่านประตูโรงเรียนท่ามกลางนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ต่างพากันทักทายเสียงดังจอแจ ถึงจะบอกตัวเองว่ามันคงไม่มีอะไรก็เถอะ แต่เรื่องที่แบคฮยอนหนีไปเมื่อวานนั้นมันยังคงคาใจเขาไม่หาย แบคฮยอนไม่ใช่คนขาดความรับผิดชอบ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยก็น่าจะบอกกันบ้าง

     

    ถอนหายใจไล่ความฟุ้งซ่านออกไปเฮือกใหญ่ ๆ เพื่อนผู้หญิงร่วมห้องโบกมือทักทายเขาผ่านไปเมื่อครู่ ปาร์คชานยอลล้วงเอากุญแจขึ้นมาไขประตูล็อกเกอร์ที่อยู่ถัดจากทางเข้าตึกเรียนอย่างเอื่อยเฉื่อย ค่อย ๆ ถอดรองเท้าหนังที่สวมอยู่ออกก่อนจะหยิบรองเท้าผ้าใบแบบบางนั้นมาสลับใส่แทนตามธรรมเนียมของโรงเรียน

     

    พอหันไปจะเดินขึ้นตึกเรียนก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ถัดจากเขาไปแค่ไม่กี่ช่องล็อกเกอร์ก็คือโอเซฮุนนั่นเอง ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็เพิ่งหันมาเห็น จึงจัดการปิดตู้แล้วยืนรอทักทายตามมารยาท

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

    เซฮุนไม่ใช่คนพูดเยอะ เท่านั้นชานยอลก็พอจะรู้ดีหลังจากที่รู้จักกันมา ทั้งคู่พากันเดินทอดน่องผ่านสายตาของสาว ๆ ที่พากันมองพลางกรี๊ดกร๊าดไปอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก พูดคุยกันเรื่องการบ้านนิดหน่อย ไม่ถึงห้านาทีห้องเรียนตรงเกือบสุดทางเดือนชั้นสี่ก็ปรากฏแก่สายตา

     

    ร่างโปร่งข้าง ๆ เขาเดินช้าลงอย่างที่ชานยอลเองก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมานิดหน่อย เซฮุนมักจะเม้มริมฝีปากอยู่บ่อย ๆ เวลาที่กำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ยังไม่ทันจะถามอะไรออกไปเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะทำใจได้และเดินตามหลังเขามาติด ๆ

     

    เสียงอึกทึกจอแจจากในห้องเรียนดึงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อชายหนุ่มสองคนเดินเข้าไปใกล้ สังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแหง แล้วก็ไม่มีผิด ดูเหมือนว่าจะกำลังมีข้อโต้เถียงบางอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง

     

    เอื้อมมือไปยังประตูเพื่อจะเลื่อนเปิดออกอย่างทุกที หากแต่ร่างสูงก็ต้องผละออกเล็กน้อยเมื่อมันกลับถูกเปิดสวนมาจากฝั่งคนในห้อง



     

    แบคฮยอนนั่นเอง...



     

    ร่างบางดูจะตกใจไม่น้อยที่เปิดประตูมาเจอเขาและเซฮุน ดวงตาที่มองตอบนั้นสั่นไหวคล้ายจะร้องไห้ ใช่... ถ้าเขาคิดถูกล่ะก็ แบคฮยอนก็อาจจะใกล้ร้องไห้ออกมาจริง ๆ แล้วก็ได้ แต่เพียงครู่เดียวคนตัวเล็กกว่าก็เอี้ยวตัวเดินสวนเลยเขาไปโดยไร้คำอรุณสวัสดิ์เช่นทุกเช้า

     

    “.......”

     

    เดินห่างออกไป... ห่างออกไปจนได้ยินเพียงเสียงเซฮุนที่เอ่ยปากเรียกไล่หลัง ชานยอลไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่คิดว่าควรจะวิ่งตาม แต่ถึงอย่างนั้นขาของเขากลับยืนอยู่กับที่... อยู่อย่างนั้นจนโอเซฮุนเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปในห้องเรียนด้วยสีหน้าตึงเครียด

     

    อีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกันนัก ถึงจะเป็นห่วงแบคฮยอนจับใจแค่ไหน แต่ท่าทีที่คนตัวเล็กแสดงออกกลับคล้ายจะวอนขอเขาทั้งสองคนว่ายังไม่ใช่ตอนนี้

     

    บางทีสิ่งที่ใจเขาอยากรู้มากกว่าคงจะเป็นสายตาของเพื่อนทั้งห้องที่จับจ้องมาเป็นตาเดียว ที่นั่งข้างเขาและเซฮุนว่างเปล่า ลู่หานเองก็คงจะยังไม่มา

     

