ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Country-Girl เกี่ยวก้อยคล้องใจคุณชายไฮโซ

    ลำดับตอนที่ #1 : "ปลิง" ชื่อนี้ที่เจ็บปวด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.51K
      2
      16 ส.ค. 51

    ตอนที่ 1 : "ปลิง" ชื่อนี้ที่เจ็บปวด

             ทุ่งนาสีเขียวแกมเหลืองท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงที่แผดเผานั้นที่ๆฉันไม่พิศวาสสักเท่าไรนัก ยิ่งต้องเอาเท้าขาวๆอันอ่อนนุ่มย้ำเหยียบลงไปบนผืนดินที่แตกระแหงและระอุไปด้วยไอร้อนด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แม้สวมใส่รองเท้าแตะยี่ห้อดีขนาดไหนก็ยังสัมผัสถึงความขรุขระของพื้นที่ชวนไม่สบอารมณ์ได้ทุกครั้งไป

             ”รีบๆเดินหน่อยนังปลิง เดินอืดอาดยืดยาดอยู่ได้...” แม่ที่เดินนำไปไกลตะโกนบอกกลับมา

             "รู้แล้วๆ..." ฉันตะโกนกลับไปพลางแบกถุงปุ๋ยตามอย่างหงุดหงิดที่สุด ทำไม้...ทำไม สาวน้อยน่ารักต้องมาตรากตรำด้วยฟะ TTwTT ฉันครุ่นคิดพลางช่วยแม่หว่านปุ๋ยใส่นาข้าวอย่างเซ็งๆ

             ใช้เวลาอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมงก็ต้องนั่งพักที่แคร่ไม้ไผ่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ อาทิตย์ที่ส่องตรงลงเหม่งฉันบ่งบอกเวลาเที่ยงตรงได้เป็นอย่างดีทีเดียว แม่เปิดปิ่นโตคู่ชีพแล้ววางแยกออกมา เผยกับข้าวน่าทานอย่าง หลนปูนา ไข่เจียวถั่วฝักยาว และ ข้าวสวย บนแคร่นั้นมีกระติกน้ำแข็งใส่น้ำยาอุทัยเย็นฉ่ำชุ่มชื่นดับกระหายพร้อมเสร็จสรรพ ฉันเลยเริ่มลงมือทานอย่างรวดเร็วเพราะความหิวที่สะสมมานาน...

             "แม่...เปลี่ยนชื่อให้หนูเถอะ แค่ชื่อเล่นเอง...หนูไม่อยากชื่อปลิง ไปไหนมาไหนใครได้ยินก็ล้อทั้งนั้น แม่คงไม่อยากเห็นลูกสาวน่ารักๆคนนี้เป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นใช่มั้ย? เอางี้...ถ้าแม่ไม่อยากคิด หนูคิดให้ อั้ม เมย์ พลอย พอลล่า...ก็ได้นะ..."

             "ไม่!!! ชื่อแกออกจะเป็นมงคล ไม่รู้หรือไง ว่า แม่พบรักกับพ่อแกได้เพราะปลิงเนี่ยแหละ" แม่เอ่ยขึ้นมา โหย...ข้อนั้นฉันรู้อยู่แล้วก็เล่นฟังมาตั้งแต่จำความได้ ว่า แม่ไปช่วยย่า ( ตอนเอ๊าะๆกว่าปัจจุบัน ) ทำนาแล้วโดนปลิงเกาะขา กรี๊ดกร๊าดลั่นทุ่ง พ่อรีบเข้ามาช่วยแกะ จากนั้นก็รักกัน ไม่นานนักก็มีฉันโผล่ออกมา=_=”  เอวังด้วยประการฉะนี้...

             "หนูรู้แล้ว..."

