ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรงขังสิเนหา

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.59K
      9
      8 ก.พ. 58






    “ว่าไงแม่ลูกสาวตัวดี ยิ้มหน้าบานมาเชียว” นางเพียงใจที่นั่งรับลมอยู่ระเบียงชั้นหนึ่งของบ้านถามลนารินที่กึ่งเดินกึ่งจะวิ่งเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มเต็มวงหน้า

    “นางได้งานแล้วค่ะครู งานเอกสารที่โชว์รูมขายรถยนต์” หญิงสาวยิ้มกว้างพร้อมกับถลาเข้ามากอดนางเพียงใจ ในที่สุดเธอก็พิสูจน์ให้ผู้มีคุณได้เห็นแล้วเธอยุติเข้าห้องเรียนนั้นไม่สูญเปล่า

    “มั่นใจแล้วนะว่าเขารับนางเข้าทำงานจริง” นางเพียงใจถามเมื่อลนารินนั่งแหมะลงใกล้ตัว เรื่องลูกสาวแอบหางานทำนางรู้มาสักพักหนึ่งแล้ว

    “แน่สิคะครู นางคุยและตกลงกับบริษัทเรื่องความจำเป็นของวันลาสอบแล้วด้วย นางก็อยากทำงานขายรถอยู่หรอกนะ เงินเดือนสูงกว่างานออฟฟิศ ครูก็รู้ว่านางขับรถเป็น แค่ไม่มีใบขับขี่เท่านั้นเอง” จะใครเสียอีกที่เป็นคนสอนเธอขับรถถ้าไม่ใช่พยุทธ “แต่งานขายรถ บริษัทเขารับวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป” ลนารินทำหน้ามุ่ย

    “ก็เตือนแล้ว ไม่เชื่อครูเอง วุฒิแค่มอหก เงินเดือนก็ต้องน้อยกว่า สมัยนี้น้อยนักจะมองที่ความสามารถ และกว่าจะเห็นความสามารถเราก็คงต้องทำงานไปพักใหญ่ก่อน งานสมัยนี้นะ อย่างน้อยก็ต้องมีใบปริญญาเป็นตัวเบิกทางให้เขาเห็น”

    “แต่ถึงนางจะมีวุฒิแค่มอหก ยังไม่จบปริญญา แต่นางจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่านางพร้อมทำงานทุกอย่างที่เขาสั่ง ดีออก ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งประสบการณ์ เผลอๆ หลังจากได้ใบปริญญามา นางที่เคยมีประสบการณ์การทำงานจะเนื้อหอม บริษัทไหนๆ ก็อยากได้ไปทำงานให้”

    ลนารินพูดพร้อมกับยืดอกแสดงความภาคภูมิใจหวังเรียกรอยยิ้มขบขันจากคนที่อยู่ในฐานะแม่

    “ขี้คุยละที่หนึ่ง ให้ผ่านโปรสามเดือนก่อนเถอะ ไม่ใช่เห็นเราวุฒิต่ำ ครบกำหนดทดลองงานแล้วบอกไม่ผ่าน หาเรื่องรับคนใหม่มาทดลองงานไปเรื่อยๆ”

    “โห...ครูน่ะ ฟังแบบนี้แล้วนางใจเสียนะ”

    “ที่พูดนี่ก็แค่อยากให้รู้จักสร้างภูมิคุ้มกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ชีวิตบนถนนการทำงานจริงๆ มันไม่ง่ายนะจ๊ะ”

    “นางเข้าใจค่ะ งานไหนมันก็ไม่ง่ายเลย ขอบคุณครูมากนะคะที่คอยเป็นห่วงนาง” ลนารินยกมือไหว้ผู้หญิงที่เปรียบดั่งไฟนำทางให้ชีวิตของเธอตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

    “ถ้าคนเป็นแม่ไม่ห่วงลูก จะให้ไปห่วงหมาแมวที่ไหนกัน” คราวนี้นางเพียงใจเปรียบเทียบอย่างติดตลกบ้าง

    “บ้านเงียบเชียว น้องๆ ล่ะคะ” ลนารินลุกตามนางเพียงใจเข้าไปในบ้าน หญิงสาววางซองเอกสารลงบนหลังตู้เตี้ยใกล้กับโต๊ะกินข้าว