    ไม่ต้องเอ่ยปากถามอะไรเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นกว่าเก่าเมื่อคนถูกพูดถึงออกไปจากห้องแล้ว ชานยอลประสานมือไว้แน่นบนหน้าขา เขานิ่งฟังสิ่งที่ทุกคนกำลังพูดถึง และนั่นเองที่ทำให้ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแบคฮยอนในเช้านี้



     

    “มนตร์ดำจริง ๆ ด้วย เมื่อวานน่ะ หมอนั่นมองอารึมตาขวางอย่างกับกำลังสาปแช่งเลยล่ะ”

     

    “อารึมน่ะเผลอไปพูดจาให้แบคฮยอนโมโหน่ะสิ”

     

    “ร้ายกาจ... ถ้าแค่นี้ล่ะก็ไม่เห็นต้องทำกันขนาดนี้ก็ได้นี่”



     

    อีกครั้งที่แบคฮยอนโดนว่าร้าย ถึงจะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง หากแต่ปาร์คชานยอลมั่นใจ และเขาคิดว่าโอเซฮุนที่นั่งถัดออกไปอีกแถวเองก็คงคิดเหมือนกันว่ามันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ ๆ และที่แบคฮยอนเป็นแบบนั้น ก็คงเพราะถูกความเข้าใจผิดนั้นถาโถมให้เป็นมนตร์ดำอย่างไม่มีมูลนั่นแน่ ๆ

     

    “แบคฮยอนน่ะ... แช่งมนตร์ดำใส่อารึมจนตกบันไดต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้น่ะสิ”



     

    ปึง!!!!



     

    ความรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่มือหลังจากใช้มันกระแทกลงไปบนโต๊ะไม่ได้ทำให้ชานยอลรู้สึกมากไปกว่าสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่ ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนมองตอบคนทั้งห้องเต็มสายตา บางคนดูตกใจ แล้วก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาตราบใดที่เขายังยืนตึงเครียดอยู่อย่างนี้

     

    “อะ... อะไรของนายวะชานยอล”

     

    เสียงจากเพื่อนผู้ชายหลังห้องร้องถามเขาขึ้นด้วยอารามตกใจ คนถูกถามยืดตัวยืนตรง มองตอบทุกสายตาที่ส่งคำถามมาให้เขา ริมฝีปากอิ่มหยักยกขึ้นพูดเพียงคนเดียวท่ามกลางความเงียบ

     

    “แบคฮยอนทำอะไรผิดงั้นเหรอ”

     

    “.........”

     

    “.........”

     

    “อารึมเป็นแบบนี้แล้วนายยังจะกล้าออกรับแทนแบคฮยอนอีกเหรอวะ!?”

     

    “อยู่ใกล้หมอนั่นมาก ๆ ระวังจะซวยเอา”

     

    “เซฮุนกับลู่หานก็อีก ทำไมถึงได้ไปสนิทกับคนอย่างนั้นได้นะ”

     

    ยิ่งคนถูกว่าร้ายไม่อยู่ทุกคนก็ยิ่งพากันพูดสิ่งที่คิดออกมาสนุกปาก ในขณะที่แบคฮยอนเอาแต่แคร์ว่าจะทำตัวให้ทุกคนรู้สึกดีได้ยังไงบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงแค่การถูกทำร้ายความรู้สึกอย่างไม่มีเหตุผลมันยุติธรรมแล้วหรือไง

     

    “ทำไมถึงไม่คิดล่ะว่ามันเป็นอุบัติเหตุน่ะ” ร่างสูงพูดออกมาเสียงดัง เขาไม่สนหรอกว่าคนอื่น ๆ จะคิดว่าเขาเป็นคนยังไง รู้เพียงว่าแบคฮยอนไม่ผิด... และไม่เคยทำอะไรผิด “บางทีอารึมอาจจะเหยียบขั้นบันไดบันไดพลาด หรือว่าสะดุดอะไรสักอย่าง”

     

    “แต่มีคนเห็นว่ามีเงาดำ ๆ มาผลักอารึมนะ”

     

    “เอ๋!? จริงเหรอ น่ากลัวจัง”

     

    “ทำมนตร์ดำให้ผีผลักสินะ”

     

    เมื่อเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเถียงขึ้นมา หลังจากนั้นเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ก็ดังตามมาอย่างหยุดไม่อยู่ เรื่องราวเลยเถิดไปต่าง ๆ นานา ทั้งพิธีกรรมสาปแช่ง ตุ๊กตาวูดู หรือว่าเทียนสีดำในคืนฝนตก

     

    ทว่ายิ่งได้ยินอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็ยิ่งรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก อีกแล้ว... ข่าวลือบ้า ๆ อีกแล้วที่ทำร้ายบยอนแบคฮยอนคนนั้น



     

    “ใครล่ะ?”

     

    “.......”

     

    “ที่ว่ามีคนเห็น... คน ๆ นั้นคือใครกันล่ะ”

     

    “.......”

