คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
ยามเช้าไม่ได้สดใสเฉกเช่นทุกวันที่เคยเป็นเมื่อต้องอยู่แปลกที่แปลกถิ่น
ร่างบางพลิกกายไปมาบนเตียงไม้ขนาดใหญ่ราวไม่ปรารถนาออกไปพบปะผู้คนไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
ทว่า ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรเสียก็ต้องร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้ากับทุกคน
เรือนผมสลวยถูกหวีอย่างเบามือตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่หลังจากอาบน้ำแต่งตัว
พลางหมุนซ้ายหมุนขวาตรวจดูความเรียบร้อยของชุดตัวยาวที่สวมใส่แล้วพร้อมออกไปเผชิญหน้ากับความจริงในวันนี้
กลิ่นหอมของกาวาห์กาแฟอาหรับฟุ้งตลบอบอวลภายในห้องอาหารซึ่งแออัดด้วยเหล่าวงศ์ญาติของท่านผู้นำประเทศ
ดวงหน้างามพยายามเหลียวหาที่ๆสมควรอยู่จวบจนพบชีคยัสซิมซึ่งส่งยิ้มแล้วกวักมือเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเองทำให้มิอาจปฏิเสธความหวังดีได้
แม้ผู้ร่วมโต๊ะจะมีว่าที่คู่หมั้นแสนเกลียดชังก็ตาม!
“ราเนีย...เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่?” ผู้ทรงอำนาจตรงหัวโต๊ะเอ่ยถามเธอที่เข้าไปนั่งยังฝั่งเดียวกับสตรีสูงศักดิ์อีกคน
เนื่องจากไม่ต้องการอยู่เคียงข้างชายหนุ่มซึ่งก้มหน้าก้มตากิน ฟูล เมดาเมส
อาหารเช้าง่ายๆทำจากถั่วฟาวาต้มเปื่อยโดยไม่ใส่ใจหญิงสาวแม้แต่นิดเดียว
“หลับสบายดีค่ะ” นี่ถือเป็นการโกหกคำโตของเธอที่มีต่อกษัตริย์เลยทีเดียว แต่จะให้ตอบ
ว่า...นอนไม่หลับเพราะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนได้อย่างไร
“ถ้าขาดเหลืออะไรบอกได้เลยนะ
ข้าจะสั่งสาวใช้ให้จัดเตรียมไว้”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“จริงสิ...ข้าคิดเรื่องวันหมั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เดือนหน้าเป็นอย่างไร?” คำถามนี้สร้างความกระอักกระอ่วนในใจหญิงสาวเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่ต้องการให้ถึงวันนั้นเร็วเกินไป
ทว่า...คงไม่มีอำนาจคัดค้านได้
“ตามความเห็นชอบของท่านค่ะ”
“แล้วเจ้าล่ะ...ลีธ?” ผู้สูงวัยหันไปถามลูกชายที่ยังคงก้มหน้าก้มตาใส่ใจมื้อเช้ามากกว่า
“หากท่านพ่อเห็นชอบ
ผมจะขัดคำสั่งได้อย่างไรครับ?”
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้...เด็กๆคุยกันไปก่อนข้าจะลองถามความเห็นชอบจากคนอื่นๆด้วย”
ชีคยัสซิมลุกออกไปสนทนาร่วมกับโต๊ะอื่นๆโดยปล่อยให้ทุกคนได้นั่งคุยกันตามลำพัง
ทว่า นั่นยิ่งสร้างความอึดอัดแก่ท่านราเนียเหลือเกิน หากไม่มีสตรีอีกคนที่นั่งเคียงข้างคงอกแตกตายแล้วเป็นแน่
“ฉันชื่อ
ยามีล่า เป็นน้องสาวต่างมารดาของท่านพี่ลีธ...ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” สตรีผู้นั้นชวนคุยเพื่อลดความอึมครึมก่อนยิ้มแย้มให้ท่านราเนียอย่างเป็นมิตร
ดวงตาคมสวยของอีกฝ่ายฉายแววปีติยินดีดั่งคำพูดแสดงถึงความจริงใจชัดเจน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ...ท่านยามีล่า”
“หากท่านราเนียรู้สึกเหงาสามารถพูดคุยกับฉันได้เสมอนะคะ
เพราะฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร...พูดแล้วน่าอายจัง”
“เอ๊ะ...แต่ชีคยัสซิมมีโอรสธิดามากมาย
เหตุใดท่านยามีล่าจึงไม่ค่อยมีเพื่อนล่ะคะ?”