    “ตาไทยขึ้นไปอาบน้ำยังไม่ลงมาเลย สงสัยแอบเล่นน้ำอีกตามเคย หนุ่มกรของเราไปบ้านเพื่อนเพราะเรื่องรายงาน แก้วกับเดือนออกไปตลาด ส่วนพรหม...นอนอยู่บนห้องของเขานั่นแหละ” ท้ายประโยคของนางเพียงใจ ลนารินรับรู้ถึงความหนักหน่วงและทุกข์ใจเต็มอกคนเป็นแม่

    อาการของพรพรหมพยุงไว้ด้วยการรักษาของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ การผ่าตัดลิ้นหัวใจนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ฐานะของนางเพียงใจในตอนนี้ยังไม่อาจจะทำได้สะดวกนัก นางทำได้เพียงส่งตัวลูกชายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ แต่หากวันใดอาการทรุดหนัก เมื่อถึงเวลานั้นเข้าแล้วจริงๆ นางจะทำทุกวิถีทางให้ลูกชายได้รับการผ่าตัดอย่างทันถ่วงที แม้ผลจากการผ่าตัดจะไม่รับรองผลที่ออกมาว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีการผ่าตัดซ่อมหรือเปล่า และร่างกายของพรพรหมจะตอบสนองต่อลิ้นหัวใจเทียมได้ดีหรือไม่

    “เอาละ...มาเหนื่อยๆ นางไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน” เมื่อเห็นลูกสาวคนโตเงียบไป นางเพียงใจก็รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วดุนหลังหญิงสาวให้ขึ้นไปอาบน้ำ ไม่อยากให้ลูกมาจมทุกข์เหมือนตัวเอง สตรีผู้ผ่านโลกร้อนหนาวมาค่อนชีวิตเชื่อในเรื่องบุญทำกรรมแต่ง ในเมื่อลูกชายเกิดมาพร้อมความไม่สมบูรณ์ นางก็เริ่มทำใจมาตั้งแต่ต้น โชคดีแล้วที่พรพรหมมีชีวิตอยู่จนมาถึงตอนนี้ นางจะทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกชายไว้ แต่นั่นต้องไม่ใช่การผลักภาระให้ลูกเลี้ยงทั้งห้าคนหรือทำให้ทุกคนพลอยเป็นทุกข์ไปด้วย

    ลนารินกับน้องๆ ยังคงไปขายหนวดปลาหมึกย่างและเสื้อผ้าที่ตลาดนัด แต่เปลี่ยนวันเป็นเสาร์อาทิตย์แทน พนมกรมาเป็นกำลังสำคัญในการย่างปลาหมึกเพราะรู้ว่าพี่สาวคนโตมีภาระเรื่องงานควบคู่กับเรื่องเรียน

    ค่ำคืนของวันศุกร์สมาชิกในบ้านต่างอยู่กันพร้อมหน้า หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆ มาได้ เพื่อตอบแทนน้ำใจของเพื่อนบ้าน นางเพียงใจได้ชวนพ่อแม่ของพยุทธมาทานข้าวเย็นร่วมกัน

    “บ้านใกล้ซ่อมเสร็จแล้วนี่ครู จัดบ้านใหม่ด้วย ซ่อมไปซ่อมมาเหมือนต่อเติมบ้านใหม่เลยนะ” นางวลัยกวาดสายตามองไปทั่วบ้าน พร้อมกับกล่าวชมที่บ้านหลังเดิมของเพื่อนบ้านออกมาดูดีเหมือนใหม่

    “ไหนๆ บ้านมันก็เก่า เรียกช่างมาแล้วก็ให้เขาทำให้ดีที่สุดนั่นแหละจ้ะพี่ลัย มันไม่เกินงบที่วางไว้ ฉันก็ไม่อยากเสียเที่ยวก็เลยทำห้องน้ำเพิ่ม ลูกๆ ก็โตกันแล้ว เช้ามาจะได้เลิกวุ่นวายแย่งห้องน้ำกัน”

    “วุ่นวายแต่ครื้นเครงดีออก ครอบครัวอบอุ่นจะตาย ฉันกับพี่หนุ่ยสิเหงา มีเจ้าซุงเป็นลูกแค่คนเดียว”

    “ถ้าเหงาก็ขอแบ่งลูกสาวครูเพียงเขาสักคนสิแม่ลัย” ได้โอกาสเหมาะ ชายวัยห้าสิบก็ออกความเห็นกับคู่ชีวิตพ่วงด้วยเลียบเคียงถามนางเพียงใจในคราวเดียว อายุอานามของลูกชายคนเดียวก็ถือว่าเหมาะสมแล้วกับการเริ่มมองหาผู้หญิงดีๆ สักคนมาร่วมสร้างครอบครัวด้วยกัน พวกเขาเห็นดีด้วยถ้าเมียแต่งในอนาคตของลูกชายจะเป็นลนาริน