             "รู้แล้วก็ดี อย่าเซ้าซี้ รีบๆกินจะได้รีบๆไปหว่านปุ๋ยต่อ..." แม่สั่งพลางเก็บปิ่นโตที่ทานเสร็จแล้วก่อนดื่มน้ำเดินแบกถุงปุ๋ยนำไป ฉันได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เกิดเป็นนังปลิงช่างรันทดซะเหลือเกิน ปิดเทอมเพื่อนก็ได้ไปเที่ยว หรือ นอนเล่นอยู่บ้าน แต่ฉันดันต้องมาทำงานงกๆ คอยดูเถอะ...จะหนีชีวิตแบบนี้ไปให้ได้!!! พลัวะ!!! เม็ดปุ๋ยกระเซ็นใส่หัวฉัน ไม่ต้องถามว่ามีวิถีมาจากแหล่งใด

             ”จะมาช่วยฉันทำงานได้หรือยังนังลูกอกตัญญู ขี้เกียจสันหลังยาวจริงจริ๊งงง!!!” ไม่ต้องรอให้แม่ปาปุ๋ยเป็นเทศกาลปาถั่วของญี่ปุ่นอีกครั้ง ฉันก็เผ่นอ้าวแบกถุงปุ๋ยตามมารดาบังเกิดเกล้าไปอย่างว่องไว เฮอะ...แม่ก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองทุกทีว่าชื่อฉันเป็นมงคลเพราะเป็นสัตว์นำโชคในการพบเจอกับพ่อ แต่พอฉันไปถามไถ่ความจริงจากบิดาบังเกิดเกล้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น ( สักเท่าไร )

             ”แม่แกเล่นโวยวายลั่นทุ่ง พ่อกลัวควายที่เลี้ยงไว้มันจะตื่น ก็เลยรีบเข้าไปช่วยน่ะ...” กร๊ากกกก...คิดถึงคำพูดนี้ทีไร ฉันก็อดขำไม่ได้ทุกที ถ้าแม่รู้เข้ามีหวังพ่อโดนปาปุ๋ยใส่ ( ทั้งถุงแน่ๆ )

             ”พี่ปลิงนี่ทำงานช้าจริง มาๆ...เดี๋ยวช่วย...” ยัยปลาน้องสาวคนเดียวของฉันที่เพิ่งกลับมาจากการจ่ายกับข้าวที่ตลาดเอ่ยพลางแย่งถุงปุ๋ยไป เย้...เอาไปเลย!!!

             ”เฮ้อ...แกนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ...” แม่ส่ายหน้าระอาใจ ใช่สิ...ก็ฉันมันสู้ปลาไม่ได้ เรียนก็เก่ง กระฉับกระเฉงว่องไวเพราะสูงกว่าฉันที่เป็นพี่ แถมชื่อก็ไม่อุบาทว์ด้วย พี่ปลิงกับน้องปลา TTwTT ฉันเคยถามแม่ว่าทำไมน้องสาวถึงชื่อปลา ก็ได้รับคำตอบว่า...แม่ไปช่วยย่า ( ตอนเริ่มแก่นิดหน่อย ) ทำนาแล้วโดนปลาตอดขา กรี๊ดกร๊าดลั่นทุ่ง พ่อรีบเข้ามาจับ จากนั้นก็เอาไปต้มกิน ไม่นานนักก็มีมันโผล่ออกมา=_=” ดีนะตอนที่ปลิงเกาะขาแม่ พ่อไม่จับมาต้มกินด้วย... สรุปก็คือ ครอบครัวฉันคงผูกพันกับวิถีชนบทนี่ซะเหลือเกิน ทำยังไงฉันถึงจะหนีไปจากชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายได้...หนีจากชื่อเล่นที่ย่ำแย่นี้ได้...

              ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จสิ้น ฉันนอนเอกเขนกตรงชานบ้านแล้วกลิ้งไปมาสี่สิบห้าตลบ ปล่อยให้แม่กับลูกรักทำอาหารเย็นไปตามสบาย ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรอกนะ แต่โดนไล่ออกมาต่างหาก... ไม่รู้ทำไมพอฉันหยิบจับอะไรก็จะมีเสียง แคร้ง โครมคราม เพล้ง...ตามมาไม่ขาด เลยโดนเนรเทศออกมาพร้อมคำพูดซ้ำซากที่ฟังมาตั้งแต่เด็กไล่หลัง "นังลูกไม่เอาไหน , ไม่เอาถ่าน , ไม่เอาอะไรสักอย่าง...ฯลฯ" จริงๆแล้วฉันก็อยากเอาอะไรบ้างแต่ด้วยความซุ่มซ่ามก็เลยทำอะไรไม่ได้สักอย่างประกอบกับความน้อยใจและขี้งอนเลยทำให้กลายเป็นลูกชังของแม่ แต่ก็เป็นลูกรักของพ่อ ส่วนยัยปลาน่ะเหรอก็ลูกรักทั้งของพ่อและแม่ ( เหมือนตูเสียเปรียบยังไงไม่รู้ TT^TT )

