คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ลมร้อนพัดหอบจากทะเลทรายเข้ามาภายในคฤหาสน์หลังงามแห่งรัฐนูมานซึ่งล้อมรอบด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
ก่อนหยอกล้อใบไม้และดอกไม้จนกิ่งก้านไหวเอนแล้วแปรเปลี่ยนมาละไล้เรือนผมสีน้ำตาลเข้มของหญิงสาวรูปทรงงดงามอรชรอ้อนแอ้น
ปลายนิ้วเรียวเสยผมเผ้ายุ่งเหยิงของตนให้เข้าที่เข้าทางจนเผยดวงหน้าคมสวยเยี่ยงสตรีอาหรับ
ดวงตาเข้มด้วยคาจาลกรีดโดยรอบรับสันจมูกโด่งและริมฝีปากหยักสวยสีแดงดุจดั่งกุหลาบงามแห่งดินแดนทะเลทรายที่แห้งผากให้ชุ่มชื่นสดใสเพียงคลี่ยิ้ม
มือบางโอบอุ้มหมู่มวลบุปผาขึ้นประคองกอดเสมือนคนรักแล้วหมุนตัวจนชายผ้าสีม่วงอ่อนพลิ้วไหวเป็นลอนคลื่นพลางย่างเดินเบาๆประหนึ่งนางพญาไปยังศาลาเล็กๆกลางสวนพฤกษชาติ
เสียงพูดคุยจอแจดังแว่วคลอตามสายลมก่อนที่สาวใช้ร่างท้วมคนหนึ่งจะปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ส่งมาให้ฉันช่วยเถอะค่ะ...ท่านราเนีย”
“อย่าเลยชาไมราห์
ดอกไม้เพียงแค่นี้ข้าถือเองได้”
เธอปัดป้องมือของอีกฝ่ายที่พยายามยื้อแย่งเนื่องจากไม่ต้องการให้ใครมาช่วยในเรื่องเล็กน้อย
แม้สาวใช้ผู้นี้จะสนิทสนมเยี่ยงพี่สาวคนหนึ่งก็ตาม
“ตามใจค่ะ
ท่านราเนียดื้อเหลือเกิน!”
หล่อนตัดพ้อในความไม่ถือตนของผู้เป็นนายด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง
“เอาไว้ข้าถือของหนักกว่านี้จะเรียกใช้เจ้าละกัน
จริงสิ...เมื่อสักครู่พูดคุยเสียงดังเหลือเกินประเดี๋ยวท่านแม่ฮาดีลได้ยินเข้าจะโดนเอ็ดเอาได้นะ”
หญิงสาวตักเตือนผู้อยู่ใต้บัญชาอย่างเป็นกังวล เนื่องจาก ท่านฮาดีล ชายาเอกของ ชีคนูมาน
อูล่าห์ อดีตชีคผู้ปกครองรัฐนูมาน หรือ บิดาของเธอ ค่อนข้างจู้จี้ในเรื่องมรรยาทภายในคฤหาสน์เป็นอย่างมาก
“แหม...ท่านราเนีย
จะไม่ให้ส่งเสียงดังได้อย่างไรในเมื่อมีข่าวใหญ่ให้พูดถึง”
“ข่าวอะไรกัน?”
สาวใช้คนสนิทรีบส่งหนังสือพิมพ์ประจำรัฐนูมานให้แก่ท่านราเนียซึ่งรับไปดูอย่างฉงนสนเท่ห์
แต่แล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อข่าวนั้นโด่งดังจริงดั่งว่า อีกทั้งยังพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับทั้งสิบรัฐในสหรัฐอาหรับฟาเราะห์หาใช่เพียงรัฐนูมานเท่านั้น
“รัชทายาทแห่งสหรัฐอาหรับฟาเราะห์!!!