    คนเป็นผู้ปกครอง แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตใครอยู่ในอาการสงบนิ่ง นางคาดเดาไม่ผิดว่าวันนี้ต้องมาถึงสักวัน ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้นางเห็นถึงความสม่ำเสมอและน้ำใจของพยุทธเป็นอย่างดี แต่เรื่องของหัวจิตหัวใจนางชักจูงและตัดสินใจแทนลูกสาวไม่ได้ ทุกชีวิตมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง

    “ว่าไงจ๊ะครูเพียง ฉันกับพี่หนุ่ยพูดจริงๆ นะ” นางวลัยที่ทนแรงคะยั้นคะยอของลูกชายมาพักใหญ่แล้วจี้ถามเพื่อความมั่นใจ

    เดือนยี่เหลือบตามองลนารินที่ยังรักษาสีหน้าสงบเสงี่ยมไว้ได้ ผิดกับเธอที่เหงื่อเริ่มซึมกลางฝ่ามือ แทบไร้เรี่ยวแรงจับช้อนตักข้าว สีหน้าผิดปรกตินั่นอยู่ในการลอบมองของเรือนแก้ว เด็กสาวอายุสิบห้าจึงแก้สถานการณ์โดยโพล่งออกมาว่า

    “แหม...ป้าลัยกับลุงหนุ่ย ไม่ให้พี่สาวกับแม่ครูของหนูตั้งตัวก่อนเลยนะจ๊ะ ใจร้อนจัง พี่นางก็ยังเรียนมหาลัยอยู่เลย นี่หนูฟังแล้วยังเกือบสำลักข้าวเลยนะ” พูดจบเรือนแก้วก็แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน เมื่อเจอสายตาดุๆ ของนางเพียงใจ

    “ขอโทษทีนะ ป้าก็ใจร้อนไปหน่อย กินข้าวกันอยู่แท้ๆ” คนถูกดักคอก็พอรู้ว่าตัวเองเลือกพูดไม่ถูกเวลา เจ้าของบ้านยังเงียบ ส่วนหญิงสาวที่ถูกทาบทามก็ไม่ได้มีทีท่าเก้อเขินเหนียมอายแสดงออกมาว่าเรื่องที่นางถามเป็นเรื่องน่ายินดี นางวลัยก็เลยหัวเราะแก้เก้อไปอีกคน ก่อนคะยั้นคะยอให้สามีและลูกชายกินข้าวกันก่อน

    “เรื่องสำคัญแบบนี้ไว้เราค่อยพูดทีหลังก็ได้นะครูเพียง ดูสิ...นางตกใจจนอึ้งไปเลย เดือนอีกคนหน้าซีดเชียว ป้าก็แค่เกริ่นๆ ยังไม่มาพรากพี่สาวหนูหรอกน่า”

    เดือนยี่ฝืนยิ้ม ก่อนก้มหน้ากินข้าวในจานของตัวเองพร้อมกับพยายามบังคับมือไม่ให้สั่น

    ทางด้านลนารินนั้นเริ่มหนักใจกับความรู้สึกที่พยุทธมีต่อเธอ ความผูกพันหลายปีระหว่างเธอกับเขา จึงทำให้รับรู้มาตลอดว่าชายหนุ่มไม่หยุดคิดกับเธอเพียงแค่น้องสาวคนหนึ่ง ทว่าสำหรับเธอนั้นความใกล้ชิดและความเอาใจใส่ของเขาอย่างไรก็ไม่อาจจะสั่นคลอนให้รู้สึก...รัก มากเกินกว่าคำว่าพี่ชายที่แสนดี

    จะให้เธอตัดสัมพันธ์กับเขาเพื่อกันความเข้าใจผิดจากสายตาคนอื่น เธอก็ไม่อาจทำได้ พยุทธไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ผิดก็ตรงแค่ว่าเขามอบความรักให้ผู้หญิงผิดคน...

