ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cool-Prince หยิ่งนัก...รักซะเลย!!!

    ลำดับตอนที่ #3 : ความโชคดีที่เกิดจากความซวย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.66K
      7
      10 พ.ค. 52

    ตอนที่ 3 : ความโชคดีที่เกิดจากความซวย

             “โห...อะไรวะเนี่ย จากเลี้ยงข้าวในห้างสรรพสินค้า กลายเป็นเลี้ยงข้าวในโรงอาหารแทน!” หยกโวยวายเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ปากมันก็เคี้ยวข้าวมันไก่อย่างเอร็ดอร่อยไปด้วย

             “เอาน่า...พวกแกก็รู้นี่ว่าฉันออกไปเที่ยวได้เฉพาะวันเสาร์ กว่าจะถึงวันนั้นไม่งอนฉันจนเบื่อเหรอ” เพราะพ่อแม่ฝากฝังฉันให้พี่หงส์ดูแล ไอ้พี่จอมโหดเลยปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเข้มงวด ห้ามกลับเย็น ห้ามนอนดึก ห้ามตื่นสาย ยังดีที่มันให้ไปเที่ยวได้ทุกวันเสาร์ไม่งั้นคงเฉาตายแน่ๆ อีกอย่างการเลี้ยงข้าวในโรงอาหารมันถูกกว่าในห้างสรรพสินค้าตั้งเยอะ หุหุ...

             “เฮ้อ...สงสัยพวกเราคงมีวาสนาแค่ข้าวมันไก่ในโรงอาหารเท่านั้นล่ะ” บลูบ่นพลางตักซุปฟักเขียวต้มซี่โครงไก่เข้าปากอย่างคล่องคอ ชิ...ประชดเหลือเกิน โชคดีที่เป็นมื้อเช้าพวกมันถึงได้กินกันแค่คนละจาน ถ้าเป็นมื้อกลางวันมีหวังได้กระเป๋าแหกเหมือนกัน =_=”

             “ออ...จริงสิ เห็นบลูมันเล่าว่าเมื่อวานซืนแกเก็บปากกาของเลอองได้ใช่มั้ย ไหนขอดูหน่อยสิ” หยกเอ่ย ฉันเลยหยิบปากกาด้ามนั้นจากผ้าเช็ดหน้าที่ห่อไว้ขึ้นมาโชว์ อีตาหยกเอื้อมมือซึ่งเปรอะไปด้วยมันไก่จะเข้ามาจับ เพี้ยะ!!!...

             “โอ้ย...จับนิดจับหน่อยก็ไม่ได้ งกจริงๆ!” หยกลูบมือเพราะความแสบ เนื่องจากโดนฉันตีเข้าไป

             “ดูแต่ตามืออย่าต้อง พี่หงส์บอกว่านี่เป็นปากกาปาร์คเก้ รุ่น Limited Edition สั่งทำพิเศษ อย่างต่ำก็เป็นหมื่น!”

             “โหย... Limited Edition แล้วไงวะ ก็ใช้เขียนหนังสือเหมือนกัน ทำไม...หรือมันใช้แปลงร่างเป็นเซลเลอร์มูนได้ ห๊ะ!!!” หยกบ่นพึมพำ

             “ไม่ได้งก แต่ฉันเป็นคนเก็บได้เลยต้องดูแลรับผิดชอบก่อนส่งถึงมือเขา ถ้าเกิดเสียหายไปใช้หนี้หัวบานกันพอดี” ฉันเอ่ยบอกเพื่อนๆ ยัยบลูทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางถามว่า

             “แล้วแกจะเอาไปคืนเขายังไง ห้างสรรพสินค้าไม่ใช่แคบๆนะยะถ้าจะไปดักเจอล่ะก็” นั่นสินะ...จะไปรอที่หน้าฟิสเนสฟาร์ตก็ต้องเป็นวันเสาร์อยู่ดี ไม่ใช่เพราะฉันออกได้ในวันนั้น แต่เพราะเท่าที่จำได้ยัยพนักงานหน้าร้านบอกว่าสาวๆมักมาหาเขาทุกวันเสาร์ แสดงว่าวันอื่นๆเขาก็คงไม่ได้ไป

             “อ๊ะ...จริงสิ วันนี้มีเรียนครึ่งวันนี่ ไปดักเจอที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ก็คงได้” ฉันเสนอไอเดียอันบรรเจิด เมื่อคิดได้ว่าวันนี้ระดับชั้นมัธยมปลายมีเรียนครึ่งวันเพราะพวกผู้ชายต้องเรียนรักษาดินแดน เว้นอีตาหยกที่ขี้เกียจไปฝึกเลยรอจับใบดำใบแดงเอา =_=”

