คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่
1
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
กรุงเทพมหานคร
ราชอาณาจักรไทย เวลา 22.00 นาฬิกา
“มะเขือ...เดินทางดีๆนะลูก
ถ้าถึงอิตาลีแล้วต้องโทรศัพท์มาหาแม่ทันทีเลยนะ เวลาไม่สบายก็กินหยูกยาที่แม่จัดเตรียมไว้ให้
แล้วก็ระมัดระวังตัวดีๆอย่าไปในที่ทางเปลี่ยวๆ...”
คุณหญิงพิชชาพร มณีชัยชาญ
ซับน้ำตาตนเองด้วยผ้าเช็ดหน้าลูกไม้ผืนงามพลางสะอึกสะอื้นราวกับใจจะขาดรอนๆเสียให้ได้เมื่อลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวอย่าง
พันธิตรา มณีชัยชาญ หรือ มะเขือ จะต้องเดินทางไปยังประเทศอิตาลีในค่ำคืนนี้จนท่านนายพลรัชชานนท์
มณีชัยชาญต้องดึงภรรยาสุดที่รักให้ออกห่าง
“คุณล่ะก็...ลูกแค่จะไปอิตาลีสามเดือน
ทำเหมือนจะไปสักสามปี”
ตอนแรกท่านนายพลรัชชานนท์ต้องการเพียงอารมณ์ขันกลับกลายเป็นได้รับสีหน้าบูดบึ้งจากคุณหญิงพิชชาพรเสียแทน
“คุณนี่เป็นพ่อประสาอะไร
ลูกต้องไประหกระเหินที่อื่นตั้งสามเดือนจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงเลยเชียวหรือ?”
“โถๆๆ...คุณแม่ขา
หนูก็ไม่ได้ไปอยู่อย่างลำบากลำบนเสียหน่อย ทางสำนักพิมพ์เขาจัดการเรื่องที่พัก
อาหาร รวมถึงประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิตไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ อย่าห่วงไปเลย”
พันธิตราต้องรีบไกล่เกลี่ยก่อนที่ศึกน้อยๆภายในบ้านจะอุบัติขึ้น
“เห็นไหมเล่า...ลูกมันโตแล้วดูแลตัวเองได้
ไหนๆขอพ่อกอดให้ชื่นใจก่อนไปสักที” ท่านนายพลรัชชานนท์พูดพลางสวมกอดลูกสาวด้วยความรัก
แต่พันธิตรารู้ดีว่าท่านคงกลัวคุณหญิงพิชชาพรเล่นงานด้วยจึงได้หลบเลี่ยงเบี่ยงประเด็นไปเสียดื้อๆแบบนี้
“เดี๋ยวหนูต้องไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องแล้วนะคะ” พันธิตราเอ่ยบอกบุพการีทั้งสองเมื่อเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว
คุณหญิงพิชชาพรจึงรีบเบียดท่านนายพลรัชชานนท์ออกไปแล้วแย่งลูกสาวสุดที่รักมากอดไว้แทน
“เดินทางปลอดภัยนะลูก
แล้วทันทีที่ไปถึงอย่าลืมโทรศัพท์หาแม่ด้วย”
ผู้เป็นมารดากำชับอีกครั้งทำให้หญิงสาวต้องยิ้มรับอย่างอดไม่ได้
“ค่ะๆ...รับทราบค่ะ”
เมื่อร่ำลาเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็ลากกระเป๋าสัมภาระของตนเองเดินเข้าด้านในโดยมีสายตาแห่งความห่วงใยของผู้เป็นพ่อแม่อยู่เบื้องหลัง
ถึงกระนั้นพันธิตราก็หาได้วิตกกังวลแต่อย่างใดเมื่อเธอมั่นใจว่าสถานที่ที่จะไปนั้นปลอดภัยแน่นอน
แค่สามเดือนเผลอแปบๆก็ผ่านพ้นไปแล้ว...หญิงสาวคิดเช่นนั้นโดยไม่รับรู้เลยว่าอนาคตที่รอเธออยู่เบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรกันแน่
เจ้านกเหล็กตัวใหญ่ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้ายามราตรีในเวลา
00.20 นาฬิกาเพื่อมุ่งสู่ท่าอากาศยานลีโอนาร์โด ดาวินชี-ฟิอูมิชิโน กรุงโรมแห่งประเทศอิตาลีท่ามกลางหมู่ดาวที่ส่องประกายวาววับราวกับอวยชัยให้พันธิตราในการเดินทางครั้งนี้
ดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวบ่ายจากกระจกหน้าต่างไปยังแอร์โฮสเตสซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้นในการดูแลผู้โดยสารหลังจากเครื่องบินไต่ระดับและลอยตัวอยู่เหนือเมฆเป็นที่เรียบร้อย
เพราะความมืดมิดภายนอกอันไร้สีสันคงไม่น่าพิสมัยมากไปกว่าภายในที่มีผู้ร่วมเดินทางนับร้อยเป็นแน่
หัวใจของพันธิตราโลดแล่นดีใจอย่างนึกไม่ถึงว่าจะได้มีโอกาสเดินทางไปยังดินแดนที่รายล้อมด้วยอารยธรรมมาแต่ครั้งโบราณ
นับว่าโชคช่างเข้าข้างที่เธอได้ทำงานเป็นคอลัมนิสต์หนังสือท่องเที่ยวของสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย
แล้วทางผู้บริหารคิดจัดทำโปรเจ็คส์พ็อกเก็ตบุ๊คออกมาวางขายจึงคัดเลือกคอลัมนิสต์ฝีมือดีสิบกว่าคนในสำนักพิมพ์ให้เดินทางไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกโดยมีสถานที่พัก
อาหาร และ ประกันต่างๆเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
และเธอเองก็คือหนึ่งในคอลัมนิสต์ผู้โชคดีที่ได้รับมอบหมายงานให้ไปยังประเทศอิตาลี
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นความง่วงก็ค่อยๆรุกรานจนดวงตาสีน้ำตาลคู่งามต้องพ่ายแพ้แล้วผล็อยหลับไป
โรงแรมจีน่า
ปาแลร์โม
แคว้นซิซิลี สาธารณรัฐอิตาลี เวลา 18.00 นาฬิกา
ฝูงชนพากันแตกตื่นและแหวกหลบรถยนต์สีดำราวห้าถึงหกคันที่แล่นเป็นขบวนยาวเหยียดสู่โรงแรมจีน่า
โรงแรมห้าดาวอันเลื่องชื่อแห่งปาแลร์โมเมื่อรู้ดีว่าบุคคลทรงอำนาจผู้นั่งอยู่ในรถลีมูซีนกลางขบวนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
