ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรงขังสิเนหา

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.49K
      3
      8 ก.พ. 58




      

     

    ตั้งแต่รู้ว่าเขากำลังนอกใจอีกครั้งอัญนิกาก็กดดันพระพายหนัก ตามเขาแจ รวมทั้งโทรหาเช้าเย็นถามว่าชายหนุ่มอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร จนเขาแทบกระดิกตัวไม่ได้เลย เพลย์บอยหนุ่มงดเว้นการท่องราตรีเพื่อเอาเวลาไปใช้กับแฟนสาวตัวจริง เป็นเหตุให้ต้องห่างเหินกับจินตนามาได้ระยะหนึ่ง พนักงานขายเครื่องดื่มน้อยใจที่ถูกหมางเมินไร้การติดต่อ สุดท้ายก็ทนคิดถึงไม่ไหว เธอโทรศัพท์หาเขา แต่เขาก็บอกเพียงว่าให้เธออดทนสักระยะ

              จนกระทั่งวันหนึ่งที่อัญนิกาไม่สบายนอนพักอยู่กับบ้าน พระพายจึงปลีกตัวมาดื่มกับเพื่อนสนิทได้

              “ขนาดยังไม่เป็นเมียแต่ง ยังเคี่ยวขนาดนี้ สงสัยแต่งกันไปมึงโดนถอดเขี้ยวเล็บสิ้นลายแน่” ภาณุเพื่อนสนิทคนหนึ่งของพระพายเอ่ยประโยคจี้ใจดำชายหนุ่มเข้า พระพายรู้สึกว่าโดนหยามถึงพูดออกมาว่า

              “คนอย่างกูไม่มีวันนั้นแน่ มึงรู้จักไหมแต่งเพราะเรื่องธุรกิจน่ะ”

              “มึงจะบอกว่ามึงไม่รักแฟนมึงงั้นสิ”

              “ก็ไม่ใช่ไม่รัก กูก็แค่หาความสุขใส่ตัวให้มากหน่อย ก็เท่านั้น อยากทำอะไรกูก็ทำ บางครั้งเมียก็ต้องอยู่ส่วนเมีย ความสุขของกูยังไงซะเขาก็ต้องเป็นฝ่ายทำความเข้าใจให้ได้ถึงจะถูก”

              “ถ้ามึงทำธุรกิจให้ได้อย่างที่มึงทำกับแฟนมึงเนี่ย มึงไม่น่าเจ๊งนะ”

              “ไอ้ห่า” พระพายชี้หน้าเพื่อน ภาณุหัวเราะก่อนขอโทษขอโพยที่หยอกเย้าเรื่องงานซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่าของเขา เพราะคืนนี้สองหนุ่มออกมาดื่มแต่หัวค่ำจึงยังไม่เห็นพนักงานสาวขายเบียร์ยี่ห้อดังที่คุ้นหน้า นั่งไปสักพักหนึ่งแล้วหญิงสาวผมทำสีเจิดจ้ายาวสยายก็ตรงดิ่งเข้ามาหา พร้อมกับทักทายด้วยความดีใจที่ในวันนี้เขามาหาเธอได้แล้ว

              “คุณไปป์ มานานยังคะเนี่ย” จินตนานั่งลงที่ข้างกายชายหนุ่ม ไม่สนใจว่าอาการเบียดกระแซะของตัวเองจะทำให้ภาณุมองด้วยความอยากรู้

              “สักพักแล้วละ ก็รอจินนี่อยู่” พระพายหยอดคำหวานจนหญิงสาวยิ้มแก้มปริ ก่อนพยายามเก็บความไม่พอใจที่เกิดขึ้นฉับพลันเมื่อชายหนุ่มถามหาหญิงสาวอีกคน

              “นางล่ะ ยังทำงานอยู่ไหม” ใจของพระพายก็นึกหวั่นว่าลนารินจะเลิกทำงานนี้ไปเสียก่อน หญิงสาวยังมีอนาคตทางการศึกษา ไม่เหมือนจินตนาที่ยึดอาชีพนี้หาเลี้ยงตัวอย่างจริงจัง จะเจอเมื่อไหร่ก็ได้ ขอแค่เขาออกมาดื่มหรือไปหาที่คอนโดมิเนียม

              “ยังอยู่คะ” น้ำเสียงที่ตอบมาติดจะห้วนอยู่บ้าง แต่พระพายไม่เก็บมาใส่ใจ เขาเข้าใจอารมณ์หึงหวงของหญิงสาวดี แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาหึงหวงเขาได้อย่างอัญนิกาสักหน่อย

