ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดุจทรายใต้ตะวัน

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.73K
      34
      6 ต.ค. 59

    ตอนที่ 2

     

    ยามเช้าไม่ได้สดใสเฉกเช่นทุกวันที่เคยเป็นเมื่อต้องอยู่แปลกที่แปลกถิ่น ร่างบางพลิกกายไปมาบนเตียงไม้ขนาดใหญ่ราวไม่ปรารถนาออกไปพบปะผู้คนไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ทว่า ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรเสียก็ต้องร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้ากับทุกคน

    เรือนผมสลวยถูกหวีอย่างเบามือตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่หลังจากอาบน้ำแต่งตัว พลางหมุนซ้ายหมุนขวาตรวจดูความเรียบร้อยของชุดตัวยาวที่สวมใส่แล้วพร้อมออกไปเผชิญหน้ากับความจริงในวันนี้

    กลิ่นหอมของกาวาห์กาแฟอาหรับฟุ้งตลบอบอวลภายในห้องอาหารซึ่งแออัดด้วยเหล่าวงศ์ญาติของท่านผู้นำประเทศ ดวงหน้างามพยายามเหลียวหาที่ๆสมควรอยู่จวบจนพบชีคยัสซิมซึ่งส่งยิ้มแล้วกวักมือเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเองทำให้มิอาจปฏิเสธความหวังดีได้ แม้ผู้ร่วมโต๊ะจะมีว่าที่คู่หมั้นแสนเกลียดชังก็ตาม!

    ราเนีย...เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่? ผู้ทรงอำนาจตรงหัวโต๊ะเอ่ยถามเธอที่เข้าไปนั่งยังฝั่งเดียวกับสตรีสูงศักดิ์อีกคน เนื่องจากไม่ต้องการอยู่เคียงข้างชายหนุ่มซึ่งก้มหน้าก้มตากิน ฟูล เมดาเมส อาหารเช้าง่ายๆทำจากถั่วฟาวาต้มเปื่อยโดยไม่ใส่ใจหญิงสาวแม้แต่นิดเดียว

    หลับสบายดีค่ะ นี่ถือเป็นการโกหกคำโตของเธอที่มีต่อกษัตริย์เลยทีเดียว แต่จะให้ตอบ ว่า...นอนไม่หลับเพราะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนได้อย่างไร

    ถ้าขาดเหลืออะไรบอกได้เลยนะ ข้าจะสั่งสาวใช้ให้จัดเตรียมไว้

    ขอบคุณมากค่ะ

    จริงสิ...ข้าคิดเรื่องวันหมั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เดือนหน้าเป็นอย่างไร?คำถามนี้สร้างความกระอักกระอ่วนในใจหญิงสาวเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่ต้องการให้ถึงวันนั้นเร็วเกินไป ทว่า...คงไม่มีอำนาจคัดค้านได้

    ตามความเห็นชอบของท่านค่ะ

    แล้วเจ้าล่ะ...ลีธ? ผู้สูงวัยหันไปถามลูกชายที่ยังคงก้มหน้าก้มตาใส่ใจมื้อเช้ามากกว่า

    หากท่านพ่อเห็นชอบ ผมจะขัดคำสั่งได้อย่างไรครับ?

    ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้...เด็กๆคุยกันไปก่อนข้าจะลองถามความเห็นชอบจากคนอื่นๆด้วย

    ชีคยัสซิมลุกออกไปสนทนาร่วมกับโต๊ะอื่นๆโดยปล่อยให้ทุกคนได้นั่งคุยกันตามลำพัง ทว่า นั่นยิ่งสร้างความอึดอัดแก่ท่านราเนียเหลือเกิน หากไม่มีสตรีอีกคนที่นั่งเคียงข้างคงอกแตกตายแล้วเป็นแน่

    ฉันชื่อ ยามีล่า เป็นน้องสาวต่างมารดาของท่านพี่ลีธ...ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ สตรีผู้นั้นชวนคุยเพื่อลดความอึมครึมก่อนยิ้มแย้มให้ท่านราเนียอย่างเป็นมิตร ดวงตาคมสวยของอีกฝ่ายฉายแววปีติยินดีดั่งคำพูดแสดงถึงความจริงใจชัดเจน

    ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ...ท่านยามีล่า

    หากท่านราเนียรู้สึกเหงาสามารถพูดคุยกับฉันได้เสมอนะคะ เพราะฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร...พูดแล้วน่าอายจัง

    เอ๊ะ...แต่ชีคยัสซิมมีโอรสธิดามากมาย เหตุใดท่านยามีล่าจึงไม่ค่อยมีเพื่อนล่ะคะ? ท่านราเนียถามด้วยความสงสัย ทั้งที่เห็นมีใครหลายคนรุ่นราวคราวเดียวมากมายแท้ๆ

    เป็นพี่น้องแต่ต่างมารดา...อย่างไรเสียสายเลือดก็ไม่เข้มข้นเยี่ยงพี่น้องแท้ๆหรอกค่ะ คำตอบชวนว้าเหว่ส่งผลให้ท่านราเนียอดใคร่ครวญคิดถึงชีวิตตนเองไม่ได้เมื่อมีพี่น้องต่างมารดาเช่นกัน...

    น้อยๆหน่อยแม่ตัวดี...แล้วพี่คนนี้ไม่จริงใจกับน้องหรืออย่างไร?ชีคลีธรีบแย้งทันที

    ผู้ชายอะไรขี้น้อยใจ...ถึงจะสนิทสนมมากแค่ไหนพี่ชายก็ไม่เหมือนพี่สาว น้องอยากได้ท่านราเนียเป็นพี่สะใภ้ใจจะขาดทั้งสวยและน่ารักขนาดนี้

    แม่ตัวดีเอ้ย!”

    เขาหยิกแก้มน้องสาวต่างมารดาอย่างเอ็นดูราวพี่น้องแท้ๆ ท่านราเนียรู้สึกอิจฉาพอสมควรเมื่อเห็นภาพความสนิทสนม หาก ชีคอัปดุล และ ท่านอัฟรีน ดีกับเธอบ้างสักเล็กน้อยคงมีความสุขมากกว่านี้ ทว่า มีบางอย่างชวนสงสัย

    ทำไมเขาดูอบอุ่นกว่าเมื่อวาน ทั้งที่ปากคอเราะร้ายแต่อ่อนโยนกับน้องสาวเหลือเกิน?

    เธอคงเข้าใจผิดกระมัง...ชีคลีธอาจเคร่งเครียดเรื่องภาระหน้าที่มากมายจนพาลโมโหใส่ก็เป็นได้ ทว่า ความคิดนั้นต้องชะงักเมื่อเขาเหลียวมองมา

    วันนี้ผมต้องไปร่วมงานพิธีเปิดมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า!”

    อ้าว...แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะคะ?ท่านราเนียถาม

    จะไม่เกี่ยวได้อย่างไรในเมื่อคุณเป็นว่าที่คู่หมั้นของผม หลังจากนี้ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนคุณจำเป็นต้องไปด้วยทุกที่เพื่อให้สื่อมวลชนถ่ายภาพและรับรู้!”

    หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีศิลาหนักอึ้งอยู่ในอกเพียงได้ยิน อยากร้องไห้เสียให้ได้เมื่อต้องดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของธรรมเนียมที่วางไว้โดยทิ้งวิถีชีวิตอันน่าพึงพอใจไว้เบื้องหลัง...

    ชุดนี้เหมาะกับท่านราเนียมากค่ะ

    ชาไมราห์จัดชุดสีส้มสดใสบนตัวของผู้เป็นนายพลางคลุมผ้าสีเดียวกันบนศีรษะให้อย่างบรรจงเพื่อปกปิดเส้นผมสีน้ำตาลแสนสวย ทว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่หาได้เหมาะสมกับชุดงามนั่นคือ ใบหน้าบูดบึ้ง

    ทำไมทำหน้าแบบนี้...ไม่สวยเลยนะคะ สาวใช้คนสนิทตำหนิอย่างไม่ชอบใจ

    ข้าไม่ชอบชีคลีธ!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงดังและหนักแน่น จนคนใกล้ชิดถึงกับยกมือขึ้นทาบอกแล้วเหลียวซ้ายแลขวาอย่างประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะมีใครได้ยิน

    เบาๆค่ะ ประเดี๋ยวมีใครได้ยิน

    ช่างประไร...คนไม่ชอบก็คือไม่ชอบ การหมั้นหมายครั้งนี้หาได้เกิดจากความพึงพอใจแต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างรัฐ!”