ชีคลีธ โมฮัมหมัด โอรสองค์โตของ ชีคยัสซิม โมฮัมหมัด
กษัตริย์ผู้ปกครองรัฐยัสซิมและสหรัฐอาหรับฟาเราะห์ ได้รับการเปิดเผยว่าเป็นรัชทายาทสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการโดยแถลงข่าวเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา
และอีกไม่นานหลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งเป็นชีคคนใหม่ปกครองรัฐยัสซิมและขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสหรัฐอาหรับฟาเราะห์”
“เป็นอย่างไรคะท่านราเนีย
รูปของชีคลีธไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สง่างาม”
ใบหน้าคมสวยส่ายน้อยๆอย่างระอาเมื่อเห็นชาไมราห์เริ่มละเมอถึงชายในรูป
“ไม่คุยกับเจ้าแล้ว
ประเดี๋ยวดอกไม้ที่จะนำไปให้ท่านแม่กาเนียเหี่ยวเฉาพอดี” เธอพูดพลางส่งคืนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นให้สาวใช้ที่รับไปเพ้อพร่ำรำพันอีกครั้งแล้วเดินหนีเข้าตึกหลังเล็กอย่างรวดเร็ว
ประตูไม้สีขาวถูกผลักโดยคนร่างบางที่หอบมวลบุปผาเข้ามาภายในห้องเล็กๆแล้วปักลงแจกันดินเผาริมหน้าต่างซึ่งเปิดกว้างรับลม
หญิงสูงวัยในชุดอาบายะห์สีดำเหลียวมองลูกสาวของตนแล้วแย้มริมฝีปากไร้การแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ทว่า ยังสวยสดงดงามเยี่ยงสตรีวัยเยาว์
“ราเนีย...เหตุใดลูกจึงขยันเก็บดอกไม้มาให้แม่ทุกวันเยี่ยงนี้
ดูสิ...ของเก่ายังไม่ทันโรยราของใหม่ก็มาอีกแล้ว ไม่สงสารพวกมันบ้างหรืออย่างไร?”
คำถามนั้นไม่ได้แฝงด้วยการตำหนิติเตียนแต่อบอุ่นด้วยเมตตาซึ่งมีต่อทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นคน
สัตว์ หรือ พืชพันธุ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ท่านกาเนีย มารดาแท้ๆของเธอ หรือ ชายารองของชีคนูมานเป็นที่รักใคร่มากเสียกว่าท่านฮาดีลชายาเอกเสียอีก
“ก็ท่านแม่ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก
ลูกหวังดีจึงเก็บดอกไม้มาฝากค่ะ”
เธอกล่าวตอบ
“ทำอย่างไรได้...ในเมื่อแม่ไม่อยากออกไปขวางหูขวางตาท่านฮาดีล
ประเดี๋ยวจะมีเรื่องวุ่นวายให้รำคาญใจเธออีก”
“หากท่านพ่อไม่สิ้น
ท่านแม่คงไม่ลำบากเยี่ยงนี้”
ท่านราเนียเอ่ยอย่างน้อยใจในโชคชะตา
แม้ว่าท่านแม่ของเธอจะเป็นแค่ชายารองแต่ท่านพ่อก็รักใคร่เทิดทูนเสมอภาคเท่าเทียมกับท่านฮาดีล
ทว่า พอสิ้นท่านพ่อเมื่อเดือนก่อน ชีคอัปดุล
โอรสองค์โตซึ่งกำเนิดจากชายาเอกจึงรั้งตำแหน่งชีคปกครองรัฐนูมานคนใหม่ทันที
ทำให้ท่านฮาดีลถือครองอำนาจทั้งหมดร่วมกับลูกชายไม่สนใจใครหน้าไหนและขับไล่ท่านแม่กับเธอให้ลงมาอยู่ที่อาคารเล็กๆด้านหลัง
ส่วนคฤหาสน์หลังใหญ่มีสิทธิ์เพียง ชีคอัปดุล ลูกชายคนโต และ ท่านอัฟรีน
ลูกสาวคนเล็กเท่านั้น
“อย่าคิดมากเลยราเนีย
สักวันลูกจะสุขสบาย...เพียงแค่ดำเนินชีวิตไปอย่างที่เป็นเท่านั้น”
ท่านกาเนียปลอบโยนลูกสาวให้คลายจากความเศร้าหมอง ท่านราเนียกอดมารดาเอาไว้แน่นแล้วเชื่อมั่นในโชคชะตาต่อไปโดยหาได้รู้เลย
ว่า...จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต!
