ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #17 : ` ( 두근두근 ♡ 16 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.18K
      16
      13 ธ.ค. 56









        


     


     

     

    อีกหนึ่งสัปดาห์จะถึงกำหนดการสอบปลายภาค ซึ่งไม่ว่าเดินไปทางไหนปาร์คชานยอลก็มักจะได้ยินแต่เสียงโอดครวญถึงเรื่องอ่านหนังสือ นัดติว หรือแม้แต่เฝ้ารอปิดเทอมฤดูร้อนที่จะมาถึง นึกแล้วก็ใจหาย ทั้งที่เพิ่งสนุกกับงานกีฬาสีไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแท้ ๆ กลับต้องมานั่งเครียดต่อด้วยอะไรที่ตรงกันข้ามแบบนี้

     

    ทุกพักกลางวันปาร์คชานยอลมักจะมากินข้าวกับเพื่อนกลุ่มหลังห้องซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันไปโดยปริยาย ส่วนแบคฮยอนกับเซฮุนนั้นมักจะพกข้าวกล่องหรือของกินมาด้วยเสมอ ให้เขาไปละเลียดกินด้วยทุกวันแบบนั้นมันคงไม่ดีเท่าไหร่

     

    “เฮ้ยชานยอล มะรืนนี้พวกเราจะไปนัดบอร์ดกันที่คาราโอเกะ ไปด้วยกันไหม?” เพื่อนคนหนึ่งหันมาพูดกับเขาทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก นั่นทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มหัวเราะลั่นโรงอาหาร บ้างก็พากันผลักหัวแล้วแซวเรื่องความมูมมาม

     

    หากแต่คนถูกถามเพียงแค่แย้มรอยยิ้มกว้างแล้วว่า “จะสอบอยู่แล้ว ยังมีอารมณ์ไปเที่ยวกันอีก”

     

    “ฮ่า ๆ อ่านไปก็ทำไม่ได้อยู่ดี ไปเที่ยวให้สบายใจดีกว่า”

     

    คราวนี้เป็นเสียงของอีกคนที่ทำยิ้มทะเล้น และนั่นทำให้ชานยอลนึกไปถึงคำชวนเปรย ๆ ของลู่หานเรื่องไปเที่ยวบ้านที่ชุนชอนหลังจากสอบเสร็จ กำหนดการคือสามวันสองคืน ไปวันเสาร์กลับวันจันทร์ เพราะลู่หานต้องไปเข้าค่ายฤดูร้อนของชมรมฟุตบอลต่อเพื่อเตรียมแข่งระดับเขตตอนต้นเดือนหน้า




     

    ถึงจะไม่ได้รู้สึกสนิทกันขนาดนั้น... แต่ปาร์คชานยอลก็อยากไป

     

    และเขาคิดว่าแบคฮยอนเองก็คงจะไปด้วยกัน




     

    “พวกนายเที่ยวกันเถอะ ครั้งนี้ฉันขอบายดีกว่า”

     

    พูดจบก็ลุกขึ้นเอาจานของตัวเองไปเก็บแล้วแยกเดินขึ้นอาคารเรียนเพียงลำพัง นี่ก็ใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว หลังจากเรื่องคืนนั้นเขาไม่ได้คุยกับแบคฮยอนมากเท่าไหร่นัก นึกดูแล้วก็น่าเสียใจนิดหน่อยที่คนตัวเล็กเอาแต่หลบหน้าเขาและหันไปตัวติดกับเซฮุนเหมือนช่วงก่อน ทำได้แค่อ่านหนังสือนิยายฆาตกรรมให้หายคิดถึง พอถึงเวลาจะได้มีเรื่องคุยขึ้นมาบ้าง




     

    Rrrr

     

    ร่างสูงหยุดชะงักก่อนจะเบี่ยงตัวไปยืนติดหน้าต่างระเบียงเพื่อไม่ให้ขวางทางคนที่เดินผ่านไปมา คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเบอร์แปลกบนหน้าจอ ชั่งใจอยู่ราว ๆ สามวินาทีก่อนจะกดรับแล้วกรอกเสียงสุภาพไปยังปลายสาย

     

    “สวัสดีครับ”

     

    ( อา... ชานยอลเหรอ นี่พ่อเองนะ )

     

    “.......”

     

    ราวกับหัวใจทั้งดวงบีบรัดจนแน่นขนัด เสียงที่เขาแทบลืมไปแล้วว่าเคยได้ยินบ่อยแค่ไหน ความทรงจำทั้งดีและร้ายประดังประเดเข้ามาเสียจนร่างสูงโปร่งต้องยกมือข้างหนึ่งยันตัวเองไว้กับกำแพงเพื่อไม่ให้โงนเงนจนล้มลงไป

     

    “.......”



     

    ( ชานยอลอา )

     

    “.......”

     

    ( ได้ยินพ่อไหม )



     

    “พ่อมีธุระอะไรเหรอครับ”

     

     

     









     

     

     

     

    “วันเสาร์สิบโมง ตกลงตามนี้นะ”

     

    “ตื่นเต้นจัง...” บยอนแบคฮยอนยิ้มจนตาหยีในขณะที่โอเซฮุนเองก็ระบายรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าดูจะรู้สึกดีขึ้นในรอบหลายวัน แต่เพียงครู่เดียวดวงหน้าขาวก็กลับไปมีสีหน้าลำบากใจอีกครั้ง “แต่ว่า...”

     

    “ชวนชานยอลไปด้วยสิ”

     

    ราวกับว่าดูออกทะลุปรุโปร่งเซฮุนถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ทนอยู่เฉย ๆ ได้เมื่อเห็นเพื่อนกำลังเศร้า อันที่จริงก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าระหว่างสองคนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นแบคฮยอนถึงได้เอาตัวเองมาเดินตามเขาต้อย ๆ ผิดจากช่วงที่มีชานยอลอยู่ นึกว่างานกีฬาสีที่ผ่านมาจะเคลียร์กันได้แล้วซะอีก

     

    พอได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนก็หน้าเหวอออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาคิดว่าเซฮุนไม่ควรจะพูดอย่างนั้น อย่างน้อยถ้าเซฮุนรู้ว่าเขาพยายามออกห่างจากชานยอลมากแค่ไหนในช่วงนี้ล่ะก็...

     

    ในเมื่อชานยอลมีคนที่ชอบแล้ว... เขาก็ไม่ควรจะรั้งอีกฝ่ายไว้กับตัวเองจนเคยตัว

     

    “ชานยอลคงไม่ว่างหรอก...”

     

    “มีอะไรกันเหรอ?”