    ท่านราเนียยามโมโหไม่งามเลย ประเดี๋ยวชีคลีธจะรอนาน...รีบออกไปพบเถอะค่ะสาวใช้ร่างท้วมเอ็ดผู้เป็นนายประหนึ่งน้องสาว

    ข้าไม่สนใจ อยากรอก็รอเพราะข้าไม่ได้เต็มใจอยากไป!!!” เธอตอบอย่างไม่ยี่หระเมื่อคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อวาน ไม่จำเป็น...หนึ่ง คือ ผมไม่ได้เต็มใจรับคุณเป็นคู่หมั้น สอง คือ ชีคนูมานเป็นสหายของท่านพ่อซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย...จำใส่ใจเอาไว้ให้ดี!”

    คอยดูเถอะ...จะเอาคืนบ้าง!

    ก็อกๆๆ

    เสียงเคาะประตูห้องทำให้สตรีสูงศักดิ์สั่งชาไมราห์ออกไปดู พลัน ใบหน้าบูดบึ้งก็กลับกลายเป็นยิ้มแย้มเมื่อพบแขกผู้มาเยือน

    ท่านยามีล่า...มาได้อย่างไรคะ?

    ท่านราเนียออกไปช้าเลยเป็นห่วงน่ะค่ะ ฉันนึกว่ายังแต่งตัวไม่เสร็จเสียอีก

    ท่านราเนียดื้อรั้นไม่ยอมออกไปเพราะโกรธชีคลีธน่ะสิคะ ชาไมราห์ได้ทีรีบฟ้องจนผู้เป็นนายต้องหันค้อนด้วยสายตาดุดัน หากแต่ท่านยามีล่ากลับหัวเราะเบาๆ

    อย่าถือสาท่านพี่ลีธเลยค่ะ ความจริงแล้วเขาเป็นคนใจดีมีน้ำใจมากๆเลยนะคะ คำยกยอชายหนุ่มของท่านยามีล่าทำให้ท่านราเนียอดลังเลไม่ได้ ว่า...สมควรเชื่อหรือไม่ ในเมื่อสิ่งที่เธอพบไม่เหมือนสิ่งที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

    เหรอคะ?

    ใช่ค่ะ...ในบรรดาพี่น้องต่างมารดา มีท่านพี่ลีธกับท่านพี่คาฟาห์ใจดีที่สุด!”

    เอ๊ะ...ท่านพี่คาฟาห์ที่ว่า คือ ชีคผู้ปกครองรัฐคาฟาห์ใช่หรือไม่คะ?

    หญิงสาวเคยได้ยินกิตติศัพท์ชีคหนุ่มผู้ปกครองรัฐคาฟาห์หนึ่งในรัฐอารักขาร่วมกับรัฐนูมาน ว่า...เป็นคนเก่งและมีความสามารถ ทั้งเคยมีข่าวร่ำลือว่าเป็นรัชทายาทของสหรัฐอาหรับฟาเราะห์จนโดนจับตามองแทบทุกฝีก้าว หากแต่เมื่อมีการเปิดเผยรัชทายาทตัวจริงทำให้หลายฝ่ายหยุดการเพ่งเล็งท่านผู้นำรัฐคนนั้นไปโดยปริยาย

    ใช่ค่ะ

    ฉันได้ยิน ว่า...ชีคท่านมีชายาเป็นผู้หญิงต่างประเทศ เอ๊ะ...ชื่ออะไรน้า...?

