ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรงขังสิเนหา

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.54K
      4
      8 ก.พ. 58




     

              ใต้ซุ้มกุหลาบสีชมพูอ่อน แสงเทียนสีเหลืองนวลส่องสว่างให้บรรยากาศแสนโรแมนติก

    “โอกาสพิเศษอะไรคะ” อัญนิกาถามคนรักเพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าเขาชวนเธอมาทานอาหารค่ำสุดหรูเนื่องด้วยวาระพิเศษใด

              “น้ำพั้นซ์ลืมไปแล้วจริงๆ เหรอ” สายตาของพระพายหยาดเยิ้มแพรวพราว

              “ไม่ใช่วันครบรอบอะไรแน่ๆ ค่ะ และก็ไม่ใช่วันเกิดของใครสักคนด้วย”

              “นี่เป็นวันครบรอบที่ผมได้พบน้ำพั้นซ์ครั้งแรกไงครับ...สี่ปีแล้วนะ”

              พระพายย้อนรำลึกความหลังที่พวกเขาเริ่มรู้จักและคบหากันมาเกือบสี่ปีแล้ว ก็ตั้งแต่ที่เขาได้พบหญิงสาวตอนเธอเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง แต่กว่าจะตกลงเป็นคู่รักก็ผ่านไปเกือบปี ที่จริงแล้วผู้ชายเจ้าชู้อย่างพระพายไม่เคยจดจำเรื่องชวนหวานซึ้งนี่จริงๆ หรอก เขาเพียงอุปโลกน์หาวันใกล้เคียงที่สุดเท่านั้น และคิดว่าหญิงสาวซึ่งตอนแรกแสดงออกชัดเจนว่าไม่เคยสนใจเขา เธอก็คงไม่จดจำช่วงเวลานั้นจนคิดได้ว่าเขากำลังโกหกอยู่แน่ๆ

    สีหน้าประหลาดใจของอัญนิกา ทำให้พระพายแสร้งทำหน้าม่อย “จะว่าผมโกหกล่ะสิ น่าน้อยใจนักเชียว ผมจำได้จริงๆ นะ”

    อัญนิกาขำกับท่าทางของแฟนหนุ่ม “ไม่ใช่ไม่เชื่อ เพียงแต่น้ำพั้นซ์ไม่คิดว่าไปป์จะจำเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ เพราะน้ำพั้นซ์เองยอมรับตามตรงเลยว่าจำไม่ได้”

    “น้ำพั้นซ์จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ผมจำได้ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มยังคงปากหวาน ยื่นมือไปกุมมือของหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามไว้ “ผมรักน้ำพั้นซ์นะ รักมากที่สุด”

    “ไอ้คำว่ารักมากที่สุดเนี่ย แสดงว่ายังมีคนอื่นที่ไปป์รัก แต่รักน้อยกว่าน้ำพั้นซ์ใช่ไหม” อัญนิกาจะดึงมือออกพร้อมกับวางปึ่ง พระพายใจเสียเล็กน้อยกับความปากพล่อยไม่คิดทบทวนก่อนพูด หญิงสาวขึ้นชื่อว่าขี้หึง อะไรนิดหน่อยก็คิดเป็นตุเป็นตะ แต่แม้จะขี้หึงเพียงใดก็ใจอ่อนเสมอหลังจากเขาอธิบายถึงเหตุผลร้อยแปดที่มี ส่วนจะเชื่อเขาได้ทั้งหมดหรือเปล่านั้น ชายหนุ่มไม่เก็บมาคิดมาก ตราบใดที่หัวใจของเธอยังอยู่ในกำมือเขา

    “โธ่...ผมก็แค่เคยทำผิดไปบ้าง และบางครั้งก็ไม่ใช่ความผิดผมสักนิด คนอื่นนั่นแหละมักเข้ามาทำให้เราต้องผิดใจกัน” ผู้ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองทรยศต่อความรักครั้งแล้วครั้งเล่าแก้ตัว “น้ำพั้นซ์ให้อภัยผมเถอะนะ สัญญาว่าจะไม่ทำอีก”

    “จะไม่ทำให้จับได้ละไม่ว่า”

    พระพายหัวเราะที่โดนแฟนสาวดักคอ “เดี๋ยวนี้ผมเป็นคนใหม่แล้วนะ ไม่เชื่อกันเหรอ”

    โดนชายหนุ่มส่งสายตาละห้อยหวานซึ้งให้ แล้วหญิงสาวที่รักแบบทุ่มเทหมดทั้งใจอย่างอัญนิกาก็ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้ง “เชื่อค่ะ แต่ยังไม่วางใจ อย่างไปป์เนี่ยต้องดูความประพฤติวันต่อวัน” เธอขู่เขา ก่อนยอมให้เขายกหลังมือเรียวงามขึ้นจูบหนึ่งครั้ง สองหนุ่มสาวคุยกับกะหนุงกะหนิงได้สักครู่หนึ่ง พระพายก็เรียกให้บริกรของร้านยกอาหารที่เขาโทรสั่งล่วงหน้าเข้ามาเสิร์ฟ ค่ำคืนแสนหวานชื่นนี้ยังอีกยาวไกล และเขาก็รู้แล้วว่ามันจะจบลงที่ตรงไหน...

