คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : [SF] Paradise สวนสวรรค์ ตอนที่ 13
บทที่ 13
#ฟิคจทม
ร่างสูงใหญ่ของพระบิดาแห่งเมืองหิมะกำลังจดจ้องออกไปนอกหน้าต่างสู่เบื้องล่างอันขาวโพลน ดวงตาสื่อความคิดได้มากมายหากมิสามารถเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดได้ ความรู้สึกผิดนั้นเต็มแน่นอยู่ในอก ผืนภาพวาดที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมิให้มีรอยขีดข่วน ปรากฏรูปหน้าสตรีผู้งดงามมิว่ากายหรือวาจา อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นก็ช่างขับให้ผิวผุดผ่องนั้นงดงามเกินกว่าสิ่งใดแต่เมื่อได้จดจ้องนานๆเข้าความโกรธเคืองและบึ้งตึงกลับเข้ามาแทนที่ พระโอรสที่ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูดังเช่นลูกแต่กำเนิดใครจะไปรู้ว่าความจริงแล้วบุรุษผู้มีร่างอ้อนแอ้นและบอบบางนั้นมิใช่ลูกในกายที่แท้จริง
“พระนางยูจินจริงหรือไม่เด็กในท้องของเจ้ามิใช่ลูกของข้า!”
เมื่อกลับจากศึกรบอันสาหัสและหนักหน่วงเป็นเวลาหลายเดือน สุรเสียงที่เคยเมตตาปราณีสตรีอ่อนหวานตรงหน้ากลับเกรี้ยวกราด ความโกรธเคืองหลังรู้ข่าวว่าพระนางยูจินมเหสีฝ่ายซ้ายลักลอบได้เสียกับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์
“มิใช่เพคะพระองค์ ลูกในท้องของหม่อมฉันคือลูกของพระองค์เพคะ”
ฝ่ายสตรีก็ร่ำไห้อ้อนวอนเมื่อดาบคมกริบถูกชักออกจากฝักชี้ตราหน้าว่าสตรีผู้นี้ลักลอบมีชู้
“จะมีสิ่งใดที่เจ้าจะมิโกหกเราหรือยูจิน ตลอดเวลาเจ้ากับยูซอกลักลอบได้เสียกันมาตั้งเท่าใด เห็นเพียงข้าเป็นพระสวามีโง่เง่ามิรู้ทันเจ้าทั้งสองรึ!”
“หามิได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมและพระชายาถูกใส่ร้าย กระหม่อมมิบังอาจลักลอบทำเช่นนั้นแน่พะย่ะค่ะ”
“พระองค์ได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ ลูกของหม่อมฉันคือลูกของพระองค์เพคะ”
พระนางยูจินร่ำให้ ดวงตาโศกเศร้าและตัดพ้อต่อว่าพระสวามีว่าเหตุใดจึงไม่เห็นใจกัน นับตั้งแต่ได้ถวายตัวถูกโอบอุ้มเลี้ยงดูก็วางตัวอย่างภักดีเสมอมา พระนางยูจินถูกรับเข้ามาเป็นนางสนมเอกซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่ถูกยกย่องให้เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายด้วยกิริยาน่ารักและใบหน้าอันแสนงดงามจึงเป็นที่โปรดปรานเสียจนมเหสีฝ่ายขวาเกิดความอิจฉาริษยา ด้วยความดีและมั่นคงพระนางยูจินจึงเอาความดีเข้าสู้ปรนนิบัติทั้งสามีและพระชายาฝ่ายขวาทั้งเคารพนับถือมิให้ด้อยไปกว่ากัน แม้กระทั่งมเหสีฝ่ายขวาทรงพระครรภ์ก่อนความเอ็นดูมากมายจากพระราชาจึงไปถึงฝ่ายนั้นมากกว่าด้วยหวังจะมีพระโอรสให้สืบสกุล สุดท้ายเมื่อสวรรค์มิทรงโปรดลูกคนแรกกลับเป็นอิสตรีแต่พระราชาก็มิย่อท้อในเมื่อไม่กี่เดือนถัดมาพระชายาฝ่ายซ้ายทรงพระครรภ์บ้าง ข่าวลือหนาหูเสียเหลือเกินถึงการตั้งครรภ์ในครั้งนี้บ้างก็ว่าพระนางยูจินผู้งดงามลอบมีชู้กับองครักษ์คนสนิทที่ติดตามกันมาตั้งแต่เมืองก่อน
“เอานางไปขังส่วนเจ้าข้าจะประหารชีวิตเจ้าซะ”