เขาคือ คาร์โล แองเจโล มาเฟียหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี ร่ำรวยทั้งเงินทองและอำนาจจนใครหลายคนต้องขยาดเพราะไม่ปรารถนายุ่งเกี่ยวหรือตอแยด้วย
เนื่องจากทุกคนในปาแลร์โมรู้ดีว่าผู้ใดที่อาจหาญต่อกรกับคาร์โลมักมีจุดจบไม่สวยนัก
มิหนำซ้ำอาจสูญหายไปจากสำมะโนประชากรเสียด้วยซ้ำ
“เชิญครับท่านคาร์โล” ชายในชุดสูทสีดำคนหนึ่งเปิดประตูรถให้แด่ผู้เป็นนายที่ก้าวออกมาจากด้านใน
“ขอบใจเอริค”
ใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งเทพมาร์สที่หลุดออกมาจากตำนานเทพปกรณัมโรมันนั้นดึงดูดสาวๆมากมายในประเทศอิตาลีให้หลงใหลได้ไม่ยาก
แม้พวกหล่อนจะรู้อยู่เต็มอกว่าคาร์โล แองเจโลอันตรายสักเพียงใดก็ต้องพ่ายให้แก่นัยน์ตาสีเทาดุจเหล็กกล้าจนต้องยอมสยบมาแล้วนักต่อนัก
“มิสเตอร์เบอร์นาร์ดมาแล้วหรือยัง?” เขาถามผู้อยู่ใต้โอวาทด้วยน้ำเสียงคมเข้ม
“มาแล้วครับท่าน ตอนนี้รออยู่ที่ห้องวีไอพีชั้นยี่สิบ”
เอริคกล่าวตอบด้วยท่าทางนอบน้อม
“แล้วของล่ะ?”
“เรียบร้อยพร้อมแลกเปลี่ยนครับท่าน”
“ดีมาก...ถ้าเช่นนั้นตามฉันขึ้นไปเลย”
คาร์โลเดินนำลิ่วไปตามพรมสีแดงสดซึ่งถูกปูไว้รอล่วงหน้าโดยมีชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำนับสามสิบคนยืนขนาบทางเดินและโค้งคำนับให้เขาทันทีที่เดินผ่านอย่างพร้อมเพรียง
ควันบุหรี่สีขาวขุ่นถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากหยักสวยบ่งบอกอารมณ์เบิกบานของมาเฟียหนุ่มราวกับไม่สะทกสะท้านทั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงอิทธิพลจากฝรั่งเศส
ณ ขณะนี้ แตกต่างจากมิสเตอร์เบอร์นาร์ดซึ่งมีสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนใจคล้ายโดนกดดันทั้งที่ความจริงแล้วภายในห้องวีไอพีแห่งนี้มีเพียงพวกเขาและผู้ติดตามคนสนิทของแต่ละฝ่ายเพียงหนึ่งคนเท่านั้นเอง
กระเป๋าสีดำใบเขื่องถูกวางลงบนโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งขวางกลางระหว่างทั้งคู่
มิสเตอร์เบอร์นาร์ดรีบเอื้อมมือไปรูดซิบเพื่อโชว์ธนบัตรจำนวนมากซึ่งแออัดยัดเยียดอยู่ด้านในอย่างรวดเร็ว
“นี่เป็นเงินสดจำนวนห้าล้านยูโร
ครบถ้วนตามที่เราตกลงกันไว้ไม่ขาดไม่เกิน”
นัยน์ตาสีเทามองดูข้อแลกเปลี่ยนของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพึงพอใจก่อนใช้นิ้วดีดบุหรี่ลงบนพื้นพรมเปอร์เซียพลางบดขยี้มันด้วยรองเท้าหนังสีดำขลับอย่างเชื่องช้า
จากนั้นก็หันไปหาเอริคที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างๆพลางพยักเพยิดให้นำของออกมา
อาวุธสงครามมากมายถูกลำเลียงจนเต็มโต๊ะ
สภาพสินค้าใหม่เอี่ยมไม่เคยใช้งานสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ทรงอิทธิพลแห่งฝรั่งเศสเช่นกัน
เขาหยิบจับปืนกับเครื่องยิงระเบิดแต่ละชนิดขึ้นมาพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนพร้อมตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนที่สินค้ากับเงินสดจะถูกแลกเปลี่ยน
จากนั้นจึงมีคนของแต่ละฝ่ายนำออกไปเก็บยังสถานที่ปลอดภัย
“คุณภาพสินค้ายอดเยี่ยมจริงๆ
สมแล้วที่ใครต่อใครต่างร่ำลือว่าคุณเป็นเจ้าพ่อแห่งอาวุธสงคราม” มิสเตอร์เบอร์นาร์ดกล่าว
“ถ้านั่นเป็นคำชมผมก็พร้อมรับอย่างยินดี” คาร์โลตอบพร้อมรอยยิ้มพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยต่ออีกว่า “ผมไม่ทำให้ลูกค้าทุกคนผิดหวังอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีสมนาคุณให้ด้วย”
ทันทีที่เขาพูดจบหญิงสาวในชุดบิกีนี่สีดำคนหนึ่งก็เดินนวยนาดเข้ามาแล้วนั่งข้างมิสเตอร์เบอร์นาร์ดอย่างรวดเร็ว
“ถ้านี่เป็นของสมนาคุณผมก็พร้อมรับไว้อย่างยินดีเช่นกัน
ฮ่าๆๆๆ” อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจเสียงดังกึกก้องพลางประคองกอดหญิงสาวคนนั้นเอาไว้อย่างยินยอม
ปลายนิ้วเรียวที่ถูกฉาบด้วยยาทาเล็บสีแดงสดลูบไล้ไปตามแผงอกเปล่าเปลือยบึกบึนของชายหนุ่มซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างหลงใหล
ริมฝีปากเอิบอิ่มยังหลงเหลือคราบลิปสติกสีฉูดฉาดจุมพิตบนท่อนแขนแกร่งของเขาที่เพิ่งกอดรัดเธอเอาไว้แนบแน่นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
จะมีสุขไหนยิ่งใหญ่เท่าตื่นขึ้นมาพบว่ามีคาร์โล แองเจโล มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศอิตาลีนอนอยู่เคียงข้างแบบนี้
“อิสซาเบลล่า...ฉันอึดอัด ถอยไปห่างๆหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยบอกหญิงสาวทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาเสยผมสีดำขลับของตนเองให้เข้าที่เข้าทางอย่างงัวเงียเล็กน้อย
“ก็ฉันอยากอยู่ใกล้ๆคุณนี่
ระยะหลังๆเราสองคนไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะคะ”
“นี่เราก็เจอกันแล้ว!”
