ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #9 : ` ( 두근두근 ♡ 9 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.34K
      28
      25 ก.ย. 56









        


     

     

    “ขอบคุณมากนะจ๊ะ เซฮุนใจดีจังเลย ~

     

    ถ้าจะถามว่าจุดอ่อนของโอเซฮุนคืออะไร ของหวานเหรอ? อันนั้นแค่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าจุดอ่อนหรอกนะ สัตว์เลื้อยคลาน? ขยะแขยงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เพียงแต่มันคงเป็นอะไรที่เดาออกง่ายกว่านั้นมาก ๆ







     

    ความเกรงใจต่อเพศแม่

     

    ...นี่ดูจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับตอนนี้แล้วล่ะมั้ง



     

    “ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ”

     

    เข้าอิหรอบเดิมอย่างทุกที ทันทีที่เขาเอ่ยปากออกไปแบบนั้นมือของสาวเจ้าก็เกี่ยวกระหวัดเข้าที่เรียวแขนแน่นหนึบชนิดที่ว่าหนวดปลาหมึกเกาหลีคงจะยอมแพ้ ไอ้ตาชั้นเดียวนั่นก็ดูน่ารักดีหรอกนะถ้าเพียงแต่ว่ามันไม่ได้กำลังจ้องมองเขาตาเชื่อมแบบนี้

     

    “ทำไมรีบกลับนักล่ะจ๊ะ ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเซฮุนเลยที่ช่วยฉันไว้จากคนโรคจิตคนนั้น”

     

    จะว่าไปแล้วเด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่ขโมยจูบเขาได้สำเร็จเป็นครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วนั่นเอง เซฮุนจำหน้าคนไม่เก่งนักหรอก เพราะกว่าเขาจะนึกขึ้นได้ว่าเคยโดนอะไรไปบ้าง เจ้าตัวก็ลากเขามาจนถึงหน้าโรงเรียนได้สำเร็จแล้วด้วยการทำเป็นกรี๊ดลนลานถึงโจรโรคจิตสักคนซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันมีจริงหรือเปล่า

     

    เพราะว่าเกิดมาในครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิง ทั้งแม่และพี่สาวต่างสอนให้เขาอ่อนโยนกับเพศหญิงให้มาก ๆ เหมือนที่อ่อนโยนกับคนในครอบครัว บางทีถ้าพ่อยอมที่จะกลับมาจากต่างประเทศเพื่อพูดคุยประสาลูกผู้ชายบ้างเขาคงจะไม่ขี้ใจอ่อนกับพวกหล่อนขนาดนี้

     

    ...แต่มันก็พลาดไปแล้วนั่นแหละนะ

     

    “ฉัน... ฉันค่อนข้างรีบน่ะ”

     

    “แหม รีบอะไรกัน เข้ามาในบ้านก่อนเถอะจ้ะฉันจะชงชาให้ดื่ม”

     

    ถึงร่างกายจะสูงใหญ่กว่ามากแต่ก็ห้ามออกแรงกับผู้หญิง นี่เป็นกฎคำสอนจากครอบครัวข้อแรก ๆ ที่สร้างภัยคุกคามให้ตัวเขาทางอ้อมอย่างถึงที่สุด กอปรกับเหตุผลรองรับที่ว่าเขาปฏิเสธคนไม่เก่งนัก นั่นดูจะยิ่งทำให้เหตุการณ์งี่เง่าเกี่ยวผู้หญิงเกิดขึ้นกับชายหนุ่มอย่างทวีคูณ

     

    “แต่ว่า...”

     

    “น่า มาเถอะจ้ะไม่ต้องเกรงใจหรอก”

     

    “แต่...”

     









     

     

     

    ถ้าจะถามว่าเดจาวูคืออะไร ตามหลักของเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วมันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำสองจนแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่เคยเจอมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่นการที่ลู่หานกำลังยืนพ่นควันบุหรี่เป็นรูปวงโดนัทอยู่ที่ริมระเบียงและสไลด์โทรศัพท์มือถือหน้าจอสัมผัสเพื่อเลือกรายชื่อสำหรับโทรออกด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย



     

    ฮโยริ... ซึงยอน... จียอง... อารา... กยูริ... ฮโยมิน...

     

    อืม... เอาเป็นฮโยมินนูน่าใหม่แกะกล่องก็แล้วกัน






     

    “ฮโยมิน ~ วันนี้เบื่อชะมัดเลย นูน่ามาอยู่เป็นเพื่อนหน่อยสิ”

     

    คุยไปก็บี้ก้นบุหรี่ลงกับราวระเบียงแล้วหยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบต่อไม่ให้ขาดช่วง นูน่าทุกคนก็ใจดีกับเขาอย่างนี้เสมอ มักจะซื้ออะไรอร่อย ๆ ติดไม้ติดมามาแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นให้เต็มไปหมด บางทีก็ซื้อเสื้อยืดสวย ๆ ให้ใส่ หรือไม่ก็ชวนไปดูหนังวันหยุดแบบที่ไม่น่าปฏิเสธเอาซะเลย

     

    “ขอเวลาชั่วโมงนึง? ...โอเคครับโอเค นูน่าน่ารักสุด ๆ เลย

     

    ถึงปากจะอ้อล้อไปแบบนั้นแต่ลู่หานก็ยอมรับว่าเขาค่อนข้างห่างเหินเรื่องเซ็กส์กับสาว ๆ ไปพอสมควร ก็ไม่ถึงกับขาดหายไปเลยน่ะนะ เพียงแต่มันน้อยลงบ้าง จะต้องไปโทษใครที่ไหนล่ะถ้าไม่ใช่หมอนั่น...

