ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #22 : ` ( 두근두근 ♡ 21 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.26K
      14
      4 ต.ค. 57









        


     


     

     

    ( เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถตอบรับได้ในขณะนี้... )


     

    “....”


     

    ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรงก่อนจะละเจ้าเครื่องมือสื่อสารคู่ใจออกจากใบหู เช้านี้อากาศไม่ได้ร้อนจนน่าหงุดหงิด เว้นก็เสียแต่ใจนักกีฬาอย่างเขาซึ่งไม่สงบมาตลอดระยะเวลาการเข้าค่ายเก็บตัว ถ้าได้ไล่ใครบางคนออกไปจากความคิดได้ก็คงดีกว่านี้ มันเหมือนบ้าอยู่ฝ่ายเดียวไม่มีผิด


     

    “ลู่หาน!


     

    ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเพื่อนร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งแบบที่หมอนั่นชอบใส่ ส่วนข้างกันนั้นน่ะเหรอ? ให้หลับตาลู่หานยังเดาถูกเลย พอสองคนนั้นหยุดอยู่ในระยะสนทนา ร่างเล็กก็ยื่นถุงกระดาษให้พร้อมสีหน้าเขินๆที่ถ้าไม่ติดว่าเป็นบยอนแบคฮยอนล่ะก็ เขาจะหลงตัวเองว่ากำลังถูกสารภาพรักไปแล้ว


     

    “หืม นี่อะไร?”


     

    “กำลังใจน่ะ พอแม่รู้ว่าลู่หานจะแข่งก็เลยทำขนมมาให้เต็มเลย”


     

    “โว้ว คุณนายบยอนนี่น่ารักจังเลย” รับมาเปิดดูอย่างคร่าวๆก่อนจะยิ้มกว้างกลับไปให้เป็นคำตอบ “ฝากขอบคุณแม่นายด้วยนะ แล้วก็นายด้วย


     

    ชุดผ้ายืดสีน้ำเงินทำให้ลู่หานดูกระฉับกระเฉงกว่าทุกที รองเท้าสตั๊ดแดงดำเขี่ยไปมาบนพื้นราวกับเจ้าตัวกำลังว้าวุ่นใจในขณะที่แย้มรอยยิ้มกว้างให้ทุกคนซึ่งตะโกนทักทาย ทั้งที่อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีจะถึงเวลาแข่งแล้ว ทว่าในมือเรียวยังกำโทรศัพท์เครื่องสีดำไว้แน่น


     

     ลู่หานโทรหาโอเซฮุนห้าสายแล้ว เมื่อสิบนาทีก่อนเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ที่เขายอมแพ้ทิฐิและความคิดถึง ห้ามใจตัวเองไว้แล้วด้วยซ้ำว่าอย่าตัดพ้อให้มันงี่เง่านัก แต่ก็เท่านั้น ทุกอย่างล่มไม่เป็นท่าเพียงเพราะเสียงโอเปอเรเตอร์จากปลายสาย


     

    “เซฮุนล่ะ?”


     

    “อ่า...” แบคฮยอนลดสีหน้าลงเล็กน้อย ไม่ต้องเสียเวลาเดาก็พอรู้ได้อีกนั่นแหละว่าคงไม่ต่างกันนัก “โทรไม่ติดมาหลายวันแล้วล่ะ”


     

    “หลายวัน?” คนฟังเลิกคิ้ว ดูเหมือนข้อสันนิษฐานที่ว่าเซฮุนจงใจปิดเครื่องหนีคงจะผิดเข้าให้แล้ว


     

    “จะเป็นอะไรไปหรือเปล่านะ”


     

    “เล่นไม่ติดต่อมาเลยนี่นา” ชานยอลโพล่งขึ้นบ้าง อันที่จริงสองคนนี้ไม่ได้คุยกันบ่อยนัก แต่แบคฮยอนคงจะเล่าให้คนตัวสูงฟังบ้างแล้วถึงเรื่องการหายตัวไป “เราลองไปดูที่บ้านดีไหม”


     

    “....”


     

    จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆหรือแค่หลบหน้าลู่หานก็ไม่รู้หรอก แต่ต่อให้เลือกได้เขาก็คงไม่อยากเลือก มันไม่มีอะไรทำให้รู้สึกดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่


     

    คนเดียวที่รู้จักบ้านของโอเซฮุนในที่นี้ไม่ได้ออกปากพูดอะไรอีก ตอนนี้เกือบสิบโมงแล้ว ได้แต่หวังว่าอีกสักพักหลังจากนี้หมอนั่นคงโทรกลับเข้าเครื่องแบคฮยอนมาเพื่ออ้างเหตุผลอะไรสักอย่าง นั่นคือการคิดในแง่ดี


     

    “ลู่หาน!


     

    เสียงเพื่อนร่วมทีมดังมาจากอีกทาง กะจากระยะเวลาแล้วโค้ชคงเรียกรวมเพื่อเตรียมแผนการเล่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงสนาม ชานยอลและแบคฮยอนให้กำลังใจอะไรมาอีกจำไม่ค่อยได้ เขาแค่พาร่างสะโหลสะเหลของตัวเองให้เพื่อนร่วมทีมกอดคอเดินไปด้วยกันเท่านั้น


     

    มีสมาธิหน่อยสิ บ้าเอ๊ย


     

    “ไม่ต้องห่วงนะ มองมาทางนี้เข้าไว้!” ปาร์คชานยอลยกมือป้องปากก่อนจะตะโกนทิ้งท้ายเอาไว้ “เซฮุนต้องมาแน่ นัดกันแล้วนี่นา”

     

     

     










     

     

     

     

    “....”


     

    นี่เขาทำอะไรอยู่?


     

    ทำไมต้องเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์แบบนี้ นี่มันเลยเวลาเปิดร้านไปตั้งสิบห้านาทีแล้ว ถึงเยอึนจะมีกุญแจเปิดร้านเหมือนกันก็เถอะ แต่ในฐานะคนดูแลแล้วก็ไม่ควรไปสาย


     

    ไปทำงานแล้วเลิกคิดเรื่องผู้ชายคนนั้นซะโอเซฮุน


     

    ป่านนี้คงเริ่มแข่งไปแล้ว


     

    หยิบเอากระเป๋าเป้สีเทาขึ้นมาสะพายไว้ด้วยไหล่ข้างเดียว ครั้นเดินผ่านกระจกบานใหญ่ภายในห้อง แสงสีเงินวิบวับเล็กๆจากติ้งห้อยโทรศัพท์รูปมงกุฏกลับเด่นชัดขึ้นมาในกรอบสายตา เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าห้อยเจ้านี่เอาไว้




     

     

    รับไปสิ

     

    ให้เนื่องในโอกาสอะไร

     

    โอกาสที่อยากให้




     

     

    เซฮุนไม่ชอบลู่หาน...