    หลังอาหารค่ำที่จบลงด้วยความประดักประเดิด ภายในห้องนอนมีเพียงแสงจากโคมไฟอ่านหนังสือดวงเล็ก   ลนารินนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่างซึ่งเปิดรับลมเย็น พระจันทร์ที่อยู่สูงเหนือยอดต้นไม้ใหญ่ให้แสงสลัวรางเพราะเป็นคืนเดือนเสี้ยว

    จากบทสนทาที่โต๊ะอาหาร ทำให้หญิงสาวอดคิดถึงอนาคตการสร้างครอบครัวใหม่ของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ผู้หญิงเกือบทุกคนย่อมฝันถึงความรักแสนหวานและคืนแต่งงานที่สวยงาม ลึกๆ ในใจเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะสักวันน้องๆ ก็ต้องเติบโตแยกครอบครัวกันไปมีชีวิตตามทางที่ตนเลือก

    รักคือความชิดใกล้สนิทสนม ยินยอมให้อีกคนเข้ามามีส่วนร่วมในพื้นที่ชีวิตส่วนตัวซึ่งเคยหวงแหน ความสุขของการได้ตื่นนอนแล้วพบหน้าคนที่รัก คือสิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุด

    ด้วยพื้นเพความเป็นอยู่ใกล้เคียง ฐานะทางสังคมระหว่างเธอกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น ในสายตาของผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนั่นคือความเหมาะสม จริงอยู่หลายคู่อยู่กันไปก็รัก...รักเพราะความผูกพัน แต่เธอไม่อยากให้ชายหนุ่มรอด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ด้วยการพยายามหลอกตัวเองว่าเธอกับเขาคือความเหมาะสม แต่เมื่อถึงวันที่เธอพบเจอตัวจริงเข้ามาสั่นคลอนหัวใจทำให้ไม่อาจมอบหัวใจให้พยุทธได้ทั้งหมด นั่นก็เท่ากับว่าเธอได้ทำร้ายและทำลายโอกาสของผู้ชายซึ่งมีความจริงใจคนหนึ่ง

    เธอไม่ได้ดูถูกชายหนุ่มรุ่นพี่ที่จบการศึกษาสายอาชีพ ไม่เคยดูแคลนที่เขาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่เคยรังเกียจในฐานะความเป็นอยู่ของเขาซึ่งไม่ต่างจากตัวเธอเท่าไรนัก ปัญหาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่พยุทธ หากแต่อยู่ที่เธอ...

    เธอชอบใครนะหรือ...

    ความชอบที่ต้องจบลงด้วยระยะเวลาสั้นๆ นั่นคงเป็นความชอบเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ความพึงพอใจที่มากับความเพ้อฝันอย่างนิทานความรักของเจ้าชายเจ้าหญิงกระมัง แต่ฝันอย่างไรก็เป็นเพียงแค่...ฝัน

    เพราะเมื่อเธอตื่นขึ้นก็พบกับความจริงของชีวิตว่าเธอกับเขาคนนั้น ห่างชั้นกันเกินไป

    ลนารินนึกตำหนิหัวใจของตัวเองที่ไปสั่นไหวคลอนแคลนกับผู้ชายที่เหยียดหยามและดูถูกเธอ คนที่ควรชอบ กลับไม่ชอบ ที่ควรรัก กลับไม่รัก หัวใจของเธอมันไม่รักดีแบบนี้เองน่ะหรือ...

                                                    *****

    ลนารินเริ่มต้นการทำงานวันแรกด้วยความหวังว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม หญิงสาวออกจากบ้านพร้อมกับคำอวยพรของนางเพียงใจ สาววัยยี่สิบมาถึงที่ทำงานอย่างคนพร้อมรับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน

    “นางฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ สอนหรือสั่งให้นางทำงานอะไร นางยินดีทุกอย่างค่ะ” หญิงสาวกล่าวฝากตัวกับหัวหน้างานที่เป็นผู้หญิงวัยกลางสี่สิบ พร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่ในที่ทำงาน

    “ถ้าไม่เคยทำงานมาก่อน มันก็ยากเป็นธรรมดา แต่ไม่มีอะไรจะยากเกินความพยายามของเรา” สุรีย์วรรณ รับไหว้แล้วพูดอย่างผู้ใหญ่ที่พร้อมจะสอนผู้น้อย ผิดจากพนักงานหญิงอายุราวสามสิบคนหนึ่ง

    “นอบน้อมได้อย่างนี้ตลอดก็ดีสิ กลัวแต่ว่าไม่ทันไรก็ผยองพองขน”

    ประโยคกล่าวหาลอยๆ ทำให้สีหน้าของน้องใหม่ในที่ทำงานเผือดสีลง สุรีย์วรรณที่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงทำมือเป็นเชิงให้พนักงานที่มีอยู่ห้าคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ลนารินถูกพาไปยังโต๊ะทำงานมุมหนึ่งของห้อง