             “กว่าโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์จะเลิก ไม่รอจนหน้าหงิกหรือไง?” บลูเอ่ยถาม

             “วันนี้โรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ก็มีเรียนครึ่งวัน เพราะพวกผู้ชายต้องเรียนรักษาดินแดนเหมือนกัน ฉันสืบมาหมดแล้ว”

             “แล้วอีตาเลอองของแกไม่เรียนรักษาดินแดนหรือไง?” หยกถาม

             “ไม่เรียน...ได้ข่าวว่าเขามาเรียนต่อที่ไทยเฉยๆ คงเกิดและมีชื่อที่ต่างประเทศล่ะมั้ง” 

             “เออ...ตามใจแก ไม่ต้องมาบอกพวกเราหรอก” บลูเอ่ยบอก

             “ไม่บอกได้ไง ก็ฉันจะให้พวกแกไปด้วยนี่หว่า” ฉันตอบมันกลับไป

             “ไม่มีทาง...พวกฉันไม่ไปแน่...ใช่มั้ยบลู?” หยกถามเพื่อนสาวที่พยักหน้าหงึกหงักตอบรับ

             “โหย...พวกแกยังไม่หายงอนอีกเหรอ ฉันก็เลี้ยงข้าวตามสัญญาแล้วไง” ฉันอ้อนวอนด้วยสีหน้าเศร้าๆ...เรียกร้องคะแนนความสงสารจากเพื่อนๆ

             “เลี้ยงแล้วไง...เกรดอาหารมันต่างกัน ก็ต้องขาดทุนแบบนี้ล่ะเพื่อน!!!” หยกยิ้มร่าพลางเดินจากไป ฉันเลยเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาบลูแทน

             “แกจะทิ้งฉันเหรอ?”

             “แน่นอน...ถือว่าเป็นการลงโทษที่ทำให้พวกฉันรอแกละกัน!” พูดจบมันก็สะบัดตูดตามหยกไป แง!!! ไอ้เพื่อนเลว!!! แล้วแบบนี้ใครจะหารค่าแท็กซี่กับฉันล่ะ TT^TT ( เลวกว่า )

             ในที่สุดฉันก็ต้องดั้นด้นมาถึงโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์เพียงลำพัง ค่าขนมอาทิตย์นี้เลยหมดไปกับค่าแท็กซี่ ฮือ...แล้วจะเอาอะไรมาประทังชีวิตอีกสี่วันล่ะเนี่ย ขืนไปเบิกพี่หงส์มีหวังได้โดนเทศน์ยี่สิบกัณฑ์รวด... เอาเถอะ เดี๋ยวไปขอแบ่งข้าวเช้ากับข้าวกลางวันของยัยบลูและอีตาหยกมาอย่างละครึ่งก็คงพออยู่ได้ ( เกี่ยวอะไรกับพวกตูเนี่ย จาก บลู & หยก )

             ในตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้ารั้วโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วนเอกชนที่ติดอันดับหนึ่งของประเทศไทย พูดถึงไม่มีใครรู้จัก เอ้ย...ไม่รู้จัก ต่อให้เป็นเด็กต่างจังหวัดก็ต้องได้ยินกิตติศัพท์ความหล่อเริ่ดของเด็กโรงเรียนนี้เพราะมีดารานักแสดงหลายคนจบจากที่นี่

             นักเรียนชายระดับชั้นมัธยมปลายหลายคนในชุดเครื่องแบบนักศึกษาทหารทยอยเดินออกจากโรงเรียนไปขึ้นรถบัสสีเขียวขี้ม้า ซึ่งแต่ละคนดูเด่นเป็นสง่าไม่แพ้กัน แหม...เห็นแล้วกระชุ่มกระชวยหัวใจจริงๆ =.,= ทว่า...เสียงพูดคุยที่ดังขึ้นทำให้ฉันต้องเหลียวไปมองแทน

             “วันนี้จะกลับเลยเหรอเลออง?” แอมป์เอ่ยถามเพื่อนชายระหว่างพากันเดินออกมาจากโรงเรียน

             “อืม” เขาตอบสั้นๆ ทำให้ฉันรู้สึกเสมอภาคกับเพื่อนๆเขามากมาย =_=* อย่างน้อยตูก็ไม่ได้โดนคนเดียว

             “อะไรฟะ...ไม่ไปเล่นเกมส์เซ็นเตอร์กันหน่อยเหรอ ฉันมีคูปองพิเศษแลกเหรียญได้ตั้งห้าร้อยบาทเชียวนะ!” ซันเอ่ยพลางอวดคูปองที่ว่านั่นในมือ ทว่า...เลอองไม่แม้แต่ชายตามอง แน่ล่ะ...รวยขนาดนั้นคงไม่งกของฟรีหรอก =_=”