    ระหว่างที่ต่อหน้าทำซื่อสัตย์กับคนรัก ลับหลังพระพายก็ยังใช้ชีวิตเพลย์บอยเช่นเคย เพียงแต่รู้จักระมัดระวังตัวมากกว่าเก่า ลูกชายเศรษฐีอย่างเขาเช่าห้องในคอนโดมิเนียมราคาแพงไว้เป็นรังรักของตัวเองและจินตนา ชายหนุ่มมาหาคู่นอนที่ห้องเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น เพราะกลัวอัญนิกาจะรู้จนทำให้สวรรค์ของเขาต้องล่มก่อนเวลาอันควร เมื่อหลายวันก่อนคู่ขาคนหนึ่งของพระพายถูกคนบุกทำร้ายถึงอพาร์ตเม้นต์ เขารู้ดีว่าพวกนั้นทำตามคำสั่งของอัญนิกาซึ่งทำอย่างเดิมทุกครั้งเมื่อสืบรู้ว่าเขากำลังมีสัมพันธ์สวาทกับใคร

              อัญนิกาต้องการความรักและการเอาอกเอาใจ หญิงสาวมีรูปและทรัพย์สมบัติที่พรั่งพร้อม แต่กิตติศัพท์เรื่องความเกรี้ยวกราด เจ้าอารมณ์ของเธอทำให้ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าใกล้ ที่ผ่านด่านนี้ได้จึงมีเพียงพระพาย เขาไม่ได้รักเธอมากไปเกินกว่าต้องการเอาชนะและเข้าครอบงำความคิด ความรู้สึกของหญิงสาว

              คำว่า ทายาทคนเดียว...ของทรรศมหาเศรษฐีเจ้าของเคมาล่าช้อปปิ้งมอลล์ผู้ล่วงลับ นั้นหอมหวานและเย้ายวนความอยากได้ใคร่มีของพระพายมากจนทำใจให้มองข้ามนิสัยขี้หึงโมโหร้ายของหญิงสาว เพราะเอาเข้าจริงแล้วอัญนิกานั้นหัวอ่อนและง่ายต่อการชักจูงเมื่อเจอคำพูดหวานหู และการแสดงออกเรื่องรักใคร่ที่ถึงเนื้อถึงตัว

    อัญนิการักพระพาย แม้จะเสียใจกับความเจ้าชู้ของเขาแต่ก็ยากทำใจปล่อยเขาไป และพระพายก็ร้ายเกินกว่าจะยอมผละจากหญิงสาวผู้เป็นบ่อเงินบ่อทองสำหรับเขาด้วยเช่นกัน แม้จะทะเลาะด้วยเรื่องหึงหวงกันบ่อยแค่ไหน แต่ผ่านไปสักพักเขาก็จะตามง้อจนหญิงสาวใจอ่อนทุกครั้ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั้นปากหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเขารู้วิธีที่จะเติมเต็มในส่วนที่อัญนิกาขาด และทำให้เธอติดบ่วงความรักจอมปลอมของเขาอย่างยากถอนใจ

              “ไปป์อยู่ที่ไหนคะ” เสียงของอัญนิกาที่ผ่านมาทางโทรศัพท์นั้นบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก พระพายยกมือห้ามจินตนาที่กำลังเริ่มคลอเคลียร่างกายเขาอีกครั้ง

              “ก็อยู่คอนโดเพื่อนไง พอดีเมื่อคืนเมาดึก ไม่ได้กลับบ้าน”

              “เพื่อนคนไหน น้ำพั้นซ์รู้จักหรือเปล่า”

              “รู้จักสิ ก็ไอ้พุกไง เนี่ยมันก็กำลังอาบน้ำอยู่ เดี๋ยวก็คงออกไปหาอะไรกิน ผมไม่ลืมนัดคืนนี้แน่”

              อัญนิกาฟังคำโกหกของพระพายแล้วต้องกำมือข้างที่ว่างจากการถือโทรศัพท์แน่น ลมหายใจหญิงสาวเริ่มติดขัดด้วยความโกรธ โกรธก็เพราะเธอเพิ่งจะเห็นพุก...หรือภาณุ เพื่อนที่ชายหนุ่มอ้างว่ากำลังอาบน้ำอยู่เพิ่งเดินควงนักศึกษาสาวคนหนึ่งเข้าไปในร้านอาหารก่อนหน้าเธอเพียงไม่ถึงห้านาที

              “แค่นี้นะไปป์ น้ำพั้นซ์ออกมากินข้าวกับสตางค์และรี่”

              “คุณไปป์...”