    “อย่าไปถือสาเค้าเลย ฉันชื่ออรพิมล เรียกพี่มลเฉยๆ ก็ได้”

    แนะนำตัวกันพอเป็นที่รู้จักคร่าวๆ ลนารินก็ได้รับมอบหมายงานจากสุรีย์วรรณ โดยมีอรพิมลคอยเป็นพี่เลี้ยงสอนงานให้ก่อน

    “เรียนรู้งานให้เร็วที่สุด เธอก็จะทำงานที่นี่ได้สบายใจที่สุดเหมือนกัน อย่างน้อยก็เอาให้ผ่านโปรสามเดือนนี้ก่อน”

    “ขอบคุณพี่มลค่ะ นางจะพยายาม” หญิงสาวอายุน้อยรับคำหนักแน่น เพราะรู้ดีว่าถ้าเธอหย่อนความพยายามเมื่อไร งานนี้ก็อาจจะหลุดลอยไป

    “ฮึ...จะพยายาม ใช้อะไรพยายามมิทราบยะ” เสียงกระซิบกระซาบเล็กๆ แว่วมาเข้าหูอีกหนแล้ว

    “เจ้านายจ้างเธอมาทำงานนะภัคตรา...จงจินต์” เสียงของสุรีย์วรรณทรงอำนาจในฐานะหัวหน้างาน ทำให้สองสาวที่เริ่มสุมหัวจำใจแยกย้ายกันไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ภัคตรากลับยิ้มเหยียดส่งสายแต่แข็งๆ จ้องลนารินเขม็ง

    คนมาใหม่ได้แต่เก็บความสงสัยไว้คนเดียว ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ได้รับการต้อนรับที่เป็นมิตรจากผู้หญิงอีกสองคน จวบจนผ่านการทำงานไปแล้วหลายวัน เที่ยงของวันหนึ่ง  ลนารินออกไปกินข้าวร้านขายข้าวราดแกงใกล้ที่ทำงาน ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจที่รุ่นพี่สองคนนั้นยังมึนตึงกับเธอ แถมยังกระทบกระเทียบฝากคำถึงเธอเสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    “นางไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพี่ภัคตรากับพี่จงจินต์ถึงไม่ชอบนาง”

    อรพิมลหันไปสบตากับสุรีย์วรรณ แล้วหญิงสาวที่ทำงานมาก่อนเธอหลายปีก็ถามย้ำอีกว่า “นางไม่รู้จริงๆ เหรอ”

    ลนารินส่ายหน้า ร้อนรนในใจคาดเดาถึงสาเหตุที่สองสาวไม่ชอบหน้าเธอนั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่ก็จนปัญญาหาเหตุผลมาบอกตัวเองว่ามันเรื่องอะไร

    “นางเข้ามาทำงานที่นี่ได้ยังไง”

    “นางเห็นประกาศรับสมัครในหนังสือหางานนางก็เลยส่งเอกสารมาสมัคร ในวันสัมภาษณ์พี่รีจำนางได้ใช่ไหมคะ” ลนารินถามก็เพราะว่าหนึ่งในผู้สัมภาษณ์เธอวันนี้ก็คือสุรีย์วรรณ

    “จำได้” สุรีย์วรรณตอบ เธอเห็นถึงปฏิภาณไหวพริบของหญิงสาวเป็นอย่างดี แต่ก็ใช่ว่าไม่มีผู้สมัครคนอื่นที่เข้าตาและมีวุฒิการศึกษาสูงกว่า

    “แล้วนางรู้จักใครที่นี่บ้างไหม ลองเดาๆ สิ หรือว่าอาจจะมีคนรู้จักนาง”

    หญิงสาวยังคงส่ายหน้าเช่นเคย “นางเป็นแค่เด็กมหาลัย ที่บ้านมีญาติพี่น้องไม่กี่คน นางเพิ่งเคยเห็นโชว์รูมนี่วันแรกก็ตอนมาสัมภาษณ์ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้จักใครหรือมีคนรู้จักนางทำงานที่นี่แล้วนางจะจำเขาไม่ได้”