     

    “มีใครบอกได้บ้าง?”



     

    พอพูดออกไปแบบนั้นทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง แม้แต่กลุ่มเด็กผู้หญิงที่เล่าเรื่องได้อย่างเป็นตุเป็นตะ หรือกลุ่มเด็กผู้ชายที่พูดจาแรง ๆ ต่างก็เอาแต่นิ่งเงียบและพากันมองหน้าไปมา ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้เลยสักคน

     

    เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนออกเพราะร่างโปร่งที่หยัดตัวขึ้นยืนหลังนิ่งเงียบมาตลอดนั้นช่วยทำลายความเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยิ่งสร้างความตึงเครียดให้เพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวีเมื่อคนที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยอย่างโอเซฮุนกำลังเปิดปากเพื่อพูดอะไรสักอย่างออกมา

     

    “บางทีคนเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรที่เป็นความจริงหรือเรื่องโกหก”

     

    “.......”

     

    “คนที่ไม่พูดอะไรเลย ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องจริงหรอกนะ”

     

    เขาหันไปสบตากับชานยอลที่ยืนอยู่ก่อนหน้าอย่างรู้กัน ใช่... ตอนนี้ทั้งคู่กำลังเป็นห่วงแบคฮยอนมาก คนที่อดทนกับทุกอย่างมาตลอดแต่กลับหนีออกไปแบบนั้น ป่านนี้คงจะร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ ๆ

     

    “ทุกคนเอาแต่พูดว่าแบคฮยอนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้”

     

    ชานยอลกำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่นเสียจนกลัวว่าภายใต้ฝ่ามืออาจมีอะไรที่ใกล้ปะทุออกมา แต่สุดท้ายแล้วมันก็เพียงแค่คลายออกอย่างช้า ๆ ก่อนร่างสูงจะว่าต่อด้วยเสียงดังฟังชัด



     

    “แต่ฉันน่ะ... ไม่เคยเห็นแบคฮยอนทำอะไรเลย นอกจากทำตัวดี ๆ เพื่อให้ทุกคนยอมรับ”



     

    “.......”

     

    “แล้วฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลยสักนิด... ว่าแบคฮยอนทำอะไรผิดไป”

     

    “.......”

     

    “...ทุกคนถึงได้เป็นแบบนี้”

     

    พูดไว้แค่นั้นปาร์คชานยอลก็ก้าวฝีเท้าออกไปจากห้องพร้อมโอเซฮุนที่เดินตามไปติด ๆ ราวกับคนทั้งห้องตกอยู่ในห้วงภวังค์ยังไงยังงั้น ต่างก็ได้แต่เงียบและมองหน้ากันไปมา หลายคนเหมือนเปิดปากจะพูดบางอย่างด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แต่แล้วก็เงียบไปและกลายเป็นเสียงพูดคุยเบา ๆ ซึ่งดังขึ้นจากคนหลายคน

     

     

     









     

     

     

     

    ออดเข้าเรียนดังขึ้นเมื่อราว ๆ ห้านาทีก่อน ตอนนี้อาจารย์ควอนคงกำลังจะเช็คชื่อ หากแต่ชานยอลและเซฮุนก็ยังเอาแต่เดินหาใครบางคนจนเริ่มหายใจหนักขึ้น แบคฮยอนไม่อยู่ทั้งที่แปลงดอกไม้ ม้านั่งหลังโรงเรียน สนามหญ้า หรือว่าอะไรก็ตามที่พอจะนึกขึ้นมาได้ในตอนนี้ จนกว่าครึ่งนาทีที่ทั้งคู่หยุดพักเหนื่อยอยู่ที่หน้าบันไดในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ต่างอยู่ในห้องเงียบ ๆ เพื่อเริ่มเรียนคาบแรกของวัน

     

    “นายว่าแบคฮยอนจะไปที่ไหน?”

     

    คนตัวสูงกว่าถามขึ้นแต่ก็ได้เพียงการส่ายหน้ารับกลับมาเป็นคำตอบ เหลืออีกหลายที่ที่พวกเขายังไม่ได้หา แต่ถ้ามัวพากันหาแบบไร้จุดหมายอย่างนี้ปาร์คชานยอลก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาแบคฮยอนเจอในเร็ว ๆ นี้หรืออีกนานแค่ไหน

     

    “เอาแบบนี้ดีไหม เราแยกกันหาแล้วมาเจอกันอีกทีที่นี่”

     

    “ก็ดีเหมือนกัน”

     

    “นายไปหาที่หลังโรงเรียนอีกที ส่วนฉันจะไปตึกสามแล้วก็ลองไปดูที่ดาดฟ้า”

     

    เซฮุนพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินนำลงบันไดไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกชานยอลมองตามไปจนลับสายตา ถอนใจอีกสองสามที แล้วจึงหยัดตัวขึ้นตรงแล้วก้าวฝีเท้าไปยังอีกทาง

     

    ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้แบคฮยอนอยู่ที่ไหน... จะเป็นยังไงบ้าง...