             “เลออง!!!” ฉันเรียกเมื่อพวกเขาออกมาถึงหน้าประตูรั้วโรงเรียน

             “เอ๊ะ...เธอหน้าคุ้นๆนะ” ซันเอ่ยพลางมองฉันด้วยสีหน้าท่าทางครุ่นคิด “คิดไม่ออกว่ะ...สงสัยจะหน้าโหล ฮ่าๆๆ” ให้ตายสิ...ตบ ( จูบ ) ไอ้หน้าหล่อนี่สักทีจะผิดมั้ยเนี่ย =3=*/

             “อ๊ะๆ...แต่ฉันจำได้นะ เธอใช่คนที่ถือกล่องบริจาคหน้าห้างสรรพสินค้าเมื่อวันโน้นหรือเปล่า?” แอมป์เอ่ยถาม แหม...ฉันชอบเพื่อนเลอองคนนี้จริงๆ ดูน่าคบหากว่าอีตาซันเป็นไหนๆ

             “ใช่ค่ะ”

             “แล้วมีธุระอะไรกับเลอองเหรอ?” แอมป์ถามกลับมาราวกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา

             “เอ่อ...คือว่า...” ฉันหันไปมองเลอองที่กำลังกดรับสายโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

             “ว่าไงเซน ออ...หาที่จอดรถไม่ได้เลยจอดรออยู่ฝั่งตรงข้าม โอเค...ไม่ต้องมารับหรอกฉันข้ามถนนเองได้” เขากดวางสายพลางหันมาเอ่ยบอกเพื่อนๆ

             “ฉันกลับล่ะ บาย” พูดจบก็เดินออกไปโดยไม่คิดใส่ใจฉันเลยแม้แต่น้อย

             “เอ่อ...ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันต้องรีบหันไปบอกเพื่อนๆเขาเช่นกัน ก่อนจะวิ่งตามเลอองซึ่งไปหยุดยืนตรงฟุตบาทริมถนนเพื่อรอข้ามไปอีกฝั่งซึ่งมีรถเบนซ์ตากลมสีเงินจอดรออยู่

             “เลออง!!!” ฉันร้องเรียกแล้วหยุดยืนข้างเขา พลางหอบเบาๆเพราะความเหนื่อย

             “มีอะไร!” เขาถามกลับมา

             “เอ่อ...คือว่า...เมื่อวันเสาร์น่ะ ฉัน...กะ...เก็บ...” ฉันพูดได้แค่นั้นเลอองก็ทำท่าจะข้ามถนนทั้งที่รถยังคงวิ่งขวักไขว่อยู่ ให้ตายเถอะ...ลูกคุณหนูจริงๆ

             “นี่นาย...มันอันตรายนะ!!!” ฉันรีบดึงแขนเขาไว้เมื่อเห็นรถกระบะเก่าๆรุ่นสังคโลกวิ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็ว ด้วยความกลัวว่าเลอองจะโดนชนและเป็นบาดทะยักตาย =_=” เลยผลักเขาขึ้นไปบนฟุตบาท แต่ตัวฉันดันกลับเสียหลัก เซแถดๆสะดุดกับพื้นโชว์สเต็ปแล้วล้มลงไปบนพื้นซีเมนต์ เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจนังคนแต่งเพราะหัวฉันดันโขกเข้ากับเสาไฟฟ้า ป็อกกก!!! ( ปิยะธิดา ) =_=”

             “เฮ้ย...เธอ...!!!” เสียงเลอองลอยเข้ามาในหู ฉันมองเขาที่ตรงเข้ามาหาด้วยสายตาพร่ามัว ก่อนที่ภาพและเสียงทุกอย่างจะค่อยๆหายไป...

             เฮ้อ...จะมีใครในโลกนี้ซวยกว่าฉันอีกมั้ยเนี่ย โดนคนที่ชอบทั้งเชิ่ดทั้งดูถูกใส่ แถมยังทำอะไรเปิ่นๆต่อหน้าเขาด้วยการเอาหัวไปโขกเสาไฟฟ้าเล่นอีก เอาเถอะ...ไม่แน่นะ...เรื่องทั้งหมดมันอาจเป็นเพียงความฝันก็ได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะซวยได้ขนาดนั้น...