              ใช่ว่าจะมีแต่พระพายที่ต้องการจะพบหน้าลนาริน ผู้ชายอีกคนที่มาอยู่รอหญิงสาวได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้วโบกมือเรียกในทันทีที่หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มของพนักงานบริษัทเบียร์ยี่ห้อดังปรากฏขึ้นในสายตา

              “นาง” จุติภัทธ์ที่มาคนเดียวกวักมือเรียกลนาริน

              มีร้านอาหารกึ่งผับสามแห่งในหนึ่งสัปดาห์ที่ลนารินจะไปทำงานช่วงสามทุ่มถึงเที่ยงคืน ภาพลักษณ์ของผู้หญิงทำงานกลางคืนนั้นมองดูปล่อยตัวและง่ายต่อการสานสัมพันธ์ข้ามคืนกับผู้ชายที่เป็นนักดื่มนักเที่ยวมากอยู่แล้ว หลายครั้งหลายหนเธอบังเอิญได้ยินเรื่องการพนันขันต่อว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะไปเป็นเมียเก็บของชายนักเที่ยวคนไหน นั่นยิ่งทำให้เธอระมัดระวังการใช้ชีวิตทำงานกลางคืนมากขึ้น เลิกงานคือกลับบ้านทันที ไม่รับและไม่ให้เบอร์โทรศัพท์ใครทั้งนั้นเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด เธอสนใจเพียงทำงานเก็บเงินสำหรับช่วยครูเพียงใจเลี้ยงน้อง และส่วนหนึ่งคือเงินเพื่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของเธอเอง

              “สวัสดีค่ะคุณภัทธ์”

              “เหมือนเดิม” ชายหนุ่มบอก เพราะรู้ว่าหญิงสาวเกรงใจจะยัดเยียดสินค้าที่เธอขายให้เขา นับตั้งแต่คืนที่เจอกันครั้งแรก หลังๆ นั้นส่วนมากจึงเป็นเขาที่บอกความต้องการของตัวเองออกไป

              ลนารินได้ออเดอร์แล้วก็รีบกลับไปนำเบียร์มาเสิร์ฟจุติภัทธ์ด้วยมารยาทอันดี แม้เธอจะไม่ได้นั่งคุยกับเขา แต่ก็หยุดทักทายอีกหลายประโยค แม้จะเป็นประโยคพื้นๆ ก็ตาม

              “คุณภัทธ์มาคนเดียวเหรอคะ”

              “ผมคงว่างงานกว่าใครเพื่อนมั้ง แล้วนางล่ะ เรียนเป็นไงบ้าง ทำงานเลิกดึกกว่าจะถึงบ้านไม่เหนื่อยแย่เหรอ” จุติภัทธ์พยายามจะรับรู้ชีวิตความเป็นไปของหญิงสาว แต่ก็ได้เท่าที่เธอยอมเล่าให้เขาฟัง

              “เหนื่อยแต่ก็ทำไหวค่ะ ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ช่วงนี้รายงานมากหน่อย เดี๋ยวนางคงต้องขอตัวนะคะคุณภัทธ์ แล้วนางจะแวะมาใหม่” ลนารินบอกขอตัวเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่กวักมือเรียกอยู่ไกลๆ

              “นางทำงานเถอะ ผมรออยู่โต๊ะนี่แหละ”

              ผละจากจุติภัทธ์ ลนารินแวะเวียนไปอีกหลายโต๊ะเพื่อเสิร์ฟเบียร์ แต่เธอพยายามเลี่ยงจะหยุดอยู่ที่โต๊ะของพระพาย ก็คงเพราะสายตาค้อนควักไม่พอใจที่จินตนาทำใส่ตอนกลับเข้าไปยกถาดเครื่องดื่มพร้อมกันที่เคาน์เตอร์นั่นแหละ

              “ก็ไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา”

              “ช่างเขาเถอะแนน” ลนารินบอกเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่มาแทนคนเก่าที่ลาออกไป นันทิตาคงจะรับบรรยากาศมาคุรอบตัวได้ล่ะมัง ตัวเธอกับจินตนาทำงานร่วมกันแค่สามคืนในหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แต่นันทิตากับจินตนานั้นทำงานร่วมกันแทบจะทุกคืน