ท่านราเนียถามด้วยความสงสัย ทั้งที่เห็นมีใครหลายคนรุ่นราวคราวเดียวมากมายแท้ๆ
“เป็นพี่น้องแต่ต่างมารดา...อย่างไรเสียสายเลือดก็ไม่เข้มข้นเยี่ยงพี่น้องแท้ๆหรอกค่ะ” คำตอบชวนว้าเหว่ส่งผลให้ท่านราเนียอดใคร่ครวญคิดถึงชีวิตตนเองไม่ได้เมื่อมีพี่น้องต่างมารดาเช่นกัน...
“น้อยๆหน่อยแม่ตัวดี...แล้วพี่คนนี้ไม่จริงใจกับน้องหรืออย่างไร?”
ชีคลีธรีบแย้งทันที
“ผู้ชายอะไรขี้น้อยใจ...ถึงจะสนิทสนมมากแค่ไหนพี่ชายก็ไม่เหมือนพี่สาว
น้องอยากได้ท่านราเนียเป็นพี่สะใภ้ใจจะขาดทั้งสวยและน่ารักขนาดนี้”
“แม่ตัวดีเอ้ย!”
เขาหยิกแก้มน้องสาวต่างมารดาอย่างเอ็นดูราวพี่น้องแท้ๆ
ท่านราเนียรู้สึกอิจฉาพอสมควรเมื่อเห็นภาพความสนิทสนม หาก ชีคอัปดุล และ
ท่านอัฟรีน ดีกับเธอบ้างสักเล็กน้อยคงมีความสุขมากกว่านี้ ทว่า มีบางอย่างชวนสงสัย
ทำไมเขาดูอบอุ่นกว่าเมื่อวาน
ทั้งที่ปากคอเราะร้ายแต่อ่อนโยนกับน้องสาวเหลือเกิน?
เธอคงเข้าใจผิดกระมัง...ชีคลีธอาจเคร่งเครียดเรื่องภาระหน้าที่มากมายจนพาลโมโหใส่ก็เป็นได้
ทว่า ความคิดนั้นต้องชะงักเมื่อเขาเหลียวมองมา
“วันนี้ผมต้องไปร่วมงานพิธีเปิดมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า!”
“อ้าว...แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะคะ?”
ท่านราเนียถาม
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไรในเมื่อคุณเป็นว่าที่คู่หมั้นของผม
หลังจากนี้ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนคุณจำเป็นต้องไปด้วยทุกที่เพื่อให้สื่อมวลชนถ่ายภาพและรับรู้!”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีศิลาหนักอึ้งอยู่ในอกเพียงได้ยิน
อยากร้องไห้เสียให้ได้เมื่อต้องดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของธรรมเนียมที่วางไว้โดยทิ้งวิถีชีวิตอันน่าพึงพอใจไว้เบื้องหลัง...
“ชุดนี้เหมาะกับท่านราเนียมากค่ะ”
ชาไมราห์จัดชุดสีส้มสดใสบนตัวของผู้เป็นนายพลางคลุมผ้าสีเดียวกันบนศีรษะให้อย่างบรรจงเพื่อปกปิดเส้นผมสีน้ำตาลแสนสวย
ทว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่หาได้เหมาะสมกับชุดงามนั่นคือ ใบหน้าบูดบึ้ง
“ทำไมทำหน้าแบบนี้...ไม่สวยเลยนะคะ” สาวใช้คนสนิทตำหนิอย่างไม่ชอบใจ
“ข้าไม่ชอบชีคลีธ!”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงดังและหนักแน่น จนคนใกล้ชิดถึงกับยกมือขึ้นทาบอกแล้วเหลียวซ้ายแลขวาอย่างประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะมีใครได้ยิน
“เบาๆค่ะ
ประเดี๋ยวมีใครได้ยิน”
“ช่างประไร...คนไม่ชอบก็คือไม่ชอบ
การหมั้นหมายครั้งนี้หาได้เกิดจากความพึงพอใจแต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างรัฐ!”