ตะวันลาลับขอบฟ้าไปนานแล้วแต่มื้อเย็นเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ภายในห้องอาหารหรูหราของคฤหาสน์คงมีอาหารชั้นเลิศมากมาย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้มื้อเล็กๆอันแสนอบอุ่นในตึกหลังด้อยค่า
เมื่อบนโต๊ะเตี้ยมีทั้ง ตาบูเล่ สลัดผักสับหอมหวนกลิ่นผักชีอิตาเลี่ยนที่คลุกเคล้าข้าวสาลีพร้อมปรุงรสด้วยน้ำมะนาวกับน้ำมันมะกอก
ถัดไปนั้นมี พิทต้า ขนมปังชิ้นเล็กๆวางเคียง ฮัมโมท
ซุปถั่วชิคพีเคี่ยวเคล้าเมล็ดงา ตบท้ายของหวานเป็นอินทผาลัมสดๆหนึ่งช่อ
แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับความต้องการ
“ทั้งที่ท่านกาเนียกับท่านราเนียมีสิทธิ์ในคฤหาสน์ส่วนหนึ่งแท้ๆ
แต่กลับต้องมานั่งกินอาหารในห้องแคบๆแบบนี้”
ชาไมราห์บ่นพึมพำพลางหยิบพิทต้าเข้าปาก
“ข้ากับท่านแม่ชอบที่นี่มากกว่า
แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบ...เหตุใดจึงไม่ขึ้นไปกินในคฤหาสน์เล่า?” หญิงสาวเอ่ยถาม
“ฉันก็ชอบที่นี่มากกว่าค่ะ
ในคฤหาสน์อึดอัดเพราะระเบียบวินัยวุ่นวายไปหมด!” สาวใช้ร่างท้วมยังคงบ่นไม่หยุดเช่นเดียวกับกินไม่ขาดปาก
“ท่านฮาดีลก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร...เจ้ายังไม่ชินอีกกระนั้นหรือ?”
สตรีสูงวัยหยอกสาวใช้อย่างเอ็นดู
“โอ้ย!!!
ชินไม่ไหวหรอกค่ะ...ท่านกาเนีย”
พลัน
มื้อเย็นเล็กๆต้องชะงักทันที เมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนวิ่งเข้ามาใกล้
“ท่านราเนียคะ...ท่านฮาดีลมีคำสั่งให้เข้าพบที่ห้องอาหารค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบเพราะวิ่งมาไกล
ใบหน้าคมสวยเหลียวมองผู้เป็นมารดาอย่างหวาดหวั่นใจ
เนื่องจากตั้งแต่ท่านพ่อสิ้นยังไม่เคยมีครั้งไหนที่โดนเรียกตัวไปพบ ทว่า
ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้อยู่แล้ว
แชนเดอเลียร์ทองคำสั่นน้อยๆยามต้องลมแรงจากหน้าต่างระเบียงบานกว้างซึ่งเปิดอ้ารับความเย็นยามค่ำคืน
แต่หาได้เป็นอุปสรรคเมื่อยังคงส่องสว่างสาดอาหารจานหรูสไตล์ฝรั่งเศสบนโต๊ะตัวยาวที่มีเจ้าของคฤหาสน์นั่งอยู่สามคน
หญิงสูงวัยในชุดอาบายะห์สีดำแต่ไร้ฮิญาบปกปิดเงยใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางมองแขกรับเชิญเพียงชั่วครู่ก็ส่งยิ้มหวานให้ลูกชายซึ่งนั่งตรงตำแหน่งประธาน
“อัปดุล...ราเนียมาแล้ว
ลูกช่วยพูดธุระแทนหน่อยนะ!”