เขาตอบแล้วหันตะแคงไปอีกด้านอย่างรำคาญ
“แหม...คุณน่ะใจร้าย ไม่ยอมให้ฉันไปหาบ้าง
มีแต่ให้ฉันต้องรอคุณมาหาอยู่ฝ่ายเดียว
แล้วนี่ถ้าคุณไม่ต้องการเพื่อนของฉันไปบำเรอลูกค้า
คุณก็คงไม่เรียกตัวฉันมาหาที่นี่หรอก”
คำตัดพ้อต่อว่านั้นส่งผลให้คาร์โลฉุกคิดขึ้นมาได้
“ลูกค้า!!! จริงสิ...นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย?”
เขาร้องถามอย่างลนลานพลางลุกพรวดขึ้นจากเตียง
“เพิ่งตีสามกว่าเองค่ะ” อิสซาเบลล่าตอบ
“ฉันต้องรีบไปส่งมิสเตอร์เบอร์นาร์ดที่โรม
เดี๋ยวจะสายไปมากกว่านี้”
“ไม่เอาน่า...คุณมีเครื่องบินส่วนตัวชั้นเยี่ยม
แปบเดียวก็ถึงโรมแล้ว” หล่อนพูดพลางกอดรัดต้นแขนคาร์โลเอาไว้แล้วใช้เนินอกสีไปมาอย่างยั่วยวน
“เรายังมีเวลาสนุกกันต่ออีกสักครั้งสองครั้งนะคะ”
พลัวะ!!!
นัยน์ตาคมเข้มจดจ้องมองร่างบางของหญิงสาวที่ถูกผลักออกไปอย่างแรงด้วยความขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก
“เธอก็รู้
ว่า...ฉันไม่ชอบให้ใครมาขัดใจและยิ่งไปกว่านั้นคือขัดขวางธุรกิจ
ถ้าไม่อยากรนหาเรื่องก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้บ้าง!”
พูดจบคาร์โลก็คว้าเสื้อผ้าของตนที่ถูกถอดเรี่ยราดบนพื้นขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำไปอย่างเร่งรีบ
โดยไม่ใส่ใจคู่ขาที่ได้แต่นั่งนิ่งอย่างเจ็บใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่าอากาศยานลีโอนาร์โด
ดาวินชี-ฟิอูมิชิโน
กรุงโรม
สาธารณรัฐอิตาลี เวลา 07.30 นาฬิกา
“ผมส่งคุณแค่นี้ละกัน...ส่วนเรื่องสินค้านั้นผมให้ลูกน้องนำขึ้นเครื่องบินส่วนตัวอีกลำบินล่วงหน้าไปยังฝรั่งเศสพร้อมลูกน้องบางคนของคุณแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ใครสงสัย” มาเฟียหนุ่มกล่าวบอกมิสเตอร์เบอร์นาร์ดที่พยักหน้ารับน้อยๆ
“ขอบคุณมาก
หวังว่าเราจะได้ร่วมธุรกิจกันในภายภาคหน้าอีกนะ”
“แน่นอน”
เมื่อลูกค้าคนสำคัญเดินฝ่าฝูงชนจนหายเข้าไปในโซนผู้โดยสารขาออก
คาร์โลก็หันไปบอกเอริคซึ่งคอยติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิดทันที
“เตรียมกลับปาแลร์โม”
“เอ่อ...เกรงว่าจะยังไม่ได้ครับท่าน”
“ว่าอย่างไรนะ?” น้ำเสียงของผู้เป็นนายนั้นทำเอาผู้อยู่ใต้โอวาทหายใจไม่ทั่วท้องนัก แต่ก็จำใจตอบตามความจริง
“คือ...นักบินของเราโทรศัพท์แจ้งเข้ามา
ว่า...เจ้าหน้าที่ทางท่าอากาศยานขอเช็คเครื่องยนต์กลไกต่างๆในเครื่องบินก่อนออกเดินทางกลับสู่ปาแลร์โมเพื่อความปลอดภัยของท่านครับ”
“นานหรือไม่?” เขาถามเสียงแข็ง
“ราวหนึ่งชั่วโมงครับท่าน”
คาร์โลถอนหายใจเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของตนเองให้ทุเลาเบาบาง
เนื่องจากไม่ปรารถนาจะมีเรื่องมีราวกับพวกเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานสักเท่าไรนัก
แม้รับรู้อยู่เต็มอกว่าการตรวจเช็คเครื่องยนต์กลไกเป็นแค่ข้ออ้างที่ต้องการจับผิดเรื่องการซื้อขายอาวุธสงครามเท่านั้น
แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาที่เขาก้าวเข้าสู่วงการมาเฟียไม่มีใครเคยจับได้เรื่องการค้าขายผิดกฎหมายสักที
เพราะดีกรีประธานบริษัทแองเจโลกรุ๊ปที่เขาทุ่มงบหลายร้อยล้านยูโรเพื่อสร้างเป็นฉากบังหน้าขนาดใหญ่นั้นคุ้มค่าเลยทีเดียว
“ถ้าพวกมันอยากตรวจค้นก็ให้ทำไป
พวกเราไม่เคยมีของกลางให้ใครจับได้ ไม่เคยยิงคนตายต่อหน้าสาธารณชน
ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว!!!”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั้นแสดงถึงความมั่นใจว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมายและไม่มีผู้ใดจะฉุดเขาลงไปได้
“ถ้าเช่นนั้นท่านจะรับมื้อเช้าระหว่างรอเลยไหมครับ
บริเวณโซนผู้โดยสารขาเข้ามีริสโตรานเต้ ( ***ริสโตรานเต้ คือ