“ท่านราเนียยามโมโหไม่งามเลย
ประเดี๋ยวชีคลีธจะรอนาน...รีบออกไปพบเถอะค่ะ” สาวใช้ร่างท้วมเอ็ดผู้เป็นนายประหนึ่งน้องสาว
“ข้าไม่สนใจ
อยากรอก็รอเพราะข้าไม่ได้เต็มใจอยากไป!!!” เธอตอบอย่างไม่ยี่หระเมื่อคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อวาน
“ไม่จำเป็น...หนึ่ง คือ
ผมไม่ได้เต็มใจรับคุณเป็นคู่หมั้น สอง คือ
ชีคนูมานเป็นสหายของท่านพ่อซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย...จำใส่ใจเอาไว้ให้ดี!”
คอยดูเถอะ...จะเอาคืนบ้าง!
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องทำให้สตรีสูงศักดิ์สั่งชาไมราห์ออกไปดู
พลัน ใบหน้าบูดบึ้งก็กลับกลายเป็นยิ้มแย้มเมื่อพบแขกผู้มาเยือน
“ท่านยามีล่า...มาได้อย่างไรคะ?”
“ท่านราเนียออกไปช้าเลยเป็นห่วงน่ะค่ะ
ฉันนึกว่ายังแต่งตัวไม่เสร็จเสียอีก”
“ท่านราเนียดื้อรั้นไม่ยอมออกไปเพราะโกรธชีคลีธน่ะสิคะ” ชาไมราห์ได้ทีรีบฟ้องจนผู้เป็นนายต้องหันค้อนด้วยสายตาดุดัน
หากแต่ท่านยามีล่ากลับหัวเราะเบาๆ
“อย่าถือสาท่านพี่ลีธเลยค่ะ
ความจริงแล้วเขาเป็นคนใจดีมีน้ำใจมากๆเลยนะคะ”
คำยกยอชายหนุ่มของท่านยามีล่าทำให้ท่านราเนียอดลังเลไม่ได้ ว่า...สมควรเชื่อหรือไม่
ในเมื่อสิ่งที่เธอพบไม่เหมือนสิ่งที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
“เหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ...ในบรรดาพี่น้องต่างมารดา
มีท่านพี่ลีธกับท่านพี่คาฟาห์ใจดีที่สุด!”
“เอ๊ะ...ท่านพี่คาฟาห์ที่ว่า
คือ ชีคผู้ปกครองรัฐคาฟาห์ใช่หรือไม่คะ?”
หญิงสาวเคยได้ยินกิตติศัพท์ชีคหนุ่มผู้ปกครองรัฐคาฟาห์หนึ่งในรัฐอารักขาร่วมกับรัฐนูมาน
ว่า...เป็นคนเก่งและมีความสามารถ ทั้งเคยมีข่าวร่ำลือว่าเป็นรัชทายาทของสหรัฐอาหรับฟาเราะห์จนโดนจับตามองแทบทุกฝีก้าว
หากแต่เมื่อมีการเปิดเผยรัชทายาทตัวจริงทำให้หลายฝ่ายหยุดการเพ่งเล็งท่านผู้นำรัฐคนนั้นไปโดยปริยาย
“ใช่ค่ะ”
“ฉันได้ยิน ว่า...ชีคท่านมีชายาเป็นผู้หญิงต่างประเทศ
เอ๊ะ...ชื่ออะไรน้า...?”
ท่านราเนียพยายามครุ่นคิดเนื่องจากเคยเห็นข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ประปราย
เท่าที่จำได้ คือ หักอกผู้หญิงเกือบครึ่งประเทศ จนตอนนี้ชีคลีธกลายเป็นดาวดวงใหม่เสียแทน
“ชื่อมนตร์ทรายเป็นชาวไทยค่ะ
แต่กว่าจะฝ่าฟันจนได้แต่งงานก็วุ่นวายมากมายทีเดียว เพราะท่านพี่คาฟาห์เป็นคนปากแข็ง
โชคดีที่ได้ท่านพี่ลีธมาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา...มิเช่นนั้นป่านนี้คงยังระหองระแหงกันอยู่เป็นแน่”
ท่านยามีล่ากล่าวด้วยความชื่นชมจนอีกฝ่ายรู้สึกค้างคาใจมากกว่าเดิม
“ชีคลีธอาจเป็นคนดีมีน้ำใจก็จริง
แต่ฉันก็ไม่ชอบคำพูดจาหยาบคายของเขาอยู่ดี”
นั่นเป็นสิ่งที่ท่านราเนียรับไม่ได้ที่สุด!