     

    เรื่องในห้องชมรมเมื่อวานเย็นผุดขึ้นมาในหัวราวกับฟิล์มฉายภาพขนาดไฮเดฟ สีหน้าตกใจแบบนั้นตอนที่ถูกเขาดึงให้นั่งลง สีหน้าขลาดเขินตอนที่ถูกเขาบงการมือขาว ๆ นั่น แล้วยังใบหูแดง ๆ แล้วก็สายตาที่รังแต่จะหันหนีไปทางอื่นนั่นมันน่าจริง ๆ



     

    แต่น่าแบบไหน ตอนนี้ก็ยังหาคำตอบให้ใจตัวเองไม่ได้หรอก



     

    ทั้งที่ตอนแรกกะว่าจะแค่แกล้งสนุก ๆ แต่ก็ดันเป็นเขาเองที่ไปทำให้มันเกิดครั้งที่สอง แถมยังรู้ตัวเองแบบที่แทบจะไร้ความละอายใจเลยว่าอยากจะให้เกิดครั้งต่อ ๆ ไปอีกซะด้วย ก็ไอ้หน้าตาอ่อนต่อโลกของผู้ใหญ่แบบนั้นมันน่าดูน้อยที่ไหนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะเห็นมากขึ้น อยากจะแกล้งให้หนัก ๆ อีกสักหน่อย



     

    “..........”

     

    เหมือนสวรรค์จะตอบรับความต้องการของเขาไวยิ่งกว่าเครื่องสี่แรงสูบ เพราะทันทีโน้มตัวลงท้าวกับราวระเบียงสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนกำลังถูกถูลู่ถูกังเข้าบ้านข้าง ๆ เขาเหมือนเมื่อคราวก่อนไม่มีผิด สีหน้านั้นยังคงดูกระอักกระอ่วนและพยายามจะพูดอะไรสักอย่างที่พยายามรักษาน้ำใจของสาวเจ้า แต่สงสัยจะรักษาร่างกายของตัวไว้ไม่ได้แฮะ

     

    รู้ตัวอีกทีก็เผลอยิ้มจนแทบฉีกถึงใบหู มือหนึ่งรีบกดโทรศัพท์หานูน่าส่วนอีกมือก็บี้บุหรี่ที่ยังสูบไม่ถึงครึ่งมวนทิ้งอย่างไม่ไยดี เท้าก้าวเข้าไปในห้องนอนแล้วคว้าเอาเสื้อยืดสีขาวที่พาดบนเก้าอี้มาสวมใส่อย่างลวก ๆ ก่อนเสียงโครมครามที่บันไดจะดังลั่นเพราะร่างที่รีบเร่งวิ่งลงไป

     

    “นูน่า! ไม่ต้องมาแล้วนะครับ จุ๊บ

     

    หยอกเอินทิ้งท้ายไว้สักหน่อยแล้วเก็บเอาโทรศัพท์ใส่ลงในกระเป๋ากางเกง ตีเนียนเปิดประตูบ้านออกไปก่อนจะแกล้งทำเป็นจ๊ะเอ๋กับสองคนซึ่งกำลังยื้อยุดกันอยู่ไม่ไกล แค่วิ่งลงบ้านมาแค่นี้ ไอ้เรื่องปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติสำหรับนักกีฬาอย่างเขานี่เรียกว่าหมูมาก



     

    “โอ๊ะ บังเอิญจังเลยน้า ~



     

    โบกมือขึ้นทักทายอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มท่ามกลางสายตางุนงงของเด็กสาวข้างบ้านและโอเซฮุน ลู่หานหันไปยิ้มกว้างให้เธอแล้วจึงอาศัยจังหวะทีเผลอดึงเซฮุนมาทางฝั่งตัวเองได้อย่างง่ายดาย

     

    “เอ๋...!?”

     

    “อยู่ข้างบ้านกันหรอกเหรอเนี่ย ไม่รู้มาก่อนเลย” พูดกลั้วหัวเราะใส่คนตรงหน้าที่มองชายหนุ่มข้างเขาตาละห้อย “นึกว่าจะถูกเบี้ยวนัดแล้วซะอีก อุตส่าห์รอตั้งนาน”



     

    “ตะ... แต่ว่าเซฮุนเขากำลังจะมากับฉัน...”

     

    “เข้าใจผิดแล้วล่ะ ขอโทษทีนะ

     

    แกล้งว่าไปเสียงหวานก่อนจะลากร่างโปร่งให้เดินตามเข้าไปในบ้านด้วยกัน ทิ้งเด็กสาวไว้ที่หน้าบ้านของตนตามลำพังอย่างไม่ยินดียินร้าย หล่อนดูจะยังตกใจไม่หาย แต่พอนึกคำเถียงได้ ลู่หานก็ปิดประตูบ้านใส่เรียบร้อยแบบไร้ข้อโต้แย้ง





     

    หัวเราะเสียงดังเมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นเห็นเด็กสาวเดินคอตกเข้าบ้านอย่างช่วยไม่ได้ ถึงจะน่าสงสารก็เถอะ แต่ก็ช่วยไม่ได้แหละนะ

     

    “นี่บ้านของนาย?”

