ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมรักประกาศิต

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 : พรหมพาพานพบ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 355
      3
      22 พ.ย. 63

         กรุงเทพมหานครยามเช้าตรู่ไม่ได้แจ่มใสเสียเท่าไรนัก อากาศก็ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องขนาดสามารถสูดออกซิเจนฟอกปอด มิหนำซ้ำยังไม่เย็นสดชื่นเพราะตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า บดบังทิศทางลมไม่ให้พัดเอาความร้อนระบายออกไป จึงทำให้คุณหนูคนเล็กของตระกูลเศวตวรกุลเบื่อหน่ายกับการตื่นเช้าเสียเหลือเกิน หากไม่ติดว่าต้องออกไปพบคุณนาวีเป็นเพื่อนบิดาแล้วล่ะก็ ป่านนี้เลอโฉมคงได้นอนหลับอุตุเหมือนพอลลี่ พอลที่กำลังกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง

             กระจกเงาสะท้อนภาพหญิงสาวในชุดเกาะอกยาวสีชมพูอ่อน ผมดัดลอนใหญ่ม้วนเกลียวปรกไหล่เล็กๆสองข้าง โดยมีแม่เพลงคอยติดกิ๊บประดับคริสตัลสีขาวให้อย่างสวยงาม เลอโฉมบรรจงระบายลิปสติกสีนู้ดลงบนริมฝีปากเอิบอิ่มพร้อมเม้มให้แนบสนิทติดทนนาน เอี่ยวใบหน้าซ้ายขวาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย จากนั้นก็เอื้อมหยิบสร้อยไข่มุกเส้นโปรดขึ้นมาทาบลำคอระหง ทว่า แลเป็นทางการราวออกงานสังคมมากกว่าไปเยี่ยมเยียนผู้หลักผู้ใหญ่ที่บ้าน เธอจึงพ่นลมหายใจออกมาแรงๆด้วยทราบดีว่าสตรียามแต่งกายไม่ลงตัวนั้นวุ่นวายเพียงใด

             “ให้ตายสิ! ฉันควรใส่สร้อยเส้นไหนดีเนี่ย”

             ภายในตู้เครื่องประดับซึ่งตั้งติดโต๊ะเครื่องแป้ง คราคร่ำด้วยที่คาดผม กิ๊บติดผม ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล แหวน สร้อยข้อเท้า จำนวนมากวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย กระนั้นก็ไม่มีชิ้นไหนถูกใจหญิงสาว เพราะทั้งหมดล้วนหรูหราดูเป็นการเป็นงานเกินควร สาวใช้คนสนิทเฝ้ามองเจ้านายสาวอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังเลือกไม่ได้เสียที

             “คุณหนูคะ...สร้อยเส้นนั้นก็สวยดีนะคะ” แม่เพลงเสนอความคิด พลางชี้ไปยังของขวัญวันวาเลนไทน์ที่วางโดดเด่นอยู่ในกล่องไม้ ซึ่งเปิดฝาอ้าบนโต๊ะเขียนหนังสือ

             “นี่แกแอบมาเปิดดูของๆฉันเหรอ!” เลอโฉมแว้ดใส่ทันที เพราะจดจำได้ว่าเมื่อคืนปิดกล่องไม้นั้นเอาไว้ดีแล้ว

             “ตายจริง! ดิฉันไม่ได้เปิดดูนะคะ...แต่ฝากล่องมันเปิดอยู่ก่อนแล้วก็เลยเหลือบไปเห็นสร้อยเส้นนั้นค่ะ” ผู้อยู่ใต้โอวาทรีบแก้ตัวพัลวัน

             “อย่าให้ฉันรู้นะ! ว่าแกยุ่มย่ามกับข้าวของส่วนตัวฉัน...โดนไล่ออกแน่!”