“ไม่เพคะพระองค์ได้โปรด หม่อมฉันและยูซอกมิได้ทำเรื่องเช่นนั้นพระองค์ได้โปรด”
ยามนี้จิตใจท่านผู้นำมากด้วยโทสะ มิว่าใครก็ตามหากเอ่ยนามพระชายายูจินคนพวกนั้นจะถูกลงโทษ หรือหนักมากก็จะถูกประหารชีวิต
พระนางยูจินต้องทนทุกข์เศร้าโศกเพราะถูกใส่ร้าย ร่างกายถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวมิอาจหาอิสรภาพ ลูกน้อยในครรภ์ก็เป็นห่วงเหลือเกินเกรงว่าหากตนอ่อนแอเด็กผู้นี้จะไม่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้อีก
“ลูกแม่ แม่รักเจ้าเหลือเกิน เหตุใดพ่อของเจ้าจึงพระทัยร้ายต่อเราทั้งสองนัก”
ถ้อยคำต่อว่าและน้ำเสียงตัดพ้อ ร่ำไห้อยู่ทุกค่ำคืน สงสารแต่เพียงองครักษ์คนสนิทที่มิได้มีส่วนรู้เห็นอันใดแต่ต้องกลับถูกประหารเพียงเพราะความเข้าใจผิด
เมื่อวันสำเร็จโทษมาถึงองครักษ์คนสนิทถูกคุมตัวออกไป ร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ใบหน้าร่างกายก็เต็มไปด้วยรอยแผลชกรรจ์ พระนางยูจินขอสั่งลาเป็นครั้งสุดท้ายแม้หัวใจดวงนี้จะเจ็บปวดยิ่งนักก็ตาม
“ยูซอกเราขอโทษเพียงเพราะเราแท้ๆเจ้าจึงเจ็บปวดเช่นนี้ ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย”
“อย่าคุกเข่าเพื่อกระหม่อมพะย่ะค่ะพระชายา โปรดจงรักษาพระโอรสให้เติบโต กระหม่อมมิอาจปกป้องพระองค์ได้อีกแล้ว หากเมื่อกระหม่อมตายดวงใจดวงนี้ขอพระชายาจงโปรดเก็บรักษามันไว้ให้ดี”
กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินถูกเก็บอย่างดีในอกเสื้อเปรียบเสมือนดวงใจของผู้รักษา มือสั่นเทาส่งมันวางบนมือเจ้าหญิงพร้อมกับเอ่ยลาเป็นครั้งสุดท้าย
“กระหม่อมลาก่อนพะย่ะค่ะ”
“ยูซอก!!!!”
แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะถูกปลิดชีพให้สิ้นชีวีแล้วความคลางแคลงใจยังไม่จบสิ้น ความโกรธาเบาโมโหลงมากโขแล้ว พระราชาแห่งโฟรเซนการ์ดสั่งให้นำตัวพระมเหสีฝ่ายซ้ายกลับมาอยู่ในตำหนักเช่นเดิม วันเวลาที่ถูกกักขังช่างยาวนานเหลือเกิน กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกเก็บรักษาอย่างดี แม้บนตำหนักที่ถูกกักบริเวณอย่างเข้มงวดไม่ยอมให้คนรับใช้คนใดเข้ามาหายกเว้นเพียงนางในผู้รับใช้หนึ่งคนเท่านั้น
“ยุนอาข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
พระนางยูจินเฝ้ามองความเป็นไปของโลกภายนอกผ่านนางรับใช้คนสนิท ซึ่งตนได้แต่กักตัวอยู่ในหอคอยสูงมีเมฆหมอกคอยบดบัง ภาพเขียนเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้จิตใจห่อเหี่ยวดีขึ้นมาบ้าง
“โครนอสยกทัพเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที ฝ่าบาทจึงต้องวางกำลังอย่างเข้มแข็งหากเพลี่ยงพล้ำแล้วเราจะต้องเป็นเมืองขึ้นอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของนครโครนอสเพคะ”
“สงครามอีกแล้วรึ เหตุใดจึงมิจบมิสิ้น มันไม่เคยปราณีผู้ใด ชัยชนะที่ได้มาล้วนเกิดแก่ความสูญเสียทั้งสิ้น”
พระนางยูจินลูบท้องของตนเบาๆครานี้ทารกน้อยที่เติบโตในครรภ์มีอายุมากขึ้น สัมผัสจากพระมารดาแผ่วเบาตรงหน้าท้องทำให้ทารกน้อยตอบรับสัมผัสนั้นกลับมา
“เจ้าหิวแล้วหรือลูกรัก?”