     

    เสียงทุ้มที่ดังมาจากทางประตูเรียกให้สายตาสองคู่หันไปมอง โดยเฉพาะแบคฮยอนที่กลัวขึ้นมาจับใจว่าร่างสูงจะได้ยินประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่

     

    ปาร์คชานยอลเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองข้างบยอนแบคฮยอนด้วยสีหน้าอ่อนล้ากว่าทุกที แล้วก็ได้เห็นว่าร่างเล็กเอาแต่ก้มหน้างุดทั้งยังหลบสายตาเขาโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เดียวกับการที่เขารู้สึกเหนื่อยขึ้นมากกกว่าเดิมอีกหลายเท่า

     

    “เรามีนัดจะไปติวหนังสือกันที่บ้านแบคฮยอนวันเสาร์นี้น่ะ”

     

    เป็นเซฮุนที่โพล่งขึ้นเสียงเรียบโดยไม่คิดอะไรให้มากความ เขารู้แค่สถานการณ์ในใจแบคฮยอนมันคงไม่ดีนัก ถึงจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยแต่อย่างน้อยเขาก็อยากช่วยทำให้มันดีขึ้นบ้างสักนิดก็ยังดี

     

    บางทีถ้าหมอนั่นอยู่ล่ะก็... คงรู้ดีว่าจะต้องทำยังไง

     

    ออดเข้าห้องเรียนในช่วงบ่ายดังขึ้นพร้อม ๆ กับนักเรียนปีสองห้องบีที่ทยอยกันเข้ามาในห้องจนคาคั่งอีกครั้ง เซฮุนขอตัวกลับไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างดื้อ ๆ ทิ้งให้คนสองคนได้แต่นั่งอึดอัดอยู่ข้างกันอย่างนั้น



     

    รู้สึกน้อยใจ... นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลคิด



     

    อีกครั้งแล้วที่แบคฮยอนพยายามเอาตัวออกห่างจากเขา ทั้งที่คิดว่าดีขึ้น ทั้งที่เรื่องในคืนนั้นดูเหมือนจะเป็นสัญญาณดี ๆ ระหว่างความสัมพันธ์จากนี้ไปแล้วแท้ ๆ หรือเขาทำอะไรผิดไปอีกหรือเปล่านะ



     

    เอาเข้าจริงนั่นก็เหมือนว่าเขาสารภาพรักบยอนแบคฮยอนไปแล้วไม่ใช่หรือไง



     

    ทำไมไม่มีท่าทีอะไรเลยนะ... หรือแบคฮยอนจะรู้สึกไม่ดีที่เขาเอาแต่ใจออกไปอย่างนั้น เป็นระยะทำใจหรือเปล่า แบคฮยอนอาจจะไม่ชอบผู้ชาย หรือว่า

     

    “ไปด้วยกันไหม”

     

    “หืม?”

     

    พอเขาส่งเสียงออกไปอย่างนั้นคนตัวเล็กก็งุดหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง เดี๋ยวนะ... ไปนั่นไปไหน... เรื่องไปติวหนังสือที่เซฮุนพูดถึงหรือเปล่า

     

    “ที่บ้านฉัน... วันเสาร์นี้... คือว่า...”

     

    “อ่า...”

     

    “ไปติวหนังสือน่ะ... เตรียมสอบ”

     

    “เอาสิ”

     

    ตอบรับแบบง่าย ๆ และบทสนทนาเองก็จบลงง่าย ๆ เช่นกัน แต่ไม่รู้ทำไมในตอนนี้ความน้อยใจทั้งหมดมันถึงได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง



     

    ดีจัง และ อยากให้ถึงวันเสาร์ไว ๆ

     

    นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลคิด

     

     







     

     

     

    เสียงพึมพำเกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์ของอาจารย์ไม่เคยทำให้ร่างโปร่งรู้สึกเบื่อขนาดนี้มาก่อน นอกจากตัวหนังสือมากมายตรงหน้าจะไม่เข้าหัวแล้ว พอคิดถึงลู่หานขึ้นมามันก็ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก สามวันแล้วนะที่ไม่ได้เข้าเรียน ถึงจะบอกว่าต้องซ้อมฟุตบอลเพื่อเตรียมแข่งระดับเขตก็เถอะ

     

    แต่นี่มันใกล้ช่วงสอบแล้วไม่ใช่หรือไง

     

    โอเซฮุนไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนขี้พาลขนาดนี้มาก่อน เหตุผลน่ะรู้อยู่ในหัว แต่ไอ้เรื่องที่ไม่มีเหตุผลก็คือเขาจะไปนึกถึงหมอนั่นทำไมกัน ควรจะสนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังติวเตรียมสอบนี่ให้ต่างหาก

     

    “ขออนุญาตครับ”

     

    ไม่ทันขาดคำบานประตูห้องก็ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมด้วยร่างของใครบางคนที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงสบายใจเฉิบเข้ามาข้างใน หมอนั่นอยู่ในชุดนักเรียนที่ไม่เรียบร้อยนัก แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรถึงแม้ว่าการที่เนคไทนั่นหายไปจากเครื่องแบบจะชวนให้รู้สึกหงุดหงิดก็ตามที

     

    “สวัสดีในรอบห้าวันนะเซฮุน

     

    “อืม”

     

    ลู่หานทิ้งตัวนั่งลงข้างเขาทั้งยังหันมายิ้มน่าขนลุกให้อีก เซฮุนตัดสินใจบังคับตัวเองให้จดจ่อกับแนวข้อสอบบนกระดานทั้งที่การที่หมอนั่นทำอะไรขลุกขลักอยู่ข้างตัวมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกมีสมาธิเลยสักนิด

     

    “บิงโก” เสียงนั้นดูดีอกดีใจราวกับว่าล้วงเจออะไรบางอย่างนอกจากหนังสือและเศษซองลูกอมในกระเป๋านั่น มือเรียวนั่นแบมาตรงหน้าเขาพร้อมกับกระดิกนิ้วน้อย ๆ อย่างกับพวกเก็บค่าเช่าที่ไม่มีผิด “ขอยืมมือถือหน่อยสิ”

     

    “จะโทรศัพท์ในเวลาเรียนหรือไง?”

     

    “น่า ~

     

    สุดท้ายแล้วเซฮุนก็ขยับตัวเล็กน้อยพลางล้วงหยิบโทรศัพท์สีดำในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาวางบนโต๊ะของอีกฝ่ายอย่างลวก ๆ เขาไม่ได้หันไปมองว่าลู่หานเอามือถือของเขาไปทำอะไรยุกยิกอยู่ใต้โต๊ะ แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็ถูกส่งคืนกลับมาพร้อมด้วยติ้งห้อยโทรศัพท์สีเงินอันเล็ก ๆ ที่สะท้อนกับแสงแดดจนเกิดประกาย

     

    “อะ”



     

    “.......”

     

    “รับไปสิ”

     

    “อะไร?” รับเอาโทรศัพท์มาไว้ในมือก่อนที่อาจารย์จะทันหันมาเห็น เซฮุนมองติ้งรูปมงกุฎตรงหน้าทั้งคิ้วที่ขมวดมุ่น มันสวยดีอยู่หรอก แล้วเขาก็ชอบ เพียงแต่ว่า... “ให้เนื่องในโอกาสอะไร”

     

    “โอกาสที่อยากให้” ยียวนกลับหน้าตายไปตามประสาแล้วก็เปิดหนังสือเรียนตามที่อาจารย์สอนบนกระดาน ชะโงกตัวมาส่องหนังสือของเซฮุนสักหน่อยว่าถึงหน้าอะไรแล้ว หันไปทีไรตากลมโตนั้นก็หยีลงเพราะรอยยิ้มที่เอาแต่ส่งให้เขาทุกครั้งที่สบตา



     

    โอเซฮุนมั่นใจว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ชวนให้รู้สึกปลอดภัยเลยสักนิด

     

     









     

     

     

     

     

    เช้าวันเสาร์มาถึงเร็วกว่าที่คิด บยอนแบคฮยอนตื่นเช้าเป็นพิเศษแบบที่เรียกได้ว่าคงสายกว่าตอนไปโรงเรียนนิดหน่อย เขาเก็บห้องและหยิบไม้กวาดมากวาดมันอีกครั้งหลังจากที่ทำไปแล้วเมื่อเย็นวาน หนังสือนิยายที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงก็ถูกจัดเก็บเข้าชั้นโดยไม่ลืมที่คั่นหน้าซึ่งอ่านค้างไว้เมื่อคืนอย่างทุกที

     