    ท่านราเนียพยายามครุ่นคิดเนื่องจากเคยเห็นข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ประปราย เท่าที่จำได้ คือ หักอกผู้หญิงเกือบครึ่งประเทศ จนตอนนี้ชีคลีธกลายเป็นดาวดวงใหม่เสียแทน

    ชื่อมนตร์ทรายเป็นชาวไทยค่ะ แต่กว่าจะฝ่าฟันจนได้แต่งงานก็วุ่นวายมากมายทีเดียว เพราะท่านพี่คาฟาห์เป็นคนปากแข็ง โชคดีที่ได้ท่านพี่ลีธมาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา...มิเช่นนั้นป่านนี้คงยังระหองระแหงกันอยู่เป็นแน่ท่านยามีล่ากล่าวด้วยความชื่นชมจนอีกฝ่ายรู้สึกค้างคาใจมากกว่าเดิม

    ชีคลีธอาจเป็นคนดีมีน้ำใจก็จริง แต่ฉันก็ไม่ชอบคำพูดจาหยาบคายของเขาอยู่ดี

    นั่นเป็นสิ่งที่ท่านราเนียรับไม่ได้ที่สุด!

    หยาบคาย...ท่านพี่ลีธพูดจาหยาบคายเหรอคะ?

    ใช่ค่ะ...ทั้งหยาบคาย รุนแรง และ ไม่ให้เกียรติ!”

    เป็นไปได้อย่างไร...ท่านราเนียเข้าใจผิดหรือเปล่าคะ?

    สีหน้าของท่านยามีล่าแสดงถึงความไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวกล่าวเลยแม้แต่น้อย เฉกเช่นสาวใช้ซึ่งหมอบอยู่ห่างๆก็อดฉงนไปด้วยไม่ได้

    ฉันพูดจริงๆนะคะ...ชีคลีธหยาบคายมากๆ

    เอ๊ะ...หรือท่านราเนียคิดมากเรื่องเมื่อเช้า คงเพราะท่านพี่ลีธเป็นคนตรงและรักษาเวลาจึงหงุดหงิดอารมณ์เสียแล้วพูดจาใส่อารมณ์...อย่าคิดมากเลยค่ะ

    ใบหน้าคมสวยของหญิงสาวเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เริ่มอับจนปัญญาที่จะอธิบายให้ใครต่อใครฟังในสิ่งที่เธอเจอะเจอกับตนเอง ครั้นจะให้เล่ารายละเอียดทั้งหมดก็คงไม่เกิดผลเมื่อทั้งท่านยามีล่าและชาไมราห์ยังคิดว่าชายหนุ่มดีเลิศในสายตา

    ก็อกๆๆ

    เสียงเคาะประตูทำให้ทุกคนภายในห้องนั้นถึงกับสะดุ้ง สาวใช้คนสนิทรีบกุลีกุจอไปเปิดประตูต้อนรับบุคคลที่เพิ่งถูกกล่าวพาดพิง เขามองดูน้องสาวแล้วถอนหายใจเบาๆ

    ยามีล่า...พี่นึกว่าน้องหลงทางเสียแล้ว หายไปนานเหลือเกิน

    แหม...ท่านพี่ลีธ น้องแค่เผลอคุยกับท่านราเนียนิดเดียวเอง ท่านยามีล่ากล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี ขณะที่สตรีสูงศักดิ์อีกคนเริ่มลังเลสงสัยกับท่าทางสบายๆของชายหนุ่ม หรือ คิดมากเกินไปจริงๆ? ทว่า ผิดถนัดเมื่อใบหน้าคมคายหันขวับมองอย่างเคร่งขรึม ราวสะบัดความอ่อนโยนยามคุยกับน้องสาวทิ้งเอาไว้เพื่อไม่นำมาใช้กับเธอ

    ความรับผิดชอบต่อเวลาและหน้าที่ง่ายๆยังไม่มีแล้วจะเป็นราชินีในอนาคตได้อย่างไร หรือ คิดว่าเป็นธิดาชีคนูมานแล้วจะเอาแต่ใจ...ถ้าเช่นนั้นก็กลับรัฐไปเลย!”

