ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [End] เมื่อสิ้นกำแพงชิน่า - Attack on Titan [Yuri] [Mikannie]

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 รอยแผลเป็น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.58K
      130
      30 เม.ย. 57

    ตอนที่ 7 รอยแผลเป็น

    ชื่อของฉันคือมิคาสะ แอคเคอร์แมน เป็นลูกครึ่งเยอรมัน – ญี่ปุ่น ทุกคนรู้จักฉันในมาดนักฆ่าไททันที่โดดเด่นที่สุดในรุ่น 104 แต่ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ตั้งแต่เด็ก...ชีวิตฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

    เอเลน... นั่นสิ...วันนั้นไง

    ในยามเย็นของฤดูหนาวเมื่อ...กี่ปีมาแล้วก็ไม่รู้...ฉันเลิกนับปีตั้งแต่กำแพงชิน่าแตก เหมือนว่ามันเพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะนับ ในวันนั้นมีคนแปลกหน้ามาที่หน้าประตู พ่อเป็นคนไปเปิดให้เพราะคิดว่าเป็นคริชา เยเกอร์ พ่อของเอเลน แต่เปล่า...ชายคนนั้นฆ่าพ่อ พวกนั้นบุกเข้ามาจับตัวฉันและแม่ แม่ขัดขืน...แม่ตายตามไปอีกคน

    “ฮึก... ” เสียงหนึ่งแว่วมาในความมืด ฉันขยับเข้าไปใกล้ต้นตอของเสียงนั้นอย่างเงียบเชียบ “ ...ฮึก”

    ฉันเบิกตาโพรงในความมืด เสียงนี้เป็นเสียงของคน เสียงสะอึกสะอื้นที่เบาจนถึงขนาดคนทั่วไปคงไม่ได้ยิน แย่หน่อยที่ฉันดูจะตอบสนองอะไรได้เกินมนุษย์มากขึ้นหลังจากกำแพงซีน่าแตก ฉันนิ่งอยู่ในท่าคุกเข่าพลางคิด

    คนอย่างแอนนี่น่ะเหรอจะร้องไห้...ไม่มีทาง! เธอน่ะ...เล่ห์เหลี่ยมเยอะจะตาย คิดเหรอว่าแค่นี้จะทำให้ฉันเชื่อได้

    ฉันขยับเข้าไปใกล้อีก แอนนี่ไม่ขยับตัวเลยเพราะฉันไม่ได้ยินเสียงอะไร เธอหยุดสะอึกสะอื้นแล้ว ต่างฝ่ายคงต่างรอให้อีกคนแสดงตัวก่อน... นานหลายวินาทีที่ไม่มีใครขยับ จนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าแอนนี่อยู่ข้างหน้าฉัน...หรือมันเป็นเพียงแค่กำแพงหินขรุขระ  ฉันนิ่งรอให้สายตาปรับตัวได้ แต่ก็พบว่าในนี้ไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามาจริงๆ ฉันมองไม่เห็นแม้แต่เงาลางๆของผนังห้องหรือมือตัวเอง มันอาจจะเป็นเวลากลางคืน หรือไม่เราก็กำลังถูกขังไว้ใต้ดิน

    เสียงลมหายใจแม้จะแผ่วเบา แต่เมื่อยอู่ภายในห้องที่เงียบกริบ ฉันได้ยินมันชัดเจน แอนนี่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมที่ขวามือของฉัน อาจจะห่างไปสักเมตรหนึ่ง...หรือแค่นิดเดียว ฉันลองเอื้อมมือไปควานหาในความมืด แต่กลับจับถูกกำแพงหินขรุขระแทน ทั้งๆที่เสียงนั้นอยู่ใกล้ๆแค่นี้ ฉันคลำไปเรื่อยๆก็สัมผัสโดนอะไรบางอย่างที่นิ่มๆ...?