ภัตตาคารประเภทชั้นเลิศ มีบริกรคอยบริการตลอดเวลา ) อยู่ร้านหนึ่ง” เอริคถาม
“ก็ดี”
ผู้อยู่ใต้โอวาทผายมือเชื้อเชิญเจ้านายของตนให้เดินนำหน้าไปยังบริเวณโซนผู้โดยสารขาเข้าอย่างนอบน้อมโดยมีฝูงชนแหวกทางให้เขาอย่างพร้อมใจเช่นกันเมื่อจดจำได้
ว่า...บุคคลผู้นี้คือใคร!
“อยู่ไหนนะ?”
ข้าวของกระจุกกระจิกในกระเป๋าสะพายกลายเป็นสิ่งน่ารำคาญใจเมื่อพยายามค้นหาของสำคัญเท่าไรก็ไม่พบเจอเสียที
พันธิตราอดตำหนิตนเองไม่ได้ที่เอาแต่หลับตลอดเส้นทางจนหลงลืมตระเตรียมเอกสารสำคัญอย่างรายชื่อและรูปถ่ายของไกด์พิเศษที่ได้รับว่าจ้างจากสำนักพิมพ์ให้มาช่วยดูแลเธอตลอดระยะเวลาสามเดือนหลังจากนี้
“ฉันเอามาแน่ๆ...ฉันจำได้” เธอยังคงพูดคุยกับตัวเองและลองเปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กที่พกติดตัวเพื่อเช็คว่าได้นำเอกสารฉบับนั้นแนบไว้ภายในนี้หรือไม่
ทว่า ก็หาได้ปรากฏแม้แต่เงา นอกเสียจากชื่อของไกด์พิเศษที่จดเอาไว้คร่าวๆ
ว่า...มิสเตอร์ อัลเบอร์โต้ แองเจโล
ในที่สุดหญิงสาวก็ต้องยอมรับชะตากรรมว่าคงสะเพร่าไม่ได้นำเอกสารฉบับนั้นมาด้วยเป็นแน่
จึงจำใจพึ่งพาเพียงชื่อของไกด์พิเศษโดยปราศจากรูปถ่ายแม้แต่ใบเดียว
ในใจนั้นก็หวังว่าอีกฝ่ายคงเขียนชื่อเธอลงบนป้ายใหญ่ๆแล้วโชว์ประจานเหมือนอย่างที่หลายๆคนชอบทำกันเวลาต้อนรับแขกผู้มาเยือน
พันธิตราลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปตามทางออกของผู้โดยสารขาเข้า
ดวงตากลมโตกวาดมองหาป้ายชื่อของตนเองอย่างสะเปะสะปะด้วยความรู้สึกสับสนเมื่อพบว่ามีผู้คนมายืนรอมากกว่าที่คาดคิด
อีกทั้งภาษาอิตาเลี่ยนที่ถูกเขียนปะปนกับภาษาอังกฤษบนแผ่นป้ายมากมายทำให้หญิงสาวตาลายเป็นอย่างมาก
ด้วยความว้าวุ่นใจทำให้เธอไม่ได้มองทางแล้วชนเข้ากับผู้โดยสารที่เดินนำหน้าอย่างแรงจนข้าวของสัมภาระของอีกฝ่ายตกกระจัดกระจายบนพื้น
“ขอโทษค่ะ” เธอรีบขอโทษขอโพยคู่กรณีซึ่งเป็นสตรีชาวญี่ปุ่นวัยกลางคนพลางช่วยเก็บข้าวของที่ตกหล่นให้หล่อนก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อมีผู้โดยสารคนอื่นๆไล่หลังจนไม่ทันสังเกตเห็นป้ายชื่อของตนเองที่ถูกถือโดยชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มชาวอิตาเลี่ยนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไรนัก
จนแล้วจนรอดพันธิตราก็ยังหาไกด์พิเศษไม่พบเสียทีจึงไม่รอช้าที่จะคว้ามือถือออกมาติดต่อสื่อสารกับคุณหญิงพิชชาพรผู้เป็นมารดาเพื่อบอกว่าเธอมาถึงประเทศอิตาลีโดยสวัสดิภาพและต้องการให้ช่วยหาเบอร์โทรศัพท์ของมิสเตอร์
อัลเบอร์โต้ แองเจโล ทว่า
พระเจ้าก็ช่างเล่นตลกเมื่อพบว่าโทรศัพท์นั้นแบตเตอรี่หมดไปนานเสียแล้ว
“ยัยมะเขือเอ้ย...ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ” เธอสบถอย่างหัวเสีย
ใบหน้าหวานเหลียวมองรอบกายด้วยความวิตกกังวลใจ
ไม่แปลกเลยที่หญิงสาวจะรู้สึกเยี่ยงนี้เมื่อการเดินทางมายังต่างประเทศครั้งแรกค่อนข้างไม่โสภาเสียแล้ว
ถึงกระนั้นพันธิตราก็ไม่หมดกำลังใจรีบเดินเข้าไปถามไถ่คนโน้นคนนี้ว่าใช่ไกด์พิเศษของเธอหรือไม่อย่างลนลาน
ทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวไม่รอดพ้นสายตามาเฟียหนุ่มซึ่งจดจ้องมองหล่อนได้ชั่วครู่แล้วหลังจากเดินมาพบเข้าโดยบังเอิญ
ในใจนั้นก็นึกขำและสงสัยว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไม่เข้าไปติดต่อสอบถามขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทางสนามบิน
“เด็กน้อยเอ้ย!” คาร์โลพึมพำเบาๆ
“มีอะไรหรือครับท่าน?” เอริคถามผู้เป็นนายเมื่อจู่ๆเขาก็หยุดเดินเสียดื้อๆทั้งที่อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงริสโตรานเต้อยู่แล้วแท้ๆ
ทว่า ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
นัยน์ตาสีเทาคู่งามยังไม่อาจละจากสตรีชาวเอเชียผู้นี้ได้