             ฉันนั่งมองทุ่งนากว้างใหญ่ซึ่งเป็นของครอบครัวที่ย่ายกให้เป็นมรดกตกทอดก่อนเสียไปไม่นานมานี้ สายลมเย็นๆพัดเอาดอกหญ้าฟุ้งปลิวผ่านร่างฉันที่นอน....ช่างมีความสุขจริงๆ...

             "ปลิง...วันนี้พ่อเก็บผักบุ้งได้สองกระจาด เดี๋ยวให้แม่ไว้ทำกับข้าวกระจาดนึง แล้ววานแกเอาไปฝากลุงชมด้วย ไปตอนนี้เลยนะ..." พ่อสั่งพลางวางกระจาดใส่ผักบุ้งไทยก้านคล้ำตรงหน้าฉันหนึ่งกระจาดก่อนแบกอีกกระจาดเดินเข้าบ้านไป ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย...แต่ก็ยอมทำโดยดี เพราะบ้านลุงชมเป็นสวนฝรั่ง ไปทีไรได้ฝรั่งลูกโตๆกลับมาแทะเล่นที่บ้านทุกที หุหุ... คิดได้ดังนั้นฉันก็แบกกระจาดจ้ำอ้าวไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งอยู่บริเวณท้ายหมู่บ้านทันที...

             สวนฝรั่งเขียวชอุ่มตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเป็นกอง การเดินมองฝรั่งลูกโตๆที่ห้อยระย้าตามต้นมันช่างสุขีเหลือเกิน อยากเกิดเป็นลูกสาวเจ้าของสวนผลไม้คิดจะเดินหยิบมาแทะกินตอนไหนก็ได้ ไอ้บ้านเราทำนาครั้นจะเดินไปคว้าต้นข้าวมาเคี้ยวเล่นก็รู้สึกตัวเองมีเขายังไงไม่รู้ =_=”

             ”ลุงชมจ๋า~~พ่อให้หนูเอาผักบุ้งมาให้” ฉันตะโกนด้วยความดังแปดหลอดผ่านพงสุมพุ่มไม้ ไม่นานนักก็มีชายวัยกลางคนโผล่ออกมาจากบริเวณฝรั่งต้นหนึ่ง

             ”อ้าว....ปลิงขอบใจมาก ฝากขอบใจพ่อเราด้วย...” ลุงชมรับกระจาดผักบุ้งไป ขณะที่ฉันก็ชะเง้อมองฝรั่งลูกโน้นลูกนี้อย่างตื่นตาตื่นใจ

             ”เก็บไปกินสิ...ฝากพ่อแม่กับน้องด้วย” เหมือนรู้ใจ ลุงชมหยิบผักบุ้งออกมาหอบไว้กับตัวแล้วคืนกระจาดให้ฉัน

             ”เย้...ขอบคุณค่า...” ฉันระริกระรี้แล้วเริ่มเก็บฝรั่งลูกโตๆใส่กระจาดอย่างมีความสุข ลุงชมหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางฉันเบิกบานใจสุดขีด

             ”ปลิงนี่น่ารักดี น่าจะมาเป็นลูกของลุง” 

             ”เอ๊ะ...แล้วลุงชมไม่มีลูกไม่มีเต้าเหรอคะ” ฉันถามด้วยความแปลกใจ เพราะเพิ่งรู้จักลุงแกได้ราวๆปีกว่าตอนที่อาสามาช่วยพ่อกับแม่เกี่ยวข้าว ปกติฉันเห็นเขาอยู่คนเดียวแต่ไม่มั่นใจว่ามีลูกหรือไม่

             ”ลูกน่ะมีแต่ตายไปสองปีแล้ว ส่วนเต้าน่ะไม่มีหรอกลุงไม่ใช่ผู้หญิง” เอ่อ...ถ้าลุงอายุเท่าหนูนี่มีสิทธิ์โดนฝรั่งปาใส่นะคะเนี่ย =_=* กวนได้ใจจริงๆ...