              “แนนรำคาญลูกตาอะ ใครก็เข้าใกล้ลูกค้าคนพิเศษของตัวไม่ได้ หวงมันซะหมดทุกคน เก่งจริงก็แล่นไปเสิร์ฟเองให้ได้หมดทุกโต๊ะสิ ถ้าเอาเรื่องส่วนตัวมายุ่งกับงาน มันก็กระทบทีมทั้งหมดแบบนี้แหละ”

              จินตนาเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ทันได้ยินประโยคท้ายๆ ของนันทิตาพอดี “มีปัญหาอะไร”

              ลนารินเลือกเงียบ เมื่อเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ถามเสียงแข็งคล้ายหาเรื่อง เธอรับแก้วเบียร์จากนันทิตาวางบนถาดแล้วเดินจากไป ส่วนนันทิตาที่อยู่ประจำเครื่องจ่ายเบียร์ก็สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง คนมาทีหลังจึงข่มความไม่พอใจไว้ เธอยังต้องรักษาภาพพจน์ของสินค้าและสำคัญเหนือสิ่งใดต่อหน้าลูกค้าคนอื่นเธอก็ต้องรักษาหน้าตัวเองด้วย จินตนาไม่อยากถูกมองว่าเป็นผู้หญิงร้ายๆ เพราะถ้าเธอจะร้าย เป้าหมายของเธอต้องไม่รู้ตัว!

              จนกระทั่งเวลาหลังเที่ยงคืน นอกเวลางานลนารินจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา หญิงสาวบอกลานันทิตาที่ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มที่มารอรับ ส่วนจินตนานั้นยังคงล่ำราอาลัยกับบรรดาแขกวีไอพีคนอื่นๆ อยู่

              “ไปส่งไหมครับ” ลนารินรีบเดินหลบเมื่อรถยนต์คันหนึ่งขับรถมาเทียบ หญิงสาวหันมองชายคนหนึ่งซึ่งยื่นหน้าออกมานอกบานกระจกที่เลื่อนลง

              “ฉันกลับเองได้ ขอบคุณค่ะ”

              “ไม่เอาน่า กลับเองได้ก็ต้องขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไปกับพวกเรามีแต่จะสบาย สบายทั้งคืนนี้ สบายทั้งคืนหน้า” แล้วผู้ชายอีกสองคนที่นั่งอยู่ในรถก็หัวเราะโฮ่ฮา ถ้อยคำเย้าแหย่กึ่งอนาจารเพื่อจะให้เธอขึ้นรถไปกับพวกเขายังดังไม่ขาดปาก

              “ดิฉันขอทางค่ะ ต้องรีบเดี๋ยวไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย” ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำให้กลุ่มชายที่กำลังเมาโกรธ ลนารินบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอพยายามฝืนส่งยิ้มออกไป แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อชายคนหนึ่งยื่นมือออกมานอกรถเพื่อฉุดเธอเข้าไปใกล้ๆ สาวร่างเล็กสะบัดแขนเต็มแรงเพื่อให้หลุดจากกิริยาหยาบคายนั่น

    “นาง...มีอะไรหรือเปล่า!” เสียงนั้นมาก่อนตัว จุติภัทธ์ลงจากรถแล้ววิ่งตรงเข้ามาหาหญิงสาวที่ยืนตัวสั่น ชายหนุ่มอ้อมไปฉุดแขนหญิงสาวแล้วใช้ร่างกายของตัวเองกันเธอให้ยืนอยู่ข้างหลังเขา

    “คุณภัทธ์คะ”

    หน้าตาและท่าทางของจุติภัทธ์นั้นเอาเรื่องพอสมควร

    “อ้าว...ไหนว่าจะกลับรถเมล์ มีผัวมารับก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถพูดดูถูก แล้วเลื่อนกระจกปิดอย่างไม่สบอารมณ์

    “จะให้แจ้งความไหมนาง” จุติภัทธ์ถาม แต่ลนารินส่ายหน้า เพราะลูกค้าหลายคนในลานจอดรถเริ่มหยุดมองกลุ่มคนที่คาดว่ากำลังเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน พนักงานดูแลลานจอดเข้ามาสอบถาม จุติภัทธ์เล่าเหตุการณ์พอคร่าวๆ เท่าที่เห็น ผู้ชายที่เป็นคนขับและเพื่อนนั่งข้างกันทำหน้าบึ้งแล้วขับรถกระชากออกไปด้วยความเร็ว

    “ขอบคุณคุณภัทธ์นะคะ” หญิงสาวหายจากอาการตกใจแล้วยกมือไหว้ชายหนุ่ม จุติภัทธ์ก็เลยเห็นรอยแดงบนข้อมือของเธอ เขาถามด้วยความห่วงใย แต่ลนารินก็ยังยืนยันว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง

    “คืนนี้ให้ผมไปส่งดีกว่า...แค่คืนนี้คืนเดียว” เขาต้องรีบออกตัวเพราะหญิงสาวทำท่าจะปฏิเสธ “ถ้าเผื่อนางออกไปยืนรอรถแล้วพวกนั้นย้อนกลับมาอีกล่ะ มันไม่คุ้มนะนาง”

    “แต่...” อย่างไรเธอก็รู้สึกเกรงใจเขา เขาคือลูกค้า เธอกับเขาไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นให้อีกคนขับรถไปส่งถึงบ้าน

    “เอาอย่างนี้นะ ผมส่งนางใกล้ที่สุดเท่าที่นางจะอนุญาตก็ได้ แค่เราออกไปจากร้านนี่กันก่อน”

    “ก็ได้ค่ะ” ลนารินตกลงในที่สุดเพราะรู้สึกเกรงใจที่จะปฏิเสธน้ำใจของชายหนุ่มอีก หญิงสาวเดินตามจุติภัทธ์ไปยังรถยนต์ส่วนตัวของเขา แล้วเข้าไปนั่งข้างคนขับโดยที่เขาเป็นคนเปิดประตูให้เธอ

    พระพายเพิ่งจะออกมายังลานจอดรถเห็นภาพลนารินนั่งรถออกไปกับจุติภัทธ์เต็มสองตา พอๆ กับที่ภาพนั้นสร้างความประหลาดใจให้หญิงสาวที่รีบสาวเท้าก้าวตามหลังเขามายังลานจอดรถเพื่อจะอ้อนให้ชายหนุ่มไปค้างกับเธอคืนนี้

    “คืนนี้ตกลงไปกับคุณภัทธ์นี่เอง มิน่าล่ะ” จินตนาได้ทีก็เลยใส่ไฟลนาริน

    “มิน่าอะไรจินนี่” พระพายอยากรู้จนออกนอกหน้า เขาหันหน้ามาคาดคั้นเอากับหญิงสาวที่ยืนยิ้มเหยียดๆ

    “ก็มีเสี่ยคนนึงเข้าชวนนางไปค้าง แต่นางปฏิเสธ ก็น่าปฏิเสธอยู่หรอกนะ ก็เมื่อกี้ที่นั่งรถไปด้วยกันน่ะทั้งหล่อ ทั้งหนุ่มกว่าเห็นๆ”

    “รู้ดี”

    “ค่ะ...จินนี่รู้ดีแน่ อย่าลืมสิคะจินนี่กับนาง เราทำงานด้วยกัน ไม่เหมือนคุณไปป์หรือแขกคนอื่น ที่จะเห็นก็แต่เฉพาะมุมที่ผู้หญิงคนนั้นอยากแสดงให้เห็น”

    “อิจฉาเขาเหรอไง”

    มันก็แค่คำเสียดสีที่เธอต้องเก็บไว้คิดบัญชีทีหลัง จินตนายิ้มไม่ยี่หระ “ก็คงงั้นมั้งคะ อิจฉาที่ผู้หญิงหน้าซื่ออย่างนางสับรางเก่ง ผู้ชายบางคนก็เข้าใจว่าตัวเองเป็นเบอร์หนึ่ง แต่ความจริงนะเหรอ...” พูดจบหญิงสาวก็หัวเราะเล็กน้อยราวกลับสมน้ำหน้าชายหนุ่มที่หวังจะเป็นเบอร์หนึ่งของลนารินด้วยอีกคน

    “ว่าไงคะคุณไปป์ คืนนี้จะค้างกับจินนี่ไหม จินนี่มีคุณและรอคุณคนเดียวเท่านั้นนะคะ” จินตนาทำเสียงตัดพ้อ พาเรือนร่างเย้ายวนสมส่วนหน้าอกหน้าใจเต่งตึงอวบอัดเข้าเบียดท่อนแขนของพระพาย

    ความขุ่นมัวเรื่องลนารินยังคงอยู่ อีกทั้งอัญนิกาที่คาดโทษว่าเธออาจจะพึ่งนักสืบเอกชนตามติดเขาในสักวัน ทำให้พระพายหมดอารมณ์และรู้สึกรำคาญวัวเคยขาม้าเคยขี่อย่างจินตนา ชายหนุ่มจึงแกะมือของหญิงสาวที่พยายามป่ายเปะไปบนเนื้อตัวเขาออก จินตนายังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของบริษัทเบียร์ ส่วนเขาก็ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของใครที่มันอาจจะคาบเรื่องไปบอกแฟนสาวตัวจริง