    สิ่งนั้นชักกลับทันที มือล่ะมั้ง ฉันเลื่อนมือตามไปก็สัมผัสถูกตัวของแอนนี่ แขนสองข้างกอดเข่าและตัวสั่น...? โกรธงั้นเหรอ...หรือกลัวจริงๆ?! ฉันลูบคลำเพื่อหาตำแหน่งแน่นอนของอีกฝ่าย แอนนี่ไม่ถีบฉันออกอย่างทีเคยทำ เธอแค่สะดุ้งและพยายามนั่งนิ่งที่สุดราวกับอยากให้ฉันคิดว่าตัวเธอนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกำแพงหินนี้

    ฆ่าเลยดีไหมนะ

    ฉันลูบไปถึงด้านข้างลำคอของแอนนี่ เธอพยายามเบี่ยงหนีและพยายามมุดเข้าไปหลบในวงแขนของตัวเอง ตัวของเธอสั่นจริงๆ จนฉันนึกสนุกเลยทีเดียว เหมือนกำลังเล่นสงครามประสาทอยู่ยังไงก็ไม่รู้สิ

    สิ่งที่เธอทำกับเอเลนน่ะ...แค่นี้มันชดใช้กันไม่ได้หรอก

    ฉันคว้าหมับ! เข้าที่ลำคอของแอนนี่และบีบแน่น ดูเหมือนสัญชาตญาณของอีกฝ่ายจะกลับมาทำงานทันทีเพราะฉันถูกถีบต้นขาเข้าเต็มแรง ทั้งยังมีหมัดอีกข้างชกกลางหน้าผาก...เจ็บๆแฮะ

    ฉันพยายามคว้าตัวแอนนี่ไว้ แต่เธอดิ้นไม่หยุดอยู่ในความมืด ฉันคว้าข้อมือ...เธอก็บิดและกัดมือฉัน “โอ๊ย!

    แอนนี่กัดไม่ปล่อยจนฉันต้องทุบหัวเธอหลายครั้งกว่าจะยอมปล่อย ฉันถอยมาห่างๆ รู้สึกแสบที่มือแต่ก็ไม่สนใจ ตอนนี้แอนนี่ทำตัวแปลกๆ ...ราวกับสุนัขจนตรอก ผิดปกติที่สุด

    “แอนนี่” ฉันลองเรียกดู

    “..........” ไม่มีเสียงตอบรับ

    “ยอมแพ้แล้วรึไง” ฉันยั่ว ลุกขึ้นแล้วเตะใส่อีกฝ่ายเต็มแรง หลายครั้ง...แอนนี่ไม่ป้องกัน ไม่หลบหรือตอบโต้

    “ไม่เอาแล้ว... ” เสียงที่ตอบมานั้นเบาจนเหมือนกระซิบ “ ...ไม่เอาแล้ว”

    “หือ?” ฉันก้มลงไปใกล้ “พูดอะไรของเธอ”

    “ฉันไม่อยากสู้ด้วย” แอนนี่ตอบ “ ...ไม่เคยอยากสู้”

    “โกหก!” ฉันคว้าหัวของแอนนี่โขกกำแพง “แล้วที่เธอทำมาตลอดมันคืออะไร! แทรกตัวมาเป็นไส้ศึก! ฆ่ามาร์โก้ เพื่อขโมยอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติ! ฆ่าไททันที่จับมาทดลอง! ทำลายทีมสำรวจ! ทำลายทุกอย่าง...เธอฆ่าเอเลน!