    ในครัวเต็มไปด้วยของว่างอย่างเช่นพวกเค้ก คุ้กกี้ หรือว่าน้ำผลไม้เสียจนแบคฮยอนคิดว่ากินสามวันก็ยังไม่หมด ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุดล่ะก็ผิดคาด เพราะเมื่อวานคุณแม่เอาแต่ถามมากกว่าสี่รอบว่าเพื่อนคนไหนชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร นอกจากเซฮุนไม่ชอบของหวานแล้วแบคฮยอนก็ตอบอะไรไม่ได้อีก และมันก็เป็นอีกครั้งที่ชวนให้รู้สึกว่าพวกเขาสี่คนเองก็มีระยะห่างต่อกันพอสมควร

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

    “อะ... อรุณสวัสดิ์”

     

    ชานยอลเป็นคนแรกที่มา ครั้นแหงนมองนาฬิกาก็เห็นว่าเร็วกว่าเวลานัดราวๆ  สิบนาที ทั้งพ่อและแม่ต่างพากันยิ้มกว้างและถามแขกคนแรกเกี่ยวกับเรื่องข้าวเช้า ร่างเล็กมั่นใจทีเดียวว่าถ้าชานยอลยังไม่กินมาแม่ก็คงจะได้อวดฝีมืออาหารครบสามมื้อในวันเดียวแน่ ๆ

     

    “รบกวนด้วยนะครับ”

     

    “ยินดีจ้ะ ตามสบายเลยนะ ทานขนมก่อนไหม”

     

    ลอบอมยิ้มกับความกระตือรือร้นที่จะต้อนรับเพื่อน ๆ ของคุณพ่อคุณแม่อย่างมีความสุข นึกถึงตอนที่บอกว่าจะมีเพื่อนมาติวหนังสือแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาน้อย ๆ เมื่อจำได้ว่าท่านทั้งคู่ดูดีใจมากแค่ไหน จะเรียกว่าเป็นเพื่อนกลุ่มแรกเลยก็ว่าได้

     

    รออีกไม่นานนักออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีกครั้งและคาดว่าจะเป็นเซฮุนที่มาตอนตรงเวลา ครั้นพอเปิดประตูมาก็เห็นนิ้วโป้งลุ่น ๆ ชูอยู่ในระดับสายตาพร้อมกับดวงตากลมโตเหมือนกวางที่แกล้งโกรธเขาอย่างไม่จริงจังนัก

     

    “หักแบคฮยอนห้าสิบคะแนนข้อหาไม่ชวน”

     

    ข้างกันนั้นคือโอเซฮุนที่ทำหน้าเอือมระอาเล็ก ๆ ก่อนจะส่งรอยยิ้มบางมาให้เขาคล้ายจะบอกว่าอย่าไปสนใจลู่หานนัก “รบกวนด้วยนะ”

     

    แบคฮยอนหลีกทางให้ทั้งคู่พาตัวเข้าไปในบ้านอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ลู่หานผิวปากเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามันเป็นบ้านที่น่าอยู่กว่าที่เขาคิดเป็นไหน ๆ อย่างน้อยก็ไม่มีตุ๊กตาวูดูหรือว่าเทียนสาปแช่งอย่างที่เคยได้ยินเพื่อนในห้องพูดกันล่ะนะ

     

    “สวัสดีครับ รบกวนด้วยนะครับ”

     

    ลู่หานกับเซฮุนพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกันพลางโค้งศีรษะให้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างนอบน้อม คุณนายบยอนหัวเราะเก้อเขินก่อนจะเอ่ยคำพูดคำจาที่เรียกเสียงหัวเราะไปทั่วทั้งบ้าน “เพื่อนแบคฮยอนนี่หล่อ ๆ กันทั้งนั้นเลยนะจ๊ะ เอ้า ทานอะไรกันมารึยัง?”

     

    “เรียบร้อยแล้วครับ”

     

    “คุณแม่แบคฮยอนสวยจังเลยครับ ถ้าไม่บอกคงคิดว่าพี่สาว”

     

    เซฮุนเหลือบมองคนข้าง ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ ประสานเสียงหัวเราะขึ้นมารอบสอง ทำไมถึงได้พูดจาฉอเลาะเก่งนักนะ ไม่ทันขาดคำก็หันไปชมพ่อของแบคฮยอนอีกคนแล้ว

     

    “ตายจริง เด็กคนนี้นี่ปากหวานไม่แพ้ชานยอลเลยนะจ๊ะ”

     

    คุณนายบยอนหันไปกระเซ้าร่างสูงที่นั่งกินคุ้กกี้อยู่บนโต๊ะอาหารแล้วหัวเราะชอบอกชอบใจ แบคฮยอนคิดว่ามันเป็นเช้าที่ดีที่สุดในรอบหลายวันเลย เช้าที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าและมีแต่เสียงหัวเราะแบบนี้



     

    อยากขอบคุณทุกคนจัง...

     

     







     

     

     

     

     

    “นี่ถ้าเมื่อคืนฉันไม่โทรไปหาเซฮุนคงไม่รู้แน่ว่าแอบหนีมาติวหนังสือกัน มันน่าน้อยใจไหมล่ะ”

     

    พอขึ้นมาถึงบนห้องลู่หานก็เริ่มโอดครวญน้อยอกน้อยใจขึ้นมาทันที พอเห็นอย่างนั้นแบคฮยอนก็ทำอะไรไม่ถูกจนต้องหันไปหาเซฮุนที่กำลังหยิบหนังสือในกระเป๋าด้วยท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนนัก

     

    “ขอโทษนะ...”

     

    เจ้าบ้านกล่าวขึ้นมาเสียงแผ่ว ร้อนไปถึงชานยอลที่ดูรู้ทั้งรู้ว่าคนตัวเล็กของเขาถูกแกล้งเข้าให้ถึงได้รีบสวนขึ้นมาจนเซฮุนแทบจะหลุดขำพรืด “ก็นายเล่นหายไปทั้งอาทิตย์นี่”

     

    “ไม่ต้องโทษใครเลย” ร่างโปร่งค้านขึ้นอีกเสียง และดูเหมือนว่ามันจะทำให้ลู่หานยอมเลิกแกล้งแบคฮยอนแต่โดยดีก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างอีกฝ่าย

     

    “เซฮุนนา ~

     

    พูดก็พูดเถอะ โอเซฮุนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าหมอนี่กำลังเป็นบ้าอะไรถึงได้เอาแต่เกาะแกะและมาทำตัวติดเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ วันก่อนก็ทีหนึ่งแล้วที่ว่าจะถือกระเป๋าให้ เมื่อคืนก็ยังโทรมาชวนไปดูหนังอีก ถ้าไม่ติดที่เขานัดกับแบคฮยอนเอาไว้ลู่หานก็คงจะหาเรื่องลากเขาไปได้ด้วยแน่ ๆ แล้วยังไอ้น้ำเสียงขนลุกที่ชวนให้นึกถึงเวลาพี่สาวเรียกตอนเด็ก ๆ นี่อีก



     

    มันจะมากเกินไปแล้วนะ...