    คราวนี้ไม่เพียงเฉพาะท่านราเนียที่ตกตะลึง เนื่องจากท่านยามีล่าและชาไมราห์ก็ถึงกับอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน...ชีคลีธจะพูดจารุนแรงกับผู้หญิงซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ว่าที่คู่หมั้น

    ถ้าคุณยังอยากมีตำแหน่งว่าที่คู่หมั้นไว้ค้ำคอตัวเองก็รีบๆตามมาได้แล้ว!!!” ร่างสูงโปร่งหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ยี่หระกับสายตาของทุกคน ท่านราเนียพยายามอดทนคำดูหมิ่นของเขาแล้วจำยอมตามไปอย่างว่าง่ายแม้นึกเจ็บใจจนแทบตายก็ตาม

     

    เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กตัวเล็กๆแข่งกับเสียงของผู้ใหญ่ที่กำลังพูดคุยกัน ทุกคนที่มาร่วมงานพิธีเปิดมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ดูมีหน้ามีตาในสังคม และ เคยเห็นจากสื่อต่างๆบ้างพอสมควร บุรุษส่วนใหญ่สวมใส่ชุดกันดูเราะห์สีขาวสะอาดสลับคละเคล้ากับชุดสูททางการเป็นสากล ส่วนสตรีก็สวมชุดอาบายะห์แล้วปิดหน้าปิดตาบ้างแค่คลุมฮิญาบหลวมๆพอพรางเส้นผมไม่ให้ประเจิดประเจ้อตามหลักศาสนาเท่านั้น

    เหยี่ยวข่าวหลายสำนักทั้งจากรัฐยัสซิมและรัฐต่างๆเข้ามาร่วมทำข่าวกันหนาแน่นคงเพราะเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของ ชีคลีธ โมฮัมหมัด แห่ง รัฐยัสซิม และ ท่านหญิงราเนีย อูล่าห์ แห่ง รัฐนูมาน ในฐานะว่าที่คู่หมั้น

    ทันทีที่ทั้งคู่ออกจากรถยุโรปคันงามซึ่งจอดขนาบหน้างานก็ถูกห้อมล้อมด้วยสื่อมวลชนหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ จนเหล่าองครักษ์ต้องช่วยแยกเพื่อความปลอดภัย ท่านราเนียอดประหม่าในใจไม่ได้เนื่องจากไม่เคยโดนต้อนรับมากมายอย่างล้นหลามขนาดนี้จึงทำได้เพียงเดินตามว่าที่คู่หมั้นไปอย่างเงียบๆจวบจนถึงเวทีกลางแจ้งขนาดเล็กๆบริเวณสถานที่จัดงาน

    ลูกโป่งสีสันต่างๆนานาถูกติดประดับตกแต่งตามเชือกที่โยงระหว่างเสาแต่ละต้นจนคล้ายสวนสนุกหย่อมๆ ทั้งยังมีซุ้มอาหารมากมายไว้บริการแขกเหรื่อและเหล่าเด็กกำพร้าจนกลายเป็นความกันเองอย่างลงตัว

    คุณนั่งรอผมตรงนี้ละกัน ถ้าต้องการอะไรก็บอกพวกองครักษ์ชีคลีธหันมาสั่งก่อนแยกตัวออกไปร่วมสนทนากับคนอื่นๆ

    แม้รัชทายาทหนุ่มจะปล่อยให้เธออยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ทว่า กลับเป็นเรื่องดีสำหรับหญิงสาวเมื่อหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้นกว่าตอนที่อยู่กับเขา น่าเสียดาย...ชาไมราห์และบรรดาสาวใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามมาด้วยมิเช่นนั้นคงอุ่นใจหายห่วง

    บุรุษหนุ่มภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดยามสายดูน่าหลงใหลกว่าที่เคยเป็น ทั้งยังสง่างามจนอดเผลอชายตามองตามไม่ได้ ใบหน้าเคร่งเครียดขณะอยู่กับเธอบัดนี้กลายเป็นหัวเราะร่าเริงเมื่อพูดคุยกับแขกท่านอื่นๆและส่งยิ้มหวานแก่สุภาพสตรีที่ผ่านไปมาอย่างเป็นกันเอง จนท่านราเนียแทบไม่เชื่อว่าเขาคนนี้ คือ คนๆเดียวกับผู้ชายปากร้ายที่พบเจอ

    หน้าที่ของหญิงสาวไม่มีอะไรมาก...เพียงแค่นั่งเฉยๆโดยมีองครักษ์เฝ้าขนาบอยู่ด้านหลังแล้วฟังพิธีกรสาวพูดเจื้อยแจ้วถึงวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งมูลนิธิแห่งนี้ จนกระทั่งเชิญแขกกิตติมศักดิ์อย่างชีคลีธขึ้นไปกล่าวเปิดงานบนเวทีพร้อมเสียงปรบมือกึกก้องทั่วบริเวณ