มิหนำซ้ำยังรู้สึกดึงดูดกับผมสีดำยาวสลวยของหล่อนที่พลิ้วไหวไปมาเป็นลอนคลื่น
ดวงตาสีน้ำตาลที่ทอประกายอย่างมีความหวังท่ามกลางความวิตกกังวลใจจนไม่อาจเชื่อได้ว่าสตรีรูปร่างบอบบางอ่อนแอเช่นนี้จะเข้มแข็งกว่าที่คาดคิด
และเพียงไม่นานนักเธอก็ใกล้เข้ามาจนหยุดยืนต่อหน้าเขา
“ขอโทษนะคะ!” สติของชายหนุ่มถูกดึงกลับมาด้วยน้ำเสียงหวาน
“ครับ?” เขาตอบโดยที่ยังไม่อาจละสายตาไปจากดวงหน้าของหล่อน
“คุณใช่มิสเตอร์
อัลเบอร์โต้ แองเจโล หรือไม่คะ?”
“ออ...คือผมไม่...” คาร์โลยั้งคำพูดของตัวเองเอาไว้ได้ทันพลางพินิจพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งสวยไม่ว่าจะเป็นใบหน้าท่าทางล้วนดึงดูดให้ตราตรึงจนไม่ปรารถนาปล่อยเธอเดินจากไปง่ายๆ
และแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายอีกครั้ง
“ใช่ครับ...ผมคือ
อัลเบอร์โต้ แองเจโล!”
คาปูชิโน่ร้อนในถ้วยกระเบื้องเคลือบส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยผงซินนามอน
( ***ซินนามอน หรือ อบเชย คือ เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม ได้จากเปลือกไม้ชั้นในที่แห้งแล้วของต้นอบเชย
มีสีน้ำตาลแดงและมีลักษณะเหมือนแผ่นไม้แห้งที่หดงอหลังจากโดนความชื้น ประเทศในแถบเอเชียนิยมใช้อบเชยในการทำเครื่องแกง
ส่วนประเทศในแถบตะวันตกมักใส่อบเชยในของหวาน หรือ ใช้ผงอบเชยละเอียดโรยหน้ากาแฟใส่นม
) โรยหน้าบนโฟมนมเสิร์ฟพร้อมคอร์เนตโต ( ***คอร์เนตโต คือ ขนมปังลักษณะคล้ายครัวซองต์แต่มีไส้ด้านใน
) โดยบริกรหนุ่มยังโต๊ะพิเศษระดับวีไอพีที่รองรับเฉพาะแขกกิตติมศักดิ์ บุคคลสำคัญคนนั้นก็หาใช่ใครอื่นนอกเสียจากคาร์โล
แองเจโลซึ่งกำลังเลี้ยงมื้อเช้าแสนพิเศษแก่สุภาพสตรีชาวเอเชียที่เพิ่งพบหน้าคร่าตากันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“รสชาติดีจริงๆค่ะ” พันธิตรากล่าวบอกจากใจจริงหลังได้ลิ้มรสมื้อแรกแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆจากไกด์
‘พิเศษ’ ของเธอ
“ถ้าคุณชอบผมก็ดีใจครับ”
คาร์โลจุดไฟบุหรี่ที่เพิ่งนำออกมาจากกล่องเหล็กแล้วสูบอย่างสบายอารมณ์
แม้หญิงสาวทราบมาก่อนว่าผู้คนในประเทศอิตาลีนิยมสูบบุหรี่กันเป็นกิจวัตรแต่มันก็ไม่คุ้นเคยสำหรับเธอเสียเท่าไร
และโรคภูมิแพ้ก็กำเริบขึ้นจนเธอต้องจามออกมา
“ขอโทษนะคะ คือ...ฉันแพ้ควันบุหรี่น่ะค่ะ”
“โอ้...ขอโทษด้วยครับ” มาเฟียหนุ่มกล่าวพลางจะดีดบุหรี่ลงพื้นเฉกเช่นที่เคยทำ
แต่แล้วก็เปลี่ยนใจนำมันไปขยี้บนที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะเสียแทน แม้ไม่คุ้นเคยกับมรรยาทผู้ดีสักเท่าไรแต่เขาก็รู้สึกสนุกนิดหน่อยที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆเพื่อสร้างภาพหลอกแม่สาวคนนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ” พันธิตราตอบอย่างไม่ถือสา เพราะเผลอๆเธออาจเป็นคนผิดเสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศอิตาลีที่ไม่พึงปรารถนาบุหรี่มาใกล้ตัว
“จริงสิ...ผมยังไม่ทราบชื่อของคุณเลยนะครับ
คุณผู้หญิง” คำถามของชายหนุ่มส่งผลให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ
“เอ๊ะ...คุณก็ทราบจากเอกสารที่ทางสำนักพิมพ์ของฉันส่งให้แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
“พอดีว่าผมไม่คุ้นกับภาษาและชื่อแบบเอเชียเท่าไรน่ะครับ
อีกทั้งช่วงนี้ผมก็มีธุรกิจรัดตัวจึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาตรวจทานเอกสารที่ส่งมา” เขาแก้ตัวอย่างข้างๆคูๆและหวังว่าแผนจะไม่แตกเร็วเกินไปนัก
“ออ...ฉันชื่อ พันธิตรา
มณีชัยชาญค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างไม่ติดใจอะไร
เพราะเธอเองก็มีงานรัดตัวมากมายจนสะเพร่าหลงลืมเอกสารของเขา
“แล้วคุณเดินทางมาที่อิตาลีทำไมครับ?”
