ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE END l กลเม็ดเด็ดพรายรัก [ สำนักพิมพ์ bemind ]

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.22K
      0
      23 มี.ค. 53

    กลเม็ดเด็ดพรายรัก

     

    ตอนที่ 1

                          ภายใต้ท้องฟ้าสีเข้ม  ที่เมฆหมอกบางประปรายลอยล่อง  แสงแดดจ้ายามเที่ยงวันมัน

    ร้อนแรงซะจนทำให้ผู้คนที่เดินขวักไขว่  กันอยู่ภายในตลาดนัดจตุจักร  ต่างบ่นอุบกับอากาศที่วันนี้

    มันอบอ้าวเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะเธอ.....

                          โอ๊ย..โอ๊ย..โอ๊ย..ร้อนจนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย    เสียงของสบันงาบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้ง  พร้อมกับปั้นหน้าหงิกงอ  มือข้างหนึ่งก็ถือถุงน้ำอัดลมดูดปื้ดๆ  มืออีกข้างก็เอาใบปลิวที่เค้าแจก

    หน้าประตูทางเข้าด้านหนึ่ง  พัดขึ้นลงจนกระดาษบางๆนั้นแทบจะยับไม่เป็นชิ้นดี  แต่ปากก็ยังคงบ่นไม่ยอมเลิก

                          นี่แก..ไม่ร้อนมั่งรึไงยะ  ยายปุ๊กกี้...เดินไปยิ้มไปอยู่ได้

                          นั่นแน่! ร้อนแล้วพาล  ปาลิตานึกหมั่นไส้เพื่อนสาวขี้บ่น  ที่เดินนำหน้าอย่างเร่งฝีเท้า

                          มาหลบแดดทางนี้ดีกว่า...ปุ๊กกี้  สบันงากวักมือเรียกเพื่อนสาว  มายืนหลบแดดอยู่ที่ซุ้มขายไอศกรีมรสกะทิซุ้มหนึ่ง

                          กินไอติมแก้ร้อนมั๊ยแก  ปาลิตาหันไปสั่งไอศกรีมรสกะทิ   ที่ตักใส่กะลามะพร้าวขนาดย่อมสองถ้วย  เผื่อแม่คนขี้บ่นถ้วยนึง

                          ขอนั่งหน่อยนะคะพี่สาว   สบันงาหันไปบอกแม่ค้าไอศกรีม      ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน  พร้อมกับหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติก  แล้วก็ฉุดมือปาลิตาให้ลงนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง

                          ยืนหัวโด่อยู่ได้  ยายปุ๊กกี้  นั่งลงเป็นเพื่อนชั้นเลย

                          ปาลิตานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเธอ  แบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อถูกดึงมือ

                          นี่เราพึ่งจะมาเองนะ...แกเล่นบ่นตลอดทางเลย  ยายมิ้นท์  ผู้ถูกเรียกชื่อหันไปค้อนขวับ  ก็มันร้อนนี่หว่า  หรือว่าแกไม่ร้อน  พูดจบเธอก็หันไปตักไอศกรีมใส่ปาก

                          หายเมื่อยแล้วล่ะ  เธอวางถ้วยกะลาน้อยๆบนโต๊ะ  แล้วแอบเอามือป้องปากเพื่อจะเช็กความเรียบร้อยหลังการกินไอศกรีมเสร็จ

                          ไปต่อเหอะ  สบันงาหันไปขอบคุณเจ้าของร้าน  ที่ให้เธอได้นั่งพักเมื่อยขา  แล้วก็ลุกพรวดเดินนำหน้าปาลิตาไปหน้าตาเฉย

                          ดูเพื่อนสาวทำเข้าสิ  ปาลิตาคิด  บทจะลุกก็ไม่ได้สนใจตัวเธอเลย  มาด้วยกันรึเปล่าเนี่ยปาลิตายืนค้างก่อนจะวิ่งตามสบันงา   ที่กำลังเดินลิ่วๆอยู่ข้างหน้า 