หล่อนเอ่ยอย่างไม่แยแส เช่นเดียวกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับท่านราเนียอีกคนที่แสร้งไม่สนใจ
ทำให้ชายหนุ่มเพียงคนเดียวต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้แทน มือหนายกขึ้นลูบเคราบางๆบนใบหน้าของตนราวครุ่นคิดหาคำพูด
“พวกท่านเรียกฉันมาด้วยธุระอะไรคะ?” ท่านราเนียตัดสินใจถามก่อน
“เจ้า...เอ่อ...น้องรู้จักชีคลีธ
โมฮัมหมัดใช่หรือไม่?”
สรรพนามแทนตัวเธอช่างแปลกประหลาดกว่าปกติที่เคยเป็น
หากความสงสัยต้องถูกลบทิ้งเมื่อประเด็นคำถามน่าฉงนมากกว่า
“รู้จักค่ะ...ชีคลีธ
โมฮัมหมัด รัชทายาทของสหรัฐอาหรับฟาเราะห์”
“แล้วน้องรู้หรือไม่
ว่า...การขึ้นครองราชย์ในประเทศของเรามีธรรมเนียมเก่าแก่ ว่า...บุคคลผู้นั้นจำเป็นต้องมีคู่หมั้นเสียก่อนได้รับตำแหน่งกษัตริย์?”
“รู้ค่ะ...เป็นธรรมเนียมดั่งเดิมตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้ก่อตั้งประเทศ
โดยยึดแบบอย่างมาจากการที่ชีคจะขึ้นเป็นผู้นำเผ่าก็ต้องต่อเมื่อมีคู่หมั้นหรือคู่สมรสแล้ว”
ท่านราเนียตอบตามที่รู้มาจากคนเฒ่าคนแก่ แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ว่า...มันเกี่ยวอะไรกับเธอจึงต้องพูดคุยเรื่องนี้
“ดีที่น้องรู้...เพราะชีคลีธก็จะไม่สามารถขึ้นครองราชย์หากไร้คู่หมั้นหมายเช่นกัน
ท่านแม่ฮาดีลเห็นเป็นเรื่องดีจึงได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังรัฐยัสซิม ว่า...ต้องการส่งเจ้าไปเป็นคู่หมั้น”
ประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่านร่างของท่านราเนีย
คำว่า ‘คู่หมั้น’ ทำให้ทุกอย่างรอบด้านพร่ามัวเลือนราง
เช่นเดียวกับสติสัมปชัญญะที่ขาดๆหายๆ
หากไม่ได้เสียงเอ่ยทักของอีกฝ่ายเธอคงหน้ามืดเป็นลมไปแล้วแน่ๆ
“นี่เป็นเรื่องดีสำหรับน้องเลยนะ
อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นสิ”
ชีคอัปดุลกล่าวเมื่อเห็นสีหน้าน้องสาวต่างมารดาไม่สู้ดีนัก
“ละ...แล้วเหตุใดจึงต้องเป็นน้อง?”
หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว
“น้องก็รู้
ว่า...สหรัฐอาหรับฟาเราะห์ประกอบด้วยสิบรัฐ โดยมีรัฐยัสซิมเป็นเมืองหลวง
และมีสองรัฐอารักขา คือ รัฐคาฟาห์ กับ รัฐนูมาน นับว่าชีคยัสซิมมีเมตตาที่ยกย่องรัฐของเรา
มาบัดนี้ท่านต้องการสละราชสมบัติให้ชีคลีธหากแต่ติดตรงที่ไม่มีคู่หมั้นหมาย
นี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะตอบแทนกลับคืนทั้งยังผูกสัมพันธ์ระหว่างรัฐให้สมานฉันท์
เจ้าจะทำเพื่อครอบครัวและชาวเมืองไม่ได้กระนั้นหรือ?”