     

    เซฮุนเป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้นก่อนทั้งที่ยังยืนค้ำโซฟาอยู่อย่างนั้น เขาทอดมองไปรอบ ๆ คล้ายจะมองหาสิ่งมีชีวิตอื่นที่นอกเหนือจากคนตรงหน้า อย่างเช่นว่าพ่อกับแม่ ญาติพี่น้อง แต่ว่าก็ไม่มีสักคนที่จะเดินออกมาเพื่อบอกว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง

     

    “ฉันอยู่คนเดียวน่ะ” เจ้าของบ้านยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเอนกายพิงผนังด้วยรอยยิ้ม ล้วงสองมือลงในกระเป๋ากางเกงแก้เก้อ ก่อนจะพยักเพยิดไปทางโซฟานอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างใครอีกคน “นั่งก่อนสิ”

     

    “........”

     

    พอคำตอบในใจของโอเซฮุนเด่นชัด เขาก็ได้แต่ทำหน้าอึกอักแล้วเมินสายตาไปมองโทรทัศน์จอสีดำสนิทแทนที่จะมองหน้าคู่สนทนา เหตุการณ์เมื่อวานมันแทบจะฉายชัดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงจะบอกตัวเองว่ามันคงเป็นเรื่องธรรมดาแล้วก็เถอะ

     

    “ขอบคุณที่ช่วยแล้วกัน แต่ฉันต้องกลับแล้วล่ะ”

     

    “กินอะไรมาหรือยัง?”

     

    พูดสวนขึ้นมาเสียงใสก่อนทำท่าจะเดินไปทางโซนห้องครัวโดยที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เซฮุนชะงักไปนิดหน่อยแล้วจึงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง

     

    “ไม่เป็นไร ฉันจะกลับไปกินกับที่บ้าน”

     

    “........”

     

    ถ้ามนุษย์ที่ชื่อลู่หานกำลังมีแผนอะไรในใจล่ะก็ เชื่อเถอะว่าเสียงนาฬิกาบนผนังนั้นช่วยสร้างบรรยากาศร่วมได้เป็นอย่างดี ความเงียบโรยตัวลงมาเพียงอึดใจหนึ่ง คนตัวเล็กกว่าจึงแกล้งทำไหล่ตกคอตกแล้วพูดเสียงเศร้า

     

    “งั้นก็... กลับดี ๆ นะ”



     

    หืม...?



     

    สำหรับคนที่รู้สึกขัดแย้งในตัวตนของลู่หานอย่างโอเซฮุนแล้วล่ะก็ นี่เป็นสิ่งที่เขาแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเชียวล่ะ จริงอยู่ว่าตอนที่ได้คุยกันแรก ๆ หมอนี่ก็ดูน่ารัก อัธยาศัยดี แต่ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นแหละที่มันทำเอาเขาคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าหมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่ มันก็ไม่ใช่ว่าตรงกันข้ามหรืออะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันชวนให้รู้สึกแปลก ๆ ทุกที...

     

    “นาย...”



     

    “อยู่คนเดียวแบบฉัน จะกินข้าวอย่างเหงา ๆ ก็ไม่แปลกนี่นะ”

     

    “........”

     

    “แต่ก็ดันไม่ชินสักที”

     

    “........”

     

    “........”

     

    “........”

     

    “........”

     

    “...แค่กินข้าวใช่ไหม?”



     

    สุดท้ายความใจอ่อนก็สั่งให้เขาถอนหายใจออกมาจนได้ ร่างโปร่งวางกระเป๋าลงก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่เต็มใจนัก จริง ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ เพียงแต่พอได้ยินน้ำเสียงเศร้าสร้อยเมื่อครู่แล้วมันก็เกิดรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใช่ เขาเข้าใจดีว่าความเหงาเป็นยังไง เพราะงั้นก็เลยตัดใจทิ้งไม่ลงน่ะสิ



     

    ...ถึงตอนนี้ไอ้หน้าเศร้า ๆ นั่นจะกำลังยิ้มร่าอยู่ตรงหน้าเขาก็เถอะ



     

    “ชอบกินสปาเก็ตตี้ไหม?”

     

    “อืม...”

     

    “เอาเป็นคาโบนาราหรือโบโลเนสดี?”

     

    ปากก็ส่งเสียงถามเจื้อยแจ้วในขณะที่ตัวครึ่งบนโน้มหายเข้าไปหลังประตูตู้เย็น โซนครัวของบ้านถูกกั้นด้วยผนังซึ่งยืนออกมากึ่งหนึ่ง ถ้ามองจากตรงโซฟาก็พอจะมองเห็นคนที่กำลังง่วนอยู่กับมื้อเย็นอย่างกระตือรือร้น “นายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”

     

    “นิดหน่อยน่ะ” โผล่หน้าขึ้นมาขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนจะใช้เท้าปัดประตูตู้เย็นปิด ในอ้อมกอดของลู่หานมีท็อปเปอร์แวร์อยู่หลายอัน รวมทั้งห่อสปาเก็ตตี้ที่ยังไม่ถูกแกะด้วย (ต้องขอบคุณฮโยรินูน่าที่ซื้อมาให้น่ะนะ ) “ว่าไง จะเอาแบบไหนดี”

     

    “โบโลเนสก็ได้”

     

    ตอบคำถามไปเสียงเรียบเพราะไม่อยากถูกจ้องหน้านานนัก ให้ตายเถอะ ต่อให้มีนางฟ้าพยากรณ์มาทำนายก็คงเดาไม่ถูกว่าจะมีเรื่องที่ว่าเขากำลังนั่งอยู่ในบ้านกับหมอนี่สองต่อสองเพื่อรอกินข้าวเย็นด้วยกัน หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ...