     

    ไม่ชอบที่ผู้ชายคนนั้นไม่เคยทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองได้เลยสักครั้งเดียว

     

     

     










     

     

     

     

    “ลู่หาน... ลู่หาน”


     

    วันนี้ใครๆก็เอาแต่เรียกชื่อเขาเต็มไปหมด ทุกสิบนาทีร่างผอมจะได้ยินชื่อตัวเองไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ทั้งจากโค้ช จากเพื่อนในทีม จากกองเชียร์ จากผู้จัดการสาวสวย แล้วก็วนกลับมาที่โค้ช อาจารย์พละประจำโรงเรียนยืนทำหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า แล้วมือใหญ่นั้นก็วางลงมาบนบ่าเขาเบาๆเพื่อเรียกสติ


     

    เหม่อมองไปบนอัฒจรรย์ แบคฮยอนยังง่วนอยู่กับโทรศัพท์ ส่วนข้างกันนั้นไม่ได้มีโอเซฮุนอย่างที่หวังเอาไว้


     

    “รู้ใช่ไหมว่าการเตะนัดนี้สำคัญยังไง”


     

    “...รู้ครับ” เขาตอบเสียงแผ่ว รู้ตัวอยู่ทุกวินาทีว่ากำลังให้ความสำคัญผิดเรื่อง ที่เขายืนอยู่คือสนามหญ้า และเหนือขึ้นไปบนอัศจรรย์ก็คือคนที่คาดหวังในชัยชนะครั้งนี้ทั้งนั้น


     

    “เราซ้อมหนักกันมาตลอด แล้วเธอก็เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในทีมตอนนี้” เสียงใหญ่กระซิบ ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกกอดคอรั้งเข้าไปเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน “ดูบนอัฒจรรย์นั่นสิ”


     

    ลู่หานมองตามนิ้วของโค้ชประจำทีม เขาไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายต้องการให้ดูอะไร บนนั้นก็มีแค่คนดูทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นชายหญิงและนักกีฬาของโรงเรียนอื่นๆ ถ้าแก่ขึ้นมาหน่อยให้เดาว่าเป็นญาติ แล้วก็... ผู้ชายสองคนที่กำลังซุบซิบกันพร้อมทั้งถือแฟ้มบางอย่างไว้ในมือ คนหนึ่งใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็ค ส่วนอีกคนอยู่ในชุดวอร์มสีเดียวกันทั้งตัว


     

    “นั่นคงไม่ใช่...”


     

    “ทำให้ดีล่ะ ครั้งนี้เธอเป็นจุดสนใจ” โค้ชร่างใหญ่ยิ้ม “ถ้าครั้งนี้เธอโชว์ฟอร์มได้ดีเหมือนกับทุกครั้ง แมวมองจากมหาวิทยาลัยกีฬารอบันทึกผลคะแนนอยู่แล้ว”


     

    “....”


     

    “หลังจากนั้น ก็รอลุ้นเรื่องสโมสร”


     

    ถ้าเทียบในระดับนักกีฬาโรงเรียนแล้วล่ะก็ การได้ทุนเข้ามหาวิทยาลัยกีฬาจัดว่าเป็นใบเบิกทางระดับต้นๆสำหรับการคัดตัวเข้าสโมสรระดับประเทศเลยก็ว่าได้ มันอาจเป็นชีวิตทั้งชีวิตของใครหลายๆคน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเขา




     

     

    แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ไม่หายไปเป็นปีๆแล้วนะ

     

    ได้ถ้วยฟุตบอลเมื่อไหร่ก็กลับมาเมื่อนั้น

     

    จบมอปลายเมื่อไหร่แกก็ต้องมารับช่วงต่อที่บ้านอยู่แล้ว

     

    ผมจะต่อมหาลัย




     

     

    อกซ้ายเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้หลังจากถูกอัดความคาดหวังไว้เต็มเปี่ยม ให้ตายเถอะ... แล้วก่อนหน้านี้เขามัวทำอะไรอยู่กันล่ะ เรื่องแมวมองที่โค้ชบอกนั่นมันก็ไม่ต่างอะไรจากคำประกาศิตที่ว่า นัดนี้ห้ามแพ้เด็ดขาด ใช่... แล้วมันก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ


     

    “ไม่ต้องห่วงน่า” ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเล็กๆ นี่คือวินาทีสุดท้ายที่เขาจะเอาเวลาไปคิดถึงเรื่องใครบางคน “ผมนี่แหละดาวซัลโว”


     

    เสียงนกหวีดเรียกลงสนามดังขึ้นแล้ว ร่างปอมบิดตัวไปมาเล็กน้อยหลังจากวอร์มร่างกายได้ที่ สิ่งที่ทำหลังจากนั้นคือการเอานิ้วโป้งแตะริมฝีปากก่อนจะส่งให้กองเชียร์บนอัฒจรรย์


     

    “โค้ชอยากไปแข่งระดับจังหวัดเร็วๆไหม”




     

    โอเซฮุน... ออกไปจากหัวฉันได้แล้ว นี่มันเวลาของลู่หานคนเดิม


     

    คนที่รักแค่บุหรี่ ผู้หญิง แล้วก็ฟุตบอล

     

     










     

     

     

     

    ตอนนี้สิบโมงครึ่งแล้ว ร่างโปร่งรีบพาตัวเองลงจากรถประจำทางทันทีที่ประตูเปิดออก สนามแข่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล เซฮุนไม่เคยต้องรีบเร่งขนาดนี้มาก่อน ต่อให้ต้องไปโรงเรียนสายแต่เขาก็แคร์สายตาคนรอบข้างมากกว่าการวิ่งบนฟุตบาธใจกลางเมือง


     

    แล้วนี่เขากำลังทำอะไรอยู่? เพราะกลัวจะไปไม่ทันผู้ชายคนนั้นแข่งน่ะเหรอ


     

    ลู่หานอาจจะเดินมาหา ทำหน้ากระเง้ากระงอดแล้วก็ตัดพ้อเรื่องที่เขามาไม่ทันการแข่งครึ่งแรก พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาแบคฮยอนก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในเครื่องนี้แทบไม่มีเบอร์ใครอยู่เลย ตอนนี้สองคนนั้นคงนั่งเชียร์ลู่หานอยู่ข้างสนาม


     

    “อะ! ขอโทษครับ”


     

    เซฮุนไม่เคยขอโทษส่งๆแบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงหยุดวิ่งแล้วขอโทษขอโพยจนกว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่เป็นไร จะว่าโกรธตัวเองก็คงไม่ผิด ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรทุกอย่างก็ดูผิดพลาดไปหมด


     

    ประตูทางเข้าสนามกีฬาอยู่ตรงหน้า กระโดดข้ามแท่งเหล็กถี่ๆที่ถูกสร้างกั้นรถเข้าแล้วกระชับกระเป๋าเป้ไว้แน่น ติ้งรูปมงกุฏสีเงินแกว่งกระทบนิ้วทุกครั้งที่วิ่งไปข้างหน้า ใช่ ในเมื่อสัญญาแล้วว่าจะมาดู...


     

    เสียงเฮดังแว่วมาจากสนามฟุตบอลทางด้านใน นั่นทำให้ไม่ต้องเสียเวลาถามคนที่เดินผ่านมาว่าควรเลี้ยวไปทางไหน เหงื่อกาฬซึมชื้นอยู่ตามขมับ เสยเรือนผมสีน้ำตาลปรกหน้าขึ้นอย่างลวกๆเมื่อเห็นสนามฟุตบอลโอ่อ่าอยู่กลางสายตา


     

    “....”


     

    เซฮุนได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเองและเสียงโห่ร้องของคนบนอัฒจรรย์ นักกีฬาทีมสีนงินกำลังกอดคอกันบูมอยู่ข้างสนาม และนั่นทำให้ร่างโปร่งแน่ใจว่าเขาคงมาไม่ทันครึ่งแรก


     

    ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย รอบตัวเป็นผู้ชมอีกส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่เป็นเด็กโรงเรียนอื่น ได้ยินเสียงเด็กสาวบางคนกรี๊ดกร๊าดเข้าข้างหูแต่ชายหนุ่มไม่ได้นึกสนใจนัก เขากำลังมองหาลู่หานหลังนักกีฬาพากันกระจายตัวไปดื่มน้ำดื่มท่าและขอกำลังใจจากคนสำคัญที่ข้างสนาม


     

    ลู่หานอยู่ตรงนั้น... กำลังยืนดูดน้ำจากขวดที่หญิงสาวในชุดวอร์มคนหนึ่งถือไว้ให้ ทั้งคู่หัวร่อต่อกระซิก แล้วเจ้าตัวก็ยอมให้อีกฝ่ายซับเหงื่อไคลให้ทั้งยิ้มพึงอกพึงใจ


     

    “คนนั้นน่ะเล่นเก่งเป็นบ้าเลย”


     

    “คนไหนเหรอ?”