    “ไม่มีอารมณ์”

    “คุณไปป์คะ” หญิงสาวยังดื้อดึง ไม่ยอมปล่อยตัวเขาไปง่ายนัก

    “ไว้วันหลังนะจินนี่ ผมขอละ หรือถ้าจะยังพูดไม่รู้เรื่อง ผมจะไม่ไปหาอีก และจินนี่ก็จะไม่ได้อะไรจากผมอย่างที่เคยได้”

    “คุณไปป์...” หญิงสาวผู้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมน้ำตาคลอหน่วย ง่ายดายขนาดนี้เชียวเหรอที่เขาจะทิ้งขว้างเธอ มันง่ายดายและรวดเร็วเกินไป...

              จินตนายอมปล่อยมือที่เกาะกุมพระพาย กับน้ำตาที่ไหลหยดทำให้ชายหนุ่มใจอ่อน เขาเลยบอกว่าอีกสองสามวันจะไปหาเธอที่คอนโดมิเนียม แต่พอลับหลังพระพายที่ขึ้นรถและขับออกไปแล้ว หญิงสาวกร้านโลกทั้งเรื่องรักและเรื่องใคร่ก็ปาดน้ำตาทิ้ง เมื่อปล่อยหัวใจให้รักเขาแล้วเธอยอมรับว่ามันก็เจ็บเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่ความเจ็บนี้จะต้องไม่เกิดกับเธอแค่คนเดียว เธอเจ็บ พระพายก็ต้องเจ็บ และความเจ็บนี้จะต้องเผื่อแผ่ไปถึงแฟนสาวของเขารวมถึงลนารินด้วยเหมือนกัน!

                                                              *****

              เมื่อคืนวานลนารินขอให้จุติภัทธ์ส่งเธอแค่ป้ายรถเมล์เพื่อจะต่อไปยังชุมชนที่อาศัยอยู่เพียงเท่านั้น ก่อนลงรถชายหนุ่มยื่นนามบัตรส่งให้พร้อมคะยั้นคะยอให้เธอเก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งปฏิเสธ

              เผื่อผมจะช่วยอะไรนางได้บ้าง

              เธอจำยอมรับนามบัตรใบนั้น ขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วเก็บมันใส่กระเป๋าสะพายไว้ แต่คงไม่มีวันที่เธอจะขอร้องให้เขาช่วยอะไรอีก เพราะลนารินรู้ดีถ้าหากเมื่อไรเธอออกปาก นั่นก็เท่ากับว่าต้องมีสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกัน และหญิงสาวก็รู้ดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจากเธอ

              “พี่นาง เหม่ออะไรอะ ปลาหมึกจะไหม้แล้วนะ” พนมกรน้องชายวัยสิบสองปีโพล่งออกมาพร้อมกับดึงเหล็กคีบที่หญิงสาวถือในมือไปเพื่อคีบตัวปลาหมึกที่สุกได้ที่แล้ววางบนเขียงไม้ กลิ่นของเนื้อสีขาวมีรอยเกรียมเล็กน้อยนั่นหอมไปทั่วบริเวณ

              “เหม่อเพราะคิดถึงพี่หรือเปล่า” พยุทธที่มาฝากท้องบ้านนางเพียงใจยื่นหน้าระรื่นล้อเลียน

              “เห็นหน้ากันแทบทุกวัน ใครคิดถึงก็บ้าแล้วพี่ซุง” ลนารินสวนกลับ มือก็จับมีดหั่นปลาหมึกย่างเป็นชิ้นเล็กขนาดพอคำ แล้วยื่นจานปลาหมึกให้พนมกรยกไปวางที่โต๊ะใหญ่ ซึ่งมีสมาชิกภายใต้ชายคาบ้านไม้สองชั้นอยู่พร้อมหน้ากันในวันนี้

              “โห...ทำร้ายจิตใจกันสุดๆ”

              พอเพื่อนบ้านที่อายุมากกว่าทำหน้าซังกระตายเด็กชายพนมกรก็หัวเราะออกมาเสียงดัง พยุทธตั้งใจมาฝากท้องจริงๆ ไม่สามารถช่วยเหลืองานปิ้งย่างหน้าเตาได้เลย เพราะต้องคอยเล่นหัวกับถิ่นไทยด้วยอีกคน