     

    พอคิดมาถึงตรงนี้ดวงหน้าขาวก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกลุกลี้ลุกลนเสียจนต้องเบนสายตาเพื่อหาอะไรมาดับความฟุ้งซ่านในใจ จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่กับชั้นวางโชว์ข้างโทรทัศน์ที่มีกรอบรูปและโล่ประกาศเรียงรายมากมาย หันไปเห็นใครอีกคนกำลังฮัมเพลงพลางผัดซอสโบโลเนสในกระทะโดยไม่มีทีท่าว่าจะหันมาทางนี้

     

    ร่างโปร่งค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นก่อนจะเดินไปจนถึงจุดสนใจ ลู่หานในกรอบรูปมีทั้งตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ไล่มาจนถึงภาพที่เกือบจะเหมือนกับปัจจุบัน รู้สึกอย่างกับว่ายิ้มทะเล้นในรูปนั้นกำลังถูกส่งมาให้เขาก็ไม่ปาน ถัดไปอีกเป็นรูปลู่หานที่ดูราว ๆ ช่วงประถมได้ เพียงแต่ผิดคาดที่ในรูปเด็กหนุ่มนั้นสวมชุดเคนโด้และถือดาบไม้หน้าตาขึงขัง เลยลงไปทางชั้นด้านล่างเซฮุนก็เพิ่งสังเกตว่าโล่ประกาศส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มาจากการแข่งขันเคนโด้ทั้งนั้น แต่ทำไมเจ้าตัวถึงได้ไปอยู่ชมฟุตบอลกันล่ะ?

     

    พลันสายตาก็หันไปเห็นถาดแก้วที่มีก้นบุหรี่อยู่เต็มไปหมด จะว่าไปก็คิดตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้วว่ามันแสบจมูกแปลก ๆ ลู่หานสูบบุหรี่ด้วยเหรอ? แต่จะว่าไปเขาก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวคน ๆ นี้เลยนี่นา

     

    สะดุ้งน้อย ๆ เมื่อเรียวแขนของใครบางคนอ้อมมาจากด้านหลังเขาก่อนจะคว่ำกรอบรูปชุดเคนโด้ลง ครั้นหันไปมองก็เห็นคนในรูปกำลังยิ้มหวานพลางพยักเพยิดไปทางจานสปาเก็ตตี้หอมฉุยสองจานบนโต๊ะอาหาร

     

    “ได้เวลามื้อเย็นแล้วนะ

     

    โอเซฮุนไม่ค่อยเข้าใจการกระทำเมื่อครู่นัก มันคงจะเป็นอะไรบางอย่างที่ลู่หานไม่อยากให้เขารู้ แล้วก็คงไม่คิดด้วยว่าเขาจะไปยืนจ้องมันจัง ๆ แบบนั้น

     

    “นายเล่นเคนโด้ด้วยเหรอ?”

     

    ถามออกไปทั้งที่ยังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ลงบนช้อนเป็นวงเล็ก ๆ พอดีคำ คนตรงหน้าเขาไม่ได้ตอบในทันทีหากแต่กินฝีมือตัวเองเข้าไปคำใหญ่ ๆ แล้วจึงอมยิ้มน้อย ๆ “เคยเล่นน่ะ”

     

    แม้ว่ามันจะดูน่าภูมิใจที่เล่นเคนโด้มาจนได้รางวัลมากมายขนาดนั้น แต่เซฮุนก็พอจับความหมายในน้ำเสียงได้ว่าคงไม่อยากให้เขาถามอะไรต่อสักเท่าไหร่

     

    ความเงียบไม่ได้นั่งอยู่กลางโต๊ะนานนักเจ้าของบ้านก็หาเรื่องอื่นมาชวนเขาคุยจนได้ อาหารฝีมือลู่หานนั้นใช้ได้ทีเดียว สำหรับโอเซฮุนแล้วมันค่อนข้างจะเรียกได้ว่าอร่อยด้วยซ้ำ แต่อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่หรอกที่เด็กมัธยมปลายจะใช้ชีวิตคนเดียวตามลำพังแบบนี้ เป็นเพราะว่าอยู่คนเดียวหรือเปล่านะก็เลยต้องทำอะไร ๆ มากมาย








     

    ไม่ถึงสิบห้านาทีก็เหลือเพียงจานเปล่าสองจานที่ถูกรวบช้อนส้อมเก็บอย่างเรียบร้อย โอเซฮุนจัดการเก็บเอาจานของเขาและอีกคนซ้อนกันแล้วเดินเอาไปวางในอ่างล้างจานที่ครัวตามความเคยชิน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งมารยาทที่ดีซึ่งทางบ้านเขาย้ำนักย้ำหนาถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อน เพียงแต่ว่าตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายมาโอเซฮุนก็ไม่ได้มีสังคมกับใครเป็นพิเศษอีกเลย

     

    “ใจดีจังน้า

     

    “........”