             อากาศรอบตัวเย็นสบายเพราะเครื่องปรับอากาศที่กำลังส่งเสียงครางเบาๆ อีกทั้งกลิ่นหอมของสเปรย์ปรับอากาศยังโชยปะทะจมูก จนฉันต้องปรือตาตื่นขึ้นมาบนเตียงสปริงที่นุ่มนิ่ม และ ผ้าห่มนวมแสนอบอุ่น

             “โอ้ย!!!” รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ พลางทิ้งตัวลงไปนอนอีกครั้งเพราะรู้สึกเบลอๆไปหมด แล้วพยายามตั้งสติมองดูรอบๆด้วยความมึนงง ก่อนถามตัวเองว่า...นี่กำลังตื่นหรือกำลังฝันกันแน่ เมื่อรอบตัวฉัน คือ ห้องนอนสุดหรู เตียงขนาดใหญ่ราวกับนอนได้สามถึงสี่คน มีผ้าม่านสีขาวบางๆระย้าจากตรงกลางมาถึงเสามุมเตียงสี่ด้านเหมือนกระโจมนอนของเจ้าหญิงอาหรับ

             ผนังถูกปิดทับด้วยวอลเปเปอร์โทนสีสว่างมีลวดลายแปลกตาแต่ดูคลาสสิก  เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า ทุกอย่างล้วนหรูตระการตาและอลังการราวกับอยู่ในสวรรค์ จนฉันต้องรีบหลับตาลงอีกครั้งเพื่อให้ตื่นจากความฝันนี้ ทว่า...เมื่อลืมตาอีกครั้งก็ยังพบว่าตัวเองอยู่ที่เดิมแถมมีชายหนุ่มรูปงาม ผมสีน้ำตาลดำปรกหน้าตาหล่อเหลา สูงร้อยแปดสิบกว่าๆราวกับเทวดายืนอยู่ข้างเตียง

             “ตื่นแล้วเหรอครับ?” วาจานุ่มนวลเปล่งออกมาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าเป็นในชีวิตจริงฉันคงละลายเพราะความหล่อไปแล้ว แต่ตอนนี้...

             “กรี๊ดดดดดด!!!” ฉันกรีดร้องออกมา

             “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เขาเอ่ยถามด้วยความตกใจ

             “ฉันอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย!!!” ฉันโวยวายถามกลับไป

             “เอ่อ...ก็คุณสลบไปเพราะหัวโขกกับเสาไฟฟ้า...” 

             “แสดงว่าฉันตายแล้วจริงๆใช่มั้ย ถึงได้ขึ้นมาอยู่บนสวรรค์และได้เจอเทวดาแบบนี้เนี่ย กรี๊ดดดดด...” ฉันกรีดร้องออกมา แต่พ่อเทพบุตรที่ยืนอยู่ตรงข้างเตียงกลับหัวเราะเบาๆแล้วรีบยกมือยกไม้ห้ามปรามฉันซึ่งทำหน้าเบ้ใกล้ร้องไห้

             “ใจเย็นๆครับ...คุณยังไม่ได้ตาย แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่สวรรค์...ส่วนผมก็ไม่ใช่เทวดา”

             “อ้าว...แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามกลับไปโดยเร็ว

             “จำไม่ได้เหรอว่า...คุณช่วยชีวิตน้องชายผมไว้จนสลบไป ตอนนี้คุณอยู่ที่บ้านของพวกเราน่ะครับ”

             “เอ่อ...” ฉันครุ่นคิดและพยายามเรียบเรียงความทรงจำ ออ...จริงด้วย ฉันไปดักเจอเลอองที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ แล้วได้ช่วยชีวิตเขาไว้จากรถที่จะเข้ามาชนจนตัวเองเสียหลักล้มลงหัวโขกเสาไฟฟ้า ในตอนนั้นเองฉันก็เพิ่งฉุกคิดกับคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาได้

             “เอ๊ะ...เมื่อสักครู่คุณบอกว่าฉันช่วยชีวิตน้องชาย ถ้างั้นคุณก็เป็นพี่ชายของเลอองน่ะสิ” 

             “ครับ...ผมชื่อ เลอัส เป็นพี่ชายของเลออง” อ๊ายยยย...ใช้จริงๆด้วย มิน่าหล่อพอกัน =.,=

             “ออ...ฉันจำได้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้” ฉันยิ้มแห้งๆตอบเขาไป ให้ตายสิ...ปล่อยไก่ไปหลายเล้าเลย TT^TT

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ ทางเราสิต้องขอบคุณและขอโทษคุณด้วยที่ไม่ได้พาไปส่งโรงพยาบาล เพราะเลอองขยับไปไหนมาไหนก็มักจะเป็นข่าว ก็เลยพามาพักที่บ้านแทนโดยเรียกนายแพทย์ประจำตระกูลมาดูแลให้” โหย...หรูชะมัด =_=”

             “เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” ถ้าเป็นที่บ้านฉันคงแค่เดินไปร้านขายยา ยื่นหัวให้เภสัชกรดูแล้วเอายากลับมาทาที่บ้าน =_=”

             “จริงสิ...ถ้าไม่รังเกียจอยู่ทานมื้อเย็นกันก่อนนะครับ ผมให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