    แล้วสุรีย์วรรรณก็คิดไปถึงตอนปราณันต์เรียกเธอไปพบ แล้วสั่งให้เธอรับลนารินเข้าทำงาน เธอไม่ถามเจ้าของบริษัท เพียงแค่มองหน้าของพระพายที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในห้องนั้นด้วย ก็เข้าใจถึงที่มาว่าทำไมถึงรับหญิงสาววุฒิมอหกเข้าทำงานได้เป็นอย่างดี

    “พี่รีกับพี่มลเหมือนจะรู้อะไรที่นางไม่รู้ เรื่องนางได้งานมันเกี่ยวกับความไม่พอใจของพี่ภัคตราใช่ไหมคะ”

    “ภัคตราเขาพยายามฝากลูกพี่ลูกน้องของเขาเข้าทำงานที่นี่มาพักนึงแล้วล่ะ น้องชายคนหนึ่งของเขาก็อยู่แผนกช่าง”

    “นางมาแย่งงานของคนอื่น...เหรอคะ”

    “โอ้ย...อย่าเรียกแย่งเลย มันเป็นเพราะจังหวะและโอกาสมากกว่า” เพราะรู้สึกชอบพอนิสัยของลนาริน อรพิมลก็เลยหาเหตุผลเข้าข้างหญิงสาว

    แม้เพื่อนรุ่นพี่ยืนยันว่าเธอได้งานเพราะจังหวะชีวิตที่ดี แต่ความสมหวังบนความผิดหวังของภัคตราก็ทำให้ลนารินรู้สึกไม่ดีที่ทำให้อีกฝ่ายผูกใจเจ็บโดยไม่ตั้งใจ...

    ค่ำของวันนั้น ในห้องพักผ่อนของบ้านนัทจร คนที่ตั้งใจใช้เส้นสายผลักดันให้หญิงสาวได้งานที่บริษัทของครอบครัว กำลังนั่งเอนตัวอยู่บนโซฟาบุผ้าเนื้อดีจากฝรั่งเศส

    “นางเขาทำงานเป็นไงบ้างครับพี่ปุ๊”

    ปราณันต์พี่สาวคนโตที่นั่งอยู่โซฟาตัวเดียวกับมารดาหยุดพลิกหน้านิตยสารในมือ เงยหน้ามองน้องชายด้วยสีหน้าที่รู้ทัน “ก็ดีนี่ ถามสุรีย์วรรณ เขาก็บอกว่าขยันตั้งใจทำงานดี”

    “เชื่อผมหรือยัง ผมไม่ได้ยัดเส้นเด็กที่ไม่ได้เรื่องให้พี่ปุ๊สักหน่อย”

    “เรื่องอะไรกัน ใครเล่นเส้น ไม่เล่นเส้น” นางปาริฉัตรถาม

    “ปุ๊เรียกเด็กยังไม่จบมหาลัยมาสัมภาษณ์งานออฟฟิศ ตอนแรกก็ว่าจะไม่รับ แต่ลูกชายคนเล็กของแม่นั่นแหละ ตาดีไปเห็นเข้าคงจะถูกใจหนัก แอบเข้าไปคะยั้นคะยอให้ปุ๊รับเข้าทำงาน บอกว่าเป็นน้องสาวของเพื่อน น้องสาวเพื่อนจริงหรือเพื่อนหลอกก็ไม่รู้”

    “แม่นั่นเป็นผู้หญิงของแกอีกแล้วล่ะสิ” มารดาถามเสียงคาดคั้น ปัญหาเรื่องผู้หญิงของลูกชายทำเอานางปวดหัว ลุ้นอยู่ทุกวันว่าอัญนิกาจะหักสัมพันธ์รักกับลูกชายนางให้ขาดสะบั้นลงเมื่อไร

    “โธ่...คุณแม่ ผู้หญิงของผมที่ไหนกัน ขาอ่อนเธอผมก็ยังไม่เคยเห็น”

    “ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงของแก งั้นฉันขอนะ” มารุตพี่ชายคนรองที่นั่งอยู่ใกล้กันนั้นบอกขึ้นมา แถมส่งสายตาเจ้าชู้ยียวนใส่น้องชาย “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแวะไปดูหน้าสักหน่อยว่าคุ้มกับการลงทุนหรือเปล่า”

    “อย่ายุ่งกับนางนะพี่ป้าง”

              “ทำหวงก้างไปได้ จะสวมบทสมภารกินไก่วัดหรือไง” พระพายขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงเหมือนเขา หากแต่ชายหนุ่มไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงซึ่งเป็นลูกน้องที่ทำงาน

    “พูดอย่างกับว่าตัวเองไม่เป็นสมภาร”