“หยาบคาย...ท่านพี่ลีธพูดจาหยาบคายเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ...ทั้งหยาบคาย
รุนแรง และ ไม่ให้เกียรติ!”
“เป็นไปได้อย่างไร...ท่านราเนียเข้าใจผิดหรือเปล่าคะ?”
สีหน้าของท่านยามีล่าแสดงถึงความไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวกล่าวเลยแม้แต่น้อย
เฉกเช่นสาวใช้ซึ่งหมอบอยู่ห่างๆก็อดฉงนไปด้วยไม่ได้
“ฉันพูดจริงๆนะคะ...ชีคลีธหยาบคายมากๆ”
“เอ๊ะ...หรือท่านราเนียคิดมากเรื่องเมื่อเช้า
คงเพราะท่านพี่ลีธเป็นคนตรงและรักษาเวลาจึงหงุดหงิดอารมณ์เสียแล้วพูดจาใส่อารมณ์...อย่าคิดมากเลยค่ะ”
ใบหน้าคมสวยของหญิงสาวเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
เริ่มอับจนปัญญาที่จะอธิบายให้ใครต่อใครฟังในสิ่งที่เธอเจอะเจอกับตนเอง
ครั้นจะให้เล่ารายละเอียดทั้งหมดก็คงไม่เกิดผลเมื่อทั้งท่านยามีล่าและชาไมราห์ยังคิดว่าชายหนุ่มดีเลิศในสายตา
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ทุกคนภายในห้องนั้นถึงกับสะดุ้ง
สาวใช้คนสนิทรีบกุลีกุจอไปเปิดประตูต้อนรับบุคคลที่เพิ่งถูกกล่าวพาดพิง
เขามองดูน้องสาวแล้วถอนหายใจเบาๆ
“ยามีล่า...พี่นึกว่าน้องหลงทางเสียแล้ว
หายไปนานเหลือเกิน”
“แหม...ท่านพี่ลีธ
น้องแค่เผลอคุยกับท่านราเนียนิดเดียวเอง”
ท่านยามีล่ากล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี
ขณะที่สตรีสูงศักดิ์อีกคนเริ่มลังเลสงสัยกับท่าทางสบายๆของชายหนุ่ม หรือ คิดมากเกินไปจริงๆ?
ทว่า ผิดถนัดเมื่อใบหน้าคมคายหันขวับมองอย่างเคร่งขรึม ราวสะบัดความอ่อนโยนยามคุยกับน้องสาวทิ้งเอาไว้เพื่อไม่นำมาใช้กับเธอ
“ความรับผิดชอบต่อเวลาและหน้าที่ง่ายๆยังไม่มีแล้วจะเป็นราชินีในอนาคตได้อย่างไร
หรือ คิดว่าเป็นธิดาชีคนูมานแล้วจะเอาแต่ใจ...ถ้าเช่นนั้นก็กลับรัฐไปเลย!”