    อัญนิกากดปิดการสนทนา แต่ก็ทันได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเล็ดลอดมาเข้าหู หญิงสาวตัวสั่นก่อนจะกรี๊ดออกมาสุดเสียงจนเพื่อนตกใจไปตามๆ กัน

              ทางด้านพระพายนั้นหลังจากแฟนสาวตัดจบการพูดคุยไปดื้อๆ เขาก็หันมาส่งสายตาขุ่นเขียวไม่พอใจที่จินตนาพูดแทรกขึ้นมาเมื่อครู่

              “ก็จินนี่เจ็บ คุณไปป์บีบแขนจินนี่ซะแรงเลย” เป็นความจริงอย่างที่หญิงสาวพูด เพราะตกใจกับเบอร์ของแฟนสาวที่โทรเข้ามากะทันหัน พระพายจึงเผลอบีบข้อมือของจินตนาจนมันเป็นรอยนิ้วชัดเจน

              “ผมขอโทษละกัน”

              จินตนาซบลงบนอกเปลือยของชายหนุ่มที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง “แฟนคุณไปป์โทรมาตามเหรอคะ ต้องรีบกลับตอนนี้เลยหรือเปล่า จะได้เตรียมตัวสำหรับนัดคืนนี้ทัน”

              น้ำเสียงของคู่นอนคนใหม่มีแววน้อยใจ พระพายก็เลยกอดหญิงสาวไว้ “ใครจะโทรมาก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมอยู่กับจินนี่ก็น่าจะพอใจแล้ว”

              จินตนาฟังคำหวานของชายหนุ่มด้วยหัวใจที่พองโต เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยื่นส่งจูบไปที่แก้มของเขา ก่อนจะอ้อนออกไปว่า “จินนี่อยากจะอยู่กับคุณไปป์ให้นานกว่านี้หน่อย”

              “อยากอยู่กับผม แต่เวลามีเสี่ยทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มมาพูดด้วยจินนี่ก็ยังยิ้มหวานส่งให้เขาไปทั่ว”

              “ก็จินนี่ต้องทำงานนี่คะ ยังต้องหาเลี้ยงปากท้อง ไม่เหมือนคุณไปป์...รวยซะ” หญิงสาวเบียดทรวงอกอวบอิ่มของตัวเองกับอกของเขา

    “สวยๆ อย่างจินนี่มีหรือจะไม่มีหนทางรวย”

    จินตนาไม่ถือว่าคำพูดของพระพายคือการดูถูก “สุดท้ายจินนี่ก็ฟังเสียงหัวใจของตัวเองมากกว่าฟังเสียงเงินในกระเป๋าของคนอื่นนะคะ”

    “จะบอกว่าตัวเองเป็นคนมีอุดมการณ์”

    “แต่ถ้าเสียงหัวใจมันมาพร้อมกับเสียงเงินได้ก็ดี กัดก้อนเกลือกินมันไม่สนุกสักนิด” หญิงสาวชี้แจง เพราะอดีตความยากจนที่เคยเจอในวัยเด็กทำให้เธอไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า ถึงการศึกษาเธอจะมีแค่มอหก แต่ความสวยและความสาวที่มีก็พอเป็นใบเบิกทางให้ชีวิตที่ผ่านมาได้พอสมควร ถึงเธอจะหว่านเสน่ห์ไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้ง่ายกับทุกคน ลูกคิดในหัวจะคำนวนเสมอว่ากับใครที่เธอจะไม่ขาดทุน เมื่อยังสาว และมีความสวยเนื้อหนังยังตึงแน่น สามารถเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ทำไมเธอจะไม่เลือกในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด

    “แล้วตอนนี้จินนี่ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองหรือยังล่ะ”

    จินตนายิ้มหวาน “คุณไปป์รู้คำตอบอยู่แล้วนี่คะ ยังจะถามอีก” แล้วหญิงสาวก็โน้มตัวเข้าหาเขา ก่อนจะขยับตัวขึ้นคร่อมไปบนร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อซึ่งทำให้หัวใจเธอสั่น ใบหน้าคมสันเคลิ้มไปด้วยอารมณ์พิศวาสที่กำลังถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง

    ในความคิดของพระพาย...ผู้หญิงอย่างจินตนาเขาคงไม่ทุ่มเทอะไรมากนักหรอก เศษเงินเล็กน้อยกับเซ็กส์จากคนระดับเขาก็คงเพียงพอแล้วสำหรับเธอ

    ส่วนความคิดของจินตนานั้น...ถึงไม่ได้เงิน ไม่ได้ทุกสิ่งที่ต้องการในวันนี้ แต่เธอไม่โง่พอที่จะปล่อยเขาให้ทิ้งขว้างเธอในวันหน้าง่ายๆ แน่ ความเสมอภาคชายหญิงสำหรับเธอย่อมเท่าเทียม ถ้าเธอจบแบบเจ็บๆ ผู้ชายคนนั้นก็ต้องแบ่งปันความเจ็บของเธอไปด้วยครึ่งหนึ่ง กับผู้หญิงของเขา เธอจะทน...แต่เฉพาะตอนนี้ เมื่อถึงคราวของเธอไม่ว่าผู้หญิงหน้าไหนก็อย่าหวังจะได้ครอบครองและได้ความรักความสนใจจากเขาบนความเจ็บปวดของเธอ!

                                                    *****

    ลนารินถูกเจ้าของร้านเสื้อใช้ให้ไปรับของจากเพื่อนที่ร้านค้าในเคมาล่าช้อปปิ้งมอลล์ หญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงยาวคลุมเข่ากำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อนที่กำลังเคลื่อนตัวไปยังชั้นสาม แต่ในระหว่างนั้นก็รู้สึกถึงความผิดปรกติจากคนที่ยืนอยู่บันไดขั้นต่ำกว่าเธอ

    แต่ก่อนที่เธอจะทันได้เอี้ยวตัวหันกลับไปมองเต็มๆ ตา ก็ได้ยินเสียงตะโกนให้จับตัวใครสักคนดังขึ้นที่ด้านหลัง ลนารินโดนกระแทกจนเซ หญิงสาวรีบเกาะราวบันไดเลื่อนไว้ หางตาเห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปตามขั้นบันได เมื่อบันไดเลื่อนมาถึงชั้นสาม เธอก็รีบก้าวขาออกมายืนหลบมุมอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

    อเกณที่เพิ่งลงบันไดเลื่อนสวนทางกับลนาริน ในจังหวะกำลังมองใบหน้าสวยหวานคุ้นตานั้นก็พบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังสอดโทรศัพท์มือถือเข้าไปใต้กระโปรงนักศึกษาของหญิงสาวพอดี ชายหนุ่มซึ่งเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างเดินผ่านมาจึงร้องตะโกนให้รีบตามชายคนนั้นไปก่อน ส่วนตัวเองก็รีบก้าวลงบันไดก่อนเดินกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

    “มีคนแอบถ่ายใต้กระโปรงคุณ” เขาบอกหญิงสาวที่ยืนงงๆ อยู่ อเกณแตะข้อศอกของลนารินเป็นเชิงบอกให้เธอเดินตามเขามา

    เมื่อมาหยุดยืนในมุมที่ผู้คนไม่พลุกพล่านแล้วสักพัก พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำห้างคนหนึ่งก็วิ่งกลับมาหาเขาพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ของกลางให้ อเกณรับมาแล้วสั่งกำชับให้นำตัวผู้ชายคนนั้นไปรอที่สถานีตำรวจ

    ลนารินที่สติเริ่มกลับมาและรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอเมื่อครู่หน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์เครื่องนั้นให้เธอ

    “หลักฐานที่คุณต้องใช้แจ้งความ จะเปิดดูก่อนไหม”

    “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับโทรศัพท์เครื่องนั้น ก่อนจะหันตัวหลบเลี่ยงสายตาของชายหนุ่ม เมื่อมองเห็นภาพใต้กระโปรงของตัวเธอสดๆ ร้อนๆ ตอนที่ยืนอยู่บนบันไดเลื่อนแล้วก็อุทานออกมาเบาๆ

    “ผมคิดว่าในโทรศัพท์นั่นคงไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวที่ตกเป็นเหยื่อ”

    ฟังเขาพูดแล้วลนารินก็กดดูคลิปอื่นๆ จริงอย่างเขาคาดคะเน นอกจากเธอแล้วยังมีผู้หญิงอีกสามคนที่โดนแอบถ่าย “ไม่ได้มีดิฉันคนเดียวจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