    “ไม่ใช่ความผิดของฉัน” แอนนี่ตอบ ฉันเตะเธอไปอีกชุดใหญ่ ฉันล่ะอยากเห็นเหลือเกินว่าแอนนี่ทำหน้ายังไงเวลาถูกซ้อม คนอย่างเธอมันไม่เคยรู้สำนึกผิด

    “เธอไม่ได้ตายดีหรอกแอนนี่” ฉันขู่

    “ ...ฉัน...ไม่ผิด” แอนนี่ตอบ

     

    ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หลายนาที? หลายชั่วโมง? หรือเป็นวันๆ? ฉันยอมปล่อยให้แอนนี่อยู่คนเดียวในมุมห้อง พวกเราตกอยู่ในความมืดมานานเกินไปรึเปล่านะ ฉันเริ่มหิว...นั่นเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่แอนนี่ ไรเนอร์และเบลทรูทจับฉันได้ในกำแพงมาเรีย พวกเขาอาจจะไม่มีอาหารติดตัว หรือไม่พวกเขาก็แค่ไม่ยอมให้ฉันได้กิน

    แอ๊ดด..ด... ประตูห้องถูกเปิดออก พร้อมกับแสงจากตะเกียงน้ำมันที่โผล่เข้ามา วินาทีหนึ่งฉันนึกว่าฉันมองเห็นดวงวิญญาณลอยมาตรงหน้า แต่เปล่า...มันเป็นแค่แสงไฟ คนที่ถือมันไว้คือไรเนอร์ เขาส่งอาหารกับน้ำให้ฉันแล้วมองไปทางแอนนี่ แสงสว่างเกือบกลายเป็นสิ่งที่ฉันไม่คุ้นเคยไปแล้ว สายตาฉันปรับตัวกับแสงได้ช้ามาก แต่ก็ทันเห็นแอนนี่นอนขดตัวอยู่กับกำแพงหินขรุขระ เธอพยายามทำตัวให้แนบติดกำแพงจนเหมือนกำแพงจะกลืนเธอเข้าไป

    “ขอโทษนะ...ฉันช่วยเธอไม่ได้” ไรเนอร์บอก วางตะเกียงน้ำมันไว้ตรงหน้าแอนนี่ ก่อนจะเดินกลับออกไปโดยไร้แสงสว่างนำทาง หันหลังให้กับพวกเรา

    ฉันลุกขึ้นในจังหวะที่ไรเนอร์หันหลัง แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคิดจะหนี เขากระแทกศอกกลับมาโดยไม่มอง มันกระแทกใส่สีข้างที่เคยมีแผลของฉัน ฉันไม่สนใจความเจ็บ ขัดขาไรเนอร์และจับเขาทุ่ม โครม!

    “หึ! ไอ้เด็กกระจอก” ไม่ใช่ไรเนอร์เท่านั้นที่อยู่หน้าห้องขัง มีชายร่างหนาอีกคนอยู่ตรงนั้น เขาเหมือนจะเป็นทหารยาม แต่กับนครนี้คงถูกเรียกกันว่านักรบมากกว่า เขาคว้าคอเสื้อของฉันแล้วโยนฉันกลับเข้าไปในห้องด้วยพละกำลังมหาศาล หลังของฉันกระแทกโดนกำแพงหิน ฉันลุกขึ้นและวิ่งเข้าใส่อีกครั้ง

    หมับ!!!?” แอนนี่ล็อกตัวฉันไว้จากด้านหลัง ขณะที่ประตูห้องขังถูกปิดลง “เธอทำบ้าอะไร!

    “ช่วยเธอไง” แอนนี่ตอบ ใบหน้าของเธอมีร่องรอยของการร้องไห้ แต่ในตอนนี้เธอคือแอนนี่ที่ฉันรู้จัก เย็นชาและตีหน้าตาย จะไม่มีรอยยิ้มหรือสีหน้าอื่นปรากฏให้เห็นแม้จะมีคนมาขาดใจตายตรงหน้าเธอก็ตาม

    “ปล่อยฉัน!” ฉันตะคอก

    “แล้วให้เธอซ้อมฉันน่ะเหรอ” แอนนี่ถาม “ไม่ล่ะ”

    ฉันยอมนั่งลงนิ่งๆ แอนนี่มองฉันอยู่พักหนึ่งเหมือนไม่ค่อยไว้ใจ ก่อนจะปล่อยมือออกจากท่าล็อกแขน หมับ! ใช่...แอนนี่กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ฉันชกเธอทันทีที่เธอปล่อย แต่เธอก็รับมือได้อย่างง่ายดาย