     

    หันไปมองคนข้าง ๆ ที่ส่งยิ้มหวานพลางรับจานจากมือเขาไปวางเรียงบนชั้นพักจาน จะว่าไปก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ไหร่ที่คน ๆ นี้เข้ามาอยู่ในกรอบชีวิต ทั้งร่วมวงกินข้าว พูดคุย คอยส่งยิ้ม กวนประสาท หรือแม้แต่เรื่องแปลก ๆ ที่ทำกับร่างกายของเขาแบบนั้น

     

    นาฬิกาบนผนังชี้บอกเวลาหกโมงครึ่งแล้ว ฟ้าของนอกเริ่มมืด และโอเซฮุนก็คิดว่าคงได้เวลาที่เขาจะต้องกลับบ้านสักที ผละเดินไปเพื่อหยิบกระเป๋าที่วางพิงกับโซฟา ยังไม่ทันที่มือจะคว้ามันไว้ กระเป๋าทั้งใบก็ถูกคว้าไปไว้แนบอกคนที่ทิ้งตัวลงกลิ้งบนโซฟาสบายใจเฉิบ

     

    “มีอะไรอีก”

     

    คิ้วเรียวบนใบหน้าหล่อเหลานั้นขมวดมุ่น ลู่หานยังคงยิ้มให้เขาหน้าตาย แกล้งเอากระเป๋าเขาไปวางหลังโซฟาอีกฝั่งซึ่ง ๆ หน้า ปากก็ว่าเสียงใส “อยู่ดูหนังเป็นเพื่อนกันก่อนสิ ฟ้ายังไม่มืดเลย”



     

    ดูหนังอีกแล้ว...



     

    ทันทีที่ได้ยินคำนี้ใจของโอเซฮุนก็เหมือนมีฟ้าผ่าเปรี้ยงแล้วประสบการณ์ถูกช่วยเรื่องอย่างว่าครั้งแรกก็ปรากฏขึ้นมาจนเด่นชัด

     

    “หนังอะไร...” ถามไปด้วยน้ำเสียงหวาดระแวงขัดกับหน้าตาไม่รู้สึกรู้สาของอีกคน จะหนังอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงเขาก็จะกลับบ้านให้ได้

     

    “ให้นายเลือกเองเลย ฉันมีหนังเยอะนะ

     

    “ไม่ล่ะ ฉันขอตัว...”

     

    “ใจร้าย”

     

    “........”

     

    “หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง หารครึ่งแล้วเหลือสิบสองชั่วโมง เท่ากับว่าเหลืออีกเป็นสิบชั่วโมงเลยนะที่ฉันจะต้องเหงาอยู่เดียว”

     

    “........”

     

    “ฉันคิดว่าฉันจะต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่ ๆ”

     

    “........”

     

    ถึงจะคิดว่ามันไร้สาระขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วคนใจอ่อนอย่างเขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจอยู่วันยังค่ำ ถึงสิ่งที่หมอนี่พูดมามันจะไม่ใช่เรื่องเลยก็เถอะ...

     

    “แค่ดูหนังนะ”

     

    พูดดักทางไว้อย่างนั้นแล้วก็เบนสายตาไปทางชั้นเก็บดีวีดีที่อยู่ใต้โทรทัศน์ ทั้งที่กลัวแทบตายว่ามันอาจจะมีแค่หนังผู้ใหญ่ แต่ผิดคาดที่ลู่หานเก็บสะสมหนังไว้เยอะอย่างที่พูดจริง ๆ  มีตั้งแต่หนังผี หนังแอคชั่น หนังฆาตกรรม ยันหนังรักทั่วไป

     

    ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็น... หนังรักก็แล้วกัน

     

    จะว่าเป็นอิทธิพลจากบ้านที่เป็นหญิงล้วนหรืออะไรก็ตามแต่ โอเซฮุนยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิเลยว่าเขาชอบดูหนังรักมากกว่าหนังฆาตกรรมเป็นไหน ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่ากลัวผีหรอกนะ













     

    ว่าแล้วก็ชูแผ่นดีวีดีเพื่อหันไปถามความเห็นจากอีกคน เรื่องนี้อีดองกันเล่นเป็นพระเอก แล้วปกก็มีตั้งสี่คน อย่างน้อยก็เชื่อใจได้ว่าคงไม่ใช่หนังอย่างว่าล่ะนะ ลู่หานนั่งชันขาอยู่บนโซฟานอนขนาดใหญ่ในขณะที่ยิ้มให้เขาเป็นเชิงว่าตามใจทุกอย่าง พอเห็นอย่างนั้นโอเซฮุนก็จัดการใส่แผ่นเข้าไปในเครื่องเล่นดีวีดีแล้วเดินกลับไปนั่งบนโซฟาโดยเว้นระยะห่างไว้กำลังดี

     

    “เรื่องนี้นายดูหรือยัง”

     

    ไม่ลืมที่จะหันไปถามเจ้าของตามมารยาท แต่พออีกฝ่ายตอบว่ายัง เซฮุนก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้หากเทียบกับประสบการณ์นั้นที่บ้านเขา

     

    เสียงเคี้ยวหมากฝรั่งสลับกับเสียงเข็มนาฬิกาล่วงเลยมาจนเกือบจะสองทุ่มอยู่รอมร่อ ในถังขยะตรงเท้าของคนตัวเล็กกว่านั้นเต็มไปด้วยซากหมากฝรั่งที่ถูกเคี้ยวแล้วทิ้งอยู่หลายก้อน อีกทั้งเจ้าตัวยั่งสั่นขาเบา ๆ อยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่หนังเริ่ม

     

    แม้จะมีฉากวาบหวิวนอนกอดของคู่สามีภรรยาตอนเริ่มเรื่องแต่โอเซฮุนก็คิดว่ามันยังปลอดภัยดีอยู่ จนพอล่วงเข้ากลางเรื่องนั่นแหละ ฉากรักร้อนแรงเกินกว่าที่เขาจะคาดถึงก็เปิดบทขึ้นหลังจากที่พระเอกพานางเอกกลับมายังบ้านของตน