คราวนี้ไม่เพียงเฉพาะท่านราเนียที่ตกตะลึง
เนื่องจากท่านยามีล่าและชาไมราห์ก็ถึงกับอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน
ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน...ชีคลีธจะพูดจารุนแรงกับผู้หญิงซึ่งได้ชื่อว่าเป็น
ว่าที่คู่หมั้น
“ถ้าคุณยังอยากมีตำแหน่งว่าที่คู่หมั้นไว้ค้ำคอตัวเองก็รีบๆตามมาได้แล้ว!!!” ร่างสูงโปร่งหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ยี่หระกับสายตาของทุกคน
ท่านราเนียพยายามอดทนคำดูหมิ่นของเขาแล้วจำยอมตามไปอย่างว่าง่ายแม้นึกเจ็บใจจนแทบตายก็ตาม
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กตัวเล็กๆแข่งกับเสียงของผู้ใหญ่ที่กำลังพูดคุยกัน
ทุกคนที่มาร่วมงานพิธีเปิดมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ดูมีหน้ามีตาในสังคม และ เคยเห็นจากสื่อต่างๆบ้างพอสมควร
บุรุษส่วนใหญ่สวมใส่ชุดกันดูเราะห์สีขาวสะอาดสลับคละเคล้ากับชุดสูททางการเป็นสากล
ส่วนสตรีก็สวมชุดอาบายะห์แล้วปิดหน้าปิดตาบ้างแค่คลุมฮิญาบหลวมๆพอพรางเส้นผมไม่ให้ประเจิดประเจ้อตามหลักศาสนาเท่านั้น
เหยี่ยวข่าวหลายสำนักทั้งจากรัฐยัสซิมและรัฐต่างๆเข้ามาร่วมทำข่าวกันหนาแน่นคงเพราะเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของ
ชีคลีธ โมฮัมหมัด แห่ง รัฐยัสซิม และ ท่านหญิงราเนีย อูล่าห์ แห่ง รัฐนูมาน
ในฐานะว่าที่คู่หมั้น
ทันทีที่ทั้งคู่ออกจากรถยุโรปคันงามซึ่งจอดขนาบหน้างานก็ถูกห้อมล้อมด้วยสื่อมวลชนหลายแขนง
ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ จนเหล่าองครักษ์ต้องช่วยแยกเพื่อความปลอดภัย
ท่านราเนียอดประหม่าในใจไม่ได้เนื่องจากไม่เคยโดนต้อนรับมากมายอย่างล้นหลามขนาดนี้จึงทำได้เพียงเดินตามว่าที่คู่หมั้นไปอย่างเงียบๆจวบจนถึงเวทีกลางแจ้งขนาดเล็กๆบริเวณสถานที่จัดงาน
ลูกโป่งสีสันต่างๆนานาถูกติดประดับตกแต่งตามเชือกที่โยงระหว่างเสาแต่ละต้นจนคล้ายสวนสนุกหย่อมๆ
ทั้งยังมีซุ้มอาหารมากมายไว้บริการแขกเหรื่อและเหล่าเด็กกำพร้าจนกลายเป็นความกันเองอย่างลงตัว
“คุณนั่งรอผมตรงนี้ละกัน
ถ้าต้องการอะไรก็บอกพวกองครักษ์” ชีคลีธหันมาสั่งก่อนแยกตัวออกไปร่วมสนทนากับคนอื่นๆ
แม้รัชทายาทหนุ่มจะปล่อยให้เธออยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง
ทว่า กลับเป็นเรื่องดีสำหรับหญิงสาวเมื่อหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้นกว่าตอนที่อยู่กับเขา
น่าเสียดาย...ชาไมราห์และบรรดาสาวใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามมาด้วยมิเช่นนั้นคงอุ่นใจหายห่วง
บุรุษหนุ่มภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดยามสายดูน่าหลงใหลกว่าที่เคยเป็น
ทั้งยังสง่างามจนอดเผลอชายตามองตามไม่ได้ ใบหน้าเคร่งเครียดขณะอยู่กับเธอบัดนี้กลายเป็นหัวเราะร่าเริงเมื่อพูดคุยกับแขกท่านอื่นๆและส่งยิ้มหวานแก่สุภาพสตรีที่ผ่านไปมาอย่างเป็นกันเอง
จนท่านราเนียแทบไม่เชื่อว่าเขาคนนี้ คือ คนๆเดียวกับผู้ชายปากร้ายที่พบเจอ
หน้าที่ของหญิงสาวไม่มีอะไรมาก...เพียงแค่นั่งเฉยๆโดยมีองครักษ์เฝ้าขนาบอยู่ด้านหลังแล้วฟังพิธีกรสาวพูดเจื้อยแจ้วถึงวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งมูลนิธิแห่งนี้
จนกระทั่งเชิญแขกกิตติมศักดิ์อย่างชีคลีธขึ้นไปกล่าวเปิดงานบนเวทีพร้อมเสียงปรบมือกึกก้องทั่วบริเวณ
“เป็นเรื่องดีนะครับ...ที่มูลนิธิแห่งนี้กำเนิดขึ้นมาเพื่อเลี้ยงดูกล่อมเกลาเด็กๆให้เป็นเยาวชนที่ดีในอนาคตโดยลดปัญหาทางสังคมแม้พวกเขาจะขาดครอบครัวดูแล
แต่ผมเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะเลี้ยงดูพวกเขาไม่ให้ด้อยไปกว่ากัน
เพราะที่นี่ก็คือบ้านหลังหนึ่งของพวกเด็กๆ...”