     

    แต่สีหน้าแบบนั้น... ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว

     

     









     

     

     

     

     

    โอเซฮุนกลับมาที่ม้านั่งบริเวณหลังโรงเรียนอีกครั้ง เขามองเห็นแปลงดอกไม้ที่ทั้งแบคฮยอนและชานยอลขลุกอยู่กับมันมาทั้งอาทิตย์ เห็นป้ายชื่อต้นไม้ลายมือเรียบร้อยของเพื่อนตัวเล็กคนนั้น พอตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มไปทางไหนก่อน ร่างโปร่งก็สูดหายใจแล้วเดินต่อทันที

     

    ก้นบุหรี่บี้แบนประปรายอยู่ที่พื้นอย่างไม่น่าพิสมัยนัก มองเห็นตึกเก็บอุปกรณ์เก่า ๆ ห้องน้ำที่ไม่ใช้แล้วและมีแต่พวกที่มาแอบสูบบุหรี่ อย่างน้อยแบคฮยอนก็คงจะไม่มาซ่อนตัวที่นี่หรอก



     

    ตึง!



     

    แต่ครั้นจะเดินเลยไป ทั้งร่างก็ต้องชะงักอยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังออกมาจากด้านในห้องน้ำเก่า ตามด้วยเสียงผู้หญิงที่แว่วดังออกมาคล้ายกำลังด่าทออะไรสักอย่าง หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งโอเซฮุนก็ตัดสินใจเลี้ยวเดินกลับไปยังหน้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินเข้าไปทางฝั่งห้องน้ำหญิงเพื่อพบกับต้นเสียงทางด้านใน



     

    “ยัยบ้า เขาไม่สนใจแกหรอกน่า”

     

    “แกนี่มันแรดจริง ๆ เลย น่าสมเพชชะมัดที่พกรูปติดกระเป๋าไว้แบบนี้น่ะ”

     

    “ตอบสิ ฮ่า ๆๆ ทำไมไม่ตอบเล่ายัยโง่!



     

    ภาพที่เห็นคือกลุ่มเด็กผู้หญิงแรง ๆ สามคนที่กำลังด่าทอใครบางคนซึ่งถูกขังอยู่ในห้องน้ำห้องในสุด ด้ามไม้ถูพื้นถูกเอามาใช้ขัดบานประตูไว้ไม่ให้เปิดออกมาได้ และสิ่งที่พวกเธอกำลังทำก็คือการช่วยกันเอาน้ำในถังสาดเข้าไปในห้องนั้นพลางหัวเราะกันสะอกสะใจ



     

    “แกล้งทำเป็นเรียบร้อยใสซื่อ ที่จริงก็อยากได้เขาล่ะสิ”



     

    โอเซฮุนไม่รู้ว่าเขาที่ว่านั่นหมายถึงใคร แต่ถึงอย่างนั้นเด็กผู้หญิงพวกนี้ก็แกล้งกันแรงเกินไป พวกเธอพากันถีบประตูเสียงดัง หนำซ้ำยังทำท่าจะเปิดประตูออกเพื่อทำอะไรบางอย่างกับคนด้านในอีก

     

    ร่างโปร่งปราดเข้าไปคว้าข้อมือที่กำลังค้างอยู่กับลูกบิดประตูและดึงมันออกด้วยสีหน้าจริงจัง พวกหล่อนดูจะตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว ดวงหน้านั้นขึ้นสีเรื่อ หากแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากการยอมเดินออกไปจากห้องน้ำแต่โดยดี ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่ทำให้อารมณ์ของพวกเธอดีขึ้น ซึ่งโอเซฮุนก็ไม่ได้แปลกใจนักหรอกหากว่าสิ่งนั้นคือตัวเขาเอง

     

    แทบไม่อยากจะนึกถึงสภาพคนที่ถูกขังอยู่ข้างใน น้ำสกปรกซึ่งนองอยู่บนพื้นทำให้เขารู้ว่าน้ำที่ถูกสาดเข้าไปเมื่อครู่คงไม่ใช่ถังแรกแน่ ๆ ถึงจะต้องตามหาแบคฮยอน แต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่าคงต้องช่วยคนที่ถูกรังแกนี่ซะก่อน พอคิดได้อย่างนั้นจึงจัดการดังเอาไม้ถูพื้นออกจากการขัดบานประตูไว้ จับมันวางพิงผนังอย่างเรียบร้อย แล้วจึงตัดสินใจเปิดประตูนั้นออก

     