     

    “ที่ตัวผอมๆ ผมสีน้ำตาลนั่นไง กำลังยืนอยู่กับผู้หญิงสวยๆคนนั้นน่ะ”


     

    เด็กผู้ชายสองคนคุยกันเสียงดังอยู่ข้างหน้า เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่รู้สถานการณ์การแข่งขันได้โดยไม่ต้องออกปากถามคนไม่รู้จัก ยอมรับว่าลึกๆในใจแล้วโอเซฮุนก็สำคัญตัวเองอยู่บ้าง เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้วิ่งมาที่นี่เพียงเพราะต้องการทำตามสัญญาลมปากที่เคยพูดกันทีเล่นทีจริง


     

    เซฮุนไม่ได้ใส่ใจว่าลู่หานอยู่กับใคร หรือแม้แต่การที่หมอนั่นเอาแต่หัวเราะพลางส่งจูบไปรอบๆเมื่อหลายต่อหลายคนต่างพากันตะโกนชื่อยกยอราวกับเป็นฮีโร่ ทุกคนรุมหน้าล้อมหลัง แล้วมันก็ทำให้เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มีความจำเป็นอย่างที่คิด คงเหมือนกับถ้าชานยอลหรือแบคฮยอนบอกว่ามาไม่ได้นั่นแหละ




     

    ลู่หานอยู่ได้... และทำได้ดีอย่างที่เคยทำได้มาตลอด


     

    ทำไมเขาต้องคิดอะไรงี่เง่าแบบนี้ด้วยนะ ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลยสักนิด

     

     










     

     

     

     

     

    “เธอเก่งจังเลย”


     

    “ขอบคุณนะโซยู คุณเองก็สุดยอดเหมือนกัน


     

    ได้รับการขอบคุณเรื่องปากหวานเป็นรอยลิปสติกสีชมฟูฟอดใหญ่ๆที่ข้างแก้ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็เขาคงชวนเธอไปเลี้ยงฉลองต่อสองต่อสองที่ไหนสักที่ตั้งแต่ตอนนี้แล้วก็ได้ อ๋อใช่... ลู่หานคิด แต่ทำไมถึงไม่ออกปากชวนสักทีก็ไม่รู้


     

    ผู้หญิงชอบผู้ชายน่ารัก แล้วเขาก็เป็นอย่างนั้นมาตลอดจนเป็นขวัญใจนูน่าได้ทั้งสต๊อก หรือแม้แต่การทำตัวเป็นไก่อ่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนในทีมฟุตบอลนี่ก็เหมือนกัน มันตลกดีเวลาที่คนพวกนี้ส่งเสียงโห่แซวให้เขาหลบทางไปเวลาผู้ช่วยผู้จัดการทีมคนสวยเข้ามาคุยด้วย ลู่หานชอบเธอ... แต่ก็แค่ชอบ คังโซยูน่ารัก แล้วก็... หน้าอกใหญ่


     

    “วันนี้โค้ชบอกว่าจะพาไปเลี้ยงเนื้อย่าง เธอห้ามชิ่งแล้วนะ”


     

    “อ๋อได้สิ” เทน้ำเย็นๆราดหน้าก่อนจะยิ้มแป้นอย่างพึงอกพึงในในผลการแข่งครึ่งแรก เขาไม่คิดว่าวันนี้เก่งไปกว่าวันอื่น ผลจากการซ้อมหนักแบบลืมวันลืมคืนมาตลอดปิดเทอมส่งผลตอบแทนคือการที่ทุกคนในทีมเล่นเข้าขากันได้ดี กลยุทธ์หลอกล่อและแผนการกระจายตัวของโค้ชเองก็ได้ผล แถมแมวมองยังอมยิ้มออกมาในตอนที่เขาทำประตูได้


     

    ถึงไม่ใช่นักเรียนมอปลายปีสุดท้ายแต่ว่า... การได้ทุนมหาวิทยาลัยตั้งแต่ตอนนี้มันดีจะตายชัก


     

    “....!


     

    เหลือบไปเห็นหลังไวๆของใครบางคนอยู่ท่ามกลางฝูงชนตรงนอกสนาม ถึงคิดว่าตัวเองตาฝาดแต่ร่างโปร่งก็รีบส่งขวดน้ำให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนจะผละตัวออกจากคนอื่นๆ


     

    “เดี๋ยวผมมา”


     

    จากที่แค่สาวเท้าไวขึ้นลู่หานจำต้องวิ่งตัดสนามเพียงเพราะร่างของใครคนนั้นลับจากสายตาไปแล้ว เขารีบแทรกตัวไปตามเด็กนักเรียนคนอื่นๆจนกระทั่งหลุดมาด้านหลัง มองซ้ายมองขวาแล้ววิ่งเหยาะๆมาอีกหน่อย ก็แค่สวนโล่งๆและคนประปรายไม่กี่คน


     

    ก็แค่ตาฝาด...


     

    โอเซฮุนจะมาที่นี่ได้ยังไงกัน


     

    “ฟุ้งซ่านชะมัด...” เขาแค่นหัวเราะกับตัวเอง แล้วก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในสนามโดยไม่เหลียวมองไปทางไหนอีก




     

    ความหวังน่ะมันทรมานนะ

     

     

     










     

     

     

     

     

    “ใช่หลังนี้แน่เหรอ”


     

    ก้มลงมองแผ่นกระดาษใบเล็กๆที่มีลายมือไก่เขี่ยของใครบางคนกำกับแผนที่ไว้ให้อย่างคร่าวๆแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ปาร์คชานยอลเบนสายตาไปทางซ้ายทีขวาที ท้ายแล้วก็หยุดอยู่ที่คนข้างตัวราวกับจะถามความเห็น


     

    “แต่บ้านประตูรั้วสีเขียวก็มีแค่หลังนี้นี่นา...” แบคฮยอนตอบทั้งที่ไม่ได้แน่ใจอะไรนัก แต่เขาสองคนทำตามที่ลู่หานบอกทุกอย่าง นั่งรถประจำทางมาลงที่ป้ายนี้ แล้วก็เดินตรงเข้ามาตามทางตรงนี้ อันที่จริงนี่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ


     

    จะเอายังไงดี... กดกริ่งเรียกคนในบ้านดีไหม?


     

    หลังจากไปเลี้ยงฉลองชัยชนะกับพวกชมรมฟุตบอลจนถึงเย็นก็มีอันต้องขอแยกตัวออกมาก่อนตามความตั้งใจเดิมว่าอยากมาดูเซฮุนที่บ้านเพื่อจะได้แน่ใจว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน ส่วนลู่หานตัดสินใจไปต่อกับคนอื่นๆโดยเขียนแผนที่บ้านเซฮุนไว้ให้อย่างละเอียดพร้อมทั้งแสตนด์บายรับโทรศัพท์ถามทางอยู่เป็นระยะ


     

    พอชวนให้มาด้วยกัน คนทะเล้นก็ได้แต่ลดสีหน้าลงก่อนจะอธิบายเรื่องทางแยกต่อ ถึงชานยอลจะคิดว่ามันแปลกแค่ไหนก็เถอะเกี่ยวกับปฏิกิริยาของลู่หาน แต่เขาไม่ได้ถามออกไป


     

    หลังจากกดกริ่งได้ไม่นานประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อนผ่านซี่ลูกกรงประตูรั้ว สีหน้าหล่อนดูแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ออกปากถามเสียงเรียบ “มาหาใครเหรอคะ?”