     

    ร่างอวบอิ่มของนางเอกสาวผิวแทนถูกนักธุรกิจหนุ่มรวบขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วปลดเปลื้องเสื้อผ้าราวกับจะทนรอไม่ไหว จากนั้นทั้งคู่ก็ไปต่อกันที่เตียงในสภาพที่เสื้อผ้าแทบจะหลุดออกไปเกือบหมด ทั้งร้อนรุ่ม รุนแรง เสียจนร่างโปร่งคิดว่าเขาควรจะลุกไปหยิบรีโมตมากอผ่านไปเสีย

     

    มือเรียวจิกลงบนหมอนรองตักเล็กน้อยพลางก้มหน้าหลบฉากเขินอายบนจอโทรทัศน์พลางหนีบขาเข้าหากันเล็กน้อยเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกไม่คุ้นชินบางอย่าง ไอ้เหตุการณ์แบบนี้มันคุ้น ๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ผิดที่ครั้งนี้เป็นเขาเองที่เปิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ตามหลักแล้วเขาไม่ควรจะหันไปมองคนข้าง ๆ ให้อันตรายเล่น แต่ถึงอย่างนั้นสัญชาตญาณมันก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ทันจริง ๆ



     

    “........”



     

    ผิดคาด... อีกฝ่ายยังคงเคี้ยวหมากฝรั่งพลางใช้สายตาจับจ้องฉากรักตรงหน้าเฉกเช่นปกติ ลู่หานใช้ขาเขี่ยเอาถังขยะเข้ามาใกล้ก่อนจะโน้มตัวคายซากหมากฝรั่งในปากลงไปแล้วทำท่าจะเอื้อมไปหยิบชิ้นสุดท้ายในห่อมาแกะใส่ปาก



     

    “นาย...”

     

    “หืม?”

     

    “จะสูบบุหรี่ก็ได้นะ”



     

    ยังดูปกติทุกอย่างจนโอเซฮุนโล่งใจไปอีกเปราะ พอได้ยินอย่างนั้นคนตัวเล็กกว่าก็หยักยิ้มอ่อนแล้วเอื้อมตัวไปหยิบซองบุหรี่รสเย็นบนโต๊ะขึ้นมาจุดสูบพลางพ่นควันฉุยไปอีกทาง ฉากรักเมื่อครู่ผ่านพ้นไปแล้ว พร้อม ๆ  กับเสียงนุ่มของใครอีกคนที่เอ่ยขึ้นมา “ขอบคุณนะ”

     

    แต่เซฮุนกลับนึกรังเกียจตัวเองจนนึกอยากจะหนีกลับบ้านเสียเดี๋ยวนั้น เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นลามกหรือหมกมุ่นมาก่อน แล้วก็ไม่เคยต้องมารู้สึกร้อนวูบวาบด้วยอารมณ์ผู้ชายง่าย ๆ อย่างนี้ด้วย อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาว่าเมื่อมีครั้งแรกก็มักจะเกิดครั้งต่อไปง่ายขึ้น

     

    กลิ่นบุหรี่อวลในอากาศจนรู้สึกแสบคอนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นลู่หานก็เลิกนั่งสั่นขาและเคี้ยวหมากฝรั่งโดยสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้เขาเพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ และปล่อยให้สายตาสะท้อนเพียงภาพในจอโทรทัศน์เท่านั้น

     

    หลังจากนั้นอีกไม่ถึงสิบนาทีฉากโรแมนติกหวานซึ้งของคู่รองก็กลับกลายเป็นภาพบทรักอีโรติกอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว ส่วนโค้งของร่างกายหญิงสาวในจอโทรทัศน์นั้นกำลังถูกลูบไล้จนเซฮุนต้องเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ทั้งที่คิดว่าถ้าแค่นั่งเฉย ๆ มันคงดีขึ้น แต่ทฤษฎีนั้นมันใช้ไม่ได้กับผู้ชายเลยสักนิด

     

    “........”

     

    อีดองกันไม่น่าทำกับเขาแบบนี้เลย... พระเอกหนุ่มไม่น่าไปรับเล่นหนังรักอีโรติกแล้วหลอกล่อเขาด้วยมาดธุรกิจบนหน้าปกดีวีดีแบบนั้น บางทีถ้าเขาอดทนได้อีกหน่อยทุกอย่างอาจจะโอเคจนกระทั่งหนังจบก็ได้ วันนี้ลู่หานเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะต้องการอะไรอย่างนั้นด้วย

     

    “........”

     

    “........”

     

    ผิดคาด... ดวงตากลมโตนั้นหันมามองทางเขานิ่งงัน เซฮุนพยายามยืดหลังนั่งตัวตรงแล้วทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด หัวใจนั้นเต้นไม่เป็นส่ำ เกลียดความลามกงี่เง่าของตัวเองที่มันดันเกิดขึ้นไม่รู้จังหวะเวลาแล้วก็อยากจะลุกหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด



     

    “รู้สึกเหรอ?”



     

    เสียงนั้นถามขึ้นราบเรียบโดยไม่แฝงแววทะเล้นอย่างทุกที ลู่หานจ้องเขานิ่ง... นิ่งจนแทบจะมองทะลุเข้าในใจจนรู้สึกหวั่นไปหมด เซฮุนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อมั่นใจว่าสามารถรักษาระดับน้ำเสียงได้แล้วจึงยอมเปิดปากพูด “เปล่า...”