             เมื่อฉันเก็บฝรั่งจนหน่ำใจก็หอบกลับบ้านไปแบ่งปันให้พ่อแม่และน้อง ก่อนจะโซ้ยข้าวเย็นแล้วรีบอาบน้ำเข้าไปขลุกในห้องนอนเพื่อทำภารกิจลับ นั่นก็คือ การคุยกับเพื่อนทางจดหมาย ฉันแอบส่งจดหมายหาเพื่อนที่กรุงเทพฯมาได้ราวๆครึ่งปีแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าขาดเพื่อนฝูงที่สุพรรณฯแห่งนี้หรอกนะ แต่เพราะต้องการอัพเดทข่าวสารวิทยาการใหม่ๆในเมืองหลวงบ้างก็เท่านั้น การพูดคุยของพวกเราจริงๆแล้วติดต่อกันทางอื่นก็ได้ แต่มันก็ค่อนข้างลำบาก อย่างโทรศัพท์บ้านต้องโทรทางไกลใช้มากๆก็เปลืองพ่อแม่ได้เฆี่ยนหลังลาย โทรศัพท์มือถือ เฮอะ...ฝันไปเถอะแม้จะมีคลื่นแต่ก็ซ่าๆไม่ชัดอยู่ดี คอมพิวเตอร์มีแต่ไม่ได้ติดอินเทอร์เน็ตเพราะเปลืองค่าโทรศัพท์บ้าน ครั้นจะติดไฮสปีดใครมันจะฝ่าทุ่งนามาเดินสายให้ สรุปว่า จดหมายดีที่สุด 

             แรกๆฉันก็ส่งจดหมายหาเพื่อนราวๆสิบกว่าคน แต่มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่ยอมติดต่อกลับมา คงเพราะไม่มีใครอยากคบคนบ้านนอกแบบฉันล่ะมั้ง ออ...เพื่อนฉันคนนี้เป็นหญิงสาวชาวกรุง ชื่อ ก๋อมแก๋ม โดยประโยคแรกของจดหมายที่ฉันได้รับก็คือ “ชื่อเธอแปลกดีนะ ฉันไม่เคยเจอใครชื่อปลิง...” นับแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็เลยได้พูดคุยกันมากขึ้น ฉันเล่าเรื่องชีวิตในชนบทให้เธอฟัง ขณะที่ก๋อมแก๋มก็เล่าเรื่องชีวิตในเมืองหลวงให้ฉันฟังเช่นกัน...แม้เราสองคนไม่เคยพบหน้าคร่าตาแต่ฉันก็รู้สึกอุ่นใจพอสมควรเพราะเธอไม่เคยดูถูกชื่อและความเป็นชนบทของฉันเลยแม้แต่น้อย...

              วันรุ่งขึ้นฉันก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม นั่นคือ การตรากตรำทำงานกลางทุ่งนาอันร้อนระอุ ต้องไปหว่านปุ๋ยต่อจากเมื่อวาน เฮ้อ...น่าเบื่อชะมัด มือเท้างามๆของฉันจะด้านหมดแล้ว ฉันสวมหมวกงอบให้กระชับพลางเดินตามแม่ไปอย่างเซ็งๆ

             ”หนูจะไปซื้อกับข้าวที่ตลาด แม่กับพี่ปลิงจะฝากซื้ออะไรมั้ย” ยัยปลาเอ่ยถาม พลางคล้องตะกร้าไม้ไผ่สานไว้ที่แขนราวกับหิ้วกระเป๋าหลุยส์ =_=”

             ”ขอชาเย็นใส่นมเยอะๆ” ร้อนๆแบบนี้ต้องกินชาเย็นเจ้าอร่อยในตลาด แต่ปลาส่ายหน้าตอบกลับมา

             ”โห...พี่ปลิง เปลี่ยนเป็นชาเขียวมั้ย หนูไม่อยากสั่งชาเย็นเลยดูโบราณพิกล” ฮ่วย...นังเด็กอินเทรนด์!