คำพูดของชีคอัปดุลมีน้ำหนักทั้งยังยกเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบต่อรัฐขึ้นมาจนท่านราเนียหมดหนทาง
“ตำแหน่งธิดาจากชายารองอาจทำให้ใครหลายคนไม่เคารพนับถือเจ้า
ข้าเองก็เข้าใจและต้องการช่วยจึงได้ส่งเจ้าไปเป็นคู่หมั้นของชีคลีธเพื่อภายภาคหน้าจะได้มีตำแหน่งเป็นถึงราชินี
นับว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้แม่ของเจ้าภาคภูมิใจมิใช่หรือ?” ท่านฮาดีลสมทบ
“ดูสิ...ท่านแม่กับท่านพี่อุตส่าห์เมตตาหวังดีขนาดนี้เจ้ายังกล้าขัดขืนฝืนใจอีกกระนั้นหรือ
นี่หากหนังสือแจ้งยังไม่ถูกส่งข้าคงรับตำแหน่งนี้เสียเอง!”
ท่านอัฟรินกล่าวอีกคน
ความหวังดี...ที่เธอไม่เคยต้องการ
แล้วจะให้ยินดีรับได้อย่างไร?
“มัดมือชกชัดๆ...มีอย่างที่ไหนส่งตัวไปเป็นคู่หมั้นโดยไม่บอกไม่กล่าว
หรือ ถามความคิดเห็น!”
ชาไมราห์โวยวายทันทีที่ทราบเรื่องหลังจากผู้เป็นนายกลับมาถึงที่พัก
“ท่านแม่...ลูกจะทำอย่างไรดีคะ?”
ท่านราเนียรู้สึกมืดแปดด้านพลางทรุดลงนอนหนุนตักผู้เป็นมารดาอย่างเศร้าเสียใจ
“อย่าคิดมากเลยราเนีย
นี่อาจเป็นเรื่องดีที่จะได้พานพบประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิต
ถึงไม่ไปวันนี้...สักวันลูกก็จะต้องออกเรือนอยู่ดี”
ท่านกาเนียปลอบโยนพลางลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ
“แต่ลูกอยากเลือกคู่ชีวิตด้วยตัวเอง
ไม่ใช่มีผู้อื่นมากำหนดให้เยี่ยงนี้!”
“ท่านฮาดีลคงหวังดี
มิเช่นนั้นคงไม่ส่งลูกไปเป็นคู่หมั้นของชีคลีธ
ตำแหน่งราชินีหาใช่ว่าใครจะได้เป็นง่ายๆ”
“หากดีจริงดั่งว่า
เหตุใดท่านฮาดีลจึงไม่เลือกท่านอัฟรีนธิดาของตนส่งไปเป็นคู่หมั้นล่ะคะ...เพียงแค่นี้ก็ผิดแปลกจนน่าสงสัยแล้ว!”
สาวใช้คนสนิทโพล่งอย่างค้างคาใจ แต่แล้วก็ต้องหุบปากเงียบเมื่อสตรีสูงวัยส่งสายตาดุดันมาให้ด้วยเกรงว่าลูกสาวจะทุกข์มากกว่าเดิม
หยดน้ำใสๆไหลหยาดจากดวงตาคู่งามจนชุ่มตักผู้เป็นมารดาที่ทำได้เพียงปลอบโยนลูกสาวให้รับชะตากรรมครั้งนี้อย่างเงียบๆ
เนื่องจากไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งของชีคผู้ปกครองรัฐได้ หัวใจของท่านราเนียเหน็บหนาวจนรู้สึกว่าอ้อมกอดของท่านกาเนียยังไม่อาจบรรเทาได้แม้แต่นิดเดียว
ขบวนรถยาวเหยียดนับยี่สิบคันแล่นไปตามถนนซึ่งมุ่งสู่รัฐยัสซิมอย่างช้าๆ
ทั้งหมดวิ่งโอบล้อมรอบรถยุโรปคันหรูราวกับปกป้องจากภัยอันตราย หากหญิงสาวซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีสันสดใสด้านในกลับคิดว่าเพื่อป้องกันเธอหลบหนีเสียมากกว่า
แม้ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาจะพยายามทำใจกับเรื่องคู่หมั้นสักเพียงใดก็ยังอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ทุกครั้ง
ต้องจากบ้านเกิดและเมืองเกิด...