             โถ! ใครจะกล้า...ขนาดยังไม่ทันทำอะไรก็โดนเฉ่งเช้า กลางวัน เย็น และ ก่อนนอนจนหูชา เรื่องอะไรจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ตัวเองเดือดร้อนเล่นๆ แม่เพลงได้แต่ส่ายหน้าเบาๆโดยไม่กล้ากล่าวอะไรอีก

             มือเรียวบางหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนลองทาบลำคอตัวเองขณะส่องกระจกบานใหญ่ จี้หินโรสควอตซ์สลักรูปกุหลาบเข้ากับสีชุดที่สวมใส่อย่างเหมาะเจาะราวถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน แม้พึงพอใจกับเครื่องประดับชิ้นนี้ค่อนข้างมาก แต่เลอโฉมก็ชั่งใจที่จะสวมใส่ เพราะไม่ปรารถนาใช้ของขวัญอดีตคนรัก กระนั้นหัวใจกลับตักเตือนว่าการแยแสเรื่องราวในอดีตบ่งชัดว่ายังลืมเขาไม่ได้จริงๆ

             ไม่มีวัน! เรื่องอะไรจะต้องใส่ใจผู้ชายเฮงซวยแบบนั้น เขาไม่มีค่าความสำคัญ และ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ฉะนั้นไม่มีเหตุผลจะต้องเกรงกลัวในเมื่อไม่ใช่คนผิด อีตานั่นต่างหากที่ทอดทิ้งเธอไปอย่างหน้าด้านๆไร้ยางอาย ในฐานะผู้ครอบครองมีสิทธิ์จะทำอะไรกับสร้อยเส้นนี้ก็ได้ ทั้งสวมใส่ หรือ โยนทิ้งถังขยะ... เลอโฉมสวมสร้อยรูปกุหลาบประดับลำคออย่างผ่าเผยไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดอีกต่อไป เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับมาเจอกันด้วยความบังเอิญอีกครั้งเฉกเช่นเมื่อวาน

             รถยุโรปคันงามแล่นทะยานออกจากคฤหาสน์เศวตวรกุลมุ่งตรงสู่จุดหมายปลายทาง การจราจรวันนี้ยังคงแน่นขนัดเสมอต้นเสมอปลายเสมือนทุกวันที่เคยเป็น คุณทรงพลจึงฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอยู่ตรงเบาะท้ายรถ ส่วนเลอโฉมเลือกที่จะปลุกนุชวราด้วยการชวนคุยผ่านโปรแกรมสนทนาออนไลน์ในโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างๆผู้เป็นบิดา เพื่อนสาวบ่นก่นด่าเล็กน้อยตามประสาคนเพิ่งตื่นแต่ก็ยินยอมพูดคุย เนื่องจากเข้าอกเข้าใจความรู้สึกดีว่าการติดสอยห้อยตามบุพการีไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวน่าเบื่อเพียงใด

             “ทำไมคุณพ่อต้องให้หนูตามมาด้วยก็ไม่รู้...หนูไม่ได้รู้จักคุณลุงนาวีอะไรนั่นด้วยสักหน่อย” หญิงสาวเริ่มบ่น เพราะเบื่อหน่ายกับรถติดเสียเหลือเกิน มื้อเช้าก็ยังไม่ได้รับประทาน หิวจนท้องไส้กิ่วไปหมดแล้ว

             “ควีน! พูดแบบนั้นไม่น่ารักเลย คุณลุงนาวีเป็นเพื่อนสนิทพ่อนะ” ผู้อาวุโสตำหนิลูกสาว

             “เพื่อนสนิทคุณพ่อ แต่ไม่ใช่เพื่อนสนิทหนูนี่คะ”

             “คุณลุงนาวีเป็นนักธุรกิจที่เก่งมาก ที่พ่อพาลูกไปเยี่ยมด้วยกันวันนี้เพราะอาจได้ความรู้และแนวคิดใหม่ๆกลับมาพัฒนากิจการของเรา” คุณทรงพลมองการณ์ไกลเสมอ “อีกอย่าง...ถ้าไม่ได้คุณลุงนาวีช่วยเหลือเกื้อกูลตอนธุรกิจของเราเพิ่งเปิดใหม่ๆ บริษัทเศวตวรกุลอาจไม่รุ่งเรืองเหมือนทุกวันนี้ก็ได้”

             “ค่ะๆๆๆ...หนูจะได้จำไว้ว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ” ตอบบุพการีเสร็จก็หันไปใส่อารมณ์กับคนขับรถ “ถ้าแกยังขับรถชักช้าแบบนี้ ฉันจะเปลี่ยนชื่อแกจาก ชาติ เป็น ชาติหน้า ให้สมกับความอืดอาดยืดยาดของแก...รีบๆขับหน่อยได้ไหม!!!

