คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 10 ละอองความทรงจำ I remember...
บทที่ 5
I remember…
ละอองแห่งความทรงจำ
แด่เวลาอันเนิ่นนานแลความทรงจำที่ผันผ่าน
แด่ทุกถ้อยคำที่เรียงร้อยจากร่องรอยของกาลเวลา
แด่ความรักครั้งแรกที่ไม่จีรังฤาครั้งสุดท้ายที่โรยรา
แด่แสงแห่งชีวาอันเป็นนิรันดร์แลความโหยหาที่ไม่สิ้นสุด...
‘กริเซลด้า’ นามข้านั้นจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แห่งศาสนจักร ข้าเกิดในครอบครัวที่มีเชื้อสายแห่งศาสดาของทวีปแห่งนี้
‘ลิมูเรีย’...ทวีปอันเกรียงไกรจากขอบฟ้าจรดมหาสมุทร ทวีปที่แบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ
‘โรซาเรีย’ นครแห่งกษัตริย์และอัศวิน เมืองหลวงอันมีกษัตริย์อันกล้าแกร่งและกองทัพอันเกรียงไกร
‘ลาโบน่า’ นครศักสิทธิ์ที่ได้รับพรจากเทพเบื้องบน ที่แห่งนี้คืออาณาจักรที่ข้าอยู่อาศัย นครที่เจริญสูงสุดด้วยอารยะและวิทยาการ เมื่ออายุข้าย่างสู่ปีที่สิบห้าก็เข้าสู่พิธีชำระจิต มันเป็นพิธีที่เหล่าสาวกผู้เคร่งศาสนาและยึดมั่นในศาสดาต้องทำเพื่อเข้าสู่การขัดเกลาวิญญาณ เพื่อบรรลุสู่การทิ้งกายหยาบ และเปลี่ยนตนเองเป็นวิญญาณศักสิทธิ์
พวกเราเหล่านักบวชแห่งเทพไร้นามจำนวนหลายพันคน ต้องฝึกตนด้วยวิธีต่างๆ การฝึกสมาธิ ทรมานร่างกาย และฝึกความแข็งแกร่งของกายหยาบ เพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอณูวิญญาณที่ผู้เชื่อมต่อวิญญาณผนึกใส่ไว้ในอัญมณี พลังวิญญาณของเหล่าวิญญาณที่ถูกผนึกแตกต่างกันไป แต่หากผู้ใดผ่านเวลาอันยากลำบากแล้ว ผู้นั้นจักได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณนั้น และจะมีวิญญาณที่คงอยู่ไม่เสื่อมสลายไป มีเพียงกายเนื้อเท่านั้นที่จะเน่าเปื่อยผุพังตามกาลเวลา
‘หัตถ์แห่งเทพไร้นาม’ นั่นคือนามที่เรียกขานผู้ที่สำเร็จจากพิธีการนี้ ข้าและเหล่าพวกพ้องที่พลีชีวิตเพื่อศาสดาได้นามนี้เพียงจำนวนหนึ่งในสิบ ที่เหลือจบชีวิตลงก่อนที่จะทำสำเร็จ ข้าจำได้อย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดที่แล่นผ่านเมื่อการหลอมรวมของจิตข้าและผลึกวิญญาณกำลังจะสำเร็จ เวลานับสิบปีที่ข้ายึดมั่นกำลังจะออกดอกผลของมัน กำแพงหินที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านสะท้อนเสียงกรีดร้องที่ข้าเปล่งออกมา กายเนื้อของข้าล้มลงแนบกับพื้นหิน แต่กายจิตของข้านั้นกลับแยกออกมาจากร่างที่แนบอยู่บนพื้นศิลา
เมื่อผู้เชื่อมต่อวิญญาณเห็นเหตุการณ์ ร่างหญิงสาวไร้วิญญาณร่างหนึ่งถูกนำมาอยู่เบื้องหน้าข้า
“กริเซลด้า แต่นี้ไปร่างใดที่ไร้วิญญาณแล้ว จะเป็นที่สถิตของเจ้าและวิญญาณอเวจีสีแดงชาดที่อยู่คู่กับเจ้า” เสียงผู้เชื่อมต่อวิญญาณในชุดคลุมสีดำและหน้ากากสีเงินบอกกับข้า
“จงใช้ร่างพวกนี้เฉกเช่นอาภรณ์ จงเสพวิญญาณและความตายของปรปักษ์เพื่อคงอยู่ จงใช้มันเพื่อคงวิญญาณอมตะ คงไว้เพื่อรับใช้เทพไร้นามและศาสดาแห่งเรา ใช้มันเพื่อดับความกระหายสงครามของโรซาเรีย เจ้าจงเป็นแม่ทัพของกองทัพ ศักสิทธิ์ทำสงครามแห่งพันธะสัญญา” เสียงนั้นลอดผ่านหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าอยู่
ข้านอนลงทาบจิตไปบนกายหยาบของร่างนั้น ไม่นานข้าก็บังคับร่างนั้นดั่งร่างกายของข้าเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่มันแตกต่างออกไป
หัวใจข้าหยุดเต้น...