             ”เออ...ตามใจแกละกัน” ฉันปลงตกกับมัน ปลาลัลล้าหันไปถามแม่ต่อ

             “แล้วแม่ล่ะ”

             ”เอ่อ...แม่อยากกินขนมถ้วย ฝากซื้อมาหน่อยนะ”

             ”ได้เลย” ยัยปลารับคำ เฮ้ยๆ...ลำเอียงสุดๆ

             “นี่...แล้วแกไม่อายเหรอซื้อขนมถ้วยเนี่ย ฉันว่าแกไปซื้อขนมถุงในเซเว่นฯดีกว่ามั้ง” ฉันประชดมัน

             ”ไม่อายหรอกเพราะฉันก็อยากกิน อีกอย่างขนมถุงเนี่ยผงชูรสมันเยอะ พี่ปลิงเนี่ยเป็นผู้หญิงซะเปล่าไม่หัดดูแลสุขภาพซะบ้างเลยนะ!” มันสั่งสอนฉันเสร็จก็เดินนวยนาดออกไป พระเจ้า! ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องสาวที่คลานตามกันมามันจะมีสปีชีส์ต่างจากฉันขนาดนี้ เอ๊ะ...หรือเราจะเชยจริงๆ =_=”

             ระหว่างที่ฉันกำลังคร่ำเคร่งกับการให้อาหารเสริมต้นข้าวอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปพบคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาตามคันนามีผู้ชายผู้หญิงทั้งวัยรุ่นและวัยกลางคน พวกเขาตรงไปหาแม่ฉันแล้วเอ่ยบอกว่า

             ”ขอโทษนะครับพวกเราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย Aloha จากกรุงเทพฯพานักศึกษามาทำรายงานเรื่องวิถีชนบท พอจะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการทำนาและถ่ายรูปสถานที่เพื่อเป็นข้อมูลประกอบได้มั้ยครับ” ชายวัยกลางคนเอ่ยบอกแม่ฉัน ดูเหมือนผู้เป็นมารดาจะมีน้ำใจประเสริฐเชื้อเชิญคนกลุ่มนั้นไปทัศนาจรรอบๆตามคำขอ แต่ก็ยังมีนักศึกษาอีกพวกหนึ่งที่ไม่ได้ไปด้วยบ้างก็พูดคุยกัน บ้างก็ถ่ายรูปกันเอง เฮ้อ...ฉันไม่สนใจคว้าปุ๋ยในถุงหว่านต่อ จังหวะนั้นเองมีพี่ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาว่า

             “สวัสดีครับน้อง เหนื่อยมั้ยครับเนี่ย ให้พี่ช่วยมั้ย” นายนี่จะมาช่วยฉันจริงๆหรือจะมาจีบเนี่ย แม้ฉันจะเอ้าท์บ้างในบางเรื่องแต่ก็มีเซ้นส์เหมือนกันนะยะ

             “หน้าตาสวยๆไม่น่ามาทำงานแบบนี้เลย...” เขาพูดต่อ แต่ฉันก็ไม่ได้พูดตอบกลับไป ไม่ใช่เพราะหยิ่งหรืออะไรหรอกนะ แต่ว่า..

             ”อ้าว...ทำไมน้องไม่พูดกับพี่เลยครับ ชื่ออะไรเอ่ย...ตอบหน่อยเร็ว ถ้าไม่ตอบพี่ถือว่าเสียมรรยาทนะ” เขาพูดเหมือนพยายามบังคับฉันนิดๆ เพื่อนเขาหลายคนผิวปากแซวยกใหญ่ ฉันจึงจำใจตอบกลับไป...

             ”ชื่อปลิงค่ะ...” เงียบ...ก่อนที่เสียงฮาครืนจะดังแทนที่ ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้นมา

             “ต้าย....ชื่อแปลกไม่พอ ยังพูดเหน่ออีก พอเถอะเค...นายอย่าไปจีบเด็กแบบนี้เลย ดูสิแต่งตัวสกปรกเปื้อนดินเปื้อนโคลน” เธอพูดพลางหัวเราะเยาะเช่นเดียวกับหลายคนรวมถึงผู้ชายคนนั้นด้วย ฉันรู้สึกอับอายเหลือเกิน ทำไม...เพราะชื่อฉันอีกแล้ว การเป็นเด็กต่างจังหวัด และ พูดเหน่อมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะแบกถุงปุ๋ยไปด้วย ( หวงTT^TT )