    “แล้วจะแจ้งความไหม”

    “คงต้องแจ้งค่ะ” ลนารินตอบแบบไม่ลังเล “แต่ว่าดิฉันมีธุระสำคัญต้องไปเอาของให้เจ้านายก่อน คุณพอจะบอกได้ไหมว่าดิฉันต้องไปแจ้งความที่ไหน ใช่สถานีที่อยู่ใกล้ห้างนี้หรือเปล่า”

    อเกณพยักหน้า ลนารินก็เลยหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาแล้วกดหาเจ้าของร้านเสื้อ หญิงสาวเดินปลีกตัวห่างจากชายหนุ่มที่เธอเคยพบหน้าเขาหลายครั้งแล้วในรอบสองเดือนนี้

    “พี่แบ๋วคะ นางมีเรื่องต้องไปโรงพักหน่อย อาจจะกลับช้า พี่แบ๋วจะว่าอะไรไหม...พอดีนางโดนแอบถ่ายใต้กระโปรง จับคนที่ถ่ายได้ จะไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ นางไม่ได้อู้งานนะคะ เดี๋ยวจะเอาหลักฐานไปให้พี่แบ๋วดู และไม่ลืมเรื่องมาเอาของด้วย”

    เจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนั้นเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของนักศึกษาสาวก็เลยเดินตรงเข้าไปหา เขาทันได้ยินเรื่องเธอจะเอาหลักฐานกลับไปให้เจ้าของร้านดู จึงได้ยื่นมือขอคุยโทรศัพท์แทน

    “ผมเป็นพยานได้ครับ กำลังจะพาคุณลนารินเธอไปแจ้งความ แล้วจะส่งให้ถึงที่ทำงาน" อเกณหยุดฟังคู่สนทนาชั่วครู่ แล้วบอกต่อว่า "อ้อ...พอดีว่าผมทำงานที่เคมาล่าน่ะครับ จึงต้องมีส่วนรับผิดชอบและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้างทุกคน”

    ลนารินยืนฟังชายหนุ่มคุยกับเจ้าของร้านเสื้อหลายประโยคก่อนเขาจะกดปิดการสนทนา นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรู้ชื่อจริงของเธอ

    “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมพาคุณไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ เสร็จแล้วจะขับรถไปส่งที่ทำงานของคุณเอง”

    “เอ่อ...คงไม่ดีมังคะ ดิฉันไปเองและกลับเองได้ค่ะ คุณไม่ต้องมาลำบากกับดิฉันเลย” ลนารินปฏิเสธทันที ถึงแม้เพิ่งได้ยินเขาบอกเจ้านายเธอว่าเขาทำงานที่นี่ แต่เรื่องเล็กน้อยแค่ไปสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ เธอไปได้เองอยู่แล้ว เธอรู้สึกเกรงใจและค่อนข้างประหม่าเมื่ออยู่ใกล้ชายหนุ่มตัวสูงอย่างหาคำมาอธิบายได้ยากเหลือเกิน

    อเกณยิ้มเล็กน้อย “ขืนอยู่อย่างนี้ก็คงกลับไปทำงานสาย” เขาพูดจบก็ผายมือแกมบังคับให้หญิงสาวเดินนำหน้าไปจัดการธุระของเธอก่อน แล้วจึงเดินนำเธอออกไปยังลานจอดรถที่อยู่ชั้นห้า การยืนคุยกับชายหนุ่มสร้างความประหม่าให้ลนารินมากแล้ว เมื่อขึ้นมาอยู่ในรถยนต์ส่วนตัวของเขากลับยิ่งทำให้สาวร่างเล็กเกิดอาการเกร็งกับความหรูหราราคาแพงของรถคันนี้

    “ขอบคุณมากค่ะ” เธอทำได้แค่ยกมือไหว้กับน้ำใจของเขา แล้วนั่งเงียบไปตลอดทาง

    ถึงสถานีตำรวจลนารินก็แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ หลักฐานภาพในโทรศัพท์มือถือชัดเจนส่งผลให้ชายคนนั้นโดนดำเนินคดี ทุกขั้นตอนนั้นราวได้รับการอำนวยความสะดวกที่สุด การแจ้งความเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับขอบคุณชายหนุ่มผู้ซึ่งเคยเป็นลูกค้าของเธออีกครั้ง

    “แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้วค่ะ” ลนารินปฏิเสธเมื่ออเกณบอกว่าจะขับรถไปส่งเธอถึงห้างสรรพสินค้าอีกแห่ง