    “ไม่เข้าใจสถานการณ์รึไง” แอนนี่ถาม

    “แล้วเธอรู้รึไง” ฉันยั้งมือไม่ชกต่อ เพราะไม่แน่ใจกับอารมณ์ที่แปรปรวนของแอนนี่ ฉันไม่เคยได้สู้กับแอนนี่ตัวต่อตัวจริงๆ บางครั้งก็แค่การฝึก ครั้งหนึ่งสู้กันโดยที่ฉันใช้ดาบส่วนแอนนี่เป็นไททันหญิง ส่วนช่วงหลังๆมาดูเหมือนแอนนี่ออมมือโดยไม่ทราบสาเหตุ... แต่นั่นคงไม่ใช่ครั้งนี้

    แอนนี่จ้องฉันตอบอย่างไม่ชอบใจ ดูเหมือนจะโกรธไม่น้อยที่ถูกซ้อม

    “ฉัน...ไรเนอร์...เบลทรูท พวกเราเป็นนักรบ ถูกฝึกมาให้เก่งในร่างไททันมากกว่าร่างมนุษย์ แต่ไม่ใช่ขนาดนักรบคนเมื่อครู่” แอนนี่พูดออกมาในที่สุด “เขาแป็นมนุษย์ และที่นี่คือคุกใต้ดิน...เขาเก่งกว่าเรา”

    “เธอจะรู้ได้ยังไง” ฉันถาม

    “เขา... ” แอนนี่ชะงักและหยุดพูดไป

    “ฉันชนะเขาได้” ฉันบอก

    ถ้าเธอไม่ลองสู้...เธอไม่ชนะหรอก! เอเลนเคยพูดไว้

    “ไม่มีทาง” แอนนี่ค้าน

    “..........”

    “..........” ต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันไป

    “ฉันลืมไปได้ยังไง” ฉันนึกได้ก็ขำ

    “อะไร” แอนนี่ถาม

    “เธอกลัวความมืดจริงๆเหรอเนี่ย” ฉันถามกลับ แอนนี่เคยบอกพวกเธอมาก่อน ในครั้งที่อาร์มินพยายามให้แอนนี่เดินลงไปในอุโมงค์ใต้ดิน แอนนี่ปฏิเสธและบอกว่าเธอกลัวความมืด...ฉันนึกว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง

    แอนนี่เพียงแค่จ้องตอบ แต่แววตาแบบนั้นฉันเคยเห็นมาก่อน ในดวงตาของสัตว์ที่พวกเราล่า ก่อนที่มันจะตาย แววตาแบบนั้นปรากฏขึ้นทุกครั้ง

    มันคือความกลัวสุดก้นบึ้งหัวใจ

    แม้ใบหน้าของแอนนี่จะยังคงเย็นชาหน้าตายด้าน แต่แววตานั้นโกหกกันไม่ได้ เธอหันไปทางอื่นเมื่อรู้สึกว่าถูกจับได้ ...ความกลัวงั้นเหรอ... ฉันทิ้งความรู้สึกนั้นไปนานแสนนานแล้ว ฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อนานมาแล้วที่ฉันเคยตกอยู่ในความหวาดกลัว มันทรมานรึเปล่า ...เรื่องในวันนั้น... ฉันจำได้แค่ฉันแทงมีดทะลุหัวใจโจรที่กำลังบีบคอเอเลน

    “ฉันมีคำถาม... ” แอนนี่พูดทำลายความเงียบ “ทำไมเธอเอาแต่ยึดติดกับเอเลน”

    “เขาเป็นคนในครอบครัว”

    “แน่ใจเหรอ” แอนนี่ถาม “ตอบมาตรงๆสิ”