การพูดของชีคลีธสร้างความประทับใจให้ใครหลายคน เฉกเช่นสตรีสูงศักดิ์ซึ่งนั่งฟังอย่างนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีความคิดค่อนข้างดี
ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ชีคยัสซิมเลือกให้เป็นรัชทายาทเพื่อปกครองประเทศต่อไป
ชายหนุ่มมองผู้คนด้านล่างเวทีที่ชื่นชมเขาด้วยความยินดีปรีดา
พลัน นัยน์ตาคมเหลือบพบเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวหกถึงเจ็ดขวบกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนๆตามประสาแล้วพลาดพลั้งหกล้มลงบนพื้นอย่างแรง
เสียงร้องไห้ดังจ้าลั่นงานทำให้ต้องหยุดพูดพลางขยับจะลงจากเวทีเพื่อช่วย แต่ช้าเกินไป...เมื่อท่านราเนียปรี่เข้าประคองเด็กน้อยท่ามกลางความตกใจของหลายคน
“ว้ายยย!!! ท่านราเนีย...ให้ฉันช่วยดูแลแกเถอะค่ะ” พี่เลี้ยงมูลนิธิคนหนึ่งรุดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แต่สตรีสูงศักดิ์กลับส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ
“เรื่องแค่นี้เอง
ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” เธอตอบพลางหันไปปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเด็กหญิงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส
“อย่าร้องไห้นะคะคนดี ไปกินไอศกรีมกับพี่มั้ย?” อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามท่านราเนียที่จูงมือไปอย่างว่าง่าย
“ท่านราเนียไม่ถือตัวเลย”
“นั่นสิ...ทั้งสวย
น่ารัก และ ใจดี เหมาะสมเป็นว่าที่คู่หมั้นของชีคลีธจริงๆ”
ชีคลีธกล่าวเปิดงานต่อไปท่ามกลางเสียงชื่นชมของใครหลายคน
ความรู้สึกสับสนบางอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาไม่ชอบท่านราเนียด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งการกระทำอันแสนอ่อนโยนเมื่อสักครู่ก็ได้ลบเลือนความเกลียดชังบางส่วน
ทว่า ไม่ทั้งหมด
ใบหน้าเปี่ยมสุขยามละเลียดไอศกรีมของเด็กหญิงสร้างความพึงพอใจแด่สตรีสูงศักดิ์เป็นอย่างมาก
ก่อนส่งตัวให้พี่เลี้ยงมูลนิธิดูแลต่อแล้วเดินออกไปชมรอบๆงานเพราะเบื่อนั่งฟังคนนั้นคนนี้พูดเพียงอย่างเดียว
ต้นไม้ใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านเยื้องหลังเวทีค่อนข้างร่มรื่น
กิ่งก้านพลิ้วไหวตามแรงลมจนได้ยินเสียงเสียดสีเบาๆของธรรมชาติประหนึ่งมนต์สะกดอันน่าหลงใหลชวนให้สองเท้าก้าวเข้าหา
ร่างบางทรุดลงนั่งใต้แมกไม้อย่างผ่อนคลายพลางชม้ายตามองลำแสงที่เล็ดลอดผ่านใบเบื้องบนลงกระทบพื้นเบื้องล่าง
พร้อมเท้าใครบางคนตรงเข้ามาหยุดยืน ณ บริเวณนั้น
“แผนเรียกร้องความสนใจ
และ คะแนนนิยมเข้าท่าดีนี่!!!”