ชุดคลุมและหน้ากากถูกหยิบยื่นให้จากนักบวชที่ยืนอยู่ด้านหน้า ชุดคลุมยาวสีแดงสดกลอมเท้าถูกยื่นให้ตัวข้า ข้าปลดเปลื้องอาภรณ์เก่าของร่างที่ข้าสิงสถิต ชุดคลุมถูกสวมใส่พร้อมกับหน้ากากสีแดงสด ก่อนหน้ากากนั้นจะถูกสวมข้าใช้มือลูบใบหน้าในตอนนี้ของข้าเอง หญิงสาวผมสีดำขลับกับใบหน้าที่เรียวเล็ก ปากรูปกระจับเม้มแน่นด้วยความตื่นตระหนก มิใช่ว่าข้านั้นไม่รู้ว่าผลของเวลาที่ข้าใช้ไปสิบกว่าปีจะเป็นเช่นนี้ ข้ารู้ถึงผลลัพธ์มานานมากแล้ว แต่เมื่อต้องมาอยู่ในเหตุการณ์จริงมันก็เป็นคนละเรื่องกัน
“จงตามเราไปยังห้องแห่งใจเกริเซลด้า เจ้าตื่นเป็นคนสุดท้าย เหล่าหัตถ์แห่งเทพและท่านศาสดากำลังรอเจ้าอยู่ และที่สำคัญ...” ผู้เชื่อมต่อวิญญาณเรียกข้าจนตื่นจากภวังค์
“ขณะนี้เราอยู่ระหว่างสงคราม” เขาว่า
บันได้วนพาข้าขึ้นสู่ด้านบน ตัวมหาวิหารซิเซริสตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ความใหญ่โตของตัววิหารกินเนื้อที่สุดสายตา เมื่อเข้าสู่กลางวิหาร รูปปั้นเทพไร้นามตั้งตระหง่านในห้องโถง ดวงเนตรและริมฝีปากปากนั้นถูกเย็บปิด แขนทั้งสองข้างกอดอยู่ที่กลางอก ปีกทั้งสี่ที่เป็นดั่งปีกของปักษากางออกจนสุด มงกุฎหนามถูกสวมใส่อยู่บนพระเศียรที่โน้มต่ำมองลงมาที่เบื้องล่าง
ข้ายกแขนขวาแนบหน้าอก โค้งตัวลงด้วยใจเคารพ ก่อนที่จะเดินไปสู่พื้นโลหะทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายของห้อง เมื่อข้าและเหล่านักบวชขึ้นมายืนบนสิ่งนี้แล้ว มันขยับตัวขึ้นด้านบนเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อมันหยุดลง เหล่านักบวชเดินนำข้าสู่ห้องหนึ่ง
ประตูหินบานใหญ่สูงสามเท่าของตัวข้าค่อยๆ เปิดออก โคมไฟระย้าห้อยตัวอยู่ที่เพดานสูง โต๊ะประชุมยาวพร้อมศิลาอาสน์หลายสิบที่อยู่เบื้องหน้า ศาสดาในชุดขาวบริสุทธิ์ยืนขึ้นต้อนรับข้า เสียงของท่านลอดออกมาจากหน้ากากสีขาว
“กริเซลด้า ข้าดีใจยิ่งนักที่เจ้าตื่นขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง” เสียงท่านศาสดาทุ่มต่ำหากแต่ก้องกังวาน
เมื่อท่านพูดจบประโยค บุคคลอีกสองคนในชุดคลุมสีดำและน้ำเงินก็ลุกขึ้น พร้อมกับแนบมือขวาที่หน้าอกเป็นการทำความเคารพ
“ทั้งสองเป็นพี่น้องของเจ้ากริเซลด้าเอ๋ย พวกเขาตื่นก่อนเจ้า ดีเนฟแห่งความเศร้าสีน้ำเงิน และกาเซลแห่งความมืดสีดำ” ศาสดาพูดพร้อมกับนั่งลงที่หัวโต๊ะ ตามด้วยคนในชุดคลุมทั้งสอง ข้านั่งถัดจากคนในชุดคลุมสีน้ำเงิน ข้าไม่สามารถเห็นใบหน้าของทั้งสองได้เนื่องจากหน้ากากที่ถูกสวมไว้ที่ใบหน้าของทั้งสอง
ถัดจากตัวข้าลงไปเป็นเหล่านักบวชของซิเซริส ซึ่งมองจากการแต่งกายแล้วเป็นสาวกระดับสูงแทบทั้งสิ้น เสียงหนึ่งดังขึ้น ถ้าข้าจำที่ท่านศาสดากล่าวไว้ไม่ผิด เขาคือกาเซลแห่งความมืดสีดำ