     

    “เอ่อ...” ชานยอลลดมือที่ถือแผนที่ลงไว้ข้างตัว แบคฮยอนเองก็อ้ำๆอึ้งๆทั้งที่มันไม่จำเป็น จนสุดท้ายร่างสูงจึงเป็นฝ่ายพูดออกไปเสียเอง “เรามาหาเซฮุนน่ะครับ คือเราติดต่อเขาไม่ได้มาหลายวันแล้ว”


     

    “อ้อ... เพื่อนของเซฮุนนั่นเอง” คุณนายโอยิ้ม “ไม่อยู่หรอกจ้ะ ตั้งแต่ปิดเทอมมาเซฮุนก็ไปช่วยดูร้านของพี่เขาน่ะ”


     

    ได้ยินอย่างนั้นร่างสูงก็หันไปถามความเห็นคนข้างๆผ่านทางสายตา ได้รู้แล้วว่าเซฮุนปลอดภัยดี ตอนนี้แดดร่มแล้ว จากที่ดูนาฬิกาครั้งล่าสุดเป็นเวลาหกโมงครึ่ง


     

    “แล้วร้านอยู่ตรงไหนเหรอครับ เราไปหาเขาได้ไหม?” เป็นเสียงของบยอนแบคฮยอนที่ถามออกไป อย่างน้อยเขาก็อยากจะเจอเซฮุนสักหน่อยในเมื่อมาถึงนี่แล้ว


     

    “แถวๆซินชอนน่ะจ้ะ จากนี่ก็เดินไปประมาณสิบห้านาทีน่าจะถึง”

     










     

     

     

     

     

     

    ฟ้าเริ่มมืดแล้ว อาจเพราะเป็นวันหยุดแถวนี้ถึงได้เงียบกว่าวันธรรมดาที่มักจะมีนักเรียนนักศึกษาผ่านไปผ่านมาอย่างคับคั่ง เซฮุนคิดว่าวันนี้จะปิดร้านไว พอเขาบอกอย่างนั้นพนักงานก็พากันดีใจใหญ่และขยันทำงานเพื่อทำยอดขายชดเชยเวลาช่วงหัวค่ำ


     

    ทุกวันเวลาเบเกอรี่เหลือทั้งชายหนุ่มและพี่สาวเขาจะทำเหมือนๆกันคือแจกจ่ายให้พนักงานนำกลับไปหากต้องการ ส่วนใหญ่พากันเบื่อขนมภายในร้านแล้ว จะมีก็แต่พนักงานชั่วคราวอย่างคิมดานีที่ยังโค้งศีรษะขอบอกขอบใจก่อนจะนำถุงมาใส่ขนมบางส่วนติดไม้ติดมือกลับบ้าน


     

    ไม่ถึงหนึ่งทุ่มเซฮุนก็ปล่อยพนักงานกลับบ้านไปจนหมด เขานั่งนับเงินหลังเคาน์เตอร์เงียบๆโดยไม่ได้สนใจอะไรอีก ประตูร้านล็อกไว้จากด้านในแล้ว และภายในนี้ก็เป็นส่วนตัวมากพอให้คิดอะไรต่อมิอะไรได้อย่างอิสระ แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากฟุ้งซ่านเรื่องผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีกหรอกนะ




     

    แล้วก็คิดขึ้นมาจนได้... โกรธนายสิบนาทีโอเซฮุน




     

    ทั้งที่ควรจะได้กลับบ้านไปตั้งแต่หลายนาทีก่อน ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมและเริ่มนับยอดเงินของวันนี้ใหม่อีกครั้งหลังจากลืมตัวเลขเมื่อครู่ไปจากหัว มันทำให้เขาหงุดหงิด เงินพวกนี้นับยากเหมือนเส้นผมของลู่หานยังไงยังงั้น!


     

    หรือแม้แต่ตอนที่หมอนั่นเดินกลับเข้าไปในสนามโดยที่เขาก้มหลบหลังม้านั่งนั่นก็อีก ถึงจะคิดว่าไม่ได้กลัวถูกเห็นแต่ร่างทั้งร่างกลับพาตัวเองหลบจากสายตาอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันดีแล้ว... ดีมากๆกับความรู้สึกเขาในตอนนี้


     

    เพราะต่อให้เจอกันเซฮุนก็ไม่รู้ว่าควรทำหน้าแบบไหน


     

    สงบสติอารมณ์ด้วยการกลอกตามองเพดานสีส้มและโคมไฟทรงวินเทจที่พี่สาวคนโตเป็นคนเลือกกับมือ ไม่แน่ใจว่าต่อให้นั่งตรงนี้ไปอีกสักสองชั่วโมงจะนับเงินเสร็จหรือเปล่า เขาไม่มีสมาธิเลยสักนิดเดียว


     

    “....”


     

    หากแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นถุงขนมปังติดโลโก้วางอยู่ตรงชั้นทางด้านหน้า ร่างโปร่งดีดตัวลุกขึ้นทันที มั่นใจว่านี่คงเป็นของคิมดานี พนักงานเพียงคนเดียวในร้านที่ยังคิดจะเอาขนมพวกนี้กลับบ้าน


     

    ป่านนี้คงขึ้นรถกลับไปแล้ว... หรืออาจจะไม่


     

    รถประจำทางสายที่เด็กสาวขึ้นไม่ได้มาถี่มากนัก หลังจากเดินไปส่งเธอทุกครั้งที่ทำงานกะดึกเซฮุนก็ประมาณได้ว่ามันจะเทียบท่าราวๆทุกสิบห้านาที ถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไปนักตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ และเขาก็คงนับเงินไม่รู้เรื่องแล้ว


     

    เก็บรวบทุกอย่างใส่กระเป๋าเท่าที่จะเร็วได้แล้วผลุนผลันออกจากร้านไป ขายาวสาวเร็วๆไปจนพ้นย่านคนพลุกพล่าน มันไม่ใช่ทางยอดฮิตหรอก ดานีบอกว่าถึงจะเปลี่ยวสักหน่อยแต่ตรงนี้ทำให้เดินไปถึงป้ายรถประจำทางนั้นได้เร็วกว่าทางปกติเกือบเท่าตัว


     

    สนามเด็กเล่นตอนนี้ไม่มีคนแล้ว เซฮุนไม่เคยให้ความสนใจกับมันตราบใดที่เขายังมองเห็นแค่ความอ้างว้างในยามค่ำคืน คืนนี้ก็คงจะเป็นเหมือนคืนก่อนๆถ้าไม่เพียงแต่ใบหูได้ยินเสียงแว่วอะไรบางอย่าง


     

    โอเซฮุนคิดว่าเขาได้ยินไม่ผิด ร่างโปร่งเบนทิศจากทางเดินเบื้องหน้าแล้วตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปหาต้นเสียงจนกระทั่งได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด




     

    “แกมันขี้โกง!