     

    ความเงียบโรยตัวลงมาอึดใจใหญ่ เสียงหวานกระเส่าของหญิงสาวดังคลอไปกับจังหวะหายใจของทั้งสองคนราวกับรู้จังหวะ ถ้าคิดจะลุกหนี อย่างน้อยเขาก็ต้องเดินอ้อมไปทางหมอนี่เพื่อหยิบกระเป๋าอยู่ดี



     

    “ได้ไหม...?”



     

    เสียงนั้นติดจะพร่าขึ้นเล็กน้อย อาจจะเพราะเพิ่งสูบบุหรี่ไปหรือไม่โอเซฮุนก็ตอบไม่ได้ เพียงแต่มันดังเหนือเสียงหัวใจของเขา ราวกับจะก้องไปในโสตประสาทแล้วสะกดจิตให้อยู่นิ่งยังไงยังงั้น





     

    “ฉันเอง...”

     

    “.......”

     

    “...ก็รู้สึก”





     

    ร้อยวันพันปีลู่หานแทบไม่เคยต้องการคำตอบของเขา ครั้งนี้เองก็เช่นกัน มันอาจไม่ใช่จูบแรกแต่เซฮุนกลับมีความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาพยายามจะเม้มปากแน่นและดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้ร่างนั้น แต่ยิ่งทำก็ราวกับจะยิ่งเปิดโอกาสให้ลิ้นนั้นรุกรานเข้ามาพร้อมกับรสบุหรี่แปร่งปร่า เพียงไม่กี่วินาทีที่เกิดขึ้น แต่โอเซฮุนกลับรู้สึกราวกับจะขาดอากาศหายใจให้ได้จนกระทั่งริมฝีปากนั้นยอมผละออกอย่างอ้อยอิ่ง



     

    “.......”



     

    นัยน์ตาสีเข้มนั้นกำลังจับจ้องมาที่เขา พยายามจะคุกคาม กลืนกิน จนรู้สึกตัวอีกทีสัมผัสอุ่น ๆ ก็ประทับอยู่บนสันกราม ไล่ลงไปจนถึงลำคอขาว ต่ำลงจนกระทั่งกระดุมเสื้อเม็ดแรกถูกปลดออก ตามด้วยเม็ดที่สอง ก่อนจะกลายเป็นว่ามันถูกเลิกขึ้นจากทางด้านล่างแล้วร่างนั้นก็ถาโถมเข้ามาอย่างเต็มตัว

     

    ทั้งไออุ่น ความชื้นจากปลายลิ้น ทุกอย่างล้วนกำลังหยอกล้ออยู่บนร่างกายของโอเซฮุน แล้วร่างโปร่งก็รู้สึกตัวได้เดี๋ยวนั้นเองว่าเขากำลังถูกรุกรานด้วยสัมผัสที่ต่างออกไปจากสองครั้งก่อน



     

    “อะ...”



     

    แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้ออกปากร้องห้ามไปอย่างที่สมองสั่งการ ร่างกายส่วนล่างมันตอบสนองต่อแรงดุนดันจากต้นขาของอีกคน หัวเข็มขัดและซิปกางเกงถูกเปิดออก สัมผัสกร้านจากมือนักกีฬาทาบอยู่บนอกเขา แล้วเรียวปากบางนั้นก็กดลงบนหน้าท้องจนร่างทั้งร่างจำต้องเกร็งสะท้านอย่างห้ามไม่ได้

     

    “.....!!

     

    อาย... รู้สึกอายยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่ต้องอยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนี้ เขาเห็นเพียงแววตาที่โผล่พ้นขึ้นมาจากรอยยับย่นของชายเสื้อ เพียงเสี้ยวนาทีโหนกแก้มก็ยกขึ้นคล้ายจะเป็นรอยยิ้มส่งมาถึง




     

    “ขอนะ...”




     

    ยิ่งกว่ารู้ดีว่าลู่หานหมายถึงอะไร ช่วงล่างของเขานูนขึ้นจนต้องพยายามชันขาเข้าหาตัว แต่ถึงอย่างนั้นมือของคนข้างบนกลับกดต้นขาของเขาให้ราบลงตามเดิม ลู่หานหยัดตัวขึ้นตรงแล้ว ทั้งที่สายตายังคงมองมาที่เขา แต่ร่างผอมโปร่งนั้นกลับดึงชายเสื้อยืดสีขาวบนตัวขึ้นแล้วถอดออกโยนทิ้งไปบนพื้นอย่างไม่ไยดี

     

    สอดมือเข้าไปภายใต้กางเกงสแล็คสีดำแล้วล่นลงมาตามสันสะโพก เซฮุนแทบนึกภาพไม่ออกว่าอะไรกำลังจะเกิดนับจากนี้ รู้แค่หัวสมองเขาขาวโพลนไปหมด ทั้งที่ร่างกายกำลังปะทะกับแอร์เย็นฉ่ำ แต่ถึงอย่างนั้นกลับยิ่งร้อนขึ้น... ร้อนขึ้นจนเผลอปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่อีกคนต้องการ







     

    RRRr







     

    เสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำเอาเซฮุนสะดุ้งจนรีบดึงมันกลับขึ้นมาไม่ทัน ร่างโปร่งล้วงเอาต้นเสียงออกมาก่อนจะรีบกดรับในขณะที่อีกคนผละออกไปแล้ว รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ข้างในมันเบาโหวง เรียบเรียงคำพูดออกมาไม่ถูก