             “เอ๊ะ...จะดีเหรอคะ?” ฉันถามกลับไปอย่างเกรงใจแม้ท้องจะร้องโครกครากก็ตาม เอ๊ะ...มื้อเย็นงั้นเหรอ ตายล่ะ!!!...ป่านนี้พี่หงส์ไม่ด่าฉันไปถึงสุไหงโกลกแล้วเหรอเนี่ยที่กลับบ้านช้าขนาดนี้

             “เอ่อ...เห็นว่าจะไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ถ้าฉันกลับบ้านช้าพี่สาวต้องด่าแน่ๆเลย”

             “เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวทางเราจะไปส่งคุณที่บ้านแล้วชี้แจงให้พี่สาวของคุณเข้าใจเอง”

             “เอ่อ...ตกลงค่ะ” ไร้ข้อโต้แย้งแต่อย่างใด เอาวะ...ไหนๆก็ไหนๆ เขายิ้มนิดๆแล้วเอ่ยว่า

             “งั้นผมจะไปรอข้างล่างนะครับ คุณเพิ่งตื่นน่าจะล้างหน้าล้างตาก่อนทานมื้อเย็นสักหน่อยจะได้สดชื่น” เขาบอกพลางหันไปเอ่ยกับแม่บ้านสองคนในชุดเมดสีดำมีลูกไม้ระบายสีขาวราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนอนิเมชั่น

             “เมย์ กับ ปู ช่วยปรนนิบัติคุณคนนี้ด้วยนะ เสร็จแล้วก็พาไปที่ห้องอาหารได้เลย”

             “เจ้าค่ะ” พวกเธอรับคำเจ้านายรูปหล่อที่เดินออกไป ให้ตายเถอะ...เลอัสนี่สุภาพบุรุษชะมัด ถ้าเขาไม่บอกว่าเป็นพี่ชายของเลอองฉันต้องไม่มีวันเชื่อแน่ๆ นี่มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะเนี่ย...

             หลังจากฉันล้างหน้าล้างตาแล้วโดนเมดสาวสองคนเช็ดเนื้อตัวจนสะอาดสะอ้าน พวกเธอก็พาเดินไปตามทางระเบียงที่ปูพรมสีแดงทอดยาวจนถึงบันไดหินอ่อนซึ่งวนลงไปยังชั้นล่าง ฉันสังเกตเห็นห้องมากมายหลายห้องจนรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านแต่เป็นคฤหาสน์เสียมากกว่า

             จนกระทั่งไปถึงห้องอาหารซึ่งเป็นโถงกว้างขวางถูกตกแต่งอย่างสวยงาม โต๊ะไม้สักตัวยาวมีเก้าอี้รองรับคนได้ถึงยี่สิบคน เฮ้อ...สมกับเป็นที่พักอาศัยของท่านทูตจริงๆ เวลามีงานเลี้ยงคงต้องรับแขกเยอะแยะทีเดียว บนโต๊ะนั้นมีอาหารมากมายหลากหลายอย่างซึ่งแต่ละจานบรรจงจัดราวกับอาหารชาววัง ทว่า...นั่นไม่ทำให้ฉันสนใจไปมากกว่าชายหนุ่มสองคนที่นั่งรออยู่ก่อนเลย

             “เชิญเลยครับ” เลอัสผายมือไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามเลออง ส่วนเขานั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน

             “อ๊ะ...ค่ะ” ฉันเดินไปยังเก้าอี้ที่มีแม่บ้านเลื่อนไว้ให้ เมื่อนั่งปุ๊บเธอก็ช่วยดันเข้าไปด้านใน แหม...รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงก็วันนี้ TTwTT ก่อนเหลือบมองเลอองที่นั่งเชิ่ดหน้าไปทางอื่นไม่ใส่ใจแขกร่วมโต๊ะอย่างฉัน ขณะที่เลอัสบอกแม่บ้านให้ตักข้าวแล้วหันมาถาม

             “คุณชื่อห่านใช่มั้ยครับ?” 

             “ค่ะ...” ฉันสงสัยในแวบแรกว่าเขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง แต่ก็ร้องอ๋อในใจเมื่อคิดได้ว่าเลอองคงบอกไปนั่นเอง

             “ห่าน ที่แปลว่า นก นั่นน่ะเหรอครับ?” เลอัสถามย้ำราวกับไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวน่ารักอย่างฉันจะชื่อนี้ เอาเถอะ...นี่ไม่ใช่คนแรกที่รู้สึกเช่นนั้น =_=”

             “ค่ะ...ห่านที่บินได้น่ะค่ะ” ฉันพูดพลางทำท่าบินให้เขาดู เลอัสหัวเราะเบาๆส่วนเลอองทำปากขมุบขมิบแต่ฉันก็อ่านออกว่า ‘ปัญญาอ่อน’ ”=_=”