    ร่างหญิงสาวเปียกโชกคนหนึ่งกำลังตัวสั่นงั่นงกด้วยความกลัว เธอเป็นเด็กผู้หญิงท่าทางปอน ๆ ตัวผอมบาง เรือนผมสีดำยาวตรงจนถึงหน้าอก และดวงตาชั้นเดียวนั้นก็ไม่สวยหรือทำให้น่าจดจำเป็นพิเศษ เสื้อเชิ้ตสีขาวติดโบว์นั้นเปียกจนลู่เนื้อเห็นชั้นในสีขาวอย่างชัดเจน เสื้อนอกถูกกองอยู่สะเปะสะปะรวมกับกระเป๋าและหนังสืออื่น ๆ ที่เปียกนองเพราะน้ำบนพื้น

     

    ทันทีที่เขาแตะมือลงไปบนลาดไหล่นั้นร่างเล็กบางก็สะดุ้งโหยงแล้วเงยมองเขาด้วยความตกใจ เธอดูทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบกวาดเอาข้าวของบนพื้นใส่กระเป๋าเรียนใบเปียก ๆ อย่างลนลาน เซฮุนมองเห็นรูปใบหนึ่งผ่านตา มันเป็นรูปผู้ชายในชุดนักเรียนโรงเรียนนี้ แต่ยังไม่ทันจะเห็นหน้าว่าเป็นใครเธอก็ยัดมันลงไปในกระเป๋ารวมกับของชิ้นอื่น ๆ กอดเสื้อนอกไว้แนบอก แล้วลุกขึ้นทุลักทุเลก่อนทำท่าจะเดินสวนเขาออกไปหลังจากโค้งขอบคุณอยู่สองครั้ง

     

    “เดี๋ยว

     

    ชายหนุ่มคว้าข้อมือนั้นไว้ทันก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกไป พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปจึงได้รีบปล่อยมือออกอย่างเก้อ ๆ โอเซฮุนรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองออกก่อนจะถือวิสาสะใช้มันคลุมปิดร่างกายของคนตรงหน้า มันคงไม่ดีแน่ถ้าเธอจะวิ่งออกไปทั้ง ๆ ในสภาพที่บราสีขาวเด่นชัดแบบนี้

     

    ตอนนั้นเองที่เซฮุนเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแดงเรื่อลามไปจนถึงใบหู เธอเบิกตามองเขาเพียงครู่หนึ่งแล้วรีบหลบสายตาไปทางอื่น มือเล็กกระชับเสื้อของเขาไว้แน่น โค้งขอบคุณให้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงวิ่งหนีออกไปโดยไม่พูดอะไร

     

    ในหัวของโอเซฮุนคิดเพียงว่าการที่เธอถูกรังแกนั้นมันร้ายกาจ การที่เขาช่วยเธอมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว มันยิ่งทำให้หัวใจของเธอพองโตขึ้นยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว

     

     

     

     









     

     

     

    เสียงนกร้องในยามเช้าไม่ได้ทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ร่างบางเอาแต่นั่งกอดเข่าเงียบ ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ นึกถึงตอนที่เขานั่งอ่านคินดะอิจิเล่มใหม่อยู่ในห้องอย่างสงบ จนกระทั่งเพื่อน ๆ เริ่มพากันทยอยเข้ามาและมองหน้าเขาด้วยสายตาแบบนั้น พากันซุบซิบในเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

     

    อารึมจะตกบันไดเพราะเขาได้ยังไงกัน... ในเมื่อบยอนแบคฮยอนไม่เคยรู้เรื่องพวกมนตร์ดำอะไรนั่นสักนิด

     

    ดวงตาแดงก่ำสั่นไหวกว่าเดิมราวกับว่ากำลังอดกลั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ในเมื่อเขาทนมาได้ขนาดนี้ให้ทนต่อไปอีกหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา

     

    แต่ว่าพอนึกถึงหน้าชานยอลกับเซฮุนเมื่อครู่แล้วมันก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเกิดว่าสองคนนั้นรู้เรื่องนี้แล้วจะทำหน้ายังไงนะ จะรังเกียจเขาเหมือนอย่างที่ทุกคนพยายามตีตัวออกห่างหรือเปล่า



     

    และถ้าใช่... แบคฮยอนก็คิดว่าเขาคงไม่เหลือใครอีกแล้ว



     

    “อ้าว

     

    เสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นทำเอาร่างบางสะดุ้งน้อย ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนคุ้นตานั่งเอนตัวอยู่บนชั้นลอยเหนือประตูที่เขาเพิ่งเดินเข้ามาไม่นาน ดวงหน้าหวานใสนั้นยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจอยู่สองสามทีแล้วกระโดดลงมาบนพื้นดาดฟ้าที่เขานั่งอยู่

     

    “ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ออดเข้าเรียนดังแล้วไม่ใช่หรือไง”

     