    เป็นเรื่องดีนะครับ...ที่มูลนิธิแห่งนี้กำเนิดขึ้นมาเพื่อเลี้ยงดูกล่อมเกลาเด็กๆให้เป็นเยาวชนที่ดีในอนาคตโดยลดปัญหาทางสังคมแม้พวกเขาจะขาดครอบครัวดูแล แต่ผมเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะเลี้ยงดูพวกเขาไม่ให้ด้อยไปกว่ากัน เพราะที่นี่ก็คือบ้านหลังหนึ่งของพวกเด็กๆ... การพูดของชีคลีธสร้างความประทับใจให้ใครหลายคน เฉกเช่นสตรีสูงศักดิ์ซึ่งนั่งฟังอย่างนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีความคิดค่อนข้างดี ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ชีคยัสซิมเลือกให้เป็นรัชทายาทเพื่อปกครองประเทศต่อไป

    ชายหนุ่มมองผู้คนด้านล่างเวทีที่ชื่นชมเขาด้วยความยินดีปรีดา พลัน นัยน์ตาคมเหลือบพบเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวหกถึงเจ็ดขวบกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนๆตามประสาแล้วพลาดพลั้งหกล้มลงบนพื้นอย่างแรง เสียงร้องไห้ดังจ้าลั่นงานทำให้ต้องหยุดพูดพลางขยับจะลงจากเวทีเพื่อช่วย แต่ช้าเกินไป...เมื่อท่านราเนียปรี่เข้าประคองเด็กน้อยท่ามกลางความตกใจของหลายคน

    ว้ายยย!!! ท่านราเนีย...ให้ฉันช่วยดูแลแกเถอะค่ะ พี่เลี้ยงมูลนิธิคนหนึ่งรุดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่สตรีสูงศักดิ์กลับส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ

    เรื่องแค่นี้เอง ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เธอตอบพลางหันไปปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเด็กหญิงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส อย่าร้องไห้นะคะคนดี ไปกินไอศกรีมกับพี่มั้ย?อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามท่านราเนียที่จูงมือไปอย่างว่าง่าย

     ท่านราเนียไม่ถือตัวเลย

    นั่นสิ...ทั้งสวย น่ารัก และ ใจดี เหมาะสมเป็นว่าที่คู่หมั้นของชีคลีธจริงๆ

    ชีคลีธกล่าวเปิดงานต่อไปท่ามกลางเสียงชื่นชมของใครหลายคน ความรู้สึกสับสนบางอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาไม่ชอบท่านราเนียด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งการกระทำอันแสนอ่อนโยนเมื่อสักครู่ก็ได้ลบเลือนความเกลียดชังบางส่วน ทว่า ไม่ทั้งหมด

    ใบหน้าเปี่ยมสุขยามละเลียดไอศกรีมของเด็กหญิงสร้างความพึงพอใจแด่สตรีสูงศักดิ์เป็นอย่างมาก ก่อนส่งตัวให้พี่เลี้ยงมูลนิธิดูแลต่อแล้วเดินออกไปชมรอบๆงานเพราะเบื่อนั่งฟังคนนั้นคนนี้พูดเพียงอย่างเดียว

    ต้นไม้ใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านเยื้องหลังเวทีค่อนข้างร่มรื่น กิ่งก้านพลิ้วไหวตามแรงลมจนได้ยินเสียงเสียดสีเบาๆของธรรมชาติประหนึ่งมนต์สะกดอันน่าหลงใหลชวนให้สองเท้าก้าวเข้าหา ร่างบางทรุดลงนั่งใต้แมกไม้อย่างผ่อนคลายพลางชม้ายตามองลำแสงที่เล็ดลอดผ่านใบเบื้องบนลงกระทบพื้นเบื้องล่าง พร้อมเท้าใครบางคนตรงเข้ามาหยุดยืน ณ บริเวณนั้น

    แผนเรียกร้องความสนใจ และ คะแนนนิยมเข้าท่าดีนี่!!!”