ดวงหน้าคมสวยเงยมองว่าที่คู่หมั้นอย่างหงุดหงิดใจเมื่อเขาทำลายความสงบของเธอจนหมดสิ้น
“ฉันไม่ได้เรียกร้องความสนใจ
หรือ ทำอะไรบ้าๆอย่างที่คุณเข้าใจ ทำไมคุณต้องตามจองล้างจองผลาญจับผิดฉันแบบนี้!”
ท่านราเนียสวนกลับด้วยความโมโห โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาจึงไม่มีทางล่วงรู้ความสัมพันธ์อันแสนแย่ระหว่างเขากับเธอ
“ผมไม่เชื่อใจพวกผู้ดีรัฐนูมาน!”
“ทำไม...ฉันกับครอบครัวไปทำอะไรให้คุณ!”
นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีที่เขาจะจงเกลียดจงชังเธอและครอบครัวแบบนี้...ท่านราเนียรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“เพราะผมสงสัย
ว่า...ชีคอัปดุลพี่ชายของคุณจะเป็นกบฏ!!!”
“ไม่จริง!!! ท่านพี่อัปดุลไม่มีทางเป็นกบฏ
หยุดใส่ความและดูหมิ่นฉันกับครอบครัวเดี๋ยวนี้นะ!” เธอลุกขึ้นโวยวายอย่างหัวเสีย
“อย่าปฏิเสธเสียให้ยาก
สาเหตุที่พวกเขาส่งคุณมาหมั้นกับผมก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร!”
“การหมั้นครั้งนี้เพื่อสร้างมิตรภาพและความสมานฉันท์ระหว่างรัฐยัสซิม
และ รัฐนูมาน หยุดดูถูกส่งเดชแล้วขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!”
ในตอนนี้ท่านราเนียไม่ใส่ใจอีกต่อไป
ว่า...บุรุษตรงหน้าจะเป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ขนาดไหน
ในเมื่อคำพูดให้ร้ายนั้นรุนแรงจนเกินรับได้
“ทำไมผมต้องขอโทษกบฏที่พยายามแก้ตัวเพราะโดนจับได้...ไม่มีวัน!” พูดจบชีคลีธก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงานโดยทิ้งหญิงสาวให้คลุ้มคลั่งอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย
ทุเรศ...
ร้ายกาจ...
น่ารังเกียจ...
ตั้งแต่เกิดมาท่านราเนียยังไม่เคยพานพบผู้ชายหยาบช้าเยี่ยงชีคลีธ
เสียดายที่หลงเผลอไผลเข้าใจว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นรัชทายาทและว่าที่กษัตริย์ในอนาคต
ในเมื่อแท้จริงแล้วความเป็นมนุษย์ยังไม่สมควรจะได้รับด้วยซ้ำ!
ตะวันเริ่มคล้อยเคลื่อนจากเหนือศีรษะต่ำลงทีละนิดบ่งบอกถึงยามบ่ายที่ได้คืบคลานเข้ามา
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราผู้คนจึงค่อยๆบางตาลงจนเห็นได้ชัดแต่ท่านราเนียก็ยังไม่ยอมลุกหนีจากใต้ต้นไม้ใหญ่
ภายในหัวใจคุกรุ่นด้วยความเคืองโกรธเรื่องโดนดูถูก
“ท่านราเนีย...ชีคลีธให้มาตามไปขึ้นรถ
เราจะกลับพระราชวังกันแล้วครับ”
องครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาบอก
“ไปบอกชีคลีธ
ว่า...ตราบใดที่เขายังไม่ขอโทษ ฉันจะไม่มีวันลุกจากตรงนี้!”