     

    “ทำไมแกถึงได้ใกล้กับเขาอยู่คนเดียวล่ะ ฉันไม่ยอมหรอก”


     

    “คิมดานี! อย่ามาร้องไห้น่าเกลียดแบบนั้นนะ”




     

    คิมดานียังอยู่ในชุดเดียวกับที่มาทำงานวันนี้ด้วยซ้ำ ระยะเวลาพักใหญ่ๆนี่เธอยังเดินไปไม่ถึงป้ายรถประจำทาง แล้วก็ถูกกลุ่มเด็กผู้หญิงในชุดไปรเวทผลักไปทางนู้นทีทางนี้ทีจนเรือนผมสีดำตรงนั้นยุ่งเหยิง ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะรีบเข้าไปช่วย แต่สองขาก็ชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา


     

    “ไม่ใช่... ไม่ใช่อย่างนั้น...”


     

    “โกหก! แกอยู่ร้านเดียวกับเซฮุนขนาดนั้น จะให้พวกเราเชื่อได้ยังไง”


     

    “ฉันไม่รู้มาก่อนว่าเซฮุนทำงานร้านนั้น”


     

    “เราไม่เชื่อ”


     

    “ถ้ารู้แล้วก็ออกมาซะสิ”


     

    “ดูก็รู้ว่าแกจะอ่อยเขา แกเก็บรูปเซฮุนติดตัวไว้แบบนั้น”


     

    เด็กสาวส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา ทำไมคนพวกนี้ต้องทำเหมือนว่าที่เธอรู้สึกพิเศษกับโอเซฮุนมันเป็นเรื่องผิด แค่เพราะเธอคือคิมดานี ไม่ได้สวย ไม่น่ารัก แล้วก็อ่อนแออย่างนั้นเหรอถึงไม่มีสิทธิ์ชอบเซฮุนเหมือนคนอื่นๆ


     

    “ฉันไม่ได้คิด... ไม่ได้หวังให้เซฮุนมาชอบเลยสักนิด”


     

    “หยุดพูดนะ!


     

    “แต่ห้ามได้เหรอ...”


     

    “คิมดานี!


     

    “ฉันก็ชอบเขาเหมือนที่พวกเธอชอบแท้ๆ”


     

    “นังนี่...!




     

    หล่อนเงื้อมือขึ้นสูงและคิดจะฟาดลงกับหน้าปอนๆนั้นให้หายหงุดหงิด คิมดานีไม่มีสิทธิ์! คนอย่างยัยนี่น่ะผิดตั้งแต่ที่มีตัวตนอยู่บนโลกแล้วด้วยซ้ำ


     

    หากแต่เสียงหวีดร้องเบาๆของเพื่อนอีกสองคนและสัมผัสบริเวณข้อมือกลับทำให้หล่อนชะงักกึก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายเมื่อหันไปเจอกับใบหน้าถมึงทึงของผู้ชายที่พวกเธอต่างแก่งแย่งกำลังมองมา แค่อีกฝ่ายออกแรงบีบนิดหน่อยเธอก็จำต้องปล่อยให้แขนตกลงข้างตัวหลังจากเขาปล่อยออก


     

    “เซฮุน...”


     

    มันน่าหงุดหงิดสิ้นดีที่คิมดานีเรียกชื่อเซฮุนอย่างสนิทสนมแบบนั้น และน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเมื่อร่างโปร่งเดินเข้าไปยืนบังตัวเธอจนมิดภายใต้ไหล่ผาย เป็นครั้งแรกที่โอเซฮุนทำสีหน้าไม่พอใจให้เห็น ใช่... ครั้งแรกเลย


     

    “พวกเธอทำอะไรอยู่?” เขาถาม ทั้งสามคนได้แต่มองหน้ากันไปมาเหมือนจะร้องไห้ แน่ล่ะ พวกเธอทำมันแน่ถ้าต้องถูกเซฮุนเกลียดทั้งอย่างนี้ล่ะก็


     

    “เปล่า...” หนึ่งในสามตอบเสียงแผ่ว นี่มันผิด! ผิดมหันต์เลยที่คนอย่างยัยคิมดานีได้รับการปกป้องจากผู้ชายคนนี้


     

    ตาเรียวรีทอแสงอ่อนลงภายใต้แสงสลัวของเสาไฟซึ่งห่างออกไป อาจจะดูใจร้ายไปสักหน่อย แต่ร่างโปร่งกลับคว้าเอามือของคนข้างหลังมากุมไว้แล้วพูดบางอย่างออกไปเสียงเรียบ


     

    “ถ้าผมเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเธอต้องทำกับดานีแบบนี้ล่ะก็”


     

    “....”


     

    “อย่าทำแบบนี้อีก”


     

    แผ่นหลังภายใต้เสื้อยืดแขนยาวสีเขียวขี้ม้านั้นดูกว้างเหลือเกินในตอนที่เขากางแขนออกเพื่อปกป้องเธอไว้ เสียงที่เคยทอดทุ้มอย่างใจดีนั้นแข็งกร้าวกว่าทุกที แล้วมือที่กอบกุมมือเธอไว้ก็อุ่นเกินไปจนน่ากลัวว่าเขาจะปล่อยมันออกในอนาคต


     

    ใจหนึ่งก็คิดว่าดีจัง... ดีมากเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง และนั่นก่อให้เกิดอีกความรู้สึกขึ้นข้างในใจดวงเล็กๆ




     

    บางทีเซฮุนควรจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้...




     

    “คิมดานี...”


     

    “....”


     

    “เป็นคนของผม”


     

    “....”


     

    “อย่ามาทำร้ายเธอ”


     

    หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ความรู้สึกของเธอหนักอึ้งเสียจนไม่สามารถยืนอยู่ต่อไปไหวอีกแล้ว ผู้หญิงพวกนั้นจะพูดอะไรก็ช่าง จะด่าทอเธอหยาบคายแค่ไหนก็ช่าง ดานีมองไม่เห็นอะไรแล้วนอกจากน้ำใสๆที่คลอหน่วงอยู่เต็มสองตา


     

    หลังคนอื่นหายไปจนลับสายตาเซฮุนก็รีบปล่อยมือเล็กออกแล้วหันมาดูอาการด้วยความเป็นห่วง เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆเพื่อพูดคุยกับเด็กสาวถึงเรื่องเมื่อครู่ ตาสีเข้มนั้นยังคงเป็นประกายที่สวยที่สุด แล้วเซฮุนก็ไม่ต่างอะไรจากเจ้าชาย


     

    “ไหวไหม?” เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ “คนพวกนั้นทำอะไรเธอหรือเปล่า?”


     

    ดานีส่ายหน้ารัว แต่น้อยกว่าหัวใจดวงเท่ากำปั้นที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำ มันชวนให้เจ็บไปหมด ใช่จะไม่รู้ว่าที่เซฮุนพูดไปคือคำโกหกเพียงเพื่อช่วยเธอเอาไว้เท่านั้น


     

    “เธอโดนทำแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ” เด็กสาวไม่กล้าตอบ เขาจึงถามต่อ “เพราะเรื่องผมใช่ไหม”


     

    รู้แล้ว... ถ้าถูกรู้ความรู้สึกเข้าแบบนี้แล้วจะยังเป็นเหมือนเดิมได้ไหมนะ?


     

    ชายหนุ่มเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง เขามีสีหน้าปั้นยากและดูเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ถึงอย่างนั้นก็ช่วยพยุงให้เธอลุกขึ้นและเกลี่ยผมยุ่งเหยิงให้พอเป็นทรงด้วยสัมผัสอ่อนโยน


     

    “ขอบคุณนะ” ดานีผงกหัวงั่นงกทั้งยังหลบสายตา ค่อยๆหอบข้าวของขึ้นมองไว้แนบอก แล้วจึงมองเห็นถุงขนมปังซึ่งนึกขึ้นได้ว่าคงลืมไว้ในร้าน เธอไม่คิดหรอกว่าโอเซฮุนยอมถือมาให้ถึงที่นี่ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้น “....”