             “โอเคครับ...เข้าใจแล้ว แต่ชื่อคุณแปลกดีจัง” เหอะๆ...ควรดีใจดีมั้ยเนี่ย

             “เอ่อ...แล้วคุณเลอัสก็ไม่ต้องใช้คำว่า คุณ กับฉันหรอกนะคะ เรียกชื่อเฉยๆก็พอ”

             “โอเคครับ...งั้นห่านก็เรียกผมว่า เลอัส หรือ พี่เลอัส ตามสะดวกเลย” เรียกว่าที่รักได้มั้ย =//=”

             จากนั้นพวกเราก็นั่งทานข้าวกันอย่างเงียบๆ อาหารแต่ละอย่างเอร็ดอร่อยจนฉันรู้สึกอิจฉาพวกเขาที่ได้ทานของดีๆแบบนี้แทบทุกวัน แต่นั่นก็รวมถึงใบหน้าหล่อๆของสองพี่น้องโดยเฉพาะเลอองที่ทำให้ฉันเจริญอาหารด้วย 

             “เธอมาหาฉันวันนี้ทำไม?” เลอองเอ่ยถามทำลายความเงียบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงตักข้าวเข้าปากตัวเองไม่มองหน้าฉันซึ่งเป็นผู้ถูกถามแต่อย่างใด

             “อ๋อ...” ฉันนึกขึ้นมาได้เลยรีบล้วงกระเป๋า หยิบปากกาด้ามสีเงินออกมาจากห่อผ้าเช็ดหน้าแล้วส่งคืนให้เขา           

             “ฉันเก็บได้ในลิฟท์เมื่อวันเสาร์น่ะ ของนายใช่มั้ย?” เลอองมองดูปากกาด้ามนั้นแล้วรับไปไว้กับตัว 

             “อืม” สั้นๆได้ใจความ =_=”

             “เลออง...เสียมรรยาทจริง ห่านอุตส่าห์เก็บปากกามาส่งคืนให้แล้วยังช่วยชีวิตไว้อีก ขอบคุณสักคำก็ไม่มีเลยเหรอ!” เลอัสตำหนิน้องชายที่ห่างจากตัวเองราวๆสองถึงสามปี เลอองชักสีหน้าหงุดหงิดปนรำคาญใจไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่ดี...เอาเถอะ =_=”

             “เอ่อ...ขอบคุณและขอโทษแทนเลอองด้วยนะครับ” เมื่อเห็นว่าน้องชายดื้อแพ่ง พี่ชายเลยต้องออกปากเอง

             “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นิสัยแบบนี้ก็เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ แต่เมื่อสักครู่ตอนที่เลอองยื่นมือมารับปากกาฉันสังเกตเห็นแขนข้างขวาเขาพันผ้าเอาไว้ ทั้งที่ตอนเจอกันหน้าโรงเรียนเซนต์คาร์เตอร์ยังไม่ได้พันไว้แท้ๆ

             “จริงสิ...วันเสาร์ที่จะถึงพวกเรามีนัดไปว่ายน้ำกันที่สปอร์ตคลับ ห่านสนใจไปด้วยกันมั้ยครับ?”

             “เอ๊ะ...ไม่ดีมั้งคะ” ฉันเหวอนิดๆเพราะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับพวกเขามากมาย แถมยังไม่มีเงินทองมากพอที่จะเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนั้น

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ...พอดีพวกเรามีเครดิตพิเศษเพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในสปอร์ตคลับ ห่านจะชวนเพื่อนๆมาด้วยก็ได้นะครับ”

             “เอ่อ...อย่าเลยค่ะรบกวนเปล่าๆ แค่ช่วยเหลือกับเลี้ยงข้าวก็มากพอแล้ว” รู้สึกเกรงใจชะมัด...แม้จะรู้ว่าฟรีก็เถอะ

             “แค่เล็กน้อยเท่านั้นไม่รบกวนหรอกครับ...ว่าไงเลอองนายคงไม่ขัดใช่มั้ย?” เลอัสหันไปถามน้องชายที่ไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่ดี สงสัยอีตานี่ใบ้กินแน่ๆ... แล้วฉันก็ต้องให้เบอร์โทรศัพท์มือถือกับเลอัสไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อเอาไว้ติดต่อในวันเสาร์ที่จะถึง ( จริงๆไม่ขอก็เต็มใจที่จะให้ =.,= )

             เมื่อมื้อเย็นเสร็จสิ้นฉันก็ได้เวลาขอตัวกลับบ้านเสียที ป่านนี้พี่หงส์ไม่ตีปีกพรั่บๆเตรียมเฉ่งฉันแล้วเหรอเนี่ยฮืออออ...แค่คิดก็สยองแล้ว...