             แม้ฉันจะโดนล้อเรื่องชื่อตั้งแต่จำความได้ แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนเลย คนแถวบ้านแม้จะบอกว่าชื่อฉันแปลกและล้อเลียนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าการพูดเหน่อหรือการเป็นเด็กตามท้องทุ่งมันน่าอับอายเพราะยังไงเราก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ทว่า...การที่โดนคนต่างถิ่นมาพูดจาเยาะเย้ยนี่สิ ฉันรู้สึกเจ็บปวดยังไงไม่รู้ ฉันไม่อยากทนอีกแล้ว พอกันที...ฉันอยากจะทิ้งชื่อและชีวิตแบบนี้แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเอง...

              ไม่รู้ว่าฉันคิดถูกมั้ย...แต่มันก็เป็นสิ่งที่คิดไว้นานแล้ว ฉันอยากเข้ากรุงเทพฯเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง คำพูดของพวกนักศึกษากลุ่มนั้นมันยิ่งจุดชนวนให้อยากไปจากสถานที่แห่งนี้ ครั้นจะขอพ่อแม่มีหวังโดนด่าว่าไร้สาระและไม่ยอมแน่นอน ถ้าจะไปก็คงต้องไปด้วยตัวเอง แต่ฉันไม่ได้คิดจะหนีออกจากบ้านถาวรอะไรหรอกนะ แค่อยากใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมแล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าเดิมเท่านั้นเอง ปีนี้ฉันอายุสิบแปดแล้ว...โตมากพอที่พ่อแม่จะเริ่มไว้วางใจ ( คิดไปเอง =_=” ) 

             ทว่า...ก็รู้สึกปอดๆที่จะกระทำลงไป มันดูผิดแล้วไม่สมควรยังไงไม่รู้ เอาเถอะ...อาจจะเป็นแค่ความคิดชั่ววูบก็ได้ อยู่บ้านเราก็ไม่เห็นเป็นอะไร สบายใจดีออก...พวกคนเหล่านั้นก็แค่มาชั่วครู่ชั่วคราวจะไปใส่ใจทำไม ฉันตัดความฟุ้งซ่านเรื่องกรุงเทพฯออกไป เพราะแค่นี้สมองของฉันก็ไม่มีที่จะเก็บอะไรอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะข้อมูลมันมีมากจนล้นหรอกนะ แต่เพราะสมองฉันมันน้อยต่างหาก =w=”

             เย็นวันนี้ขณะที่กำลังทานข้าวกันอยู่ แม่คุยฟุ้งเรื่องคณะอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Aloha ให้พ่อกับปลาฟังใหญ่ว่าแต่งตัวสวยหรูแถมอัธยาศัยดี เฮอะ...เพราะแม่เจอพวกที่เอาการเอางานน่ะสิ แต่ฉันเจอพวกไม่เอาไหนอู้ไปวันๆ =_=”

             ”พวกเด็กๆน่ารักมากเลย สนใจเรื่องการทำไร่ทำนามาขอข้อมูลเพื่อทำรายงานและมาขอถ่ายรูป ตอนแรกจะให้นังปลิงสาธิตการหว่านปุ๋ย เผลอแปบๆหันมาอีกทีเดินหายไปไหนไม่รู้ฉันเลยต้องทำเอง เฮ้อ...นังลูกคนนี้มันแย่จริงเชียว...” แม่บ่นฉันอีกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย ช่างเถอะ...ฉันปลงตกใช้ส้อมตักผัดผักบุ้งใส่ปาก

             ”โหย...ดีแล้วแม่ หนูคิดไม่ออกเลยว่า เวลาคนอ่านรายงานพวกเขาแล้วเจอชื่อผู้สาธิต “น้องปลิง” เขาจะรู้สึกยังไง” ยัยปลาเอ่ยพลางหัวเราะทำให้พ่อกับแม่ขำไปด้วย

             ”ไม่เอาน่า..อย่าไปล้อชื่อพี่เขาสิ” พ่อตำหนิปลาแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ ใช่สิ...ชื่อฉันมันแปลก ( มาก )