             “ครับผม!” ผู้อยู่ใต้โอวาทรับคำ พลางบีบแตรไล่รถคันหน้าที่ออกตัวช้าหลังสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว

             พอสบโอกาสนายชาติก็เหยียบคันเร่งปาดหน้ารถหลายคันเพื่อแซงนำท่ามกลางความตกใจของคุณทรงพล เมื่อจู่ๆคนขับรถคนสนิทดันบ้าจี้ทำตามคำสั่งลูกสาวขึ้นมา

             “นายชาติ! ช้าลงหน่อย”

             “ไม่ได้ครับ...คุณหนูสั่ง!” คนเคยนอบน้อมกล้าขัดคำสั่งเสียอย่างนั้น

             “แกเชื่อฟังยายควีนมากกว่าฉันเหรอ...ห๊ะ!!!” คุณทรงพลเริ่มมีโทสะ

             “ผะ...ผม...เชื่อฟังท่านนะครับ แต่ว่าผมขัดคำสั่งคุณหนูไม่ได้” รู้ทั้งรู้ว่าการขับขี่รถฉวัดเฉวียนแบบนี้อันตรายมาก แต่นายชาติก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายให้เป็นไปตามใจคิดประหนึ่งโดนบางสิ่งบางอย่างควบคุม

             “ถ้ายายควีนสั่งให้แกไปตาย...แกจะไปไหม!!!” ผู้อาวุโสตวาดลั่น

             “นายชาติ! ทำไมแกไม่ยอมเชื่อฟังคุณพ่อ ขับรถดีๆเดี๋ยวนี้นะ!” เลอโฉมกลัวเหตุการณ์จะบานปลายใหญ่โตเลยออกปากปรามด้วยตัวเอง

             ความเร็วของรถค่อยๆผ่อนเบาลงจนเหลือระดับปกติราวหกสิบถึงแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง นายชาติรีบขอโทษขอโพยคุณทรงพลเป็นการใหญ่ หากไม่ติดว่าสองตาต้องจับจ้องถนนหนทางเบื้องหน้า และ สองมือต้องจับพวงมาลัยคงหันมาไหว้ปลกๆแล้ว สองพ่อลูกไม่ติดใจเอาความ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เคยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี อาจเคร่งเครียดจากภาวะรถติดเลยหุนหันพลันแล่นขาดสติยั้งคิดไปบ้าง

             ความร่มรื่นของตัวบ้านเกิดจากไม้ยืนต้นที่ปลูกเรียงรายสองฟากฝั่งถนนเส้นเล็ก ซึ่งนำพาสู่คฤหาสน์รูปทรงตะวันตกหลังใหญ่ท่ามกลางเนื้อที่หลายร้อยตารางวา อาณาบริเวณพอๆกับคฤหาสน์เศวตวรกุล ต่างกันแค่สถานที่นี้ดูทันสมัยกว่า และ มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ขนาบข้าง บ่งบอกถึงฐานะทางสังคมระหว่างสองตระกูลว่าไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไร ดวงตากลมโตทอดมองสวนหย่อมคราคร่ำด้วยมวลดอกไม้นานาพรรณคละสีสัน อันล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากคนสวนที่กำลังใส่ปุ๋ยพรวนดินใต้แสงแดดยามสาย ใกล้กันนั้นมีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางสนามหญ้าเขียวขจี ละอองน้ำที่กระเซ็นออกมาสะท้อนประกายเลื่อมสีรุ้งแพรวพราวยามต้องแสงตะวันซึ่งทอดลำลงมาจากฟ้า

             งดงามราวกับสรวงสวรรค์...คำๆนี้คงนิยามภาพที่เห็นในสายตาเลอโฉมได้ดีที่สุด!

             รถยุโรปคันหรูจอดเทียบตีนบันไดหินอ่อนขัดมันทางเข้าตัวคฤหาสน์ นายชาติกระวีกระวาดลงมาเปิดประตูให้เจ้านายทั้งสองตามหน้าที่อย่างว่องไว หญิงสาวเมื่อยล้าจึงเอี่ยวกายคลายเส้นเหมือนเด็กๆ เลยโดนผู้เป็นบิดาส่งสายตาตำหนิติเตียนที่เธอแสดงพฤติกรรมไม่งามนัก

             “ไอ้เอก! เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เจอกันนานเลย” เสียงเจ้าของบ้านทักทายดังมาจากด้านในทั้งที่ยังไม่เห็นตัว