    ฟังน้องชายย้อนเสียงเขียวใส่พี่ชายแล้วนางปาริฉัตรก็ค้อนตาขุ่นให้ทั้งพี่ทั้งน้อง “นิสัยพ่อแกไม่มีผิด คลำดูไม่มีหาง พ่อฟาดหมด ถ้าปัญหาจะมากนัก เดี๋ยวฉันให้แม่ปุ๊ไล่ออกเปลี่ยนคนใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง”

              ปราณันต์หัวเราะออกมา ก่อนเสริมผู้เป็นมารดาว่า “มีคนรอเสียบอยู่แล้วค่ะ ก็ยัยภัคตราพูดฝากลูกพี่ลูกน้องกับปุ๊ล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แล้ว บอกว่าตกงาน อยากทำงานที่นี่ ถ้าปุ๊มีงานขอให้พิจารณาเป็นพิเศษหน่อย แต่ดันมาเจอของแข็ง เด็กฝากของนายไปป์ชนะเลิศ”

              “อ้าว...พี่ปุ๊พูดเหมือนไม่ชอบ แล้วรับไว้ทำไม” มารุตท้วง

              “จะใครฉันก็รับทั้งนั้นแหละ ขอแค่ทำงานดี รายนี้ไปป์ยืนยันมั่นเหมาะ ฉันเห็นท่าว่าจะดูดีกว่าญาติยัยภัคตรา ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง ญาติก็คงไม่ต่างกันล่ะมัง” ในสายตาปราณันต์ พนักงานออฟฟิศสาวออกจะน่ารำคาญ ชอบพูดมากกว่าลงมือทำงาน

              “ยังไงผมก็ขอบคุณพี่ปุ๊อีกครั้งก็แล้วกัน มีเรื่องอะไรที่ผมช่วยได้ ก็บอก ผมยินดีตอบแทนพี่ปุ๊เต็มที่” แม้พี่สาวจะเขี้ยวลากดินกับเขาเรื่องเงินทอง แต่ก็ไม่ร้ายเท่าพี่ชายที่คอยชิงดีชิงเด่นมาตั้งแต่เด็ก

              “ระวังแฟนแกจะรู้ แล้วตามไปแหกอกถึงโชว์รูม ชื่อคงกระฉ่อนเสียหน้าไปทั้งวงสังคม หนก่อนทำน้องสาวเขาเข้าโรงบาล พี่ชายคาดโทษสั่งห้ามแกไปยุ่งกับน้องเขาแล้ว ขืนยังทำเรื่องอีกระวังเขาจะเล่นแกนอนหยอดน้ำข้าวต้ม” ผู้เป็นมารดาปรามอย่างเหนื่อยจิตเหนื่อยใจพอสมควร

              “ให้ศีลให้พรลูกดีจังนะครับคุณแม่” มารุตประชด

              “ฉันก็เตือนแกด้วยนั่นแหละเจ้าป้าง เจ้าชู้ไม่เลือกหน้าพอกัน ไปทำใครเขาเจ็บหรือไปยุ่งกับผู้หญิงมีเจ้าของระวังจะโดนไข้โป้ง อย่าให้หัวหงอกอย่างฉันต้องเผาหัวดำละ”

              ยังคงเป็นลูกสาวคนโตที่หัวเราะออกมา ในบรรดาลูกสามคนถึงปราณันต์จะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็พิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นแล้วว่าเอาการเอางานที่สุด ผู้เป็นบิดาวางมือจากงานที่โชว์รูมหลายปีแล้ว เพราะมัวแต่ไปวิ่งตามเลี้ยงดูผู้หญิงคราวลูกคราวหลาน ดีว่านางปาริฉัตรคิดรอบคอบยึดครองทรัพย์สินส่วนใหญ่ไว้ให้ลูกสามคน ส่วนคนเป็นสามีจะไปหัวหกก้นขวิดเป็นตายร้ายดีอย่างไรนอกบ้านนางก็ไม่สนใจแล้ว