    ดวงหน้าคมสวยเงยมองว่าที่คู่หมั้นอย่างหงุดหงิดใจเมื่อเขาทำลายความสงบของเธอจนหมดสิ้น

    ฉันไม่ได้เรียกร้องความสนใจ หรือ ทำอะไรบ้าๆอย่างที่คุณเข้าใจ ทำไมคุณต้องตามจองล้างจองผลาญจับผิดฉันแบบนี้!” ท่านราเนียสวนกลับด้วยความโมโห โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาจึงไม่มีทางล่วงรู้ความสัมพันธ์อันแสนแย่ระหว่างเขากับเธอ

    ผมไม่เชื่อใจพวกผู้ดีรัฐนูมาน!”

    ทำไม...ฉันกับครอบครัวไปทำอะไรให้คุณ!”

    นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีที่เขาจะจงเกลียดจงชังเธอและครอบครัวแบบนี้...ท่านราเนียรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก

    เพราะผมสงสัย ว่า...ชีคอัปดุลพี่ชายของคุณจะเป็นกบฏ!!!”

    ไม่จริง!!! ท่านพี่อัปดุลไม่มีทางเป็นกบฏ หยุดใส่ความและดูหมิ่นฉันกับครอบครัวเดี๋ยวนี้นะ!” เธอลุกขึ้นโวยวายอย่างหัวเสีย

    อย่าปฏิเสธเสียให้ยาก สาเหตุที่พวกเขาส่งคุณมาหมั้นกับผมก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร!”

    การหมั้นครั้งนี้เพื่อสร้างมิตรภาพและความสมานฉันท์ระหว่างรัฐยัสซิม และ รัฐนูมาน หยุดดูถูกส่งเดชแล้วขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!”

    ในตอนนี้ท่านราเนียไม่ใส่ใจอีกต่อไป ว่า...บุรุษตรงหน้าจะเป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ขนาดไหน ในเมื่อคำพูดให้ร้ายนั้นรุนแรงจนเกินรับได้

    ทำไมผมต้องขอโทษกบฏที่พยายามแก้ตัวเพราะโดนจับได้...ไม่มีวัน!” พูดจบชีคลีธก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงานโดยทิ้งหญิงสาวให้คลุ้มคลั่งอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย

    ทุเรศ...

    ร้ายกาจ...

    น่ารังเกียจ...

    ตั้งแต่เกิดมาท่านราเนียยังไม่เคยพานพบผู้ชายหยาบช้าเยี่ยงชีคลีธ เสียดายที่หลงเผลอไผลเข้าใจว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นรัชทายาทและว่าที่กษัตริย์ในอนาคต ในเมื่อแท้จริงแล้วความเป็นมนุษย์ยังไม่สมควรจะได้รับด้วยซ้ำ!

    ตะวันเริ่มคล้อยเคลื่อนจากเหนือศีรษะต่ำลงทีละนิดบ่งบอกถึงยามบ่ายที่ได้คืบคลานเข้ามา งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราผู้คนจึงค่อยๆบางตาลงจนเห็นได้ชัดแต่ท่านราเนียก็ยังไม่ยอมลุกหนีจากใต้ต้นไม้ใหญ่ ภายในหัวใจคุกรุ่นด้วยความเคืองโกรธเรื่องโดนดูถูก

    ท่านราเนีย...ชีคลีธให้มาตามไปขึ้นรถ เราจะกลับพระราชวังกันแล้วครับ องครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาบอก

    ไปบอกชีคลีธ ว่า...ตราบใดที่เขายังไม่ขอโทษ ฉันจะไม่มีวันลุกจากตรงนี้!” หญิงสาวตอบ

    นัยน์ตาคมเหลียวมองผ่านกระจกติดฟิล์มกรองแสงไปยังบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วเหยียดริมฝีปากอย่างดูแคลนหลังจากทราบในสิ่งที่องครักษ์รายงาน