“ทัพของข้าขออาสาบุกเข้าตีแนวหน้าของทัพกษัตริย์ โปรดไว้ใจมอบนาดีสสักสามตนให้ข้าออกศึกด้วยเถิดท่านศาสดา” เสียงชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้น
‘นาดีส’ คือชื่อของวิญญาณบรรพกาลที่สถิตอยู่ในมิติเบื้องหลัง เราชาวลิมูเรียประสพความสำเร็จในการควบคุมพลังของสัตว์วิญญาณเหล่านี้ โดยใช้เชื้อสายนักบวชที่มีพลังในการเปิดปิดมิติผนึกมันไว้ในแร่ที่เราสร้างขึ้น ส่วนศัตรูของเรากองทัพกษัตริย์นั้นก็ครอบครองอาวุธนี้เช่นกัน หากแต่เรียกขานมันว่า ‘เอมิไทร์’
สงครามในครั้งนี้เริ่มก่อตัวตั้งแต่กษัตริย์ของโรซาเรียขึ้นครองราชย์ ซิกฟรีด กษัตริย์องค์ปัจจุบันนับถือเทพแห่งแสง และที่สำคัญเขาเห็นว่าคำสอนของซิเซริสนั้นฝักใฝ่เส้นทางสายมาร โดยเฉพาะพิธีชำระจิตถูกเรียกว่านอกรีต ซิกฟรีดต้องการที่จะให้มีเพียงเทพแห่งแสงสว่างเท่านั้นที่เป็นที่เคารพของชาวลิมูเรีย สงครามเพื่อบดขยี้ศาสนจักรซิเซริสซึ่งนับถือเทพนิรนามจึงดำเนินเรื่อยมาเกือบสิบปี
“ช้าก่อนกาเซล ข้ามั่นใจถึงพลังของเจ้า แต่แนวหน้าของทัพกษัตริย์นั้นมีเอมิไทร์ที่ทรงพลังถึงสามตน มังกร หมาป่า และงูยักษ์ มันทั้งสามถูกควบคุมโดยสายเลือดกษัตริย์ทำให้กองทัพเราวอดวาย ไม่สามารถรุกคืบต่อไปได้” ศาสดาทรงเตือนสติที่กำลังกราดเกรี้ยวของกาเซล
องค์ศาสดานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ครั้งนี้เราจะออกไปโจมตีด่านหน้าของเหล่าอัศวินโรซาเรียด้วยนาดีสแห่งพื้นพิภพ” ท่านกล่าวออกมา ทำให้สีหน้าตกใจปรากฏบนใบหน้าผู้ได้ฟัง
“นั่นหมายความว่าท่านจะออกรบด้วยหรือท่านศาสดา” เสียงจากคนในชุดคลุมสีน้ำเงินพูดออกมา ทำให้สามารถรู้ได้ว่าภายใต้หน้ากากนั้นคือผู้หญิง
“เราจะใช้พลังของผลึกนี้” ศาสดากล่าวพร้อมกับรับผลึกสีม่วงขนาดสามร้อยกะรัตวางคู่กับผลึกสีดำขนาดพอกัน
“เวลาแห่งนิรันดร์ และหยาดแห่งกาลเวลา อัญมณีที่นักปราชญ์ของเราสร้างขึ้น เมื่อทั้งสองรวมกันมันจะเปลี่ยนเป็น ‘หินนักปราชญ์’ ซึ่งจะมีพลังบงการทั้งเอมิไทร์ของโรซาเรียและนาดีสของพวกเรา นี่เป็นไพ่ตายของเรา” องค์ศาสดาทิ้งช่วงให้ผู่ที่อยู่ในห้องประชุมได้ยลความงามอัญมณีทั้งสอง
“ข้าจะเข้าสู่สนามรบพร้อมพวกเจ้า กริเซลด้า กาเซล เดเนฟ จงติดตามข้าแล้วอัญเชิญเหล่านาดีสออกมา เมื่อทัพกษัตริย์เห็นดังนั้นจักต้องใช้เหล่าเอมิไทร์เป็นแน่ เมื่อนั้นข้าจะใช้พลังของเทพพิภพและผลึกนี้ชิงการควบคุมเหล่าเอมิไทร์มาเป็นฝ่ายเรา” สงครามนี้เริ่มมีหนทางสำหรับข้าเมื่อศาสดากล่าวถึงแผนครั้งนี้ กำหนดการคืนอรุณรุ่งของพรุ่งนี้ เวลาอีกประมาณสิบกว่าชั่วโมงหลงเหลืออยู่ เวลาก่อนที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกผลการกระทำของพวกข้า และเหล่ากองทัพกษัตริย์
ว่าเป็นผู้นำความล่มสลายมาสู่ทวีปแห่งมารดา...
ความคิดเห็น