    “ไม่เป็นไร ส่งคุณแล้วผมก็มีที่ไปต่อ ไม่ได้เสียเวลาหรือรบกวนอะไร”

    สุดท้ายลนารินก็เลยจำใจกลับขึ้นไปนั่งในรถยุโรปคันใหญ่นั่นอีกครั้ง ระหว่างทางอเกณลอบชำเลืองเสี้ยวหน้ารูปไข่ที่ตลอดเวลาหันมองออกไปนอกรถ หญิงสาวค่อนข้างเกร็งจนชายหนุ่มรู้สึกขำ

    “ผมจะไม่ทำให้คุณกลับไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเป็นครั้งที่สองแน่”

    หญิงสาวหน้าสวยในชุดนักศึกษาหันกลับมาสบตาคนพูด ก่อนจะเสหลบเลี่ยงมองไปข้างหน้า รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าวราวกับมีประจุไฟฟ้าวิ่งแล่นอยู่บนแก้มนวล ในหัวก็คิดทวนกับประโยคเมื่อครู่ของชายหนุ่ม แล้วอุทานออกมาเบาๆ

    “ดิฉันไม่ได้คิดว่าคุณจะทำอะไรดิฉันนะคะ” เธอกังวลกับความคิดของตัวเองมากกว่า

    “คิดหน่อยก็ดี เป็นผู้หญิงอย่าไว้ใจผู้ชายมากนัก ขนาดคนในครอบครัวบางทีก็ยังมีคดีล่วงละเมิด”

    “ถ้าอย่างนั้นดิฉันก็ไม่ควรไว้ใจแล้วขึ้นรถมากับคุณ...เหรอคะ”

    อเกณหัวเราะพรืดออกมาเลยทีเดียว สายตาคมจดจ้องยังริมฝีปากอิ่มเย้ายวนใจที่เพิ่งเอ่ยประโยคยอกย้อนเมื่อครู่ เหมือนหญิงสาวจะรู้ตัว เธอเม้มริมฝีปากไม่ยอมให้เขาหาเศษหาเลยทางสายตากับความเย้ายวนอย่างไม่ได้ตั้งใจนั่นอีก

    ระหว่างความเงียบอันประดักประเดิดเข้าครอบคลุมอย่างปัจจุบันทันด่วน เสียงโทรศัพท์ของลนารินก็ดังขึ้น หญิงสาวกดรับแล้วกรอกเสียงพูดเบาๆ ราวเสียงกระซิบ

    “คืนนี้นางไม่ได้ทำงานค่ะ คงถึงบ้านประมาณสี่ทุ่ม พี่ซุงไม่ต้องออกมารับนางหน้าปากซอยก็ได้ อืม...ไม่ทำโอที งั้นก็ตามใจพี่" ลนารินคุยโทรศัพท์พร้อมลอบชำเลืองอเกณไปด้วย "...พี่อยู่ตลาดนัดเหรอ ถ้าอย่างนั้นนางฝากซื้อไก่สักตัวนะ คืนนี้จะตุ๋นใส่หม้อไว้ให้น้องกินเป็นมื้อเช้า แล้วเจอกันค่ะ”

              “ทำกับข้าวเป็นด้วย”

              “คะ...” ลนารินคาดหวังว่าเขาจะไม่ชวนเธอคุยไปตลอดเส้นทางแล้วเสียอีก “พอทำได้ค่ะ ทำกันกินแต่เฉพาะในบ้าน”

              “ออกมาทำงานกลางคืนอย่างนี้คนที่บ้านไม่ห่วงหรือว่าอะไรเหรอ” คนที่บ้าน ของอเกณนั้นรวมไปถึงผู้ชายที่ชื่อซุงนั่นด้วย

              “มันเป็นงานสุจริต คนที่บ้านห่วง แต่ไม่เคยว่าค่ะ” ครูเพียงใจรู้ดีว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ความเชื่อใจจากครูทำให้เธอระมัดระวังการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นเพราะไม่อยากให้ผู้มีคุณต้องเสียใจ

              “แล้วแฟนล่ะ” อเกณห้ามปากตัวเองไม่ทัน ชายหนุ่มเทียบรถจอดที่หน้าห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นที่ทำงานของหญิงสาว

              “ดิฉันไม่มีแฟน” ลนารินตอบเสียงเรียบขณะก้าวลงจากรถคันใหญ่ แม้ในใจนึกสงสัยว่าเขาอยากจะรู้เรื่องส่วนตัวของเธอไปทำไมกัน “ขอบคุณสำหรับความกรุณานะคะ” เธอยกมือไหว้เขา ก้าวถอยหลังหันตัวเพื่อหลบสายตาที่จ้องมองเธอราวกลับค้นหาอะไรบางอย่าง

    อเกณมองตามเรือนร่างสมส่วนที่ซอยเท้ารวดเร็วก่อนจะหายลับเข้าไปในตัวอาคารสูงสามชั้นของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

    ไม่มีแฟน...