     

    นัยน์ตาสีเข้มทั้งสับสนและฟุ้งซ่าน อาจมีสักร้อยพันความรู้สึกกำลังอัดแน่นกันอยู่ในนั้น มันไม่ได้โรแมนติกหรือลึกซึ้ง แต่ลึกราวมหาสมุทรซึ่งเธอหยั่งไม่ถึง




     

    “ดานี”


     

    “....”


     

    “ถ้าผมคบกับเธอ... มันจะดีขึ้นใช่ไหม?”




     

    ไม่มีคิมดานีอยู่ในดวงตาคู่นั้น อาจจะเพราะแสงตรงนี้มืดสลัวจนมองไม่เห็นหรืออะไรก็ตามแต่ ไม่ว่ามันเป็นเรื่องอะไร แต่หัวใจของคิมดานีพองโตจนบดบังทุกความรู้สึกหมดแล้ว


     

    “ฉัน...” ไหล่เล็กสั่นเทา ถ้าส่งความรู้สึกออกไปตอนนี้ก็อาจจะถึงใช่ไหม? “ฉันชอบเซฮุน...”


     

    “....”


     

    “...ชอบมากๆ”


     

    “....”


     

    “ฉันมีสิทธิ์นั้นหรือเปล่า...?”


     

    ใบหน้าหล่อเหลานิ่งไปเล็กน้อย รอบตัวทั้งคู่มีเพียงความเงียบสงัดและเสียงสวบสาบของพงไม้ ตาคู่นั้นเบือนหลบเธอไปพักใหญ่ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ดานีสังเกตเห็นติ้งห้อยโทรศัพท์รูปมงกุฏสีเงินเป็นประกายโผล่พ้นกระเป๋ากางเกงอีกคน


     

    และครู่ใหญ่... กว่าเซฮุนจะหันกลับมาพร้อมเหยียดริมฝีปากบางเป็นรอยยิ้ม ถ้าชายหนุ่มไม่ใช่คนเก็บความรู้สึกเก่งจนเกินไปก็คงเพราะในใจมันว่างเปล่าจนไม่สามารถเค้นความรู้สึกใดๆออกมาได้อีก


     

    “เอาสิ”


     

    “....”


     

    “เราลองคบกันดูก็ได้”


     

    “....”


     

    “...ผมคิดว่ามันน่าจะดี”




     

    เป็นยิ้มที่ฝืนเกินไป... ฝืนจนเจ็บไปหมดทั้งใจ




     

    Rrrr


     

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลบความเงียบซึ่งพากันโรยตัวลงมาจนน่าอึดอัด คิ้วเรียวต้องขมวดมุ่นเมื่อมันเป็นเบอร์ไม่แสดงชื่อ และถึงจะคุ้นตาเลขสามตัวท้ายมากแค่ไหนแต่โอเซฮุนก็ยังไม่ปักใจจนกว่าจะได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา หลังเบี่ยงตัวจากการยืนประจันหน้าดานีไปเล็กน้อยชายหนุ่มก็กดรับ


     

    “ยอโบเซโย”


     

    ( เซฮุน เซฮุนหรือเปล่า? )


     

    “แบคฮยอน?” ไม่แปลกใจที่นี่เป็นเบอร์ของใครสักคนขึ้นมาจริงๆ พอได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องแล้วร่างโปร่งก็รู้สึกผิดขึ้นมาชะงัด เขาเพิ่งเบี้ยวนัดอีกฝ่ายไปเมื่อเช้านี่เอง


     

    ( ฉัน... แวะไปที่บ้านเซฮุนมาน่ะ แล้วคุณแม่นายก็ให้เบอร์เอาไว้ )


     

    “แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหน” เขาเหลือบมองคนข้างๆที่ยังยืนก้มหน้าก้มตาจนกลืนหายไปกับความมืด ค่อยๆยื่นมืออกไปเพื่อจะพาให้เธอมาด้วยกัน มันชะงักค้าง แล้วเขาก็เลือกที่จะยกมือสูงขึ้นอีกหน่อยเพื่อแตะข้อศอกให้เธอรู้ตัวแทน

     

     

     










     

     

     

     

    “ขอโทษนะ” ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นเพื่อนสองคนยืนรออยู่หน้าร้านที่เขาเพิ่งเป็นคนล็อกกุญแจเองกับมือเมื่อครู่ก่อน ทั้งคู่ดูไม่ได้ถือสาอะไร แต่แปลกใจที่เขาพาผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย “เธอกลับแท็กซี่นะ เดี๋ยวผมออกให้”


     

    เซฮุนหันไปพูดเบาราวกระซิบกับเด็กสาว เธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยอารามตกใจ นั่นเผยให้เห็นคราบน้ำตาใสๆเปรอะอยู่บริเวณหางตา


     

    “มะ... ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันออกเองดีกว่า”


     

    เธอพูดสุภาพกับเขาผิดปกติ รู้ได้ว่านั่นมาจากความตื่นเต้น และมันทำให้ใบหน้าหล่อเหลาแย้มรอยยิ้มเล็กๆก่อนจะหันไปส่งสายตาขอเวลาจากเพื่อนอีกสองคน


     

    แบคฮยอนและชานยอลมองร่างโปร่งซึ่งกำลังโบกแท็กซี่จอดเลียบฟุตบาธแล้วจึงเบี่ยงตัวออกเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นขึ้นไปบนรถ ทั้งคู่ยื้อยุดกันนิดหน่อยเรื่องที่เซฮุนเอาเงินใส่มือเธอ คำสุดท้ายในบทสนทนานั้นคือ รับไว้เถอะ ในฐานะที่ผมเป็นเจ้านายเธอ


     

    นี่ก็ยังไม่ดึกจนเกินไป บางทีพวกเขาควรจะต้องหาร้านกาแฟใกล้ๆนี่เพื่อพูดคุยกันสักเล็กน้อยก่อนกลับ










     

     

     

     

     

     

     

    “ช็อกโกแลตร้อนได้แล้วค่ะ”


     

    บยอนแบคฮยอนโค้งศีรษะน้อยๆเป็นการขอบคุณพนักงานก่อนจะรั้งเอาแก้วเซรามิกส์สีขาวมาหยุดอยู่ตรงหน้า คนข้างตัวเขากำลังดูดกาแฟเย็น ส่วนเซฮุนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยกชาร้อนๆขึ้นจิบด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างทุกที


     

    “ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไป” เซฮุนพูดขึ้นหลังจากวางแก้วลง นิ้วเรียวยาวลูบไปมาบนหูแก้วแก้เก้อ “พอดีว่าฉันไม่ได้จดเบอร์ใครสำรองไว้ แล้วคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว”


     

    ร่างโปร่งอาจจะกลัวถูกพวกเขาโกรธ อันที่จริงแบคฮยอนเบาใจและยิ้มได้ตั้งแต่ที่คุณนายโอยังตอบรับพวกเขาเป็นปกติหลังจากรู้ว่ามาหาลูกชายเพียงคนดียว “ไม่เป็นไรหรอก เราแค่เป็นห่วงน่ะ... กลัวว่าเซฮุนจะเป็นอะไรไปเสียอีก”


     

    ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ยิ้มรับแล้วจึงยกชาขึ้นจิบคั่นความเงียบ


     

    “แล้วที่ไม่ไปดูลู่หานแข่งวันนี้ คงไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใช่ไหม?” ปาร์คชานยอลชั่งใจอยู่นานว่านี่เป็นคำถามที่สมควรหรือไม่ พอเห็นสีหน้าอีกคนแล้วเขาก็คิดว่าอาจจะตัดสินใจผิดไป


     

    โอเซฮุนลดสีหน้าลงเหมือนตอนลู่หานถูกถามไม่มีผิด ฝ่ายนั้นดูจะรักษาอาการได้ดีกว่า เพราะคนตรงหน้าเขาตอนนี้โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย


     

    “เปล่าหรอก” เสียงพร่าตอบ มันฟังดูเหมือนคนที่เพิ่งดื่มชาขมปร่าเข้าไปไม่มีผิด “แค่ว่างไม่ตรงกัน ฉันต้องมาทำงานแทนพี่สาว”


     

    “....”