             “เลออง...เดี๋ยวนายไปส่งห่านที่บ้านด้วยนะ” 

             “เอ๊ะ?” ฉันกับเลอองอุทานขึ้นมาพร้อมกัน พลางหันไปมองเลอัสที่ยืนยิ้มส่งให้ไม่ห่าง

             “ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ...ให้ยัยนี่นั่งไปกับเซนสองคนก็พอแล้ว!” เลอองโวยวายทันทีหลังจากเงียบมานาน

             “เอ้า...นายควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการไปส่งและไปอธิบายเรื่องราวให้พี่สาวของห่านเข้าใจ”

             “แต่...” เลอองหยุดชะงักเมื่อเลอัสยกมือแตะบ่าเขาแล้วยิ้มแบบเย็นๆ “เออๆ...เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาก่อน” เขาถอนหายใจแรงๆพลางเดินฉับๆเข้าไปด้านใน

             “จริงๆฉันกลับคนเดียวและไม่ต้องให้ใครไปส่งก็ได้นะคะ”

             “อย่าเกรงใจไปเลยครับ เอ่อ...เดี๋ยวห่านไปรอตรงโรงจอดรถก่อนก็ได้นะครับ ผมขอตามไปดูเลอองสักหน่อยเดี๋ยวมันหนีเข้าห้องนอนดื้อด้านไม่ยอมไปจะช้าเสียเปล่าๆ” ตายจริง...สุดหล่อของฉันอายุสิบแปดจริงหรือเปล่าเนี่ย มีหนีเข้าห้องนอนด้วยวุ้ย

             “เอ่อ...ค่ะ สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้เขาที่พยักหน้ายิ้มหวานแล้วเดินตามน้องชายเข้าไปด้านใน

             ท้องฟ้าสีน้ำเงินบ่งบอกถึงยามค่ำคืนชวนให้รู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ฉันมองเสาหลายต้นที่ติดไฟสปอร์ตไลท์ตรงสนามหญ้ามันสาดแสงไปยังส่วนต่างๆของพื้นที่ ทำให้ต้องเหลียวกลับไปขณะเดินหน่ายๆออกมาจากตัวอาคารเพื่อตรงไปยังโรงจอดรถได้สักพัก พลัน...ภาพตรงหน้าถึงกับทำให้ตกตะลึง

             คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์ยุโรปตั้งตระหง่านท่ามกลางพื้นที่มากมาย มีทั้งสวนดอกไม้นานาพันธุ์ สวนน้ำพุ สวนน้ำตก ถัดออกไปมีคอร์สเทนนิส สนามบาสเก็ตบอล และ สระว่ายน้ำ กรี๊ดดด....นี่ฉันยังอยู่ในกรุงเทพหรือเปล่าเนี่ย! จะว่าไปในเมื่อที่บ้าน เอ้ย...คฤหาสน์ก็มีสระว่ายน้ำ ทำไมพวกเขาต้องถ่อไปถึงสปอร์ตคลับด้วยนะเนี่ย ไม่เข้าใจพวกคนรวยเลยจริงๆ!!!

             “ตะลึงเลยล่ะสิท่า” เสียงคุ้นหูดังขึ้น เลยหันไปมองเซนที่ยืนยิ้มกวนอารมณ์อยู่ไม่ห่าง

             “ทำไม?” ฉันถามเขากลับไปห้วนๆ

             “เอ้า...เด็กอย่างเธอคงไม่เคยได้เข้ามาในคฤหาสน์ใหญ่ๆแบบนี้หรอกใช่มั้ยล่ะ?” เฮอะ...นิสัยดูถูกคนของอีตานี่ไม่เปลี่ยนไปจากสองปีก่อนเลยจริงๆ แต่ดูเหมือนเขาจะจำฉันไม่ได้เลยไม่เอ่ยถึงเรื่องในอดีตแต่อย่างใด ก็ดีเหมือนกันไม่งั้นได้โต้คารมกันอีกยกแน่ๆ

             “เอ่อ...ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกเขา

             “เธอนี่ท่าจะบ้า ชอบให้คนอื่นพูดจาดูถูกหรือไงถึงได้ขอบคุณ” สรุปว่านายดูถูกฉันจริงๆสินะ =_=*

             “ไม่ใช่เรื่องนั้น ขอบคุณที่นายช่วยฉันไว้ไง เอ่อ...ทั้งตอนอุ้มเข้าไปในรถ และ อุ้มเข้าไปในบ้าน เอ้ย...คฤหาสน์ด้วย” อย่างน้อยนายก็มีพระคุณกับฉันล่ะนะ แม้จะปากหมาไปหน่อยก็ตาม =_=*

             “เปล่า...ฉันไม่ได้อุ้มเธอ” เซนปฏิเสธกลับมา

             “ห๊ะ...อย่าบอกนะว่านายลากฉัน!” ฉันสวนกลับไปทันที

             “จะบ้าเหรอ...ไม่ใช่แบบนั้น คุณหนูเลอองต่างหากที่อุ้มเธอเข้ามาในรถ และ อุ้มเข้าไปในคฤหาสน์” คำตอบของเซนทำให้ฉันถึงกับอึ้งไป เลอองเนี่ยนะเป็นคนอุ้ม...