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คำถามของชายหนุ่มสร้างความประหลาดใจให้อีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“เอ๊ะ...คุณก็รู้นี่คะ
ว่า...ฉันเป็นคอลัมนิสต์หนังสือท่องเที่ยวของสำนักพิมพ์ในประเทศไทย
แล้วเดินทางมาที่นี่เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอิตาลีเป็นเวลาสามเดือนสำหรับการทำพ็อกเก็ตบุ๊ค
โดยที่คุณก็ตกลงกับทางสำนักพิมพ์ของฉันแล้วว่าจะรับอาสาพาทัวร์ในฐานะไกด์พิเศษ”
“ผมก็แค่ทดสอบคุณเท่านั้นเองครับ
เพราะเกรงว่าตัวเองจะต้อนรับแขกผิดคน!”
คาร์โลพูดแฝงตลกเพื่อตบตาพันธิตราไม่ให้สงสัยก่อนจะชม้ายมองเอริคที่ยืนเฝ้าอยู่แถวหน้าประตูภัตตาคาร
ดวงตาของผู้อยู่ใต้โอวาทเต็มไปด้วยความสงสัยในความคิดและพฤติกรรมของเจ้านายเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาโกรธนั่นเอง
แต่แล้วเอริคก็จำใจต้องเข้ามาขัดขวางการสนทนาระหว่างทั้งคู่เมื่อได้รับการติดต่อจากนักบินว่าบัดนี้เครื่องบินได้พร้อมรอรับพวกเขากลับสู่ปาแลร์โมแล้ว
“ถึงเวลากลับแล้วครับท่าน” เขารายงานผู้เป็นนายที่พยักหน้ารับก่อนหันไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“เราควรออกจากสนามบินได้แล้ว
และ ผมก็จะพาคุณไปพักยังสถานที่ที่จะทำให้มีความสุขตลอดสามเดือนในอิตาลี”
“เอ๊ะ...เราจะไปพักที่ไหนเหรอคะ
โรม ปิซ่า ฟลอเรนซ์ หรือว่า...”
“วิเศษกว่าสถานที่เหล่านั้นอีกครับ!” มาเฟียหนุ่มตอบพร้อมยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย
ก่อนจะสั่งให้เอริคชำระค่าอาหารและช่วยหญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางไปยังบริเวณผู้โดยสารขาออกอย่างรวดเร็ว
นกเหล็กกางปีกของมันแล้วทะยานขึ้นสู่น่านฟ้าอีกครั้งเพื่อนำพาผู้เป็นเจ้าของกลับสู่ตอนใต้ของประเทศ
ปุยเมฆที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์จนดูราวกับทะเลสีขาวที่พร่างพราวด้วยอัญมณีเลอค่า
ความสวยงามตรงหน้าสร้างความประทับใจให้แก่พันธิตราเป็นอย่างมากจนเธอต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้อย่างตื่นเต้นเพราะอย่างน้อยอาจนำมันมาใช้ประโยชน์ในหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คได้บ้าง
“สุดยอดจริงๆ...ฉันไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัว”
“อภินันทนาการพิเศษสำหรับหญิงสาวผู้โชคดีมีไกด์พิเศษอย่างผม” คาร์โลตอบขณะนั่งไขว้ห้างอยู่บนเบาะขนาดใหญ่พลางจิบไวน์บาโรโล ( ***บาโรโล คือ ยี่ห้อไวน์แดงที่มีชื่อเสียงในประเทศอิตาลี ) สีแดงสวยในแก้วใส
“ถ้าคุณไม่บอกว่าเป็นไกด์
ฉันคงคิดว่าคุณเป็นนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงในอิตาลีแน่นอนเลยค่ะ” พันธิตราบอกจากใจจริง ด้วยหน้าตา รูปร่าง รวมถึงสไตล์การแต่งตัวของเขาที่เนี้ยบด้วยชุดสูทสีดำทำให้เธออดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นผมก็คงปฏิเสธไม่ได้
ว่า...จริงๆแล้วผมเป็นประธานบริษัทแองเจโลกรุ๊ป”
คำตอบของเขาทำเอาหญิงสาวเบิกตาโพลงอย่างตกใจ
“จริงๆเหรอคะ...ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับแองเจโลกรุ๊ปมาพอสมควรว่าทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องหนังอย่าง
กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า จำพวกนี้”
“ถูกต้องแล้วครับ” คาร์โลตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่ไม่ได้บอกให้ชัดเจนกว่านั้น
ว่า...แท้จริงแล้วผลิตภัณฑ์เหล่านี้แค่สร้างขึ้นมาบังหน้าการผลิตอาวุธสงครามด้วยก็เท่านั้น
“แล้วทำไมคุณถึงมาทำงานเป็นไกด์พิเศษให้ฉันล่ะคะ?” พันธิตราสงสัยขึ้นมา ถึงกระนั้นคาร์โลก็หาได้วิตกกังวลและแสร้งตอบไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“บางครั้งอาชีพที่ทำมันก็ไม่ได้หมายถึงความชอบส่วนตัวนี่ครับ
ผมเองก็ไม่ได้ชื่นชอบงานทางด้านธุรกิจสักเท่าไรแต่จำใจทำเพื่อสืบสานต่อความต้องการของครอบครัว
และความฝันของผมก็คือการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆและให้ความรู้คนอื่นๆด้วย
ทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงมารับงานเป็นไกด์พิเศษให้คุณ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันคงต้องขอขอบคุณจริงๆค่ะ
ที่ทำให้การท่องเที่ยวในอิตาลีน่าประทับใจตั้งแต่เริ่มต้น”
พันธิตรากล่าวจากใจจริง
“ด้วยความยินดีครับ”
“เอ่อ...แล้วนี่เราจะเดินทางไปเมืองไหนเหรอคะ?”