    ลู่หานถามไปอย่างนั้นทั้งที่ยังเดินก้าวอาด ๆ ในฐานะคนโดดเรียนอย่างสบายใจเฉิบ เรือนผมน้ำตาลแดงต้องแสงแดดเป็นกระกายจนชวนให้รู้สึกแสบตา จนกระทั่งร่างนั้นหยุดนั่งยอง ๆ อยู่ตรงกันข้าม

     

    “เดี๋ยว... เดี๋ยวก็จะไปแล้วล่ะ” แบคฮยอนปัดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอย่างลวก ๆ พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกแล้วฝืนยิ้มออกมาแห้ง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้ากลับยิ่งจ้องเขาเขม็ง

     

    “โกหกชัด ๆ” ลู่หานพูดกลั้วหัวเราะราวกับกำลังมองข้ามสิ่งที่เขาไม่อยากพูดมาตรง ๆ ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องมนตร์ดำของบยอนแบคฮยอนมาก่อน แต่เพราะคิดว่ามันไร้สาระเกินกว่าจะเก็บมาคิด ในขณะที่มันกลายเป็นเรื่องให้คนสนุกปากไปโดยปริยาย

     

    ข่าวลือจะเป็นจริงขึ้นมาได้ก็เพราะแรงความเชื่อของคน ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะไม่มีมนตร์ดำ แต่ถึงอย่างนั้นพอนานวันเข้า จากคำนินทาขำ ๆ ก็กลับกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาอย่างน่าตลก

     

    “มีใครว่านายมาอีกหรือไง”

     

    “.......”

     

    แบคฮยอนได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจจากคนตรงหน้าในขณะที่เขาพูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนี้ แต่พอเขาไม่ตอบ ลู่หานก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ซ้ำยังเอาแต่มองเขาตาใสจนทำอะไรไม่ถูก

     

    “ไม่มีหรอก... ไม่มีใครว่าอะไรผมทั้งนั้น”

     

    รู้สึกนับถือที่อีกฝ่ายตำหนิเขาทางสายตาโดยไม่ต้องพูดคำว่าโกหกออกมาอีกรอบ รู้สึกแย่เสียจนต้องหลุบหน้าหนีทั้งอย่างนั้น



     

    “ถ้าคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว จะมานั่งตาแดงอย่างนี้ทำไมล่ะ”

     

    “.......”

     

    “จะว่าพวกนั้นผิดมันก็ใช่น่ะนะ แต่ที่นายทำอยู่มันก็เหมือนกับยอมรับไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไอ้เรื่องไร้สาระพวกนั้นมันมีอยู่จริง”

     

    “.......”

     

    “พูดแก้ตัวบ้างก็ได้ ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก”



     

    เอื้อมมือไปแตะบ่าคนตัวเล็กกว่าพลางตบแปะ ๆ แล้วระบายยิ้มอ่อน พูดไปแค่นี้ร่างบางก็ปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ สำหรับแบคฮยอนแล้วไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขา ทุกคนต่างพากันรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ และทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวเสมอ

     

    “ผมกลัว...”

     

    “.......”

     

    “เพราะว่าผมเป็นแบบนี้...”

     

    “.......”

     

    “ผมทำให้ทุกคนไม่สบายใจ”

     

    “ไร้สาระน่า”

     

    พูดสวนขึ้นมาแทบจะทันที แบคฮยอนมองอีกฝ่ายที่กำลังเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ลู่หานเอามือออกจากบ่าเขาไปแล้ว หากตานั้นคล้ายกำลังส่งผ่านประกายสดใสมาราวกับจะให้กำลังใจยังไงยังงั้น

     

    “ถ้านายไม่เห็นตัวเองมีค่า คนอื่นก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

     

    “ผม...”

     

    “หรือแม้แต่สิ่งที่ชานยอลกำลังพยายามทำเพื่อนายอยู่มันก็คงสูญเปล่า”

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    “ทำเพื่อผม?”

     

    “อ้อ แล้วก็เลิกแทนตัวเองว่าผมเถอะน่า ไม่เวิร์คเท่าไหร่เลย

     

    พูดแล้วก็ขยิบตาให้ทีหนึ่ง แทบจะกลายเป็นความขบขันด้วยซ้ำเมื่อบนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความงุนงงถึงสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องอธิบายจนหมดนี่นา

     

    “แคร์ความรู้สึกตัวเองบ้างเถอะน่า จะได้มีเหลือไปเทคแคร์คนอื่นได้บ้าง”

     

    ยิ่งพูดคนฟังก็ยิ่งงงหนัก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาบนใบหน้าของบยอนแบคฮยอนเหือดแห้งไปหมดแล้ว เขาพยายามที่จะทวนคำของลู่หานซ้ำไปซ้ำมาในหัว คำพูดมีเลศนัยที่ตีความอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักที

     

    แต่พอเงยหน้าขึ้นมาจะถาม ก็ต้องตกใจเมื่อมืออุ่น ๆ สองข้างกำลังทาบลงบนสองแก้มของเขา ตากลมนั้นจับจ้องราวกับกำลังพินิตพิเคราะห์บางอย่าง แต่แล้วลู่หานก็ยิ้มออกมา... ยิ้มในแบบที่แบคฮยอนไม่เข้าใจนัก



     

    “จะว่าไป...”