              ที่โต๊ะใหญ่ใต้ร่มไม้มีนางเพียงใจ พรพรหม เดือนยี่และเรือนแก้วนั่งอยู่ อาหารเที่ยงที่จะลากยาวไปจนบ่ายแก่ของวันนี้ก็คือเมนูจิ้มจุ่ม ปลาหมึกย่างและลูกชิ้นปิ้งที่เด็กๆ ชอบ

              “ครูบอกว่าให้แบ่งปลาหมึกและลูกชิ้นไปให้พ่อกับแม่พี่ซุงด้วย” เดือนยี่ยื่นจานอาหารให้พยุทธ

              “ไม่รู้จะเกรงใจอะไรอีก คนกันเองทั้งนั้น น้าเรียกมากินด้วยกันก็ไม่มา”

              “พ่อเขาเป็นพวกหนังท้องตึง หนังตาหย่อนง่ายน่ะน้าเพียง บัลลังก์กินข้าวคือโซฟาหน้าทีวี กินเสร็จก็เอนตัวลงเลย มีพระราชาอย่างพ่อผมแล้วก็ต้องมีนางกำนัลคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ”

              “วาสนาพ่อเขาละ มีเมียดีขนาดนั้น” นางเพียงใจชม

              “มา...เดี๋ยวพี่เอาไปเอง เดือนนั่งกินพร้อมครูกับน้องดีกว่า” พยุทธยื่นมือไปรับเอาจานปลาหมึกย่างจากเดือนยี่ แล้วชายหนุ่มเพื่อนบ้านก็เดินออกจากรั้วไป

              “ไม่ตามไปล่ะพี่เดือน” เรือนแก้วกระซิบถามพี่สาว เด็กหญิงวัยสิบห้าพอมองออกมาพักใหญ่แล้วล่ะว่า พี่สาวอายุสิบเจ็ดตกหลุมรักเพื่อนบ้านรุ่นพี่

              “บ้าน่ะแก้ว” เดือนยี่อายที่น้องสาวก็มองความรู้สึกของเธอออก เด็กสาวเดินห่างไปเพื่อช่วยลนารินจัดการกับเตาปิ้งย่าง ก่อนจะดับไฟแล้วกลับมานั่งกินด้วยกัน ไม่นานนักพยุทธก็เดินผ่านรั้วเข้ามา ในมือยังถือถุงมะม่วงน้ำปลาหวานมาด้วยอีกสองถุง

              “ของกินออกเยอะแยะ ไม่รู้จะหิ้วมาทำไมอีก”

              “กลัวน้องๆ ไม่อิ่มนี่ครับน้าเพียง”

              “ดูพี่ซุงเขาเป็นตัวอย่างนะพรหม กร ไทย ลูกผู้ชายต้องจิตใจดี คิดถึงคนรอบข้างและเป็นสุภาพบุรุษ” นางเพียงใจสอนบุตรชาย แล้วทั้งสามคนก็รับคำ

              “ใครเป็นแฟนพี่ซุงเนี่ยคงสบายเนาะ” เรือนแก้วแซว

    ลนารินก็เลยเสริมต่อว่า “สาวๆ ที่โรงงานคงเพียบ แต่อย่าไปเจ้าชู้มั่วนะพี่ บาปกรรมเดี๋ยวนี้ติดจรวด”

              เดือนยี่พอได้ยินเรื่องผู้หญิงคนอื่นนอกจากพี่สาวของตัวเองที่พยุทธมีใจให้ก็ใจสั่น เธอลืมข้อนี้ไปได้อย่างไร ส่วนลนารินที่พลั้งปากไปแล้วก็เพิ่งจะมานึกได้เมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของน้องสาว จริงอยู่ที่ชายหนุ่มเป็นคนดี รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ผู้หญิงหลายๆ คนก็ย่อมอยากผูกสัมพันธ์ด้วย แต่กับเดือนยี่นั้นลนารินคิดว่าน้องสาวตัวเองอายุยังน้อยเกินไปสำหรับเรื่องรักใคร่

              “พี่ไม่เคยเจ้าชู้มั่ว รักใครก็รักจริง” พยุทธรีบชี้แจงตัวเอง สำหรับลนารินมันก็เป็นเพียงคำบอกเล่าธรรมดา แต่สำหรับเดือนยี่มันกลับเป็นอนาคตแสนหวานที่เด็กสาววาดหวังไว้ในใจ