                          สบันงาหยุดยืนดูร้านขายของเก่าตรงหัวมุม  เธอเข้าไปยืนจ้องกล่องไม้แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม  ทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบสินค้า...แต่ก็หยุดชะงักกึก  ก็เพราะสายตาเจ้าของร้าน  ช่างไม่เป็นมิตรเสียเลย  จ้องหน้าเธอเหมือนจะบอกว่า ถ้าไม่ซื้อก็อย่าหยิบนะเธอเลยต้องชักมือกลับเสียดื้อๆ  ก่อนจะหันไปหาเพื่อนสาวที่ยืนเปิดดูตำราหนังสือมือสอง  ที่กองเรียงเป็นพะเนินเทินทึกอยู่สองร้านข้างๆถัดไป

                         ปาลิตาเปิดดูหนังสือสองสามเล่มอย่างเพลิดเพลินใจ  โดยชั่วขณะหนึ่งเธอเองก็เหมือนลืมไปว่ามากับเพื่อนสาวจอมขี้บ่น

                         ไม่ทันที่ปาลิตาจะหันไปบอกเพื่อน  ว่าเธออยู่ตรงนี้        สบันงาก็มาหยุดยืนดูเธอเปิดหนังสืออยู่ข้างหลังเสียแล้ว

                   โอ๊ย...ดูตำราอีกแล้ว  แม่หนอนหนังสือ

                          คนมันชอบนี่นา...ใครจะเหมือนแกล่ะ  ตั้งแต่มัธยมแล้ว  หนังสือหนังหาแทบจะไม่แตะ  หยิบปุ๊บก็หลับทันที  ปาลิตาแอบอมยิ้มกับพฤติกรรมของเพื่อนสาวสมัยเรียนมัธยม

                          ทั้งปาลิตาและสบันงา  เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมหาวิทยาลัย  แถมยังมาเริ่มทำงานครั้งแรกก็ในที่เดียวกัน    แต่ตอนนี้สบันงาลาออกจากที่ทำงานเดิมแล้ว       เธอย้ายมาอยู่บริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง...ถึงแม้จะทำงานคนละที่  แต่ความสัมพันธ์ของสองสาวก็ยังคงเดิม  มีเวลาว่างเมื่อไหร่  เป็นต้องชวนกันมาช้อปปิ้งตามประสาผู้หญิงโสด

                           สบันงาไม่นึกสนใจตำรับตำราที่วางเรียงกันเป็นชั้นๆตรงหน้า  ได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาเหมือนคนเซ็งโลก

                           รอชั้นแปบนึง  พอดีชั้นถูกใจหนังสือหลายเล่ม  ขอเลือกก่อน

                           เออ...อย่านานนะแก  มันร้อน  สบันงาไม่ได้ขัดเพื่อน  แต่ทำทีเป็นหยิบหนังสือเล่มตรงหน้าขึ้นมาเปิดดูแก้เซ็ง

                           แต่พอเธอจะเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง  ที่วางอยู่ชั้นบนสุด  ระหว่างที่เขย่งเท้าเพื่อยืดแขนออกไปจะหยิบ  เธอก็ต้องรีบชักมือกลับ...เพราะมีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเธอไม่วางตาหากแต่การมองเธอมันต่างกับเจ้าของร้านไม้แกะสลักเมื่อครู่

                           สายตาคู่นั้นเป็นมิตรและยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

                           เด็กผู้หญิงวัยประมาณแปดขวบกำลังยืนยิ้มให้เธอ  จนเห็นฟันข้างหน้าหายไปสองซี่

                           พี่จะหยิบหนังสือเล่มนั้นทำไม

                           สบันงาหันกลับไปมองเด็กหญิงอีกครั้ง  เมื่อไม่แน่ใจกับเสียงทักนั้น  เพราะเสียงนั้นมันฟังแล้วชวนขนลุก...เสียงนั้นคล้ายเสียงของคนชรามากกว่าจะเป็นเสียงเด็ก...