     

    “.......”



     

    “นายก็น่ารักดีนี่นา



     

    “เห?”

     

    ยังไม่ทันจะเข้าใจอะไรได้แจ่มแจ้งประตูดาดฟ้าก็ถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับร่างสูงของใครบางคนที่เพิ่งถูกพูดถึงไปเมื่อครู่ คนที่โผล่ขึ้นมาพร้อมกับคำถามเต็มหัวของเขา คนที่ทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกขลาดอายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล



     

     

    แม้แต่สิ่งที่ชานยอลกำลังพยายามทำเพื่อนายอยู่มันก็คงสูญเปล่า

     



     

    ปาร์คชานยอลดูจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขากำลังอยู่ในมือของลู่หานซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะผละออกหลังจากชานยอลเข้ามาด้วย ใบหน้าของแบคฮยอนกลายเป็นสีเรื่อ ๆ หากแต่ร่างบางรู้ดีแก่ใจว่าความรู้สึกร้อนวูบวาบนี่มันเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ชานยอลเปิดประตูเข้ามาเท่านั้นเอง

     

    เพียงแต่คนมาใหม่ดูจะไม่คิดอย่างนั้น ชานยอลปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างโล่งใจ เดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขา ปรายตามองลู่หานนิดหนึ่งจนเจ้าตัวยอมปล่อยมือออกอย่างว่าง่าย แกล้งทำสีหน้าติดเสียดายก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดกางเกงแล้วผิวปากไม่รู้ไม่ชี้

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    แต่พอชานยอลหันมาสบตากับแบคฮยอนอย่างจัง ๆ ใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ถึงจะดูเก้อ ๆ แต่เสียงทุ้มนั้นก็เอ่ยคำพูดออกมาในที่สุด

     

    “เป็นห่วงแทบแย่”

     

    ได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาไม่คิดเลยสักนิดว่าชานยอลจะตามมา ทั้งที่คิดไปแล้วว่าป่านนี้คงจะกำลังถูกเกลียดแน่ ๆ แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจอย่างบอกไม่ถูก



     

     

    แคร์ความรู้สึกตัวเองบ้างเถอะน่า จะได้มีเหลือไปเทคแคร์คนอื่นได้บ้าง

     



     

    ที่กลัวจะถูกเกลียด... ก็เพราะว่าแคร์ใช่ไหม?



     

    “เอ่อ...”

     

    “เอ่อ...”

     

    ทำท่าจะพูดออกมาพร้อมกันแล้วต่างคนก็ต่างเงียบไปอย่างขลาดเขิน แบคฮยอนได้แต่ใช้สองมือกำชายเสื้อแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ถึงอยากรู้ว่าชานยอลจะพูดอะไรก็ตามที แต่ถึงอย่างนั้นก็คงกำลังรอฟังของเขาอยู่เหมือนกัน

     

    ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาเป็นประกายนั้นอึดใจหนึ่ง อยากจะพูด... อยากจะพูดคำนี้มาตลอด

     

    “ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง...”

     

    “......”

     

    “แล้วก็... ขอบคุณมาก ๆ”

     

    “......”

     

    “...สำหรับทุกอย่างเลย”

     

    อีกแล้วที่ชานยอลยกมือขึ้นถูจมูกแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น หูนั้นติดจะเป็นสีแดงคล้ายคนไม่สบาย ถูจมูกฟึดฟัดอยู่อย่างนั้น แล้วร่างสูงก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่แบคฮยอนชอบที่สุด

     

    ใบหน้าที่สดใส... และกำลังยิ้มให้เขาเพียงคนเดียว

     

    “ไม่เป็นไร”

     

    “......”

     

    “ฉัน... เต็มใจ”

     

    “......”

     

    “......”

     

    “......”

     

    “......”

     

    “หาว ~

     

    ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหาวหวอดของคนที่ยืนเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าลู่หานแค่ตั้งใจหาวหลอก ๆ เป็นการแซวเท่านั้น ร่างผอมทำท่าบิดขี้เกียจไปมา ในขณะที่อีกสองคนพากันยิ้มเก้อทำอะไรไม่ถูก

     

    “จริงด้วยสิ” แล้วชานยอลก็พูดขึ้นมาด้วยทีท่าที่ติดจะกระวนกระวายเล็กน้อย “เซฮุนไปหานายที่หลังโรงเรียน บางทีฉันควรจะต้องรีบไปบอก...”