ต้องจากมารดาผู้เป็นที่รัก...
เพื่อไปอยู่กับครอบครัวของคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน...คิดเพียงแค่นั้นความเศร้าก็มาเยือนอีกครา
“ท่านราเนียอย่าร้องไห้...ประเดี๋ยวไม่สวยนะคะ”
ผ้าเช็ดหน้าถูกส่งให้สตรีสูงศักดิ์ที่รับไปซับน้ำตาเบาๆ
“ชาไมราห์...ตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังอยู่เคียงข้างข้า”
ท่านราเนียพูดพลางกุมมือสาวใช้คนสนิทเอาไว้
“ไม่ใช่เพียงฉันค่ะ...ท่านกาเนียแม้จะไม่มีโอกาสได้ติดตามมาด้วย
แต่เชื่อว่าท่านจะคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ตลอดเวลา”
ชาไมราห์ปลอบใจผู้เป็นนายจนใบหน้าซึ่งอาบด้วยความหมองเศร้าคลายลงพร้อมคลี่ยิ้มน้อยๆ
“ขอบใจเจ้ามาก”
อาคารบ้านเรือนรูปทรงโบราณเก่าแก่สร้างจากอิฐและหิน
คือ มนตร์เสน่ห์ของรัฐยัสซิม ซึ่งแตกต่างจากรัฐอื่นๆที่เจริญด้วยตึกรามบ้านช่องใหญ่โต
เพราะที่นี่ต้องการรักษาวัฒนธรรมบางส่วนเอาไว้สืบต่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
นัยน์ตาคมกวาดมองโดมหัวหอมสีสันสวยสดงดงามของมัสยิดต่างๆคละเคล้าอาคารบ้านเรือนด้วยความสนใจจนหลงลืมความทุกข์ชั่วครู่ชั่วยามราวต้องมนต์
สมกับเป็นเมืองหลวงหัวใจสำคัญของประเทศ...เพียงล่วงล้ำเข้าสู่เขตแดนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไออาหรับได้อย่างแท้จริง
ขนาดหญิงสาวเองยังอดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้
หากชาวต่างชาติมาเห็นที่นี่คงต้องตราตรึงทัศนียภาพอันงดงามนี้ไว้ในหัวใจ
ชาวบ้านชาวเมืองต่างเหลียวมองยามขบวนรถแล่นผ่านราวรับรู้ข่าวสารก่อนล่วงหน้าว่าจะมีแขกพิเศษมาเยือน
ทว่า
ท่านราเนียหาได้แปลกใจเพราะเดาได้ไม่ยากว่าทุกคนในที่นี้คงเตรียมการต้อนรับในฐานะว่าที่คู่หมั้นของรัชทายาทแห่งสหรัฐอาหรับฟาเราะห์แล้วเป็นแน่
ไม่นานนักรถก็แล่นเข้าสู่เขตพระราชวังซึ่งขนาบสองฝั่งถนนด้วยป้อมปราการสูงใหญ่ก่อนถึงประตูรั้ว
ทหารหลายนายแสดงความเคารพแล้วเปิดทางให้เข้า หัวใจดวงน้อยเริ่มระส่ำอย่างตื่นเต้นเมื่อต้องตระหนักว่าสถานที่แห่งนี้
คือ บ้านใหม่ที่ต้องอยู่ตลอดไป...