                                                              *****

              “นาง...ทางนี้”

              “พี่ซุง นางบอกแล้วไม่ต้องมารอ” ลนารินบอกพยุทธที่กวักมือเรียกเธอหลังจากก้าวลงจากรถประจำทางแล้ว

              “ไม่รอไม่ได้หรอก...ห่วง” ชายหนุ่มตัวสูง รูปร่างค่อนข้างผอมบุ้ยหน้าเล็กน้อยให้หญิงสาวมองกลุ่มวัยรุ่นชายที่จับกลุ่มอยู่ใกล้ๆ ศาลารอรถ ลนารินเข้าใจถึงความห่วงใยของเขาในทันที

              “ขอบคุณค่ะ แล้วไก่ที่นางสั่งน่ะได้ไหม” เธอถามขณะที่เดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของพยุทธที่จอดไว้ไม่ไกลนัก

              “ห่วงแต่ไก่นั่นแหละ”

              “ได้ไก่แล้วจะได้ทำแบ่งกันกิน หรือพี่ซุงไม่อยากกินไก่ตุ๋น”

              เมื่อหญิงสาวขึ้นนั่งซ้อนท้ายแล้วก็แตะมือไว้ตรงเอวของพยุทธ อย่างที่เธอเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เริ่มใช้คำนำหน้าว่านางสาว แม้จะเป็นความสนิทชิดเชื้อธรรมดาแต่เพื่อนบ้านรุ่นพี่ก็รู้สึกว่าตัวเองคือคนพิเศษสำหรับเธอ

              ขับรถเข้าซอยมาได้ไม่ถึงห้านาทีพยุทธก็ชะลอรถแล้วดับเครื่องลงที่นอกรั้วบ้านของนางเพียงใจ ประตูบ้านเปิดออกกว้างทันทีเหมือนรู้ว่าใครเพิ่งมาถึง

              “ยังไม่นอนอีกเหรอเดือน”

              “การบ้านเพิ่งเสร็จจ๊ะพี่นาง เดือนล้างไก่และเตรียมเครื่องไว้รอแล้วนะ” เดือนยี่บอก เธอส่งรอยยิ้มไปถึงพยุทธที่เดินตามหลังพี่สาวมา

              “ขอบใจจ้า เดี๋ยวพี่อาบน้ำก่อน แล้วจะรีบลงมาทำ ตุ๋นใส่หม้อแล้วอบไว้พรุ่งนี้เช้าก็กินได้แล้ว”

              “แล้วพี่ซุงล่ะ จะได้กินตอนด้วยหรือเปล่า”

              “ไม่ค่อยเลยนะพี่ซุง”

              “ก็คนมันอยากกินนี่ จริงไหมเดือน พี่สาวเดือนทำกับข้าวแต่ละทีหอมฟุ้งไปถึงบ้านพี่โน่น”

              ลนารินส่งสายตาเชิงไม่เชื่อคำชมของชายหนุ่ม “แน่ใจนะว่าที่หอมฟุ้งน่ะฝีมือของนาง คนที่อยู่บ้านทำกับข้าวส่วนมากนี่เป็นครูหรือไม่ก็เดือนมากกว่า ถึงอายุแค่สิบเจ็ดแต่แม่บ้านบางคนยังต้องอาย”

              เดือนยี่ยิ้มแก้มปริที่พี่สาวชมต่อหน้าพยุทธ แล้วชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงก็พูดออกมาอีกหนึ่งประโยคที่ทำให้เด็กสาวอายุสิบเจ็ดหน้าบาน “พี่เชื่อฝีมือเดือน ก็ได้กินออกบ่อย ถ้าไม่บอกว่าอร่อยเดี๋ยวอดกิน”

              “ลูกชายบ้านไหนหนอมาส่งคำหวานจีบลูกสาวบ้านน้าเพียง”

              “สวัสดีครับน้าเพียง ผมเองครับ” พยุทธหนุ่มมารยาทดียกมือไหว้หญิงเจ้าของบ้าน

              “น้าก็รู้แล้วแหละว่าเป็นซุง จะมีหนุ่มหน้าไหนกล้าผ่านประตูรั้วนั่นมาบ้าง ถ้าไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ”

              “ก็เพราะน้าเพียงดุ หวงลูกสาวใช่ไหมครับ”