     

    “ครับพี่... ครับ... ผมกำลังกลับ”

     

    พอปลายสายวางไปเท่านั้นแหละเซฮุนถึงได้รู้สึกหนาวขึ้นมาจับขั้วหัวใจ เสื้อผ้าของเขาถูกถอดจนแทบจะหลุดออกจากตัวอยู่รอมร่อ ทั้งคนต้นเหตุยั่งนั่งอยู่ทางอีกฝั่งของโซฟาในสภาพเปลือยท่อนบนราวกับจะย้ำเตือนว่ามันเพิ่งเกิดอะไรขึ้น พอรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ ลู่หานก็ส่งยิ้มเก้อ ๆ มาให้ราวกับไม่รู้จะพูดอะไรดีเหมือนกัน

     

    “รีบกลับเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้”

     

    ว่าแล้วก็เอื้อมตัวไปหยิบกระเป๋ามาวางไว้ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ ร่างโปร่งรีบแต่งตัวอย่างลวก ๆ แล้วจึงผุดตัวลุกขึ้น ละล้าละลังอยู่นิดหน่อย แต่ก็ก้าวฉับ ๆ ออกจากบ้านไปในเวลาไม่ถึงห้านาที





     

    “........”

     

    ลู่หานไม่พูดอะไรรวมถึงไม่ลุกจากโซฟาเลยจนกระทั่งเขาปิดประตูบ้าน ร่างโปร่งยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเสียทีหนึ่ง ทั้งที่ยังรู้สึกแบบนั้น แต่ว่า...

     

    ไม่อยากจะหาเหตุผลให้ตัวเองในเรื่องนี้นัก สิ่งที่โอเซฮุนทำคือการเร่งฝีเท้าเดินออกไปที่ถนนใหญ่ก่อนจะโบกแท็กซี่สักคันแล้วสงบสติอารมณ์ให้ได้โดยเร็ว มันไม่ถูกต้อง...



     

    แบบนี้มันไม่ถูกต้องเลยสักนิด...

     

     









     

     

    ฉากขับรถวนรอบน้ำพุซึ่งเป็นตอนจบค่อย ๆ จางลงไปจนขึ้นเครดิตท้ายเรื่อง เพลงประกอบภาพยนตร์รักบนจอโทรทัศน์ไม่ได้ช่วยทำให้ใจเขาสงบลงเลยสักนิด กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ นั้นยังคงติดจมูก รสอุ่น ๆ ยังตราตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก เชื่อมาตลอดว่าบุหรี่ช่วยทำให้ใจผ่อนคลาย แต่ครั้งนี้มันไม่เลย!

     

    พ่นควันบุหรี่ออกไปจนห้องทั้งห้องแทบกลายเป็นทะเลหมอกขนาดย่อม เรือนผมสีอ่อนถูกยีจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แล้วร่างทั้งร่างก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่เป็นซากสิ่งมีชีวิตอยู่บนโซฟานอนตัวโปรดไปโดยปริยาย

     

    เป็นอีกครั้งที่ลู่หานไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา ความต้องการมันมีมากเสียจนเขาเองก็แทบไม่ทันจะรู้ตัวด้วยซ้ำ แต่พอคิดว่าทำลงไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกกระสันอย่างประหลาด ลูกชายเขานี่มันไม่รักดีเอาเสียเลย



     

    “เกือบไปแล้ว...”

     

     

     









     

     

     

     

    แสงจันทร์ทอผ่านผ้าม่านจนกระทบกับแผ่นหลังของร่างที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงเดี่ยวสามฟุตครึ่ง โอเซฮุนงอตัวเข้าหากันแน่น ดวงหน้าแดงก่ำ มีเพียงเสียงหายใจลอดไรฟันที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวยังคงไม่หลับดี

     

    มือเรียวขยำชายเสื้อบริเวณท้องน้อยไว้แน่น เหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนยังคงฉายวนไปวนมาอยู่ในหัวอย่างที่สลัดยังไงก็ไม่หายไป




     

    สายตา... สัมผัส... คำพูด... รสจูบ...




     

    ทุกอย่างที่รวมกันเป็นลู่หานมันทำให้เขานอนไม่หลับ ซ้ำร่างกายยังพยศแบบที่ปราบยังไงก็ไม่ยอมสงบ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนลามกแบบนี้

     

    เสียงจอแจและละครโทรทัศน์ซึ่งดังมาจากชั้นล่างของบ้านไม่ได้ทำให้คนที่หนีมานอนว้าวุ่นเท่าสรรพางค์ที่กำลังร้อนปร่า ค่อย ๆ ล้วงมือเข้าไปในกางเกงนอนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สัมผัสสิ่งที่ชูชันอยู่ภายในนั้น แต่สุดท้ายแล้วโอเซฮุนก็เอาชนะความรู้สึกขัดแย้งในใจตัวเองไม่ได้ เขาค่อย ๆ ดึงมือออกมา ขยำชายเสื้อ และนอนตัวงออยู่อย่างนั้นเพื่ออดกลั้นความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น

     

    ได้แต่ฟังเสียงเต้นระรัวของหัวใจอยู่อย่างนั้น พนันกับความรู้สึกที่ไม่ยอมสงบ ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ไปถึงเช้าไหม แต่ที่รู้...




     

    ...ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเพื่อนที่ชื่อลู่หานเพียงคนเดียว


















    ______________________________________

    ' มีของต้องสำแดง '
    พี่ลู่คนกามได้กล่าวไว้









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×