“ข้ากลัวจังเลยชาไมราห์”
ท่านราเนียกระซิบบอกสาวใช้ร่างท้วมที่เดินตามต้อยๆเข้าไปในเขตพระราชวังด้านใน
“อย่ากังวลเลยค่ะ
ฉันได้ยิน ว่า...ชีคยัสซิมใจดีมีเมตตา
ส่วนชีคลีธก็เป็นสุภาพบุรุษจนสาวๆทั่วประเทศถึงกับหลงใหลทันทีเมื่อแรกพบเลยนะคะ”
สตรีสูงศักดิ์ยิ้มเจื่อนๆอย่างระอาหลังพบว่าข้ารับใช้คนสนิทเริ่มตกอยู่ในห้วงภวังค์ความฝันอีกครั้งยามพูดถึงว่าที่คู่หมั้นของเธอ
โถงใหญ่ใจกลางพระราชวังมีผู้คนจำนวนหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว
แต่ที่โดดเด่นและสง่างามคงหนีไม่พ้นชายสูงวัยในชุดกันดูเราะห์สีครีมซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา...ชีคยัสซิม
โมฮัมหมัด กษัตริย์แห่งสหรัฐอาหรับฟาเราะห์! เขาลุกขึ้นต้อนรับแล้วเดินเข้ามาหาเธออย่างเชื่องช้าและสุขุม
“เจ้าคงเป็น...ท่านหญิงราเนีย
อูล่าห์ แห่ง รัฐนูมาน”
“ค่ะ!” ท่านราเนียตอบรับ
“ใบหน้าสะสวย
มีส่วนละม้ายคล้ายชีคนูมานมากทีเดียว”
“ขอบคุณค่ะท่าน” ริมฝีปากเรียวบางเผยอยิ้มหวานอย่างถ่อมตนและยินดีรับในคำชมนั้น
ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยพินิจพิจารณารูปทรงสะโอดสะองของสตรีตรงหน้า
ช่างเพียบพร้อมสง่างามเหมาะสมกับลูกชายคนโตเสียเหลือเกิน
“ลีธอยู่ที่ไหน...ออกมาพบว่าที่คู่หมั้นของเจ้าสิ” ชีคยัสซิมหันไปเรียกใครบางคนจากกลุ่มโอรสและธิดาที่ยืนปะปนรวมกันนับสิบกว่าคน
บุรุษหนุ่มในชุดกันดูเราะห์สีขาวก้าวออกมา
ใบหน้าสะอาดสะอ้านแต้มด้วยหนวดเคราบางๆใต้กูฟียะห์ชวนให้ดูคมเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลใต้คิ้วหนาดึงดูดท่านราเนียจนแทบลืมหายใจ
แม้เคยเห็นภาพของเขาในหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารก็ไม่อาจเทียบเท่าตัวจริงได้เลยแม้แต่น้อย
“ผมอยู่นี่ครับ”
เขาหยุดยืนข้างหญิงสาวที่ใจเต้นอย่างเขินอาย
แม้เธอไม่ได้หลงใหลชีคลีธมาก่อนแต่เมื่อคิดว่าผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นคู่ครองในอนาคตก็อดประหม่าไม่ได้
“ทั้งคู่คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายแล้วนะว่าใครเป็นใคร
ประเดี๋ยวจะเคอะเขินเสียเปล่าๆ จริงสิ...ท่านหญิงราเนียคงเหนื่อยจากการเดินทาง
ลีธเจ้าช่วยพาน้องไปพักผ่อนยังห้องหับที่จัดเตรียมไว้หน่อยนะ”
“ครับ...ท่านพ่อ!!!” เขารับคำชีคยัสซิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางเดินนำออกไปจากโถงใหญ่
ท่านราเนียรีบก้าวตามบุรุษหนุ่มจนเกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งจากกระพรวนสร้อยข้อเท้าราวกับช่วยกลบเสียงหัวใจซึ่งเต้นดังและเร็วเพราะเหนื่อยปนตื่นเต้นเมื่อตอนนี้อยู่กับเขาเพียงลำพังสองคนบริเวณทางเดินระเบียงที่ทอดยาวโดยไร้เหล่าข้าราชบริพาร