                           เธอหันไปมองหน้าเด็กหญิง  หัวคิ้วย่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ  แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย  แต่ก็ยังคงเห็นเด็กหญิงยิ้มเผยฟันหลอสองซี่นั้นอยู่...ก็ยิ่งทำให้สบันงารู้สึกแปลกใจ

                           หันไปมองปาลิตา คล้ายจะขอความเห็นว่า แกได้ยินมั้ยแต่ปาลิตาก็ยังคงเพลิดเพลินกับการเลือกหนังสือโดยไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด

                           เล่มนั้นหนูไม่ขาย  เสียงคนชราแว่วมาอีกแล้ว

                           สาบานได้! สบันงาไม่เห็นริมฝีปากของเด็กหญิงขยับเลยสักนิด  ตอนนี้ในใจเธอเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์

                           เมื่อกี้หนูว่าอะไรนะคะ  เธอถามอย่างไม่แน่ใจ

                           หนูจะขายเล่มนี้ให้พี่  เด็กหญิงชี้นิ้วไปยังหนังสือเล่มหนึ่ง  ที่ตอนนี้มันวางอยู่ตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                           สบันงาคลายความวิตกไปได้  เมื่อเสียงของเด็กหญิงกลายเป็นเสียงเด็กใสแจ๋ว เหมือนปกติ  ก่อนจะคุยโต้ตอบกัน  แต่พี่ไม่อยากซื้อนี่คะ

                           พี่ต้องซื้อ     เสียงเด็กหญิงเหมือนจะเน้นย้ำ      และเหมือนประโยคนี้มันจะดังก้องกังวานในโสตประสาทของเธอตลอดเวลา

                           สงสัยคงต้องตัดความรำคาญ  เธอนึกในใจ

                           ราคาเท่าไหร่  เธอถามไปส่งๆ  ก่อนจะควักธนบัตรใบละร้อยหนึ่งใบออกจากกระเป๋า  ถ้าเกินหนึ่งร้อย ชั้นจะไม่เอา คอยดูเถอะเธอนึกอย่างนั้นในใจ...แต่เสียงของเด็กหญิงก็แทรกความคิดเธอขึ้นมา

                           เล่มละ เก้าสิบเก้าบาทค่ะ

                           สบันงาอุทาน  เก้าสิบเก้าบาทเนี่ยนะ...เล่มหนาเป็นร้อยเป็นพันหน้า  ทำไมน้องขายให้พี่ราคาถูกจัง

                           เด็กหญิงยิ้มจนปากฉีก ก็พี่ต้องใช้มัน

                           แน่ะ! มาหาว่าเธอต้องใช้มัน...คิดจะมาหลอกขายของล่ะสิท่า

                           สบันงาหยิบหนังสือเล่มใหญ่  หน้าปกสีน้ำตาลเข้ม  ปกที่แข็งและหนาด้านหน้าหลังนั้นค่อนข้างจะเรียกว่าเก่าและยับเยิน      มันหนาอย่างกับตำราพิชัยสงคราม หรือสามก๊กฉบับหลายอาจารย์มาเขียนรวมกัน

                           สบันงาทำหน้าเหยเก  ก่อนจะหยิบชื่อหนังสือขึ้นมาดูใกล้ๆ

                           ล้านกลเม็ด เด็ดใจคนรัก

                            สบันงาเห็นชื่อหนังสือแล้วก็ทำปากขมุบขมิบ  ทำไมพี่ต้องใช้หนังสือเล่มนี้ด้วยล่ะคะน้อง

                            ก็พี่ยังไม่มีแฟนนี่คะ

                            คำตอบของเด็กหญิง  มันไปจี้ใจดำเธอเข้าอย่างจัง

                            พี่มีแฟนแล้วค่ะน้อง  เธอสะกดทีละคำอย่างช้าและเน้นหนักแน่น  แต่เสียงนั้นเขียวชะมัด  ตาที่โตอยู่แล้วแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

                            แต่ก็ไม่เป็นไร  พี่จะซื้อไว้  ถือว่าช่วยอุดหนุน  เธอมองดูขนาดหนังสือที่มันหนาและใหญ่  มันคุ้มความคิดเธอเข้าข่ายคนขี้งก