              แต่กว่าจะยึดครองสมบัติส่วนใหญ่ได้ หัวหน้าครอบครัวก็หมดไปมากกับผู้หญิงแต่ละคนซึ่งล้วนมีตำแหน่งผ่านเวทีประกวดทั้งนั้น ซ้ำคู่สามีภรรยาตามกฎหมายยังมือหนักในการเล่นพนันและขาดทุนจากการเล่นหุ้น ทุกวันนี้คนที่ทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อพยุงกิจการและรักษาหน้าตาของของครอบครัวไว้ได้ก็คือปราณันต์สาวทำงานแถวหน้าของวงสังคม ทุกอย่างที่หญิงสาวพยายามนั้นก็หวังเพื่อเชิดหน้าชูตาให้ตัวเองมีโอกาสเลือกผู้ชายดีๆ มีฐานะ ให้เขามาช่วยเพิ่มพูนสินสมบัติในส่วนของเธอด้วยเช่นกัน ปราณันต์หวังให้ตัวเองประสบความสำเร็จทั้งชีวิตการงานและเรื่องความรัก

              แต่ความชอบที่เกือบจะกลายเป็นความรักของเธอก็ต้องมาสะดุดลงเพราะผู้ชายที่เธอแอบมีใจให้นั้นเป็นพี่ชายของอัญนิกา ผู้ชายที่เกลียดน้องชายคนเล็กของเธอราวเหลือบลิ้นไรที่ไปเกาะน้องสาวเขา เธอไม่หน้าทนถึงขนาดที่จะทำเหมือนว่าระหว่างสองฝ่ายไม่มีเรื่องกินแหนงกัน จึงยุติความหลงใหลที่มีต่อชายหนุ่มลงก่อนที่ตัวเองจะถลำลึกไปมากกว่าที่เคยเป็น

              มารุตและพระพายใช้ชีวิตไม่เป็นโล้เป็นพายมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตามประสาหนุ่มตระกูลดัง หน้าตาดี บ้านรวยทรัพย์สินถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจทุกอย่าง ดีหน่อยที่มารุตยังมีหัวในเรื่องธุรกิจร่วมลงทุนกับเพื่อนเห็นกำไรเป็นชิ้นเป็นอัน หากแต่พระพายนั้นลงทุนอะไรก็หายทั้งทุน ขาดทั้งกำไรต้องมาหยิบยืมเงินส่วนกลางไปใช้หนี้สินรุงรัง บ้างก็เดือดร้อนไปถึงเงินส่วนตัวของอัญนิกา

              นางปาริฉัตรผู้เป็นมารดานั้นรักและหลงลูกชายทั้งสองคนอย่างกับอะไรดี น้องชายมีเรื่องเดือดร้อน หากคนเป็นพี่สาวไม่ช่วยก็พานโดนตำหนิ หลายครั้งตัดรำคาญจึงให้น้องชายหยิบยืมเงินส่วนตัวไป หญิงสาวคาดหวังว่าหากเธอแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง มารดาก็คงจะเกรงใจกับเงินที่เธอหามาได้ไม่มากก็น้อย

              หญิงสาวไม่ค่อยพอใจกับกับระบบกงสีของบิดามารดาเท่าไร บุพการีทั้งสองเอาแต่ห่วงลูกชาย อะไรๆ ก็ต้องลูกชายได้ก่อน เห็นเธอเป็นคนนอกที่สักวันก็ต้องแต่งออกไปอยู่บ้านสามี การทำงานหนักของปราณันต์จึงเพียงต้องการพิสูจน์ให้คนบ้านนัทจรและคนภายนอกเห็นถึงความสามารถของลูกผู้หญิงอย่างเธอเท่านั้นเอง...

     

    *********


    คิดถึงคนอ่านเก่าๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ยังมีใครอ่านงานของกะรัตอยู่ไหมคะ
    กะรัตเห็นบางคนแอดแฟนพันธุ์แท้ไว้ด้วย ขอบคุณจากใจค่ะ คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ เนาะ รู้สึกว่าระหว่างเราคนเขียน คนอ่านใกล้ชิดกันกว่าปัจจุบันนี้ 

    ประกาศผลจับรางวัลนิยายเรื่องทาสสวาทเงาเสน่หาไปแล้ว เกิดความผิดพลาดขึ้นด้วยสิ บางคนตอบคำถามไม่ถูกทุกข้อ  กะรัตยังให้สิทธิ์เอามาจับรางวัล และก็มีคนได้รับด้วย รู้ก็เมื่อสายไป จะมีคนเข้าใจว่ากะรัตไม่แฟร์หรือเปล่าเนี่ย...เฮ้อ 

    งานยุ่งค่ะ ไม่ได้เขียนนิยายมาหลายคืนแล้ว เหนื่อยมาก ขึ้นห้องก็ไม่มีสมองไว้ทำอะไรหนักๆ แล้วแหละ รำคาญตัวเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×