     

    พอได้ยินชื่อเซฮุนร่างผอมโปร่งที่กำลังบิดเอวไปมาก็ชะงักกึกไปครู่หนึ่ง โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เจ้าตัวถึงได้ยังตีเนียนเหมือนเป็นผู้ฟังที่ดีต่อไปอย่างนั้น

     

    “ดะ... เดี๋ยวฉันโทรบอกให้”

     

    แบคฮยอนรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะกดโทรออกแล้วแล้วกล่าวขอโทษขอโพยปลายสายเป็นการใหญ่ หลังจากพูดจบร่างบางก็ยิ้มได้แล้วกดวางสายไป

     

    เพียงแต่ท่าทีของชานยอลในตอนนี้มันทำให้คนยืนมองอย่างลู่หานนึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก ไอ้สีหน้าขี้อิจฉาแบบนั้น เวลาที่อยู่บนหน้าคนแสนดีอย่างหมอนี่แล้วมันตลกดีชะมัด

     

    “เซฮุนกับนายมีเบอร์กันด้วยเหรอ?”

     

    แบคฮยอนยิ้มรับอย่างมีความสุข เบอร์ในมือถือเขามีไม่มากนัก และเจ้าตัวก็ดูดีใจที่มันมีเบอร์เพื่อน ๆ อย่างที่เคยฝันมาตลอด “อื้ม”

     

    พอได้ยินอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็หันไปหาลู่หานที่รู้สถานการณ์ดีอยู่แล้ว คนถูกมองไม่พูดอะไรหากแต่กำลังสไลด์โทรศัพท์ในมือแล้วชูขึ้นโชว์เบอร์แบคฮยอนด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งราวผู้ชนะ

     

    แต่สำหรับปาร์คชานยอลที่รู้ใจตัวเองดีแล้วนั้นเหมือนถูกสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอะไรสักอย่างที่อยู่หลังเทือกเขาหรือว่าแย่กว่านั้น อาจจะนอกโลก ในถังขยะ หรืออะไรก็ตามแต่!



     

    เซฮุนมีเบอร์แบคฮยอน...

     

    ลู่หานมีเบอร์แบคฮยอน...

     

    แม้แต่ปาร์คจียอนก็ยังมีเบอร์แบคฮยอน...



     

    คิดมาถึงตรงนี้ร่างสูงก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าขึ้นทันตาเห็น ได้แต่เอี้ยวตัวหนีไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนสีหน้าที่เหมือนไอ้งั่งของตัวเองไว้ไม่ให้แบคฮยอนเห็น ก็เจ้าตัวยังเอาแต่ยืนยิ้มไม่ประสีประสาอย่างนั้น มันยิ่งทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่

     

    “เอ่อ...”

     

    “......”

     

    “ถ้าไม่รังเกียจ...”

     

    “......”

     

    “ฉันยังไม่มีเบอร์ชานยอล...”

     

    ใจของบยอนแบคฮยอนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่รอมร่อ บางทีเขาอาจจะต้องปรึกษาคุณแม่เรื่องไปตรวจสุขภาพ มันยิ่งเต้นแรงขึ้นทุกขณะเมื่อปาร์คชานยอลหันมายิ้มกว้างและยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาทางเขา

     

    “......”

     

    “......”

     

    ทั้งคู่แลกรับเอาโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมากดเบอร์ของตัวเองลงไปอย่างเชื่องช้า และบอกได้เลยว่าที่มันช้า ก็เพราะว่ากำลังถ่วงเวลาในการคิดชื่อที่จะใช้บันทึกเบอร์ไปเรื่อยเปื่อย

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังเป็นบ้าที่ก่อนหน้านี้เผลอพิมพ์สัญลักษณ์ประหลาด ๆ หน้าหลังชื่อของชานยอลเข้าไปหลายตัว มีทั้งหัวใจ ดาว สี่เหลี่ยม หรืออะไรก็ตามที่มันจะทำให้พิเศษกว่าชื่ออื่น ๆ

     

    แต่พอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายความรู้สึกนั้นก็กลับถูกกลืนหายลงไปภายใต้หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เขาลบทุกอย่างทิ้ง จนสุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ด้วยชื่อธรรมดา ๆ เหมือนอย่างเซฮุน ลู่หาน หรือว่าจียอน

     

    และในตอนนี้ โทรศัพท์ของทั้งคู่ก็มีชื่อใหม่ที่ถูกบันทึกเพิ่มขึ้นมา



     

    ชานยอล

     

    << แบคฮยอน :')) >>


















    ______________________________________

    มีเบอร์กันแล้ว

    เริ่มมีเรื่องราวเข้ามาสำหรับทั้งสองคู่แล้ว
    จะเป็นไปในทิศทางไหน ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ;D

    ตอนหน้าเจอกับชานแบคลู่ฮุนในงานกีฬาสีโรงเรียน










     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×