     

    ท้ายสุดแล้วการติวหนังสือก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนล่วงเข้าตอนบ่ายโมง คุณนายบยอนแวะเข้ามาเสิร์ฟของว่างและพูดคุยกับบรรดาเพื่อนของลูกชายอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวออกไปแล้วปล่อยให้เด็ก ๆ ติวหนังสือกันต่อ

     

    แบคฮยอนกับเซฮุนนั้นจัดว่ามีผลการเรียนดีกันทั้งคู่แต่ถนัดคนละวิชา เซฮุนอาสาติววิชาประวัติศาสตร์ ในขณะที่แบคฮยอนอาสาติวคณิต ส่วนชานยอลเองก็ช่วยได้มากในวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนพวกวิชาวิทยาศาสตร์นั้นพวกเขาต้องช่วย ๆ กัน

     

    ไม่ใช่ว่าลู่หานหัวไม่ดี แต่การที่เขาไม่ค่อยได้เข้าเรียนนั่นต่างหากเป็นปัญหา ชายหนุ่มอยู่รอดมาได้ด้วยโควตานักกีฬาตลอดแล้วก็ไม่เคยมีความคิดที่จะทำคะแนนสอบให้ดีด้วย และนั่นก็ทำให้เซฮุนต้องหันมาเอ็ดทุกครั้งเมื่อลู่หานบ่นขึ้นมาว่ายากเป็นบ้า

     

    “จะตายแล้ว ~

     

    พาตัวเองขึ้นไปนอนกลิ้งบนเตียงหลังจากที่ติวหนังสือเสร็จทุกวิชาเอาตอนสี่โมงเย็น ลู่หานได้รับรู้ว่าทั้งสามคนนั้นอ่านทั้งหมดอย่างผ่าน ๆ มาแล้วรอบหนึ่งจึงมาติวให้กันในวันนี้ แล้วดูเขาสิ ถ้าข้อสอบออกว่าใครจะชนะบอลโลกยังง่ายซะกว่าเลย

     

    “ลู่หานเข้าใจไหม ถ้าไม่ค่อยเข้าใจล่ะก็ยืมสมุดจดฉันกลับไปอ่านได้นะ”

     

    แบคฮยอนว่าพลางพาตัวเองลุกเดินรื้อหาตรงโต๊ะเขียนหนังสือแล้วกลับมามาพร้อมสมุดสี่เล่ม ลายมือในนั้นทั้งอ่านง่ายและเป็นระเบียบเสียจนคนได้รับความช่วยเหลือต้องยิ้มกว้างออกมา “แต๊งกิ้ว นายนี่น่ารักสุด ๆ”

     

    พูดจบก็เอื้อมมือไปหยิกแก้มขาว ๆ นั้นทีหนึ่งจนได้ยินเสียงชานยอลกระแอมไอแบบไร้สาเหตุมาจากโต๊ะญี่ปุ่นที่เขาเพิ่งปลีกตัวออกมาเมื่อครู่ ก็อยากจะแซวอยู่หรอกนะว่าความหึงคงติดคอ ถ้าไม่ติดว่าแม่ของแบคฮยอนเปิดประตูเข้ามาอีกรอบพร้อมด้วยน้ำผลไม้อีกสี่แก้ว

     

    “ติวกันเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ”

     

    “ครับผม แบคฮยอนช่วยได้มากเลย” เป็นชานยอลที่ถลาเข้าไปช่วยยกถาดน้ำผลไม้มาวางเสิร์ฟทุกคนแทนคุณนายบยอน และนั่นทำให้แบคฮยอนต้องรีบพาตัวเองเข้าไปช่วยอีกแรงในฐานะเจ้าบ้าน

     

    “ถ้ายังไงไม่รีบกลับกันใช่ไหมจ๊ะ อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนนะแม่จะทำหม้อไฟให้ทานกัน”

     

    “น่าทานสุด ๆ เลยครับ

     

    “แหม ลู่หานก็” หล่อนหัวเราะคิกคักแล้วจึงหันไปทางลูกชายเพียงคนเดียวก่อนจะยื่นกระดาษเล็ก ๆ ให้ใบหนึ่ง ข้างในนั้นคือรายชื่อของที่ต้องใช้ทำหม้อไฟในเย็นวันนี้ และก็ค่อนข้างน่าตกใจนิดหน่อยที่มันยาวเป็นหางว่าว “เดี๋ยวลูกไปซื้อของพวกนี้ให้แม่ที่ตลาดหน่อยนะ ร้านไหนก็ได้ แต่เอาของสด ๆ หน่อยนะจ๊ะ”

     

    พูดจบก็หยิบเอาเงินยื่นให้ลูกชายแนบไปกับกระดาษรายการ แบคฮยอนต้องขยับตัวลุกขึ้นนิดหน่อยเพื่อจะเอื้อมมารับมันไว้ได้ หากแต่เสียงใสของใครบางคนก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

     

    “ให้ผมไปแทนดีกว่าครับคุณแม่”

     

    “เอ๋... ลู่หานเหรอ แต่ว่า...”

     

    “นะครับ ชานยอลยังไม่ค่อยเข้าใจเลขสักหน่อย ให้แบคฮยอนอยู่ช่วยติวไปก่อนดีกว่าครับ ใช่ไหมชานยอล?” ลู่หานหันไปส่งซิกส์ให้ร่างสูงที่เหวอไปเล็กน้อย ปาร์คชานยอลได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะมองหน้าคุณนายบยอนแล้วพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตอบรับ

     

    “จะดีเหรอจ๊ะ คือว่าแม่เกรงใจที่พวกเราเป็นแขก...”

     

    “ไม่เป็นไรเลยครับคุณแม่ เดี๋ยวผมกับเซฮุนจะจัดการเรื่องไปตลาดให้เองครับ”

     

    โอเซฮุนสะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิงโดยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ครั้นคุณนายบยอนมองมาร่างโปร่งก็จำต้องยิ้มแห้ง ๆ ตอบเหมือนกับที่ชานยอลทำก่อนหน้า เห็นจะมีอยู่คนเดียวซึ่งยิ้มระรื่นหลังจากได้ใบรายการและเงินสำหรับซื้อของมาไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย

     

    “งั้นก็รบกวนด้วยนะจ๊ะ”

     

    “ไปจ่ายตลาดกันเถอะเซฮุน

     



     

    ------------------- 50%-------------------

     



     

    แบคฮยอนมองเซฮุนที่หันมามองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโดนใครอีกคนลากเดินออกไปในที่สุด พอมีเรื่องจ่ายตลาดเข้ามาดูลู่หานจะสดชื่นขึ้นเป็นปลิดทิ้งจากท่าทางเบื่อ ๆ ในทีแรก

     

    เข้าใจยากชะมัดเลย...

     

    “เอ่อ... ไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ”

     

    พอถูกถามแบบนั้นปาร์คชานยอลก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนคำตอบมันติดอยู่ที่ปาก ลู่หานพูดออกไปแบบนั้นโดยที่ไม่ให้เวลาเขาได้คิดสักนิด ถึงมันจะเป็นเรื่องดีก็เถอะ

     

    “ตรง... ตรง...” ปั้นมือปั้นไม้เก้ ๆ กัง ๆ อยู่เหนือตัวเลขนับสิบร้อยบนหน้าหนังสือ อันที่จริงเขาก็พอทำได้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แต่ไอ้เรื่องที่จะให้มานั่งอึดอัดเหมือนไม่มีอะไรจะพูดล่ะก็ “เวคเตอร์... ใช่ ฉันไม่เข้าใจเรื่องเวคเตอร์ในสามมิติน่ะ”

     

    พูดจบคนตัวเล็กก็พลิกหน้าหนังสือของตัวเองไปยังบทที่ว่า อ่านคร่าว ๆ อยู่รอบหนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมาพลางมองหาดินสอกดประจำตัวมาถือไว้ก่อนจะว่า

     

    “นั่นสินะ เรื่องนี้มันค่อนข้างจะน่างงจริง ๆ นั่นแหละ”









     

     

     

     

     

     

     

     

    โอเซฮุนเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่กำลังเลือกผักสดซึ่งบรรจุในห่ออย่างดีลงตะกร้าห่อแล้วห่อเล่า ทั้งที่เป็นคนอาสาไปจ่ายตลาดให้แม่ของแบคฮยอนเองแท้ ๆ สุดท้ายปากก็บอกว่าขี้เกียจแล้วพาเขาเลี้ยวเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนถึงตลาดสดเสียอย่างนั้น พอถามก็ให้เหตุผลว่าราคาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่แต่ว่าพวกของสดในซูเปอร์มาร์เก็ตน่ากินกว่าเป็นไหน ๆ

     

    ทำอย่างกับจ่ายตลาดบ่อยอย่างนั้นแหละ

     

    เซฮุนบ่นในใจพลางเดินอาด ๆ ตามอีกฝ่ายที่ยึดเอารถเข็นไปไว้คนเดียวอย่างเอาแต่ใจ ดูแล้วน่าหงุดหงิดเป็นบ้าที่ไม่ยอมให้เขาทำอะไรเลยแบบนี้

     

    “........”