             ”หนูอยากเปลี่ยนชื่อ...” ฉันเอ่ยประโยคนี้ออกมาเป็นรอบที่ล้านแปดตั้งแต่จำความได้ 

             ”ไม่มีทาง แกอย่าเอาเรื่องชื่อมาใส่ใจให้มันรกหูฉันได้มั้ย” แม่ดุด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ฉันเองก็เข้าใจว่าแม่ตั้งชื่อฉันเพราะอะไรแต่ว่ามันไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยเหรอก็แค่ปลิงเกาะขาเท่านั้นเอง ทำไมแม่ไม่เห็นใจหรือเข้าใจฉันบ้าง ฉันโตแล้ว เป็นสาวแล้ว ทั้งๆที่หน้าตาผิวพรรณดีแต่ชื่อปลิง...โอ้ย...

             ”เอาเถอะน่าพี่ปลิง ก็คิดซะว่า...การมีชื่อไม่โหลมันเท่ห์ดีออก คนชื่อปลาเหมือนหนูร้อยคนมีสักสิบคน แต่ชื่อปลิงเนี่ยล้านคนอาจมีแค่คนเดียวนะพี่ปลิง! ฮ่าๆๆ” ยัยปลาหัวเราะทำให้พ่อแม่อดขำไปด้วยไม่ได้ ฉันรู้สึกอยากร้องไห้ยังไงไม่รู้ การที่คนอื่นมาว่าก็ยังพอรับได้ แต่การที่คนในครอบครัวมาว่าเนี่ยรู้สึกแย่มากๆ ฉันลุกพรวดออกจากวงทันที...

             ”นี่นังปลิง ลุกออกไปแบบนี้ได้ไงเสียมรรยาท จานชามก็ไม่เก็บ โอ้ย...นังลูกคนนี้ พูดเรื่องชื่อนิดหน่อยทำเป็นใจน้อย ยังไงแกก็ต้องเป็นปลิงวันยันค่ำนั่นแหล่ะ!” แม่ด่าฉันไล่หลังมา พอกันที...ฉันเบื่อกับสภาพแบบนี้เต็มทนแล้ว ฉันตัดสินใจจะออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยแค่ช่วงปิดเทอมก็ยังดี...ขอแค่ให้ฉันสบายใจขึ้นมาได้บ้างเท่านั้น

              เวลาทุ่มเศษๆแม้จะเป็นช่วงหัวค่ำแต่ผู้คนแถวบ้านฉันมักเริ่มเข้านอนกันแล้วเพราะต้องตรากตรำทำงานในวันรุ่งขึ้น เช่นเดียวกับบ้านของฉัน ทันทีที่พ่อแม่และยัยปลาเริ่มเข้าห้องตัวเองฉันก็เริ่มเก็บข้าวของใส่กระเป๋าทันที

             สัมภาระที่เอาไปก็ คือ เสื้อผ้าใหม่ซึ่งแอบไปซื้อมาจากตลาดนัดราวๆสามถึงสี่ชุด กับเงินราวๆสองสามพันไว้ติดตัว โชคดีที่พ่อเคยให้ทองมาเส้นสองเส้นเมื่อปีก่อนเป็นรางวัลที่ฉันสอบได้เกรดเฉลี่ยสองจุดห้า ( จากหนึ่งกว่าๆ =_=” ) แต่แม่ก็ยังบอกว่าน้อยเกินไปเพราะยัยปลาล่อไปสามจุดแปด ฉันเก็บสร้อยทองพวกนี้ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเช่นกรณีนี้เป็นต้น เอาไปขายเป็นเงินน่าจะพอประทังชีวิตได้สักพัก ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่ควรเอาไปด้วยแล้ว ของใช้อื่นๆไว้ซื้อตอนหลังก็ได้ แบกไปก็หนักกระเป๋าเปล่าๆ ออ...จริงสิ ฉันต้องเอาสิ่งนี้ไปด้วย...