“ปาแลร์โมบนเกาะซิซิลีครับ
แต่ถ้าคุณเบื่อก็นอนพักผ่อนเอาแรงก่อนได้นะครับ”
“ฉันคงนอนไม่หลับหรอกค่ะ
อยากดูท้องฟ้ากับเมฆแปลกๆมากกว่า” เธอเอ่ยก่อนจะหันไปชื่นชมทิวเมฆที่ล่องลอยอยู่นอกหน้าต่างอีกครั้ง
โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าซึ่งแฝงด้วยแผนการอันเลวร้ายของชายหนุ่มที่เข้าใจว่าเป็นไกด์พิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว
“เด็กน้อยผู้โง่เขลา” คาร์โลพึมพำเบาๆพลางจิบไวน์แดงอีกครั้งหลังจากเอริคเพิ่งรินเติมให้จากขวด
“ขออภัยครับท่าน
แต่ผมมีเรื่องสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้”
ผู้อยู่ใต้โอวาทกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยเกรงว่าเหยื่อของเจ้านายจะตื่นเสียก่อน
“ว่ามา”
“ปกติแล้วท่านไม่ชอบให้ใครๆมาก้าวก่ายหรือใกล้ชิดจนเกินไปไม่ใช่เหรอครับ
แล้วทำไมถึงได้พาผู้หญิงคนนี้ขึ้นเครื่องบินมาด้วย”
“ก็ฉันเดินทางด้วยเครื่องบินแล้วจะให้หล่อนนั่งรถไฟตามไปหรืออย่างไร!” เขาตอบเสียงแข็ง
“แต่ท่านจะหลอกผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นไกด์พิเศษจริงๆเหรอครับ
ผมเกรงว่าถ้าหล่อนรู้ความจริงภายหลังว่าท่านไม่ได้เป็นไกด์จริงจะพาลโกรธเอาได้”
“คิดว่าฉันจะต้องกังวลเรื่องพรรค์นี้เหรอ
จะโกรธจะเกลียดก็ช่างประไรแค่ผู้หญิงเอเชียคนเดียวไม่สำคัญอะไร
ตอนนี้แค่ดำเนินเรื่องไปตามแผนการเท่านั้นก็พอ”
ปัญหานี้ไม่ทำให้มาเฟียหนุ่มยีหระเลยแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำยังนึกสนุกที่ได้มีอะไรทำแก้เครียดในยามว่าง อยากรู้เหมือนกันว่าเกมนี้จะชนะหรือแพ้กันแน่
“ถ้าเช่นนั้นจะให้ผมติดต่อไปยังโรงแรมเพื่อจองห้องพักให้หล่อนตลอดสามเดือนเลยไหมครับ?”
“ไม่ต้อง...ฉันต้องการให้หล่อนพักที่คฤหาสน์”
ความปรารถนาของเจ้านายนั้นทำให้ผู้รับใช้คนสนิทถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก
“ท่านครับ...ทำแบบนั้นความลับเรื่องธุรกิจจะไม่...”
เอริคคิดว่าการกระทำของผู้เป็นนายเสี่ยงเกินไปที่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาร่วมใช้ชีวิตด้วย
ทว่า ก็ต้องยั้งคำพูดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อมาเฟียหนุ่มยกมือขึ้นปราม
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก
หล่อนเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
ดูแล้วไม่น่ามีพิษสงอะไร”
“ถ้าท่านเห็นชอบเช่นนั้นผมก็ไม่มีอะไรขัดข้องอีกแล้วครับ”
“จริงสิ...ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ด่วนเลย” เขากล่าวพร้อมส่งกระดาษใบเล็กๆซึ่งเขียนรายการบางอย่างเอาไว้ให้เอริค
“ครับท่าน”
ภาพของพันธิตราที่กำลังรื่นเริงเบิกบานอยู่ริมกระจกนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเทาคมเข้มของคาร์โลตลอดเวลา
อีกไม่นานเขาก็จะได้จูงลูกแกะเชื่องๆตัวนี้เข้าสู่กรงทองซึ่งจะรองรับชะตากรรมของหล่อนเอาไว้ตลอดสามเดือน!
คฤหาสน์หินอ่อนหลังงามตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาซึ่งมีอาณาบริเวณล้อมรอบราวห้าสิบเอเคอร์
หันหน้าเผชิญปาแลร์โมเมืองเก่าที่สร้างสมอารยธรรมมานานกว่าแปดร้อยปีก่อนคริสตกาล ด้านข้างนั้นเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาประหนึ่งว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวิหารแห่งทวยเทพโรมันบนยอดเขาโอลิมปัสที่สามารถมองดูบ้านเรือนและมนุษย์ตัวน้อยๆจากบนนี้ได้ทุกตารางนิ้ว
หินแกรนิตถูกปูลาดยาวตลอดทางเดินเข้าสู่ตัวคฤหาสน์รายล้อมขนาบด้วยชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำที่คอยยืนต้อนรับในการกลับมาของผู้เป็นนาย
แน่นอนว่าหลายคนดูเหมือนจะสงสัยในตัวสตรีชาวเอเชียที่คาร์โลพามาด้วยแต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากเอ่ยถาม
เว้นเสียแต่เจ้าตัวที่เดินตามเจ้าของบ้านอย่างกระชั้นชิดตอนนี้
“พวกเขาเป็นใครกันคะ...ทำไมถึงต้องออกมายืนคอยต้อนรับคุณแบบนี้?”