     

    แล้วความหงุดหงิดก็ดูเหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว บ๊วยยี่ห้อโปรดที่เรียงรายอยู่เต็มชั้นทำให้ร่างโปร่งอดจะพาตัวเองไปหยุดอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ถ้ามีใครมาหาว่าเขาชอบอะไรแปลก ๆ อย่างเช่นพวกของเค็มล่ะก็เซฮุนไม่สนใจหรอก หรือถ้าจะให้ดีช่วยเปลี่ยนเทศกาลวาเลนไทน์เป็นการให้บ๊วยแทนไปเลยก็ยิ่งดี

     

    ว่าแล้วก็หยิบเอาบ๊วยเค็มกระปุกขนาดกลางมาไว้ในมือพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนซึ่งผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ มันคงจะชวนให้ละลายใจได้ไม่ยาก ถ้าท่าทีหลังจากนั้นไม่ใช่การที่เขาต้องเดินกลับมาเงียบ ๆ เพียงเพื่อซ่อนมันไว้ใต้กองผักก่อนที่ลู่หานจะเลือกเนื้อหมูเสร็จแล้วกลับมาเห็น

     

    “นายชอบกินเนื้อสันนอกหรือสันใน?”

     

    ไม่ทันขาดคำคนหวานแต่หน้าก็หันมาขอความเห็นจากเขาทั้งที่ในมือยังถือที่คีบและถุงสำหรับใส่ที่เพิ่งดึงออกมาจากจุดบริการตัวเองข้าง ๆ

     

    “หรือว่าสะโพก? เนื้อไหล่?”

     

    พอเห็นว่าเขาทำหน้าตาครุ่นคิดประสาคนมีพิรุธแล้วก็จงใจเพิ่มตัวเลือกมาให้อีกสองข้อ เอาเข้าจริงโอเซฮุนทำอาหารไม่เก่งนัก เพราะส่วนใหญ่เขาไม่เคยต้องได้แตะอะไรในครัวเลยนี่สิ มีบ้างที่ไปช่วยพี่สาวถือของจ่ายตลาด เพราะอย่างนั้นก็เลือกเอาที่พี่สาวชอบซื้อแล้วกัน “สันในก็ได้”

     

    แค่นั้นอีกฝ่ายก็ระบายยิ้มอ่อน ๆ แล้วเลือกเอาเนื้อสันในซึ่งอยู่อีกฝั่งของถาด เส้นแดง ๆ ถูกคีบใส่ถุงประมาณสองสามเส้น จากนั้นเจ้าตัวก็เดินเอาไปชั่งน้ำหนักพร้อมแพ็คกลับมาให้เสร็จสรรพ

     

    “ชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?” ลู่หานถามออกไปเผื่อว่าคนตรงหน้าจะชอบกินเห็ดหรือผักชนิดไหนจนอยากจะให้เขาหยิบมาเพิ่ม แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียงการส่ายหน้าไปมาน้อย ๆ ทั้งยังดูอิ่มเอมอย่างประหลาด



     

    เซฮุนไม่เข้าใจนัก... ว่าจะมาใส่ใจกับความชอบของเขาอะไรมากมาย



     

    ท้ายสุดแล้วเนื้อหมูก็เป็นอย่างสุดท้ายที่ลู่หานเลือกซื้อ ร่างผอม ๆ แต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาเลื่อนรถเข็นไปต่อคิวเพื่อรอชำระเขินที่เคาน์เตอร์บริการ ไม่ว่าจะแถบไหนคนก็เยอะสมกับเป็นช่วงเย็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เซฮุนดูไม่ชอบนัก ทว่าสำหรับลู่หานแล้วกลับรู้สึกดีที่มันมีส่วนช่วยยืดเวลาออกไปได้อีกหน่อยในเดทแบบย่อม ๆ ครั้งนี้

     

    นอกจากสปาเก็ตตี้แล้ว ร่างโปร่งเดาว่าลู่หานก็คงทำอาหารอย่างอื่นเก่งด้วยเหมือนกัน

     

    แต่ไอ้รสนิยมรูปหัวใจเต็มข้าวกล่องแบบตอนไปทัศนศึกษานั่นเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

     

    ถึงคิวพวกเขาจ่ายเงินแล้ว ลู่หานกำลังหยิบเอาของสดทั้งหลายขึ้นไปกองรวมกันบนเคาน์เตอร์เพื่อให้พนักงานยิงบาร์โค้ด ใจของเซฮุนกำลังตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เขาฉวยโอกาสชั่ววินาทีที่ลู่หานไม่เห็นฉกเอากระปุกบ๊วยเค็มมาถือซ่อนไว้ด้านหลังเพื่อรอจ่ายเงินเอง แบบนี้แหละดีแล้ว หมอนี่จะได้ไม่ต้องถามอะไรมาก

     

    “หนึ่งหมื่นแปดพันวอนค่ะ”

     

    สิ้นเสียงพนักงานเซฮุนก็มองเงินที่ถูกยื่นออกมาจากมืออีกฝ่าย แม่ของแบคฮยอนให้เงินมาสามหมื่นวอน มันดูจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับการซื้อของทำหม้อไฟทั่วไป

     

    ในตอนที่ลู่หานรับเงินทอนและกำลังหันไปรวบถุงทั้งหมดมาไว้ในสองมือตัวเอง โอเซอุนก็วางกระปุกของชอบตัวเองลงบนเคาน์เตอร์พลางล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลังเพื่อหยิบเอากระเป๋าตังค์มารับผิดชอบของของตัวเอง

     

    “สองร้อยห้าสิบวอนค่ะ”

     

    ตอนนั้นเองที่คนเสร็จธุระเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเซฮุนซ่อนอะไรอยู่ข้างหลัง ใช่ว่าจะไม่เห็นหรอกนะ แต่เพราะอยากรู้ต่างหากถึงได้รอดูมาจนถึงตอนนี้ แล้วก็แทบอยากจะขำพรืดเมื่อเจ้าชายของโรงเรียนที่สาว ๆ ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดอยู่ในสภาพคนไม่มีกระเป๋าตังค์พกติดตัว อย่าว่าแต่บ๊วยเค็มสองร้อยกว่าวอนเลย แม้แต่เหรียญร้อยวอนเขาคิดว่าเซฮุนก็ไม่มีด้วยซ้ำไป

     

    วางถุงที่เพิ่งหิ้วขึ้นมาลงอีกครั้งก่อนจะถลาเข้าไปหน้าเครื่องคิดเงินพร้อมล้วงเอาเหรียญห้าร้อยวอนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจ่ายให้ ชอบอกชอบใจไม่น้อยที่ได้เห็นหน้าขาว ๆ นั่นขึ้นสีเรื่อในยามที่รับเอาถุงบรรจุกระปุกบ๊วยเค็มมาจากพนักงาน

     

    “ขอบคุณ... ไว้กลับไปแล้วจะเอาเงินคืนให้” พูดเบาเหมือนพึมพำแล้วก็ทำท่าจะหยิบเอาถุงของสดจำนวนหนึ่งไปถือไว้เสียเอง แต่ช้าไป ลู่หานรวบทั้งหมดไปถือไว้กับตัวเองก่อนจะยิ้มกว้างแล้วถอยออกไปยืนรอให้เขาเดินไปด้วยกัน

     

    “ไม่อยากได้คืนหรอก สองร้อยวอนแลกกับการเดินกลับด้วยกันก็พอ”

     

    เป็นข้อแลกเปลี่ยนบ้า ๆ ที่เซฮุนไม่เข้าใจ ไม่ให้เดินกลับด้วยกันแล้วจะให้เดินไปไหนกันล่ะ...