                            แต่เธอก็ยอมยื่นธนบัตรใบละร้อยให้เด็กหญิงแต่โดยดี  ทอนด้วยนะคะบาทนึง

                          เด็กหญิงหยิบเงินทอนให้กับสบันงา  แล้วหยิบหนังสือเล่มนั้นใส่กระดาษถุงสีน้ำตาลก่อนจะส่งให้กับมือเธอ

                          แล้วพี่จะต้องกลับมาหาหนู

                          ว่าไงนะคะ เธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  เมื่อเธอได้ยินประโยคสุดท้าย  แต่ก็ไม่มีคำตอบใด

                          ไปกันรึยังยายมิ้นท์...ชั้นเลือกหนังสือเสร็จแล้ว  ผู้พูดหอบหนังสือถุงใหญ่ยื่นอวดเพื่อนสาว

                          สบันงาเดินเข้าไปประชิดตัวเพื่อนสาว  พร้อมกับคว้าข้อมือเธอ  ฉุดมือให้เดินออกไปจากร้านหนังสือให้เร็วที่สุด

                          ก่อนจะพ้นหัวมุมตรงหน้าโครงการด้านหลัง    เธอหันไปมองเด็กหญิงอีกครั้ง    แต่ก็ต้องทำหน้าประหลาดใจยิ่งนัก  เมื่อไม่มีแม้เงาของเด็กหญิงคนนั้น  กลับกลายเป็นหญิงชราใบหน้านั้นเหี่ยวย่น  กำลังยิ้มให้เธอบางๆ

                          เธอหันขวับมาจ้องหน้าปาลิตา  ก่อนจะทำท่าตัวลีบตัวงอ  เอามือข้างหนึ่งลูบไล้ท่อนแขน ที่ตอนนี้ขนเส้นน้อยๆมันกำลังแข่งกันลุกซู่

                          เป็นอะไรน่ะ  ยายมินท์  ปาลิตามองหน้าเพื่อนอย่างงุนงง

                          แกไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้ชั้นคุยอยู่กับใคร

                          ก็คุยกับคนขายหนังสือไง

                          รู้แล้วย่ะ...ว่าคุยกับคนขายหนังสือ...แล้วคนที่แกเห็นน่ะ  เป็นเด็กผู้หญิงหรือว่าคนแก่  สบันงามองสายตาเพื่อนอย่างคาดหวังถึงคำตอบที่ได้รับ  ว่าจะเป็นเด็กหญิง

                           ชั้นก็เห็นแกคุยกับคุณยายตั้งแต่ตอนแรกแล้วนี่นา

                           คำตอบของปาลิตา  แทบจะทำให้ผู้ถามเป็นลม  ยกมือก่ายหน้าผากก่อนจะผงะไปเล็กน้อย...จนเพื่อนสาวต้องเข้ามาจับแขนเธอไว้กันล้ม

                           แกเป็นอะไรรึเปล่า...วันนี้แกดูแปลกๆไปนะ

                           จะไม่ให้แปลกใจระคนสงสัยได้อย่างไรกัน  ในเมื่อคนที่ขายหนังสือให้เธอเมื่อสักครู่  ไม่ใช่หญิงชราที่ผมขาวโพลนไปทั่วศีรษะคนนี้

                            สบันงาเดินเข้าไปใต้ซุ้มต้นไม้ใหญ่  นั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเดี่ยวที่ตั้งอยู่  เมื่อหย่อนตัวลงนั่งเธอก็ลูบถุงกระดาษที่ห่อหนังสือน่าสงสัยอยู่ในมือ

                            ปาลิตาทำท่าจะขอดูหนังสือเล่มนั้น  แต่สบันงาก็พูดตัดบทเสียก่อน

                            หนังสือทั่วไปน่ะแก...ไม่มีอะไรหรอก  ผู้พูดแอบเหล่มองเพื่อนสาวด้วยหางตาก่อนจะค้นกระเป๋าสะพายใบจิ๋ว  เปิดกระเป๋าหยิบเอายาดมมาสูดเข้าเต็มปอด

                            ค่อยยังชั่ว...มันทำให้สบันงารู้สึกโล่งใจเมื่อได้สูดยาดม

                            ไปเลือกซื้อของกันต่อเถอะ

                         สบันงาลุกขึ้นจากเก้าอี้ม้าหินอ่อน  สะบัดศีรษะแรงๆคล้ายเรียกสติ  ก่อนจะฉุดมือปาลิตาให้ลุกขึ้นเดินตามด้วยความคลางแคลงใจ

    ..................................................