“พวกเขาเป็นลูกน้องของผมที่บริษัทแองเจโลกรุ๊ปน่ะครับ
ซึ่งต้องคอยต้อนรับตามธรรมเนียมและนโยบายของบริษัท ไม่มีอะไรมากหรอกครับ” คาร์โลอธิบายคร่าวๆพอให้หญิงสาวได้เข้าใจ
โดยไม่บอกถึงสาเหตุอันแท้จริงที่ต้องมีบอดี้การ์ดมากมายเอาไว้คุ้มกันหัวหน้ามาเฟียอย่างเขาซึ่งอาจถูกปองร้ายได้ทุกเวลา
ทันทีที่ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์
สาวใช้คนหนึ่งในชุดกระโปรงสีดำคาดผ้ากันเปื้อนสีขาวก็ออกมารับกระเป๋าเดินทางของพันธิตราจากเอริค
“นำสัมภาระของคุณผู้หญิงคนนี้ไปเก็บไว้ที่ห้องพักรับรองได้เลย” เขาบัญชาการผู้อยู่ใต้โอวาทที่น้อมรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ค่ะท่าน”
หญิงสาวมองตามสาวใช้คนนั้นซึ่งกึ่งลากกึ่งหอบกระเป๋าเดินทางขึ้นไปบนบันไดหินอ่อนแต่ละขั้นที่โค้งเว้าเป็นรูปครึ่งวงกลมสู่ชั้นสอง
ก่อนจะปรายตาดูโถงกว้างที่กำลังยืนอยู่ ณ ตอนนี้
ว่าตกแต่งได้อย่างวิจิตรตระการตาเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแก้วมูราโน ( ***มูราโน คือ เครื่องใช้เครื่องประดับจากการเป่าแก้วเป็นสินค้าเลื่องชื่อของเวนิส
มีสีสันต่างๆนานา ซึ่งสีแดงจะมีราคาแพงที่สุด )
ที่ถูกเป่าเป็นรูปอาชาสองตัวกำลังวิ่งไปด้วยกัน
รูปปลาโลมากำลังแหวกว่ายอยู่กลางเกลียวคลื่น หรือแม้แต่เครื่องปั้นดินเผามากมายซึ่งไม่อาจประเมินค่าได้ถูกนำมาจัดวางบนแท่นโชว์ตรงมุมต่างๆคละเคล้ากับรูปปั้นบุรุษและสตรีตามแบบฉบับโรมันโบราณที่เน้นสรีระทรวดทรงองค์เอวอันเป็นความงดงามแห่งธรรมชาติ
“กรุณารอสาวใช้จัดเก็บสัมภาระที่ห้องพักรับรองสักครู่หนึ่งนะครับ”
คาร์โลผายมือเชื้อเชิญไปยังโซฟาตัวใหญ่ซึ่งพันธิตราก็หาได้ขัดข้อง
โดยมีสาวใช้อีกสองคนนำถาดเครื่องดื่มกับขนมมาเสิร์ฟอย่างรู้หน้าที่ ส่วนเอริคก็รับเอกสารบางอย่างจากมือชายในชุดสูทสีดำอีกคนพลางนำมันมาส่งมอบให้แด่ผู้เป็นนายที่รับไปพิจารณาคร่าวๆก่อนยื่นส่งให้หญิงสาว
“นี่เป็นเอกสารของผมในการปฏิบัติหน้าที่เป็นไกด์พิเศษของคุณครับ”
เอกสารต่างๆระบุถึงชื่อเสียงเรียงนามและตำแหน่งหน้าที่การงานของมาเฟียหนุ่ม
ว่า ชื่อ อัลเบอร์โต้ แองเจโล มีตำแหน่งเป็นประธานบริษัทแองเจโลกรุ๊ป
และอาสาเป็นไกด์พิเศษให้แก่คอลัมนิสต์สาวแห่งสำนักพิมพ์ชื่อดังจากประเทศไทย ข้อมูลนั้นชัดเจนและถูกต้องจนพันธิตราไม่คลางแคลงใจสงสัยแต่อย่างใด
ทั้งที่เอกสารทั้งหมดในมือเธอนั้นล้วนเป็นของปลอมที่เขาสั่งให้เอริคจัดการระหว่างอยู่บนเครื่องบิน
“ขอบคุณสำหรับเอกสารนะคะ” พันธิตรากล่าวพลางเก็บหลักฐานสำคัญนั้นไว้ในกระเป๋าสะพาย
เป็นจังหวะที่สาวใช้คนเดิมเดินลงมาจากชั้นสองก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับเอริคที่พยักหน้ารับแล้วรายงานแด่ผู้เป็นนายทันที
“สัมภาระต่างๆถูกจัดไว้ในห้องพักรับรองเรียบร้อยแล้วครับท่าน”
“ดีมาก” เขาตอบพร้อมหันไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ห่าง “เชิญคุณขึ้นไปพักผ่อนยังห้องพักรับรองได้แล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ...ยินดีต้อนรับเข้าสู่อิตาลีอีกครั้งอย่างเป็นทางการ” คาร์โลตอบพร้อมมองหญิงสาวที่เดินตามสาวใช้ขึ้นไปยังห้องพักรับรองด้านบนด้วยสายตากรุ่มกริ่มอย่างมีเลศนัยพลางพึมพำเบาๆกับตนเอง
“และขอต้อนรับเข้าสู่รังมาเฟียอย่างเป็นทางการ!”
ความคิดเห็น