             “พูดเป็นเล่นน่า!” ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณชายจอมเย่อหยิ่งอย่างเลอองจะยอมลงทุนอุ้มใครง่ายๆ

             “ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เธอนี่ท่าทางจะหนักเอาการนะทั้งที่ตัวเล็กแบบนี้ คุณหนูของฉันถึงได้ทำหน้าเครียดตลอดตอนอุ้มเธอ...สงสัยปวดแขนแน่ๆ” ฉันอึ้งไปอีกครั้ง ปวดแขน...หรือนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพันแขนเอาไว้ อ๊ะ...งั้นเลอองก็อุ้มฉันจริงๆน่ะสิ!

             “พูดมาก!” ฉันหันไปมองต้นเสียงนั้นก็พบเลอองเดินตรงเข้ามา เซนตาลีตาเหลือกเปิดประตูรถให้อย่างรวดเร็วเพราะกลัวโดนด่าเนื่องจากนินทาเจ้านายเมื่อสักครู่ ฉันมองเขาที่นั่งรอด้านในรถอย่างเก้ๆกังๆ อีตาเซนเลยถีบฉันตามเข้าไปแล้วปิดประตู...ใจร้ายที่สุด TT^TT

             บรรยากาศในรถค่อนข้างอึมครึมสุดๆเพราะไม่มีใครพูดคุยกันเลย แน่นอนว่าเจ้านายกับลูกน้องไม่คุยกันอยู่แล้ว ส่วนฉันก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะมัวแต่แอบมองเลอองสุดหล่อนั่งกอดอกเก็กขรึมอยู่ =.,= ทว่า...เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแขนที่พันผ้าเอาไว้ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ

             “เอ่อ...แขนนายเป็นอะไรเหรอ?”

             “ยุ่ง!!!” จบ...หลังจากนั้นก็เงียบไปตลอดทางจนถึงบ้าน TT^TT ตูผิดเองล่ะที่เอ่ยปากทำลายความเงียบ

             พี่หงส์ที่ยืนชะเง้อคอรออยู่ตรงหน้าบ้านแทบจะตีปีกพรั่บๆทันทีเมื่อเห็นฉันลงมาจากรถคันหรูซึ่งจอดตรงประตูรั้ว ( ถ้าเจ๊แกบินได้ คงบินมาแล้ว =_=” )

             “ยัยห่าน...แกหายไปไหนมา ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นห่วง ห๊ะ!!!” พี่จอมโหดแว้ดโดยไม่รีรอ

             “เอ่อ...คือว่า...” ฉันขยับปากจะอธิบาย แต่...ไม่ทัน

             “แล้วนั่นมันรถใครกัน หนอย...เดี๋ยวนี้ริคบเพื่อนใหม่ๆแล้วพากันหนีเที่ยวหรือไง?”

             “คือ...เลออง...” 

             “เลอองอะไร...หรือแกแอบไปลัลล้ากับพวกแฟนคลับเลอองมาอีกแล้ว ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเพ้อฝันให้มันมากนัก ชาตินี้จะได้เจอกันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!!!” ให้ตายสิ...เถียงไม่ทัน ฉันเลยหันไปมองเลอองที่นั่งอยู่ในรถเพื่อหวังให้เขาช่วยอธิบายตามที่เลอัสฝากฝังไว้ แล้วดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างเมื่อกระจกไฟฟ้าเลื่อนลงมา ปรากฏโฉมงามให้พี่สาวฉันถึงกับตกตะลึงไป

             “อ๊ะ...นั่นมันเลอองนี่ เรื่องเป็นไงมาไงล่ะเนี่ย!!!” พี่หงส์อึ้งแล้วหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย =_=”

             “ขอบใจที่ช่วย และ ขอโทษที่มาส่งช้า” พูดจบกระจกไฟฟ้าก็เลื่อนขึ้น ก่อนที่รถคันงามจะแล่นจากไปทิ้งไว้แต่ความอึ้งของฉันกับพี่หงส์ สาบานได้นะว่านั่น คือ คำอธิบาย ให้ตายเถอะ...ใครจะไปตรัสรู้เรื่องราวทุกอย่างเพียงเพราะประโยคนั้นฟะ ฮึ่ย...เล่าเองก็ได้!!!


    + +++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×