     




     

     

     

    หงุดหงิดอีกแล้ว...



     

    ทั้งที่บ๊วยเค็มในมือเขานี่แทบจะไม่มีน้ำหนักอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมลู่หานถึงต้องถือของพะรุงพะรังอยู่อย่างนั้นคนเดียวด้วย ไอ้ครั้นจะแย่งมาช่วยถือหลายต่อหลายครั้งแต่คนข้าง ๆ นี่ก็เบี่ยงตัวหลบจนเขาต้องยอมแพ้มันทุกที

     

    ปกติเซฮุนต้องคอยถือกระเป๋าให้พวกผู้หญิง หรือไม่ก็ช่วยถืออะไรก็ตามที่จะทำให้พวกเธอตัวเบาที่สุด แล้วดูตอนนี้สิ... ลู่หานทำเหมือนเขาเป็นเด็กผู้หญิงก็ไม่ปาน



     

    เดี๋ยวนะ...

     

    อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์... หมอนี่ก็ทำแบบนี้มาตลอดเลยไม่ใช่หรือไง



     

    คิดได้อย่างนั้นร่างทั้งร่างก็หยุดกึกเมื่อเข้าใจความหมายของการถูกปฏิบัติแปลก ๆ ลู่หานหยุดเดินในนาทีต่อมาพลางเอี้ยวตัวหันมามองคนข้าง ๆ ซึ่งตอนนี้ยืนนิ่งอยู่หลังเขาไปราวห้าหกก้าว สายตานั้นจ้องมองเขาราวกับรู้สึกไม่สบอารมณ์เต็มที

     

    “........”

     

    “เป็นอะไรไปเซฮุนนา ~” ยอมเดินกลับมาหาอีกฝ่ายแล้วก็ส่งเสียงกระเซ้าไปในที ถึงจะถูกเอือมใส่บ่อย ๆ ก็เถอะนะ แต่ครั้งนี้เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา

     

    “อย่ามาเรียกแบบนั้น”

     

    พูดเสียงเรียบพลางเบือนสายตาหนีไปอีกทางอย่างดื้อ ๆ ยิ่งเห็นแบบนั้นคนโดนโกรธก็ยิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ แต่ไอ้หน้าตาแบบนี้น่ะมันน่ารักน้อยซะที่ไหนกัน

     

    เห็นแล้วก็น่ากวนประสาทใส่ชะมัดเลย



     

    “เซฮุนนา

     

    “........”

     

    “เซฮุนนา

     

    “........”

     

    “เซฮุนนา

     

    “........”

     

    “เซฮุนนา



     

    “ลู่หาน!



     

    ชะงักไปนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าจะถูกขึ้นเสียงกลับแบบนั้น โอเซฮุนหันกลับมามองเขาด้วยดวงหน้าแดงก่ำ คิ้วเรียวนั่นขมวดเข้าหากันจนเหมือนผูกเป็นปม และนั่นทำให้เขายอมหุบปากสงบคำไปชั่วครู่และยอมนิ่งฟังคนตรงหน้าแต่โดยดี

     

    “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ”

     

    “แบบนี้นี่แบบไหน?” ถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน แค่ชั่วนาทีความตึงเครียดโรยตัวลงมาจนชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด ร่างโปร่งหลุบสายตาลงครู่หนึ่งก่อนจะว่า

     

    “ก็แบบที่ทำอยู่”

     

    “........”

     

    “ทำเหมือนฉันเป็น...”

     

    ประโยคจบไว้เพียงแค่นั้นเพียงเพราะเซฮุนกระดากปากที่จะเทียบตัวเองกับเด็กผู้หญิง ใช่... เขาไม่ชอบแบบนี้เลย

     

    “ที่ห้อยโทรศัพท์นั่นก็ด้วย”

     

    “........”



     

    แกล้งกันมากไปหรือเปล่า”



     

    หลับจบประโยคสุดท้ายคนตกเป็นจำเลยก็ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ให้ตายเถอะ... ลู่หานแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่าโอเซฮุนจะคิดว่าเขาทำแบบนั้นเพียงเพราะอยากแกล้ง ทั้งที่เขาโทรปรึกษานูน่าอยู่หน้าร้านขายกิฟท์ช็อปแบบจริงจังแทบตาย

     

    แกล้ง?” ทวนคำนั้นออกไปอีกรอบ และสีหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะยืนยันความคิดนั้นได้เป็นอย่างดี “นายคิดว่าฉันแกล้งนายเหรอ?”

     

    “........”

     

    “ให้ตายสิ...”

     

    หลุดคำสบถออกไปแบบไม่ตั้งใจ อยากจะทิ้งถุงพวกนี้แล้วลากหมอนี่ไปเคลียร์ให้รู้เรื่องซะเดี๋ยวนี้เลย ยอมรับว่าแรก ๆ น่ะมันใช่ แต่ไอ้ที่ทำอยู่นี่น่ะมันใช่การแกล้งซะที่ไหน!

     

    รู้สึกรำคาญถุงของสดที่พะรุงพะรังอยู่เต็มไม้เต็มมือนี่อย่างบอกไม่ถูก ร่างผอมของลู่หานก้าวเข้าไปใกล้คนตรงหน้าให้มากขึ้นอีกก้าว มากเสียจนเซฮุนทำท่าจะถอยหนี แต่ก็ถูกเสียงนุ่มนั้นรั้งขึ้นด้วยความจริงจังที่ต่างไปจากทุกที



     

    “เอาล่ะ โอเซฮุน”

     

    “........”

     

    “มองมาที่ฉัน”



     

    แค่เสี้ยวนาทีที่เงยหน้าขึ้นสบตา ริมฝีปากก็ถูกฉาบฉวยจากคนที่โน้มหน้าเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว สัมผัสอุ่นนั้นร้อนวาบขึ้นมาจนชวนให้นึกภาพความรู้สึกในวันนั้น วันที่ร่างทั้งร่างของเขาเหมือนไม่ใช่ตัวเอง

     

    “........”

     

    “........”

     

    ริมฝีปากล่างถูกงับน้อย ๆ ก่อนที่จูบหนัก ๆ จะผ่อนลงจนเหลือเพียงความละมุนละไมที่ทำให้รู้สึกกลัวใจตัวเองขึ้นมาอย่างประหลาด



     

     

    ขอนะ...



     

     

    ผลักร่างอีกฝ่ายออกโดยไม่ได้ตั้งใจจนเซไปเพราะของหนัก ๆ ที่ถืออยู่เต็มสองมือ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้มันก็แค่ริมฝีปากประกบกัน แต่ทำไมเซฮุนถึงได้รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาขนาดนี้นะ คงเป็นเพราะอากาศที่เริ่มจะร้อนอบอ้าวแน่ ๆ

     

    สายตาของลู่หานนั้นแน่วแน่เสียเหลือเกิน มันเหมือนกับวันนั้น... แต่ที่ต่างออกไปก็คงเป็นความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างซึ่งราวกับอีกฝ่ายกำลังพยายามส่งมันมาให้ถึงเขานี่กระมัง

     

    “เซฮุน...”