หญิงสาวตอบ
นัยน์ตาคมเหลียวมองผ่านกระจกติดฟิล์มกรองแสงไปยังบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วเหยียดริมฝีปากอย่างดูแคลนหลังจากทราบในสิ่งที่องครักษ์รายงาน
“ถ้าไม่อยากกลับก็ตามใจ
เอ้า...ออกรถได้แล้ว!” เขาสั่งคนขับรถอย่างไม่สนใจไยดี
“เอ่อ...แต่...ท่านราเนียยัง...” คนขับรถหนุ่มลังเล
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้ากระนั้นหรือ!” น้ำเสียงที่ขึ้นสูงด้วยความโกรธทำให้ผู้อยู่ในโอวาทไม่รอช้ารีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
ขบวนรถที่ได้เคลื่อนออกไปจากมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าสร้างความตกตะลึงให้แก่ท่านราเนียเป็นอย่างมากเมื่อคิดไม่ถึง
ว่า...เขาจะกล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่
“บ้าที่สุดเลย!!!” หญิงสาวโวยวายด้วยความเจ็บใจเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมโชคชะตาจึงเล่นตลกกับเธอให้มาพบเจอความเลวร้ายของผู้ชายคนนี้
ในใจลึกๆหวังว่าเขาอาจย้อนกลับมารับทำให้ท่านราเนียนั่งรอบริเวณนั้นนานนับสองชั่วโมง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้วี่แววจึงจำใจโบกรถแท็กซี่กลับพระราชวังอย่างหัวเสีย เมื่อไปถึงก็พบชีคยัสซิมกำลังนั่งสนทนาพูดคุยกับเหล่าชายาและโอรสธิดาบางคนบริเวณโถงใหญ่ใจกลางพระราชวัง
หนึ่งในจำนวนนั้นมีบุคคลที่เธอแสนชังน้ำหน้ารวมอยู่ด้วย
“อ้าว...เจ้าไปไหนมาราเนีย?” ท่านผู้นำสูงสุดถามอย่างสงสัย
“เพิ่งกลับจากงานพิธีเปิดมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าค่ะ” เธอตอบตามตรงแล้วปรายตามองชีคลีธที่เหยียดยิ้ม
“อ้าว...ข้านึกว่าเจ้ากลับมาพร้อมลีธเสียอีก
ว่าอย่างไรเจ้าลูกชายตัวดี...เหตุใดจึงปล่อยราเนียเอาไว้เพียงลำพัง” ชีคยัสซิมหันไปถามโอรสของตน
“ลองถามเจ้าตัวดูสิครับ
ว่า...ยอมกลับกับผมหรือไม่”
ชายหนุ่มยักคิ้วนิดๆส่งให้หญิงสาวอย่างยียวนกวนประสาท
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...พอดีฉันอยากอยู่ชมงานต่อและต้องการดูทัศนียภาพรอบรัฐยัสซิมด้วย”
เธอบ่ายเบี่ยงเพราะไม่ต้องการให้มากความพลางขอตัวท่านผู้นำประเทศกลับขึ้นห้อง
เนื่องจากไม่ปรารถนาเห็นหน้าใครบางคน
สองวันในต่างรัฐสร้างความทุกข์แก่หญิงสาวจนรู้สึกเหนื่อยอ่อนเหลือกำลัง
ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่แล้วมองดูผ้าแพรสีม่วงเข้มที่ห้อยระย้าจากบนเพดานจรดเสาสี่ด้านอย่างปลงๆ
ชีวิตหรูหราภายในพระราชวังไม่ได้สวยหรูเลยแม้แต่น้อยในความคิดของเธอ
ไม่อบอุ่นเหมือนเรือนเล็กๆที่มีมารดาอาศัยอยู่ด้วย พลัน ท่านราเนียก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบผุดลุกไปยังโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้องแล้วนำกระดาษกับปากกาเขียนจดหมายถึงผู้ชายที่รัก
ท่านพี่ราชิด...
พี่ชายแท้ๆที่ตอนนี้กำลังศึกษาดูงานอยู่ไกลถึงฝั่งยุโรป
แม้เขาย้ายไปอยู่ที่โน่นนานนับสิบปีก็หาได้ลืมเลือนครอบครัวยังส่งจดหมายและโทรศัพท์มาบ่อยครั้ง
ทว่า เธอยังไม่ได้ส่งข่าวเรื่องย้ายมาอยู่รัฐยัสซิมให้ล่วงรู้และเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงทำให้ท่านราเนียต้องครุ่นคิดหาคำสวยหรูเพื่อผ่อนคลายความกังวลของพี่ชายแม้ความจริงจะโหดร้ายกว่าหลายเท่าก็ตาม
ความคิดเห็น