             ‘คุณนาวี ธีระชโลธร’ เดินออกมาแล้วโผเข้าสวมกอดคุณทรงพลอย่างรักใคร่ในฐานะเพื่อนสนิท แม้ผู้อาวุโสทั้งสองมีอายุอานามไม่ห่างกันมาก แต่ผมเผ้าของประมุขแห่งคฤหาสน์ธีระชโลธรกลับขาวโพลนล่วงล้ำนำไปก่อน ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าบ่งบอกถึงการตรากตรำทำงานหนักตลอดช่วงวัยหนุ่มที่ผ่านมา ภาพความผูกพันระหว่างมิตรสหายคงซาบซึ้งกว่านี้หากประมุขแห่งคฤหาสน์เศวตวรกุลไม่ฟาดฝ่ามือตบศีรษะอีกฝ่าย

             “ไอ้เวร! เอกมันชื่อพ่อกู”

             มิน่าล่ะ! แรกเริ่มที่ได้ยินเลอโฉมถึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน ที่แท้ก็ชื่อคุณปู่นี่เอง...

             “เอาน่า...ก็ฉันเรียกแกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จะให้เปลี่ยนไปเรียกชื่ออื่นก็กระดากปากพิกล”

             “กระดากปาก แต่ไม่กระดากใจเลยนะ!”

             “ฮ่าๆๆๆ” คุณนาวีหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “แล้วนั่น...หนูควีนใช่ไหมวะ?”

             “ใช่” คุณทรงพลพยักหน้ารับ พลางหันไปหาลูกสาวซึ่งยืนเยื้องห่างออกไปเล็กน้อย “ไหว้คุณลุงเสียสิลูก”

             “สวัสดีค่ะ คุณลุงนาวี” เธอพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้าด้วยความนอบน้อม

             “โอ้โห! โตเป็นสาวสวยเชียว ตอนลุงเห็นครั้งสุดท้ายยังแบเบาะอยู่เลย” พูดพลางนึกขึ้นได้ “จริงสิ! ลุงให้แม่บ้านเตรียมน้ำกับขนมไว้ที่ห้องรับแขกแล้ว ไปๆ...ไปนั่งคุยกันข้างใน”

             “นึกว่าจะไม่ชวนแล้ว” คุณทรงพลแขวะเพื่อนรักอีกหนึ่งดอก แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ยี่หระยักไหล่ใส่อย่างยียวนกวนประสาท พลางเดินนำหน้าทุกคนเข้าไปในอาคารหลังใหญ่อย่างรวดเร็ว

             โถงรับแขกรูปโดมยกเพดานสูง และ กรุกระจกครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอก อาทิ สวนหย่อมและสระว่ายน้ำอันแสนสวยได้อย่างง่ายดายเพียงแค่รูดผ้าม่านสีกรมท่าเฉกเช่นตอนนี้ ไม่มีเครื่องเรือนรกหูรกตานอกจากพื้นที่ตรงกลางซึ่งถูกปูพรมสีแดง และ วางชุดโซฟาหนังสีดำสนิท ในจานใบสวยบนโต๊ะกระจกเตี้ยๆมีคุกกี้คละรส กับ แก้วน้ำผลไม้รวมวางครบจำนวนคน นั่นคือ เลอโฉม คุณทรงพล คุณนาวี และ บุรุษรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาว กำลังนั่งไขว่ห้างกางหนังสือพิมพ์ธุรกิจอ่านปิดหน้าปิดตาอยู่

             “ตาพล! มัวแต่อ่านข่าวอยู่ได้ รีบมาสวัสดีคุณอาทรงพลเพื่อนพ่อเร็วเข้า!” คุณนาวีสั่งลูกชายเสียงดัง

             “ครับๆ” เขารับคำ พลางวางหนังสือพิมพ์ลงบนโซฟาเดี่ยวเข้าชุดที่นั่งอยู่ ลุกเดินเข้าไปไหว้แขกคนสำคัญของผู้เป็นบิดาด้วยความนบนอบ “สวัสดีครับ...คุณอาทรงพล”

             “แล้วนี่หนูควีน...ลูกสาวคนเดียวของคุณอา รู้จักกันไว้สิ!” ผายมือมาทางเลอโฉม ที่บัดนี้กำลังยืนนิ่งงันอย่างตกตะลึงไม่ต่างจากชายหนุ่ม “นี่ตาพล...ลูกชายคนเดียวของอา”

             จะไม่ให้ทั้งคู่ตกใจได้อย่างไร...เพราะอีกฝ่ายคืออดีตคนรักที่เพิ่งพบเจอในลิฟท์โดยบังเอิญเมื่อวันวาน!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×