     

    “บอกว่าให้เลิกทำแบบนี้ไง”



     

    พูดเสียงแข็งก่อนจะพาร่างเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ตึกตักตึกตัก... เป็นอีกครั้งที่เซฮุนนึกอยากให้หัวใจหยุดเต้นไปให้รู้แล้วรู้รอด จะดังมาตอกย้ำเขาหรือไงกันเล่า



     

    ...ตอกย้ำว่าเป็นเขาเองที่เริ่มจะเสียความเป็นตัวเองเข้าไปทุกทีเพราะผู้ชายที่ชื่อลู่หานคนนั้น



     

    พอคิดว่าเดินมาได้ไกลพอที่ลู่หานจะไม่เห็น โอเซฮุนก็ทิ้งตัวเองลงนั่งยอง ๆ พร้อมกับกุมหัวใจซึ่งเต้นเร็วแรงจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา

     

    “หยุดเดี๋ยวนี้เลย...”



     

    พูดกับหัวใจตัวเองว่าอย่างนั้น... แต่ทำไมถึงได้ทรยศคำสั่งเก่งนักนะ

     

     

     









     

     

     

     

    หลังจากใช้เวลาครึ่งค่อนชั่วโมงไปกับการติวบทเรียนยาก ๆ นี่ตั้งแต่ช่วงที่ชานยอลชี้ไปจนถึงจบบท กว่าสองนาทีแล้วที่ความเงียบแทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเขาทั้งคู่อีกครั้ง ปาร์คชานยอลพยายามมองหาอะไรก็ตามที่พอจะยกมาเป็นเรื่องคุยได้ พอหันไปเห็นชั้นหนังสือเท่านั้นแหละ ร่างสูงก็แทบจะยิ้มออกมาโยที่ไม่รู้ว่าลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง

     

    “คดีฆาตกรรมบนเกาะโกะกุมนน่ะ ฉันอ่านจบแล้วนะ”

     

    “ปะ... เป็นยังไงบ้าง?”

     

    หลังจบประโยคบยอนแบคฮยอนก็ดูเหมือนจะตื่นตัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเรียวเล็กนั้นเป็นประกายเสียจนชานยอลรู้สึกอยากมองไปนาน ๆ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็คงจะถูกหลบสายตาอย่างทุกทีแน่

     

    “สนุกมาก ๆ เลยล่ะ คิดไม่ถึงว่าจะมีฆาตกรตั้งสามคน” ชานยอลท้าวสองแขนลงกับโต๊ะญี่ปุ่นพลางมองคนตัวเล็กที่ตั้งอกตั้งใจฟังราวกับมันเป็นนิทานเรื่องโปรดยังไงยังงั้น “แต่ฉันน่ะสงสารทั้งสามคนนะ ทั้งที่ก็ไม่ได้อยากฆ่าใครเลยแท้ ๆ”

     

    “ใช่แล้วล่ะ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วหดหู่มาก ๆ เลย”

     

    พอปากบอกว่าหดหู่ สีหน้าของแบคฮยอนก็สลดตามจนดูน่ารัก รู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้อ่านหนังสือฆาตกรรมพวกนั้น เพราะแค่นึกว่าถ้ามีใครมาคุยแล้วได้เห็นแบคฮยอนในมุมแบบนี้ก็รู้สึกหวงขึ้นมาแล้ว

     

    “จริงด้วย...” เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ร่างเล็กดูขลาดเขินนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดมากกว่าทุกที “ชานยอลจำเรื่องฆาตกรรมในตระกูลอินุงามิได้ไหม?”

     

    “จำได้สิ มันวางอยู่หน้าสุดเลยตอนที่แบคฮยอนเอาให้ฉัน”

     

    “มันถูกสร้างเป็นหนัง แล้วก็จะเข้าโรงในอีกสองอาทิตย์น่ะ”

     

    กลายเป็นปาร์คชานยอลที่ใบหูดูจะเป็นสีเรื่อ ๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่รอจนแล้วจนรอดแบคฮยอนก็ไม่พูดอะไรออกมาหลังจากนั้น แค่อยากบอกให้เขารู้เหรอเนี่ย...

     

    “อยากดูเหรอ?”

     

    ถามออกไปโดยที่แบคฮยอนพยักหน้าตอบกลับมาทันที ชานยอลกลอกตาขึ้นมองเพดานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ตัดสินใจถามออกไปโดยไม่ลืมยิ้มประกอบอย่างที่ชอบทำ

     

    “ถ้าอย่างนั้น... ไปดูกันนะ”

     

    “เห?”

     

    “...สองคน”

     

    “........”

     

    ถ้านี่เป็นแผนเอาคืนให้บยอนแบคฮยอนต้องหน้าแดงใส่บ้างล่ะก็... นับว่าปาร์คชานยอลทำได้ดีทีเดียว เพียงแต่มันค่อนข้างจะตรงไปสักหน่อยกระมังคนตัวเล็กถึงได้เอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ตอบอะไรไม่ถูกแบบนั้น

     

    ก็จะให้ตอบทันทีได้ยังไงกัน...

     

    “ชะ... ชานยอลไม่ไปดูกับคนที่ชอบเหรอ...”

     

    “หืม?”

     

    “...ยังไงฉันก็ว่าจะไปดูคนเดียวอยู่แล้วน่ะ... เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”



     

    ไม่ต้องเห็นใจ... หรือว่ามาทำใจดีด้วยทั้งนั้น



     

    นิ่งไปอึดใจหลังจากได้ฟังคำเมื่อครู่ ถามถามความรู้สึกในตอนนี้ล่ะก็... ปาร์คชานยอลกำลังงงเป็นไก่ตาแตก คนที่ชอบอะไรกัน เขาพูดตอนไหนเหรอว่าไปชอบใครเข้าน่ะ

     

    “นายพูดอะไรน่ะ...”

     

    ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองบยอนแบคฮยอนราวกับจะเค้นเอาคำตอบให้ได้ ชานยอลอยากจะตบหน้าผากตัวเองตอนนี้เลยจริง ๆ ทุกอย่างที่พูด... ความรู้สึกของเขามันคงส่งไปไม่ถึงอย่างนั้นสินะ

     

    “........”

     

    “........”

     

    “........”

     

    “........”

     

    “ฉันน่ะ...”

     

    “........”

     

    “ชอบแบคฮยอนนะ”



     

    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายนิ่งงัน เพียงครู่เดียว... ครู่เดียวหลังจากที่ตั้งสติได้ร่างเล็กก็ส่งยิ้มอ้อมแอ้มกลับมาเป็นคำตอบ



     

    “ฉันก็ชอบชานยอล”

     

    “........”

     

    “ชานยอลดีกับฉัน... เป็นเพื่อนที่ดี แล้วก็...”



     

    “ไม่สิ”

     

    กลายเป็นปาร์คชานยอลที่รู้สึกร้อนผ่าวแล้วยังแดงไปทั้งตัวแบบนี้ ยังไงก็ตาม วันนี้จะส่งไปให้ถึงให้ได้เลย แบคฮยอนจะได้ไม่ต้องคิดว่าเขาชอบใครที่ไหนอีก



     

    “ไม่ใช่ชอบแบบนั้น”




     

    ปึง!