     

    “ขอโทษนะที่เบี้ยวนัดโดยไม่ได้บอก”


     

    จะว่ารู้เรื่องแล้วก็คงไม่ถูก ชานยอลสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อวันที่กลับจากชุนชอนว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้ดูมึนตึงแปลกๆ ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ได้ติดใจอะไร ตอนเปิดเทอมก็เห็นออกบ่อยว่าเซฮุนและลู่หานมักจะค้อนงอนกันไปตามประสา แต่ดูท่าครั้งนี้คงทะเลาะกันหนักน่าดู


     

    “แล้วผู้หญิงที่นายส่งขึ้นรถเมื่อกี้ล่ะ” ร่างสูงซัก จะหาว่าเขาละลาบละล้วงก็ได้ ก็ปกติน่ะเซฮุนเต็มใจอยู่ใกล้ผู้หญิงเสียเมื่อไหร่กันตราบใดที่พวกเธอไม่ได้บริสุทธิ์ใจด้วย


     

    คนถูกถามเลี่ยงมองแก้วช็อกโกแลตของแบคฮยอนแทน เขาอาจจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วแต่ว่ามันชวนกระอักกระอ่วนเหลือเกินกับการพูดออกมา การตัดสินใจแบบที่ไม่ผ่านการตรึกตรองนั้นน่าโมโห และเซฮุนรู้สึกอย่างนั้นนั่นแหละเมื่อคิดได้ว่าอารมณ์ชั่ววูบของเขามีแต่ความงี่เง่าทั้งเพ




     

    “...แฟนน่ะ”




     

    ในเมื่อเป็นฝ่ายออกปากไปอย่างนั้นเซฮุนก็คิดว่าควรรับผิดชอบคำพูดตัวเอง อย่างน้อยๆเขาต้องให้เกียรติเธอ บางทีดานีอาจจะไม่เชื่อและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจไปแล้ว ชายหนุ่มย้ำตัวเองในตอนที่เด็กสาวหยุดร้องไห้ลงได้


     

    ใช่... เขาคิดดีแล้ว


     

    นี่เป็นทางที่ถูกต้อง ตราบใดที่เขายังเอาพื้นที่ส่วนใหญ่ในหัวไปคิดถึงเพื่อนอีกคนและความทรงจำเรื่องเหตุการณ์เลยเถิดที่ผ่านมา


     

    ปาร์คชานยอลทำหน้าเหมือนอมผึ้งทั้งรังไว้ในปาก ผิดกับแบคฮยอนที่ดูจะตกใจและตื่นเต้นจนปิดไว้ไม่มิด มันออกจะน่าอึดอัดสักหน่อยที่เขาต้องมานั่งพูดอะไรแบบนี้ แต่เซฮุนดูออกว่าเพื่อนอยากรู้


     

    “ดานีอยู่ห้องดี เธอทำงานอยู่ร้านฉันมาทั้งปิดเทอมแล้ว”


     

    “ก็เลยชอบกันเหรอ?”


     

    ร่างโปร่งเงียบต่อคำถามของชานยอล เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ได้รู้สึกกับคิมดานีมากไปกว่าการเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้น แต่แล้วไงล่ะ? มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วหลังจากเขาทำให้เธอเชื่ออย่างนั้น ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรอก... เซฮุนคิด เขาอยากปกป้องเธอด้วยถ้าวิธีนี้ใช้ได้ผล การเปิดตัวไปแบบนี้ทำให้ดานีปลอดภัยจากผู้หญิงพวกนั้น และเขาก็ปลอดภัยต่อหัวใจตัวเอง


     

    ชานยอลถอนหายใจเบาๆ “แล้วลู่หานรู้หรือยัง”


     

    ร่างสูงอาจจะถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าลู่หานไม่มีทางรู้ เซฮุนไม่รู้ว่าคนตรงหน้ามีนัยยะอะไรแอบแฝงหรือเปล่า บางทีลู่หานอาจจะบอก? และเขาไม่ดีใจเลยถ้าเพื่อนต้องมาระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์แปลกๆพวกนั้น


     

    “ทำไมหมอนั่นต้องรู้” เขาเลือกแกล้งโง่ แต่แววตาของชานยอลไม่ได้สื่ออะไรมากไปกว่าสิ่งที่เจ้าตัวกำลังพูด


     

    “ก็พวกนายสนิทกันนี่นา”

     

     










     

     

     

     

     

    Rrrr


     

    เรือนผมสีน้ำตาลโผล่พ้นขึ้นจากผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมร่างกายเปลือยเปล่าของเขาและคนข้างๆ ร่างผอมงัวเงียควานหาต้นเสียงซึ่งอาจจะปลุกหญิงสาวให้ตื่นขึ้นมาได้หากว่าเขาไม่รีบรับสายเสียที สบถเบาๆเมื่อต้องหยัดตัวลุกขึ้นมาหาเจ้าเครื่องมือสื่อสารอย่างจริงจังในที่สุด


     

    “ยอโบเซโย”


     

    พูดใส่ปลายสายทั้งยังพยายามสวมกางเกงบ็อกเซอร์อย่างทุลักทุเล ภายในห้องตอนนี้มืดแทบจะสนิท แต่เพราะความชินทางลู่หานจึงเดินไปแหวกผ้าม่านและเปิดประตูระเบียงออกได้โดยไม่เดินสะดุดอะไรจนล้มหน้าคะมำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์กรึ่มๆสำหรับการเลี้ยงฉลองเมื่อช่วงหัวค่ำ


     

    (ลู่หาน นอนแล้วเหรอ? )


     

    แบคฮยอนนั่นเอง ร่างโปร่งครางรับในลำคอก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ “ว่าไง ถึงนอนก็ตื่นแล้ว”


     

    ( อ่า... ขอโทษนะ )


     

    เพื่อนตัวเล็กน่ารักเสมอ แม้แต่เสียงขอโทษอู้อี้แบบกล้าๆกลัวๆอย่างนี้ก็ยังน่าเอ็นดู แล้วจะอดใจไม่แกล้งได้เสียเมื่อไหร่กัน “ล้อเล่นน่า ถ้านอนแล้วฉันไม่ตื่นมารับโทรศัพท์นายหรอก”


     

    เขาปดคำโต แต่แบคฮยอนคงจะพอยิ้มออกมาได้


     

    ( ฉันกับชานยอลได้เจอเซฮุนแล้ว เลยคิดว่าควรจะโทรมาบอกลู่หานด้วยน่ะ )


     

    “....”