              “ทำไงได้ล่ะ ลูกสาวบ้านนี้สวยทุกคนนี่”

              “ครูก็อวยลูกสาวตัวเองเกิน ใครได้ยินมีหวังหัวเราะท้องแข็ง อายเขาค่ะครู” ลนารินผู้ไม่เคยเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าพยุทธพูดขึ้น ผิดกับเดือนยี่ที่อายจนหน้าแดงเพราะตลอดเวลาสนทนานั้นเธอแอบมองหน้าชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง

              “ใครจะหัวเราะก็ช่าง แต่ผมยืนยันได้อีกเสียงว่าลูกสาวน้าเพียงสวยจริงๆ”

              “สวยทุกคนใช่ไหม” นางเพียงใจดูออกว่าพยุทธนั้นมีใจให้ลูกสาวคนโตมานานแล้ว และก็อดกังวลใจไม่ได้เรื่องลูกสาวอีกคนซึ่งมีทีท่าว่ากำลังแอบชอบชายหนุ่มอยู่

              ชายหนุ่มยิ้มจนตาหยีแทนคำตอบ ก่อนจะลาแยกย้ายกลับไปบ้านของตัวเอง

              “ไป...สาวน้อยแก้มแดงของพี่ ไปนอนได้แล้ว ครูด้วยค่ะ” ลนารินบอกพร้อมกับคล้องแขนของนางเพียงใจและน้องสาว

              “แล้วตัวเองล่ะ เมื่อไหร่จะนอน”

              “ทำไก่เสร็จแล้วค่อยนอนค่ะครู แล้วพรุ่งนี้นางมีเรื่องตื่นเต้นจะเล่าให้ครูและน้องๆ ฟัง”

              “เล่ามาตอนนี้เลยดีกว่า ว่าไปแอบทำเรื่องอะไรไว้”

              “แหม...ครูก็ เรื่องนี้นางเป็นโจทก์นะคะ ไม่ใช่จำเลยผู้กระทำความผิด”

              “เล่ามาเลยซะเดี๋ยวนี้ อย่าทำให้ครูกับเดือนนอนไม่หลับเพราะความอยากรู้” เห็นครูเพียงใจคาดคั้น อีกทั้งสายตาอยากรู้อยากฟังของน้องสาว เรื่องราวที่ได้ผจญกับคนโรคจิตจนได้ขึ้นโรงพักจึงถูกลนารินเล่าออกมาในระหว่างทำไก่ตุ๋นไปด้วย

              “ในห้างกลางวันแท้ๆ คนยังน่ากลัวกว่าในผับตอนกลางคืนอีกนะคะครู”

              “เอาเถอะ...จะกลางวันหรือกลางคืน อันตรายจากผู้ชายไม่ดีมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จำไว้เลยทั้งนางและเดือน”

              “นางจะระวังตัวค่ะครู สัญญาด้วยเกียรติ์ของลูกสาวครูเนี่ยแหละ” หญิงสาวทำหน้าทะเล้น ก่อนเอื้อมมือปิดฝาหม้อเพื่อกักเก็บความร้อนระอุไว้ระหว่างที่น้ำแกงสีน้ำตาลแก่กำลังเดือด หลังคุยกันจบครูเพียงใจกับเดือนยี่ก็ขึ้นนอนก่อน เหลือไว้แต่ลนารินที่ไปอาบน้ำในระหว่างรอไก่ในหม้อเคี่ยวจนได้ที่ พอหญิงสาวอาบเสร็จก็ได้เวลายกหม้อลงเก็บในหมอตุ๋น รอถึงพรุ่งนี้เนื้อไก่ก็คงร่อนกินกับข้าวสวยร้อนๆ เป็นอาหารมื้อเช้าที่ถูกใจสมาชิกทุกคนในบ้าน

              หลังจากวางหมอตุ๋นไว้บนโต๊ะกลางครัวแล้ว ใบหน้าของคนที่ไม่คิดว่าเธอทำกับข้าวเป็นก็ลอยเข้ามาในหัว

              แล้วแฟนล่ะ

              ผู้ชายคนนั้นจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของเธอไปทำไม หรือเขาเป็นอีกคนที่คิดไม่ซื่อกับเธอ แต่คิดไปแล้วลนารินก็ตีหัวตัวเองเบาๆ หนึ่งที

              “อย่าหลงตัวเองเลยนางเอ้ย กับผู้ชายรูปหล่อนั่นยิ่งต้องระวังให้หนัก” หญิงสาวย้ำกับตัวเอง แล้วปิดไฟชั้นล่าง ก่อนเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×