แม้แต่ชาไมราห์เองก็ถูกจับแยกไปพักเรือนเฉพาะของสาวใช้จะเข้ามาในบริเวณนี้ได้ต่อเมื่อมีการเรียกใช้งานเท่านั้นจึงค่อนข้างส่วนตัวพอสมควร
“รอฉันด้วยค่ะ!!!” เธอร้องบอกชายหนุ่มพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งก่อนจะต้องยั้งฝีเท้าเอาไว้ในฉับพลันเมื่อชีคลีธหยุดเดินเสียดื้อๆ
ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองแล้วพินิจดวงหน้าคมสวยของสตรีซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นอย่างพิจารณา
แล้วเหยียดริมฝีปากขึ้นสูงอย่างเย้ยหยัน
“ไม่นึกเลย
ว่า...ผู้หญิงหน้าตาสวยๆทั้งยังเป็นผู้ดีอย่างคุณจะหาผู้ชายในรัฐตัวเองไม่ได้จนขนาดถ่อมาจับถึงที่นี่!” คำพูดของชีคลีธสร้างความตกตะลึงให้แก่สตรีสูงศักดิ์เป็นอย่างมาก
“หมายความว่าอะไรคะ?” เธอถามย้ำราวกับไม่เชื่อหูว่าสิ่งที่ได้ยินจะหลุดออกมาจากปากของว่าที่คู่หมั้น
“ผมพูดดีเกินไปจนไม่เข้าใจสินะ
ถ้าพูดสั้นๆ ว่า...ส่ำส่อน เข้าใจมั้ย?”
ท่านราเนียแทบหยุดหายใจในวินาทีแรกที่ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ภายในหัวสับสนปนเปจนแยกไม่ถูกว่าควรตกใจหรือโกรธกับสิ่งที่ได้ยิน
แต่แล้วก็ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“นี่...ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจนะ!”
“แล้วจะให้เข้าใจว่าอย่างไร...ในเมื่ออยู่ดีๆก็มีคนประเคนคุณโดยที่ผมยังไม่ได้เรียกร้องอะไรสักคำ
ถ้าไม่ได้คิดจับผู้ชายก็คงหวังสมบัติสินะ!”
ในตอนนี้ความโกรธเริ่มปะทุขึ้นในอกของหญิงสาวจนเกือบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
แม้เธอจะเกิดมาในฐานะที่โดนดูถูกแต่ไม่เคยมีใครใช้คำหยาบคายแบบนี้มาก่อนในชีวิต
“ฉันไม่ได้หวังสมบัติ...คุณควรให้เกียรติฉันในฐานะว่าที่คู่หมั้น
หรือ ธิดาของชีคนูมาน ซึ่งมีศักดิ์เป็นสหายของชีคยัสซิมบ้าง!”
“ไม่จำเป็น...หนึ่ง
คือ ผมไม่ได้เต็มใจรับคุณเป็นคู่หมั้น สอง คือ ชีคนูมานเป็นสหายของท่านพ่อซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย...จำใส่ใจเอาไว้ให้ดี!”
พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปท่ามกลางความโมโหของท่านราเนียที่ไม่อาจโต้ตอบอะไรกลับไปได้
เนื่องจากเธอยังไม่สามารถตั้งตัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพียงอย่างเดียวที่รับรู้ในตอนนี้...
นี่น่ะเหรอ...สุภาพบุรุษของผู้หญิงทั้งประเทศ
โกหกพกลมสิ้นดี!
ความคิดเห็น