     

    ( เซฮุนสบายดีนะ แต่เขาทำโทรศัพท์หายก็เลยไม่มีเบอร์ใครเลย )


     

    ร่างผอมพ่นควันสีหม่นออกไปแต่งแต้มท้องฟ้าในกรอบสายตาแทนการถอนหายใจ ตอนนี้ลู่หานปล่อยให้แบคฮยอนสวมบทคนช่างพูด ร่างเล็กคงจะดีใจมากที่ได้รู้ว่าเพื่อนสนิทยังอยู่สบายดีทุกอย่าง แล้วก็แค่จงใจไม่ติดต่อมาทั้งที่ถ้าพยายามก็คงทำได้


     

    ( ตั้งแต่กลับจากไปเที่ยวเซฮุนก็ต้องช่วยงานที่ร้านเบเกอรี่ของพี่สาวน่ะ ทำจนถึงเปิดเทอมเลย )


     

    “อาฮะ” กุมตอบมือของหญิงสาวซึ่งเข้าสวมกอดที่รอบคอเขา เธอตื่นจนได้ นิ้วเรียวกะเทาะบุหรี่ลงบนที่เขี่ยแก้ว ชิ้นนี้กยูรินูน่าซื้อมาให้เป็นของฝากจากญี่ปุ่น “โซยูไปรอที่เตียงนะ เดี๋ยวผมตามไป”


     

    ( เห? )


     

    “เปล่า ว่าต่อสิ” เขาตอบปัดๆ ใจอยากรู้เรื่องของคนที่ปลายสายกำลังพูดถึงมากกว่า


     

    ( คือ... ) แบคฮยอนอ้ำๆอึ้งๆ คงจะเล่าหมดแล้วนั่นแหละ ( มีอีกเรื่องที่คิดว่าลู่หานอาจจะยังไม่รู้ )


     

    “หืม?”




     

    ( เซฮุนมีแฟน )




     

    “....” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม เปลวสีแดงบนมวนบุหรี่มอดเข้ามาจนปากกรองร้อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นลู่หานก็ยังใช้สองนิ้วคีบมันเอาไว้อย่างไร้จุดหมายในขณะที่มองพื้นระเบียงเหมือนมีระเบิดลูกโตวางไว้ “ว่าไงนะ?”


     

    นี่ก็ดึกมากแล้ว แบคฮยอนคงจะอยู่ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเขาคงได้บอกให้ร่างเล็กส่งต่อโทรศัพท์ให้ปาร์คชานยอลเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดแน่ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน...


     

    ( อ่า... เห็นว่าชื่อดานี เรียนโรงเรียนเดียวกับเราเลย )


     

    “ชานยอลสอนให้เป็นคนขี้อำตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย...” เขาแค่นหัวเราะกลบเกลื่อน รู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างแบคฮยอนไม่โกหกหรอก เจ้าตัวดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซฮุนมันไม่ปกติ




     

    โอเซฮุนมีแฟนทั้งที่ยังหลบหน้ากันอย่างนี้เนี่ยนะ?




     

    ในระยะเวลาสั้นๆแบบนี้หมอนั่นชอบใครไม่ได้หรอก ถ้าพูดแบบว่ากันตามจริงและบวกเข้าข้างตัวเองสักหน่อยล่ะก็... ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าจงใจหนีกันชัดๆ




     

     

    นายน่ะ... เลิกล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นสักทีเถอะ




     

     

    นายต่างหากโอเซฮุน... รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?




     

    ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง มือที่หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบนั้นไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน ลำพังเขางอนแล้วเซฮุนไม่ง้อนี่ก็ยังนับว่าปกติ แต่ที่พูดมาอย่างนั้นแล้วหนีไปมีแฟนนี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง ตั้งใจทิ้งห่างกันมากเกินไปหรือเปล่าถึงได้ต้องดึงเอาคนอื่นมาเกี่ยวแบบนี้


     

    โอเค... ยอมรับว่าตลอดสามสามสัปดาห์มานี้เขาก็แค่งอนและคิดว่าพอได้เจอก็คงหาย แต่ตอนนี้หัวใจมันบีบรัดแน่นและตะโกนขึ้นมาว่าชักจะโกรธจริงๆแล้ว


     

    “แค่นี้ก่อนนะแบคฮยอน”


     

    ( อ่า... )


     

    “ฉันง่วงมากเลย จริงๆแล้วฉันตื่นมารับสายนายน่ะ” รู้สึกผิดที่พาลออกไปแบบนั้น แต่เดี๋ยวค่อยไปง้อเอาทีหลังก็แล้วกัน ปาร์คชานยอลคงปลอบได้ว่าเขาไม่คิดอะไรนอกจากอยากล้อเล่นหรอก


     

    บี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยทั้งที่ยังสูบไปได้ไม่ถึงครึ่งมวน คังโซยูนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงทั้งเสื้อผ้ารุ่มร่าม มันไม่เหมือนกัน เขาก็แค่รักสนุกและตกลงใจว่าจะไม่ผูกพันธ์กับใครเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เซฮุนตัดสินใจทำมันต่างออกไป


     

    “รอนานไหม” พาร่างผอมแต่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาขึ้นไปบนเตียง ผู้ช่วยผู้จัดการทีมสาวส่ายหน้าเล็กน้อย เธอชอบเขา เขาชอบเธอ นี่มันแค่เรื่องชั่วข้ามคืนแล้วจะทำเหมือนไม่รู้จักกันก็ยังได้


     

    เลิกคิดเถอะลู่หาน... เลิกทำร้ายความเป็นตัวของตัวเองด้วยเรื่องพรรค์นั้นได้แล้ว




     

    แต่ทำไมถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้นะ...




     

    “บ้าเอ๊ย...”


     

    ท้ายสุดแล้วเขาก็ขดตัวลงกับหน้าท้องเธอทั้งที่ยังไม่ทันจะเริ่มเรื่องในค่ำคืนนี้เป็นรอบที่สองด้วยซ้ำ มันหมดอารมณ์จะทำอะไร แม้แต่ตอนที่มองควันบุหรี่สีเทา... ควันพวกนั้นก็เหมือนจะล้อเลียนความรู้สึกเขาด้วยการก่อตัวเป็นใบหน้าโอเซฮุนขึ้นมา


     

    “ลู่หาน...?”




     

    นายมีสิทธิ์อะไร? มีสิทธิ์อะไรถึงทำแบบนี้ได้ลงคอ




     

    “ขอโทษนะโซยู แต่คุณค้างที่นี่แหละ มันดึกแล้ว” เป็นประโยคปฏิเสธอ้อมๆว่าการที่เขาทิ้งตัวลงนอนเฉยๆข้างเธอมันจะเป็นแบบนี้ไปจนถึงเช้า อยากหลับไปแล้วไม่ต้องคิดอะไรอีก ไม่ต้องคิดว่าจะจัดการกับความรู้สึกในตอนนี้ยังไง ไม่ต้องคิดว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาต้องทำอะไรบ้างถ้าเจอหมอนั่น




     

    ใช่... ถ้าเจอแล้วก็รู้เองนั่นแหละ


     

    ถ้าตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนภาพผู้ชายที่ชื่อลู่หานแล้ว... ก็รู้เอง

     

     

     

     





















    ______________________________________

    อยากเจอคิมจงอินใช่เปล่า..........
    ตอนหน้านะ

    เราจะมาดิ้นไปพร้อมๆกัน




    ติดแท็ก #ฟิคฮบ หรือคอมเมนท์เป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ
    เรากลับมาแล้ว สำนึกผิดแล้ว O<-<
    ขอฟีดแบ็กเป็นแรงฮึดให้เราสู้ชีวิตหน่อยจ้ะ <3

    #นี่นานๆจะอ้อนขอทีนะ หนูคิดถึงพวกพี่ๆจนใจมันทูกึนไปหมดล๊า




    ลืมบอกไป ตอนนี้มีเกมให้ร่วมสนุกชิงฟิคฟรีกันด้วยนะคะ
    อยากให้เล่นกันเยอะๆ แจกจริงไม่กั๊ก :3












     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×