              นางเพียงใจเหลือบตามองหนุ่มสาวทั้งสามคนอย่างคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน จะว่าไปลูกสาวของนางก็ยังอายุน้อย ไม่ผิดที่คนเป็นแม่จะห่วงใยในเรื่องสัมพันธ์ชู้สาว หญิงมากวัยจึงเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่องอื่น “ปลาหมึกชืดหมดแล้ว แก้วเดิมน้ำซุปด้วยลูก มัวแต่คุยกันกว่าจะกินเสร็จของคงได้อืดเต็มท้องกันหมด”

              “อืดเต็มท้องก็ดีสิไทยจะได้ไม่ต้องเสียเวลากินข้าวเย็น”

              ลูกชายตัวเล็กยื่นปากพูดอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ครูเพียงใจก็เลยแหย่เด็กชายไปว่า “ไทยของแม่เพียงจะได้เอาเวลาไปนั่งดูการ์ตูนใช่ไหม”

              เด็กชายถิ่นไทยยิ้มแก้มบานทั้งที่เพิ่งส่งลูกชิ้นปิ้งเข้าไปอยู่ในปาก “แม่เพียงรู้ใจไทยได้ยังไง”

              ครูเพียงใจผู้ให้โอกาสทุกชีวิตน้อยๆ ในบ้านได้เติบใหญ่อย่างแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจคลี่ยิ้มอบอุ่น นางสบตาผู้เป็นลูกสาวคนโต พลางลูบศีรษะของเด็กชายวัยแปดขวบ “แม่เพียงรู้ใจลูกๆ ของแม่ทุกคนนั่นแหละ ใครรัก ใครชอบหรือไม่ชอบอะไร แม่เพียงรู้หมด”

              “แม่เพียงเป็นผู้วิเศษเหรอครับ”

              นางเพียงใจอมยิ้ม พรพรหมที่อิ่มกับอาหารตรงหน้าแล้วจึงบอกน้องชายคนเล็กของบ้านว่า “ถ้าแม่เพียงไม่ใช่ผู้วิเศษ แม่จะดูแลพวกเราจนตัวโตได้ขนาดนี้เหรอ”

              โลกของเด็กช่างบริสุทธิ์และสดใส ถิ่นไทยเชื่อตามที่พี่ชายบอก พร้อมทั้งหันไปบอกพี่ชายอีกคนว่าแม่ของเขาเป็นผู้วิเศษอย่างในการ์ตูนที่พวกเราดูแน่ๆ

              อาหารมื้อนั้นจบลงเอาเมื่อตอนบ่ายแก่ๆ พยุทธช่วยลนารินเก็บถ้วยชามและหม้อต้มเข้าไปก่อน ส่วนเดือนยี่กับเรือนแก้วก็กำลังเก็บกวาดสถานที่อยู่ด้านนอก ลูกสาวทั้งสามคนไม่ยอมให้ครูเพียงใจต้องเหนื่อยทำอะไรอีก นางจึงพาพรพรหมที่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงหลบลมบ่ายเข้าไปในบ้าน ส่วนเด็กชายพนมกรและถิ่นไทยขออนุญาตมารดาออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนบ้านรุ่นเดียวกัน

              “พี่ไม่เคยเจ้าชู้มั่ว รักใครก็รักจริง” ระหว่างที่ลงมือล้างจานชามนั้นเอง ชายหนุ่มบ้านใกล้ก็พูดย้ำประโยคเดิมที่เคยพูด หนนี้เขาตั้งใจให้ลนารินได้ยิน...คนเดียวเท่านั้น

              “ทำไมต้องบอกนางด้วยล่ะ” หญิงสาวแกล้งไขสือ เริ่มรู้สึกอึดอัดกับการรุกของเขาที่พักหลังมานี้ค่อนข้างบ่อย เธอยังไม่พร้อมให้เขาก้าวมาอยู่ในสถานะคนรักเร็วๆ นี้แน่

              “นางรู้ดีว่าเพราะอะไร” พยุทธรุกหนักด้วยการกุมมือหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ฟองสีขาวในกะละมัง

              “พี่ซุง...”