                  สบันงานอนเกลือกกลิ้งตัวไปมา   สองสามตลบอยู่บนเตียง    นึกถึงคำพูดของเด็กหญิงเอ๊ะ! หรือว่าคนชรา ก็พี่ยังไม่มีแฟน

                         นึกถึงคำพูดที่คล้ายโดนใครเอาค้อนมาทุบให้จุกอก  สาบานได้ว่ามันฉุนกึก...

                         เธอจะไม่โกรธเลย  ถ้าหากการโต้ตอบของเธอมันเป็นเรื่องจริง  พี่มีแฟนแล้วค่ะน้อง

    แต่สุดท้ายคำพูดของเธอมันก็เป็นได้แค่เรื่องสมมติ

                         สบันงายกนิ้วมือทั้งสิบนิ้วขึ้นมากาง  พลางหุบขึ้นลงทีละนิ้วสองนิ้ว  ปากก็ขมุบขมิบเหมือนนับเลขในใจ

                         ตายแล้ว...นี่อายุชั้นปาเข้าไปยี่สิบเก้าแล้วเหรอเนี่ย

                         สบันงาผุดลุกขึ้นนั่ง  เอาหมอนใบใหญ่สองสามใบวางซ้อนทับอิงไว้หัวเตียง  เอามือกอดอก  นึกสมเพชตัวเองที่ยังครองโสดมาได้ตั้งนาน

                          เมื่อสมัยตอนเป็นสาวแรกรุ่น  มีเด็กหนุ่มมาแข่งกันรุมจีบมากหน้าหลายตา   แต่เธอก็คิดว่ามันยังไม่ถึงวัยอันควร  เมื่อเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่  เธอก็คิดเพียงว่าทุกคนคือเพื่อน      มิตรภาพแบบเพื่อนมันจะหนักแน่นและยาวนานกว่า    พอก้าวผ่านมาถึงช่วงเวลาที่เริ่มทำงาน  เป้าหมายของเธอก็คือขอให้มีพร้อมทุกด้าน  ความรักก็จะมาเอง  แต่ตลอดเวลาที่เธอเปลี่ยนที่ทำงานสองสามครั้ง  กลับไม่มีวี่แววว่าใครคิดจะมาจีบเธอเป็นจริงเป็นจัง

                          มันเป็นเพราะอะไรน้า? เธอใคร่ครวญและกำลังนึกฉุนอายานามของตนเอง  ก็พอดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นได้จังหวะพอดี

                          เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์จากบนโต๊ะข้างหัวเตียง  ก่อนจะกดรับสาย  แล้วโต้ตอบทันทีกับผู้ที่โทรหาเธอ

                         ผู้ที่โทรหาไม่ใช่ใครอื่น  ก็ปาลิตาเพื่อนคนสนิทนั่นเอง

                         พึ่งจะแยกจากกันเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว...โทรมาตอนนี้...พอดีเลย  นึกอยากจะเล่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันพอดี...มันชักจะเก็บอาการสงสัยไว้ไม่อยู่...คันปากยิกๆ

                  ฮัลโหล...ยายปุ๊กกี้เหรอ..โทรมาก็ดีละ..คืองี้นะ  ชั้นมีเรื่องจะเล่าให้แกฟังอยู่พอดี  สบันงาพูดเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน

                          แกจำเมื่อตอนกลางวันที่ร้านหนังสือมือสองได้มั๊ย...ชั้นซื้อหนังสือกับคนขายที่เป็นเด็กผู้หญิงล่ะ  ไม่ใช่ยายแก่ๆคนนั้น     แล้วเด็กคนนั้นก็ยังพูดจาแปลกๆเต็มไปหมด...ทั้งบอกว่าชั้นต้องกลับไปหาที่ร้านนั้นอีกครั้ง...ทั้งพูดบังคับให้ชั้นต้องซื้อหนังสือเล่มนั้น  ทั้งๆที่ชั้นก็ไม่อยากจะได้...ที่สำคัญเลยนะ  ยังพูดดักคอด้วยว่า ชั้นไม่มีแฟน...รู้ได้ยังไงว่าชั้นไม่มี...เชอะ  คำท้ายสบันงาสะบัดเสียงอย่างคนอินจัด

                        ชั้นหวังว่าชั้นคงจะหูฝาด..ว่ามั๊ย..ยายปุ๊กกี้.....แกฟังชั้นอยู่รึเปล่า

                        สบันงายังคงเล่าถึงเรื่องราวเมื่อตอนกลางวันเป็นฉากๆ  โดยที่ไม่ทันฟังซักนิด  ว่าเสียง

    ปลายสายนั้นพูดโต้ตอบอะไรบ้าง

                        แล้วเมื่อเธอพูดจบ  ก็ต้องแอบสะดุ้ง  กับเสียงที่พูดกลับมาแบบเรียบๆ  มิ้นท์..นี่พี่ปองพูดนะ

                        ปอง หรือปกป้อง  เป็นพี่ชายแท้ๆของปาลิตา  เขาแค่ช่วยถือโทรศัพท์ไว้ระหว่างรอสายเท่านั้น    เพราะหญิงสาวคนที่เธอกำลังเล่าเรื่องราวฉอดๆให้ฟังเป็นฉากนั้น     พอดีวิ่งเข้าไปในครัวเพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมปิดแก๊ส  ระหว่างที่กดโทรศัพท์หาเพื่อน

                      ตายแล้ว พอสบันงารู้ตัวว่าเล่าเรื่องราวให้ฟังผิดคน  เธอได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนอยากจะตัดสายซะเดี๋ยวนั้น

                         ขอโทษค่ะพี่ปอง...มาตั้งแต่เมื่อไหร่  เสียงเธออ่อยทันตาเห็น

                         ปกติ ปกป้องทำงานรัฐวิสาหกิจ  หน่วยงานหนึ่งประจำจังหวัดเชียงใหม่  นานทีปีหนถึงจะกลับมาเยี่ยมเยือนที่บ้านสักครั้ง...ถ้านับตั้งแต่ที่เธอรู้จักกับครอบครัวของปาลิตาตั้งแต่เด็กๆ...เธอเองไม่ได้เจอปกป้องมานาน  น่าจะร่วมสองปี

                          พอดีปุ๊กกี้วิ่งเข้าไปในครัวน่ะ...เดี๋ยวคงออกมา

                   ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอง...งั้นเดี๋ยวว่างแล้วมินท์โทรกลับ  พูดจบเธอชิงวางสายก่อนที่จะถูกซักไซ้เรื่องราวที่เล่า...ไม่ใช่ว่าคนพูดเก่งอย่างเธอ  จะไม่อยากคุยกับปกป้องหรอกนะ...เป็นเพราะเรื่องที่เธอเผลอเล่าเป็นตุเป็นตะเมื่อสักครู่ต่างหาก  ทำให้ต้องนึกโทษตัวเอง  ที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ  เอาความน่าอายไปขายให้กับคนอื่น

                          คนอื่นที่ว่า  ดันเป็นผู้ชายซะด้วย

                          อย่างนี้ปกป้องก็ต้องรู้หมดน่ะสิ  ว่าอายุปูนนี้แล้ว เธอยังไม่มีแฟน

                          นึกแล้วก็ตบปากตัวเองดังเผาะ...