    “ฉัน – รัก – เอเลน” อยากได้คำตอบตรงๆฉันก็ตอบให้ ยังมีอะไรต้องอายอีก

    แอนนี่ดูจะไม่ชอบใจกับคำตอบ คิ้วขมวดขึ้นนิดๆ แต่ก็แค่ไม่นาน เธอจ้องฉันราวกับพยายามหาความจริงอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันตอบไป แต่เมื่อไม่เจอ เธอก็เลิกจ้องไป

    “ฉันตอบแล้ว แล้วคำตอบของเธอล่ะ” ฉันถามย้ำ “กลัวความมืดจริงๆน่ะเหรอ”

    “ใช่ ฉันกลัว” แอนนี่ตอบ ทำหน้าเหมือนคนเหม่อลอย “ชีวิตฉันทั้งชีวิตถูกฝึกมาเพื่อเป็นนักรบ...คติประจำใจของพ่อคือต่อสู้โดยไร้ความหวาดกลัว...ฆ่าโดยไร้ความปราณี...ฉันไม่กลัวอะไรนอกจากพ่อเมื่อก่อนนี้ แต่หลังจากพ่อของฉันหายตัวไป...วันหนึ่งฉันถูกทิ้งไว้กลางป่าในเขตกำแพงมาเรีย ในคืนเดือนดับ...ป่านั้นตกอยู่ในความมืด ฉันถูกฝึกพร้อมเด็กคนอื่นอีกห้าคน พวกนั้นเป็นพวกลองของชอบเล่าเรื่องสยองขวัญ...ฟังดูตลกนะที่ฉันเริ่มกลัวความมืดเพราะเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก...ก็แค่นิทานหลอกเด็ก”

    “???” ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั่งฟังอย่างสนใจขนาดไหน “แค่นั้นเหรอ”

    “ ...เปล่า” แอนนี่ก้มลงมองแสงไฟในตะเกียงน้ำมัน “มีเรื่องเล่าของเด็กคนหนึ่ง...เขาเล่าตำนานสยองขวัญเกี่ยวกับวิญญาณของบรรพชนนักรบ ในทุกหนแห่งที่ถูกเงามืดปกคลุม วิญญาณบรรพชนตื่นจากนิทรา ผู้ใดเรียกหาลบหลู่ ผู้นั้นจะมีอันเป็นไป แต่หากเงียบเสียงและหยุดนิ่ง พวกเขาจะลืมคำลบหลู่และจากไป”

    แอนนี่เริ่มมองไปตามกำแพงหินที่หายเข้าไปในเงาสลัว เงาดำที่เกิดจากแสงไฟส่องผ่านตัวฉันทำให้มันดูวูบไหวคล้ายภูตผีปีศาจ ฉันมองหน้าแอนนี่ ความหวาดกลัวในวัยเด็กคงฝังอยู่ในความทรงจำของเธอเหมือนรอยแผลเป็น

    “แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ ทุกคนคิดว่ามันเป็นแค่ตำนานและเด็กคนนั้น...คนที่เล่าก็ดับกองไฟ” แอนนี่เล่าต่อ “เขาลบหลู่...พ่อของฉัน เพราะเชื่อว่าพ่อของฉันตายแล้ว ฉันไม่เชื่อ...ก็ต้องเชื่อ”

    แอนนี่กระสับกระส่ายราวกับพ่อของเธอจะเป็นวิญญาณล่องลอยมาหา

    “คนที่เล่าถูกฆ่าเป็นคนแรก เขาบีบคอตัวเอง...หายใจไม่ออก...แล้วก็ตาย มีคนหนึ่งวิ่งหนีไป ส่วนอีกคนลุกขึ้นสู้กับความมืด เขาอาเจียนเป็นเลือด เลือดไหลออกมาทางตาหูจมูกและปาก เสียเลือดจนตาย... ” แอนนี่เล่า “คนหนึ่งบอกให้เราอยู่เฉยๆ เงียบเอาไว้และห้ามขยับ เราที่เหลือทำตาม...นานพอสมควรก็มีคนขยับเพราะคิดว่ามันจบแล้ว...เขาตายตามไป อยู่ๆก็ล้มลงและไม่หายใจ เราไม่ขยับอีกเลยจนกระทั่งเช้า ไม่มีใครกล้าขยับตัวจนมีชาวบ้านมาพบเราเข้า พวกเขาบอกว่าเห็นศพคนที่วิ่งหนีไปถูกงูรัดตาย มีเพียงฉันกับเด็กอีกคนที่รอดมา...อย่างน้อยก็ในคืนนั้น”