    ถ้าไม่อยากกลับก็ตามใจ เอ้า...ออกรถได้แล้ว!” เขาสั่งคนขับรถอย่างไม่สนใจไยดี

    เอ่อ...แต่...ท่านราเนียยัง... คนขับรถหนุ่มลังเล

    เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้ากระนั้นหรือ!” น้ำเสียงที่ขึ้นสูงด้วยความโกรธทำให้ผู้อยู่ในโอวาทไม่รอช้ารีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

    ขบวนรถที่ได้เคลื่อนออกไปจากมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าสร้างความตกตะลึงให้แก่ท่านราเนียเป็นอย่างมากเมื่อคิดไม่ถึง ว่า...เขาจะกล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่

    บ้าที่สุดเลย!!!” หญิงสาวโวยวายด้วยความเจ็บใจเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมโชคชะตาจึงเล่นตลกกับเธอให้มาพบเจอความเลวร้ายของผู้ชายคนนี้

    ในใจลึกๆหวังว่าเขาอาจย้อนกลับมารับทำให้ท่านราเนียนั่งรอบริเวณนั้นนานนับสองชั่วโมง แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้วี่แววจึงจำใจโบกรถแท็กซี่กลับพระราชวังอย่างหัวเสีย เมื่อไปถึงก็พบชีคยัสซิมกำลังนั่งสนทนาพูดคุยกับเหล่าชายาและโอรสธิดาบางคนบริเวณโถงใหญ่ใจกลางพระราชวัง หนึ่งในจำนวนนั้นมีบุคคลที่เธอแสนชังน้ำหน้ารวมอยู่ด้วย

    อ้าว...เจ้าไปไหนมาราเนีย? ท่านผู้นำสูงสุดถามอย่างสงสัย

    เพิ่งกลับจากงานพิธีเปิดมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าค่ะ เธอตอบตามตรงแล้วปรายตามองชีคลีธที่เหยียดยิ้ม

    อ้าว...ข้านึกว่าเจ้ากลับมาพร้อมลีธเสียอีก ว่าอย่างไรเจ้าลูกชายตัวดี...เหตุใดจึงปล่อยราเนียเอาไว้เพียงลำพัง ชีคยัสซิมหันไปถามโอรสของตน

    ลองถามเจ้าตัวดูสิครับ ว่า...ยอมกลับกับผมหรือไม่

    ชายหนุ่มยักคิ้วนิดๆส่งให้หญิงสาวอย่างยียวนกวนประสาท

    ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...พอดีฉันอยากอยู่ชมงานต่อและต้องการดูทัศนียภาพรอบรัฐยัสซิมด้วย เธอบ่ายเบี่ยงเพราะไม่ต้องการให้มากความพลางขอตัวท่านผู้นำประเทศกลับขึ้นห้อง เนื่องจากไม่ปรารถนาเห็นหน้าใครบางคน

    สองวันในต่างรัฐสร้างความทุกข์แก่หญิงสาวจนรู้สึกเหนื่อยอ่อนเหลือกำลัง ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่แล้วมองดูผ้าแพรสีม่วงเข้มที่ห้อยระย้าจากบนเพดานจรดเสาสี่ด้านอย่างปลงๆ ชีวิตหรูหราภายในพระราชวังไม่ได้สวยหรูเลยแม้แต่น้อยในความคิดของเธอ ไม่อบอุ่นเหมือนเรือนเล็กๆที่มีมารดาอาศัยอยู่ด้วย พลัน ท่านราเนียก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบผุดลุกไปยังโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้องแล้วนำกระดาษกับปากกาเขียนจดหมายถึงผู้ชายที่รัก

    ท่านพี่ราชิด...

    พี่ชายแท้ๆที่ตอนนี้กำลังศึกษาดูงานอยู่ไกลถึงฝั่งยุโรป แม้เขาย้ายไปอยู่ที่โน่นนานนับสิบปีก็หาได้ลืมเลือนครอบครัวยังส่งจดหมายและโทรศัพท์มาบ่อยครั้ง ทว่า เธอยังไม่ได้ส่งข่าวเรื่องย้ายมาอยู่รัฐยัสซิมให้ล่วงรู้และเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงทำให้ท่านราเนียต้องครุ่นคิดหาคำสวยหรูเพื่อผ่อนคลายความกังวลของพี่ชายแม้ความจริงจะโหดร้ายกว่าหลายเท่าก็ตาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×