              “พี่รักนาง ทำไมนางทำเหมือนไม่รู้ ทำไมต้องโยนความรักของพี่ให้คนอื่น” คนอื่นที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นไกล หลายคราวที่หญิงสาวหลบเลี่ยงเขาเพื่อรักษาน้ำใจของเดือนยี่

              “นางยังไม่คิดเรื่องนี้ นางต้องเรียนให้จบก่อน” ลนารินตัดสินใจพูดความจริงในใจออกมาส่วนหนึ่ง

              “พี่รอนางได้เสมอ ขอแค่การรอคอยของพี่ไม่ใช่เพื่อความว่างเปล่าก็พอแล้ว”

              “แล้วถ้าพี่ซุงต้องรอเก้อล่ะ”

              พยุทธนิ่งไปกับถ้อยคำตัดรอนของสาวเพื่อนบ้าน หญิงสาวค่อยๆ ชักมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา และชายหนุ่มก็ยอมปล่อยเธอแต่โดยดี

              “ไม่รู้ละ อย่างไรพี่ก็จะรอ”

              คำตอบของเขาสร้างความลำบากใจให้ลนารินไม่น้อยเลย แต่หญิงสาวนิ่ง ไม่ตอบโต้ เธอตั้งหน้าตั้งตาล้างจานชามไปและพยุทธก็ไม่เซ้าซี้อีก ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่า คนอื่น ที่แอบยืนฟังทุกคำสนทนานั้นต้องฝืนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา                                                          

    *****

               “ไม่เติมข้าวอีกหน่อยเหรอคะคุณหนึ่ง”

              ที่โต๊ะอาหารตัวยาวมีเพียงชายหนุ่มนั่งทานข้าวอยู่คนเดียว อเกณมองเก้าอี้ตัวอื่นที่ว่างเปล่า หวนคิดถึงวัยเด็กที่เคยอยู่พร้อมหน้าทั้งมารดา พ่อเลี้ยง อาธรรมาและเด็กหญิงอัญนิกา เขาเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นกมลภูปกรณ์เต็มสายเลือด ก่อนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเพราะอุบัติเหตุต่างเวลาซึ่งพรากบุพการีทั้งสองไปอย่างไม่มีวันกลับ

              “ผมอิ่มแล้วล่ะป้ากิ่ง เดี๋ยวเก็บเลยแล้วกัน” อเกณรวบช้อน ชายหนุ่มลุกจากโต๊ะอาหาร เปลี่ยนไปนั่งในห้องรับรองที่มองออกไปเห็นสวนกุหลาบของมารดา

              บ้านหลังใหญ่ ทรัพย์สมบัติมากมาย ความสะดวกสบายที่ต้องแลกมาจากการทำงานหนักนั้นให้ผลตอบแทนคือความว่างเปล่า หนักเหนื่อยเรื่องงานไม่เท่าไร แต่ปัญหายุ่งยากสารพัดจากอาต่างสายเลือด และลูกๆ ของพวกเขาและเธอนั่นแหละที่ทำชายหนุ่มเหนื่อยใจ ถ้าไม่ติดว่ายังมีน้องสาว เขายินดีจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไปเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเอง บ้านกมลภูปกรณ์ยังดึงดูดเขาไว้ได้เพียงเพราะมีอัญนิกาและธรรมาเท่านั้น

              อเกณนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ครู่หนึ่ง นางกิ่งแก้วก็ยกชาเข้ามาให้ ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของบ้านที่อยู่รับใช้กันมานานตั้งแต่สมัยบุพการีของเขายังมีชีวิต คืนนี้อัญนิกาออกไปข้างนอกกับพระพาย ออกไปกับคนที่เขาไม่ไว้ใจที่สุด เขาอยากจะรู้นักว่าเพราะเหตุใดน้องสาวถึงได้ปักใจและเชื่อในความรักจอมปลอมของผู้ชายเจ้าชู้ไม่เลือกคนนั้น หากจะโทษก็คงโทษเขาที่ให้ความรักความอบอุ่นกับเธอไม่พอหรืออย่างไร หรือเพราะรู้สึกขาดถึงได้ไขว่คว้าเอาเพชรปลอมมาประดับหลงมัวเมาว่าตนได้สิ่งล้ำค่าไว้ในมือ ครั้นพอคิดถึงพระพายแล้ว ใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวที่พระพายเคยเกี้ยวพาราสีและคำพูดของพัชรวิทย์ก็ผุดขึ้นในหัว ความชิงชังวูบหนึ่งปรากฏขึ้นในดวงตา

            ตอนรถติด ฉันเห็นไอ้ภัทธ์กับน้องนางขายเบียร์ ไม่คิดว่าไอ้ภัทธ์มันจะมีทีเด็ดจนน้องเค้ายอมขึ้นรถไปกับมันได้...มั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด ไอ้นี่ต่อหน้าเราเห็นเงียบหงิมๆ แต่แอบไปเฝ้าไปหยอดจนสาวใจอ่อนจนได้’ 




    นิยายจะเป็นหมันไหมน๊อ...เพิ่งได้ยอดมา 7 เล่มจ้า




     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×