             ฉันเปิดลิ้นชักโต๊ะแล้วรวบซองจดหมายมากมายของก๋อมแก๋มใส่กระเป๋าเดินทาง เธอเคยบอกให้ฉันไปเที่ยวค้างคืนที่บ้านได้และนี่ก็อาจทำให้ฉันมีที่ซุกหัวนอนในกรุงเทพฯ ฉันรูดซิปปิดกระเป๋าก่อนจะเปิดประตูห้องนอนมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นทางสะดวกก็เผ่นออกไปทันที แต่ไม่ลืมทิ้งจดหมายที่เขียนถึงพ่อกับแม่ไว้ในห้องนอน อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากมาย ( มั้ง )

             อากาศตอนค่ำค่อนข้างเย็นพอสมควรแต่ฉันไม่สนใจหรอก รีบวิ่งผ่านทุ่งนาเพื่อลัดออกไปยังถนนซอยทันที แม้หมู่บ้านฉันจะมีไฟฟ้าเข้าถึงแต่เสาไฟฟ้าไม่ได้ตั้งติดกันดาษดื่นเหมือนในตัวเมือง มันตั้งห่างๆกันจนบางจุดมืดสลัว ทำให้ความกลัวผุดขึ้นมาบ้างนิดหน่อย คนร้ายแถวบ้านไม่มีแต่ถ้าผีล่ะไม่แน่ ตอนนี้ฉันมาถึงปากซอยแล้ว ถนนค่อนข้างโล่งไร้รถราวิ่ง แล้วฉันจะไปบ.ข.ส.ยังไงล่ะ... รถเที่ยวสุดท้ายหมดตอนสองทุ่มซะด้วยเหลืออีกแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ถ้าเดินหรือวิ่งไปยังไงก็ไม่ทัน แง! ฉันไม่อยากเตร็ดเตร่จนถึงเช้าหรอกนะ...

             ”สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกด้วยเถอะ” ฉันพึมพำออกมา พลัน...ปาฏิหาริย์ก็มีจริง ฉันเห็นแสงไฟระเรื่อจากไกลๆค่อยๆใกล้เข้ามา...ปรากฏร่างลุงแก่ๆคนหนึ่งขับรถอีแต๋น =_=”

             “เอ่อ...คุณลุงขา ขอหนูติดรถไปบ.ข.ส.ได้มั้ยค่ะ” ฉันเอ่ยพลางส่งสายตาวิงวอนสุดๆ

             “เอาสิ...ลุงต้องผ่านพอดี...” ชายแก่เอ่ยบอก ฉันเลยกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว  แม้ดูไม่ค่อยโสภาเท่าไร สาวงามในรถอีแต๋น =_=” แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวที่จะไปให้ถึงบ.ข.ส.ทัน 

             สิบห้านาทีต่อมาก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ฉันไหว้ผู้มีพระคุณพลางเผ่นขึ้นรถบัสที่จะเข้ากรุงเทพฯซึ่งจอดรอผู้โดยสารอยู่ริมถนน ภายในนั้นมีคนอยู่ราวๆยี่สิบกว่าคนกระจายอยู่เต็มรถ แต่ก็ยังพอมีที่นั่งว่างๆเหลือให้ ฉันนั่งตรงกลางคันคู่กับยายแก่คนหนึ่ง

             ”มาคนเดียวเหรอจ้ะ” เธอเอ่ยถามฉัน

             ”ค่ะ...เอ่อ...หนูจะไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯน่ะค่ะ” ฉันตอบกลับไป

             ”แล้วทำไมไม่ไปตอนกลางวัน”ฉันล่ะสงสัยจริงๆ คุณยายตอนสาวๆเคยเป็นตำรวจหญิงหรือเปล่าค่ะเนี่ย ช่างซักไซ้จริงๆ

             ”หนูต้องช่วยงานพ่อแม่น่ะค่ะ” ฉันตอบไปส่งๆ

             ”เป็นเด็กดีจังนะ ลูกกตัญญูแบบหนูเดี๋ยวนี้หายาก” คำพูดของยายราวกับศรมาปักอก กตัญญูงั้นเหรอ...ฉันกำลังทำตรงข้ามอยู่เหรอเปล่านะ แต่ทำยังไงได้ล่ะตัดสินใจมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ช่างเถอะ...ฉันถอนหายใจเบาๆก่อนที่รถบัสจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไป ไชโย! การเดินทางมุ่งสู่กรุงเทพฯครั้งแรกของนังปลิง!!!

    + + n n Ms. Valentine

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×