    “คืนนั้น?” ฉันทวนคำ

    “อีกคืนหนึ่ง...เด็กคนนั้นและฉันคิดว่ามันจบลงแล้ว แต่เปล่า พ่อของฉันมาหาพวกเรา เป็นดวงวิญญาณที่ร่างกายไม่สมประกอบ คอถูกผ่าเกือบขาดและส่วนหัวห้อยลงมาบนบ่า เด็กคนนั้นตกใจและเหลอกรีดร้อง พ่อก็ฆ่าเด็กคนนั้น นได้แต่หลบอยู่ที่มุมห้อง ภาวนาให้เวลาผ่านไปเร็วๆ ไม่ส่งเสียง ไม่ลืมตาดู เวลาเพียงช่วงข้ามคืนยาวนานเหมือนเป็นปี” แอนนี่เล่าต่อ “หลังจากนั้นมันก็เริ่มขึ้นอีกทุกคืน คืนแล้วคืนเล่าตลอดหลายปี...กระทั่งฉันได้รับเลือกเข้าไปเป็นไส้ศึกในกำแพงชั้นใน กำแพงโรส วิญญาณของพ่อก็เริ่มห่างหายไป และก็ไม่มาให้เห็นอีก”

    “ถ้าอย่างนั้น ทำไมเธอยังกลัวความมืดอยู่” ฉันถาม แม้จะพอเดาได้

    “ทุกค่ำคืนที่ฉันหลับ... ถ้าไม่ฝันเห็นเวลาพ่อฝึกฉันเป็นนักรบก็ฝันเห็นพ่อฆ่าเพื่อนของฉันทุกคน” แอนนี่ตอบ “มันอาจจะเหมาะกับฉันก็ได้...เป็นหมาป่าเดียวดาย...เป็นไปจนวันตาย”

    การสนทนาของเราจบลงเพียงเท่านั้น ไม่มีใครถามอะไรใครอีก พวกเราตกอยู่ในความเงียบงันราวกับว่าดวงวิญญาณบรรพชนนักรบที่แอนนี่เล่าถึงนั้นกำลังจ้องมองเราอยู่จริงๆ

    ฉันคือมิคาสะ แอคเคอร์แมน ความกลัว...ฉันไม่รู้จักตั้งแต่ยอมรับได้...ว่าโลกแห่งนี้มันโหดร้าย มันโหดร้ายมาตลอด เพียงแค่ยอมรับได้ว่าความกลัวไม่สามารถหยุดยั้งความตาย ฉันจะกลัวไปทำไม ตอนนี้ฉันทำได้ทุกอย่างเพราะวันที่ฉันได้พบเอเลนนั้นฉันพบความจริง

    ส่วนแอนนี่ เลออนฮาร์ท เธอก็ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกับฉัน แต่เป็นเพราะชีวิตของเธอถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้น หล่อหลอมด้วยความกลัวของเธอ ความเกลียดชังของพ่อเธอ และศักดิ์ศรีของนักรบ

    จะเป็นยังไงนะ...ถ้าเกิดโลกไม่ได้วิปริตขนาดนี้ ถ้าฉันกับแอนนี่เจอกันด้วยเหตุผลอื่นและมีความรู้สึกอื่นในใจ ไม่ใช่การฆ่าแก้แค้น ...นี่ฉันสงสารแอนนี่งั้นเหรอ...บ้าชะมัด!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×