                          อูย..ซี้ด...  เจ็บนะเนี่ย  เป็นเพราะมันเลย  ไอ้หนังสือเฮงซวย  นึกดังนั้นจึงหันไปมองหนังสือเจ้าปัญหา  ที่วางระเกะระกะอยู่ปลายเตียง

                          หนังสือปกหนาสีน้ำตาลเข้มยังคงอยู่ในถุงกระดาษ  เธอวางไว้อย่างนั้นตั้งแต่กลับมาถึงห้อง  โดยไม่สนใจคิดอยากจะเปิดอ่านแม้แต่น้อย  แต่เมื่อเสียเงินซื้อมาแล้ว  เก้าสิบเก้าบาทที่เสียไป...คนขี้งกอย่างเธอจำเป็นต้องเปิดอ่านซะหน่อย...เงินนั้นจะได้ไม่สูญเปล่า

                  สบันงาพลิกซ้ายขวาหน้าหลัง    เมื่อหยิบหนังสือออกมาจากถุงกระดาษ  มองไม่เห็นแม้แต่ชื่อสำนักพิมพ์  ชื่อผู้แต่ง  จำนวนพิมพ์กี่ครั้งกี่เล่ม

                         ไม่มีข้อมูลอะไรเลย  เกี่ยวกับรายละเอียดหนังสือ

                          แต่เมื่อพลิกเปิดไปด้านใน  หน้าแรกของกระดาษสีขาวหม่น  ปรากฏตัวหนังสือตัวใหญ่เป็นสีแดงเข้ม  พิมพ์ชื่อหนังสือ ล้านกลเม็ดเด็ดใจคนรักพร้อมข้อความแนะนำผู้อ่านสั้นๆเพียงสองสามบรรทัด

    หากอยากมีคนรัก       จงใช้ใจอ่าน

                  เมื่อเกิดความเข้าใจ      จงอ่านแล้วลงมือทำ

             จะสัมฤทธิผลได้      อยู่ที่ใจเราเอง

                   จะบ้าเหรอ ให้ใช้ใจอ่าน  สบันงาอ่านข้อความนั้นเบาๆ  ก่อนจะพลิกเปิดไปหน้าแรก

    กลเม็ดที่หนึ่ง:

                     คุณลองนึกทบทวนดูสิ ว่าคุณใช้เวลาลืมตาดูโลกนี้ มานานเท่าไหร่?

    ถ้าคุณได้คำตอบในใจแล้ว..........

                     คุณลองถามตัวเองอีกครั้ง  ว่าคุณเคยมีความรัก? สักกี่ครั้ง ความรักในแบบที่คุณกับคนรัก ต่างคบหาดูใจ พร้อมใจกันเรียกคำนั้นว่า แฟน

                     ถ้าคุณได้คำตอบนั้นว่า คุณเคยมีมาแล้ว หรือกำลังมีในขณะนี้ คุณจะ

    ไม่อยากเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้

                     แต่หากคุณยังไม่มี คุณจงใช้ใจอ่าน..........

    .............................................................................................................................

    ....................................................................

                         หน้ากระดาษมีข้อความคล้ายคำแนะนำ        แล้วก็ทิ้งช่องว่างยาวมาประมาณเกือบสิบบรรทัด  เธอไล่สายตาลงมายังบรรทัดท้ายสุด

                  1.คุณลองใช้ใจพิจารณาดูว่าคุณจะเลือกคบใครเป็นแฟน?

                     สบันงาทวนประโยคๆหนึ่ง คล้ายกับประโยคคำถามนั้น

                          นี่มันแบบสอบถามรึไงเนี่ย...ไม่เห็นจะมีอะไรเลย

                          แล้วเธอก็ต้องพูดอีกครั้งอย่างหัวเสีย...ไม่เห็นมีอะไรจริงๆ  เมื่อเธอพลิกข้ามไปดูหน้า

    ถัดไป  เปิดไปเรื่อยๆจนถึงหน้าสุดท้ายของเล่ม  ก็พบว่ามันเป็นเพียงหน้ากระดาษเปล่า

                          ชั้นโดนหลอกเหรอเนี่ย...ตั้งเก้าสิบเก้าบาท

    ..............................................

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×