     

    ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยร่างของโอเซฮุนซึ่งเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาเหมือนไปกินโดนรังแตนที่ไหน โอกาสสารภาพรักครั้งที่สามจบลงตรงนั้น พร้อม ๆ กับที่แบคฮยอนหันไปให้ความสนใจคนมาใหม่จนความกล้าของเขาเป็นหมันไปที่เรียบร้อย

     

    “เอ๋... แล้วลู่หานล่ะ?”

     

    เซฮุนเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ใช้เวลาคิดคำตอบนิดหน่อยแล้วก็ตอบกลับมาเสียงเรียบ “เดี๋ยวก็คงกลับมาล่ะมั้ง”

     

    ทำไมถึงไม่ได้กลับมาพร้อมกัน นั่นคือสิ่งที่ทั้งชานยอลและแบคฮยอนสงสัยจนยอมปล่อยให้บรรยากาศพิเศษ ๆ เมื่อครู่ผ่านไปแต่โดยดี แบคฮยอนตัดสินใจลุกขึ้นและเดินลงไปข้างล่างเพื่อช่วยคุณนายบยอนเตรียมมื้อเย็น แล้วชานยอลเองก็ไม่มีอะไรจะชวนเซฮุนคุยในสภาพน่าอึดอัดแบบนี้สักเท่าไหร่

     

    หลังจากเซฮุนกลับมาไม่ถึงสิบนาที ลู่หานก็กลับมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังมากมายจนชานยอลต้องรีบเข้าไปช่วยถือมาไว้รวมกันในครัว ทั้งที่คิดว่าจะกระซิบถามข้อข้องใจ แต่ดูเหมือนลู่หานเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์อยากตอบสักเท่าไหร่

     

    คิดได้ในทางเดียวคือทะเลาะกัน

     

    ตัดสินใจพาตัวเองไปช่วยคุณนายบยอนและแบคฮยอนทำหม้อไฟ การที่เขาอยู่คนเดียวทำให้พอจะทำอาหารเป็นอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ก็จบที่แค่ช่วยแบคฮยอนเลือกผักเท่านั้นเอง

     

     









     

     

     

     

     

    หม้อไฟหอมฉุยถูกวางลงบนโต๊ะโดยฝีมือผู้ชายที่ตัวใหญ่ที่สุดอย่างปาร์คชานยอล แบคฮยอนเป็นคนขึ้นไปตามเซฮุนลงมาหลังจากที่เจ้าตัวขอขึ้นไปอ่านทวนหนังสืออีกนิดหน่อยในระหว่างที่ว่าง ๆ ส่วนลู่หานนั่งประจำที่บนโต๊ะพลางคุยเป็นเพื่อนคุณนายบยอนอย่างออกรสออกชาติ แน่นอนว่าเขารู้วิชารับมือหญิงสาววัยผู้ใหญ่เป็นอย่างดี

     

    คุณบยอนคนพ่อเพิ่งกลับมาหลังจากออกไปตกปลากับเพื่อนฝูง วันนี้เป็นวันที่ครึกครื้นที่สุดสำหรับครอบครัวบยอนเลยก็ว่าได้ ยิ่งพอรู้ว่าใครชอบกินอะไรคุณแม่ของแบคฮยอนก็เอาแต่คีบให้จนถูกคุณพ่อเอ็ดว่าตัวเองจะกินไม่อิ่ม

     

    โอเซฮุนก้มลงมองเนื้อหมูในจานที่คนซึ่งนั่งเยื้องไปพยายามเอื้อมตัวคีบมาใส่ไว้ให้ ลู่หานทำยิ้มแป้นและเหมือนจะรอจนกว่าเห็นเขาคีบเอามันเข้าปาก แต่กลับกันที่เซฮุนกลับคีบส่งต่อไปให้แบคฮยอนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ

     

    ถ้าแยกเขี้ยวใส่ได้ก็คงทำไปแล้ว... ลู่หานมั่นใจว่าอย่างนั้น

     

    พอเซฮุนกับลู่หานแยกกันนั่งคนละมุมแบบนั้น ชานยอลก็ได้นั่งติดมุมกับแบคฮยอนโดนไม่ได้ตั้งใจ ทำท่าจะคีบให้กันหลายต่อหลายรอบแต่ก็ดันเก้อเขินจนต้องคีบเข้าปากตัวเองแทนมันทุกที แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่สบตา ชานยอลก็มีความสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

     

    “เอ้อ... จริงสิแบคฮยอน” เป็นลู่หานที่โพล่งขึ้นกลางวงสนทนา เขามองหน้าแบคฮยอนก่อนจะหันไปยิ้มให้คนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วว่า “คุณพ่อคุณแม่รู้แล้วใช่ไหมเรื่องที่จะไปบ้านฉันเสาร์หน้าน่ะ”

     

    “ตายจริง ที่แท้ก็ไปบ้านลู่หานหรอกเหรอจ๊ะ แก๊งค์นี้เลยใช่ไหมที่จะไปกัน”

     

    “ใช่ครับ” เป็นชานยอลที่ตอบคำถามบยอนคนแม่ด้วยรอยยิ้ม วันนี้พวกเขาเองก็แทบไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้เลย

     

    “ไปกันสามวันสองคืนน่ะครับ แล้วจะพากลับมาส่งที่โซลอย่างดีเลย” คนต้นคิดยิ้มแป้นแล้วหันไปขยิบตาให้คนตัวเล็กซึ่งดูจะดีอกดีใจไม่น้อย เพราะเห็นว่าแบคฮยอนไม่เคยไปเที่ยวไหนไกล ๆ ลู่หานจึงคิดว่าเขาควรจะเป็นคนออกตัวช่วยพูดในฐานะคนชวน

     

    “ถ้าเป็นทั้งสามคนนี้ล่ะก็ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ เนอะคุณ” คุณนายบยอนหันไปกระเซ้าคู่ชีวิตซึ่งกำลังคีบเห็ดคำใหญ่เข้าปาก คุณบยอนได้ฟังก็หัวเราะร่า

     

    “เอาสิ พ่อกับแม่อนุญาตนะแบคฮยอน เที่ยวให้สนุกลูก”

     

    บยอนแบคฮยอนยิ้มกว้างเสียจนคนมองตามอดจะยิ้มไม่ได้ เพียงแต่ก่อนที่จะได้ไปเที่ยว พวกเขาคงต้องมานั่งเครียดเรื่องสอบตลอดทั้งสัปดาห์นี่ก่อน ทั้งสี่คนมองหน้าอย่างรู้กัน เพราะวันเสาร์ที่จะถึงนี้แล้วที่พวกเขาจะได้ไปเที่ยวกันพร้อมหน้า



     

    ...ที่บ้านของลู่หาน ซึ่งไม่มีใครนึกภาพออกเลยว่ามันจะเป็นยังไง


     
























    ______________________________________

    มาแล้ว มาช้าด้วย ._ . #กราบขอโทษงาม ๆ
    ช่วงก่อนโอ้งานเยอะนิดหน่อยค่ะ ไอ้ที่ว่าจะมาต่อเลยช้าไปขนาดนี้ 55555555
    ตอนหน้าก็จะถึงตอนที่รอคอยกันแล้ว
    ใครเดาไว้ว่า ใครจะเสร็จใครที่ชุนชอน ก็ต้องรอดูเอาเองนะคะ ฮี่ ๆ


    อย่าลืมคอมเมนท์เป็นกำลังใจ หรือติดแท็ก #ฟิคฮบ ให้ชื่นใจกันหน่อยนะ <3



    ฝากบอทฟิคทูกึนด้วยค้าบ
    ว่าง ๆ ไปคุยไปเต๊าะได้เลย *w *

    @byunhb_

    @sehunhb_

    @luhanhb_









    ขูบx10000000000000000000000

    555555555555555555555555555555555555555555555555









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×