สุ้มเสียงหวานเอ่ยถามลูกน้อยด้วยเมตตา สัมผัสแผ่วเบาที่คนเป็นแม่เท่านั้นจะรับรู้ถึงการตอบสนองนี้ พระพักตร์งดงามนั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“พระชายา”
“ยุนอาเมื่อครู่เจ้าเรียกเราหรือไม่?”
พระนางยูจินเอ่ยถามนางรับใช้ยุนอาที่กุลีกุจอยกสำรับเข้ามาในห้อง นางรับใช้ทำท่างงงวยและปฏิเสธในทันที
“พระชายา”
น้ำเสียงเช่นนี้คุ้นเคยเหลือเกินราวกับว่าอยู่ไม่เกินเอื้อม ดวงตากลมโตเหลียวมองรอบห้องหาต้นตอของเสียงแต่ช่างประหลาดนักราวกับเสียงนั้นเกิดขึ้นตรงหน้าและเงียบหายไป
“พระชายาทรงหาสิ่งใดหรือเพคะ”
“เราไม่แน่ใจหรือเราอาจจะหูฝาดไปเอง เราได้ยินใครบางคนเรียกเรา”
‘เรียก’เรียกอย่างนั้นหรือ พระนางยูจินวางด้ามพู่กันที่พึ่งจุ่มสีหมาดๆดวงตากลมมองกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน รูปสลักลายแปลกตาสวยงามเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ ราวกับมีแรงดึงดูดมากมายมหาศาลให้เร่งเปิดกล่องนั้นโดยไว ควันสีทึบกระจายตัวทั่วในห้องหับอันสวยงาม ปรากฏร่างองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์แม้จะสิ้นลมหายใจแต่ยังไม่หมดห่วง ดวงตาคมจ้องร่างงามเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“พระชายา กระหม่อมรู้ว่าสักวันพระองค์จะต้องเปิดมัน กระหม่อมถึงได้มอบดวงใจดวงนี้ของกระหม่อมไว้ให้พระองค์ดูแล หากยามใดพระองค์ทุกข์กระหม่อมจะช่วยดับทุกข์ให้พระองค์”
หญิงสาวอุทานเพียงแผ่วเบา ร่างที่ถูกเสกขึ้นด้วยมนตราส่งยิ้มเศร้าสร้อย
“แพนโดรานางจะช่วยเหลือพระองค์และพระโอรส ได้โปรดให้นางเป็นที่พึ่งของพระองค์คนสุดท้ายรองจากหม่อมฉัน”
ควันสีทึบกระจายตัวไปทั่วสุดท้ายเมื่อสลายหายไปก็กลับมาว่างปล่าวเช่นเดิม แต่ความลับย่อมไม่มีในโลกเมื่อถูกลอบมองและเห็นการกระทำทั้งหมดจากด้านนอก พระราชาแห่งโฟรเซนการ์ดทรงทราบว่าแม้ชู้รักของพระชายาจะสิ้นชีวีไปแล้วยังไม่หยุดสิ้นความอาลัยอาวรณ์ซ้ำยังสร้างรูปแปลงกายให้คิดถึงกันอีก พอราชาน้ำแข็งทราบเข้าความโกรธเคืองก็เพิ่มเป็นทวีคูณสั่งให้ทหารนำตัวพระชายาฝั่งซ้ายซึ่งบัดนี้ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทน
“ยูจินบัดนี้ชู้รักของเจ้าก็สิ้นชีวิตไปแล้วเหตุใดเจ้าจึงอาลัยอาวรณ์มันยิ่งนัก”
“ฮึก…หม่อมฉันจะเอ่ยอันใดได้เล่าพูดเช่นไรก็คงไม่เข้าใจ ในเมื่อพระองค์ยังเชื่อว่าหม่อมฉันคบชู้สู่ชาย”
“แล้วมันจริงหรือไม่แม้มันตายไปแล้วหัวใจเจ้ากลับภักดีกับมันยิ่งนัก”
“หามิได้เพคะ เขาเป็นสหายติดตามหม่อมฉันมาตั้งแต่เมืองก่อน บัดนี้เขาถูกใส่ร้ายและฆ่าไปต่อหน้าต่อตาแม้หม่อมฉันผู้เป็นเจ้าชีวิตของเขายังมิอาจช่วยเหลือเขาได้ พระองค์ผู้เจ้าของชีวิตของหม่อมฉันเหตุใดจึงมิฟังกันบ้างไม่รักหม่อมฉันแล้วหรืออย่างไร”
พระราชามองพระพักตร์ของพระมเหสี รักหรือทรงรักสุดหัวใจเหนือคณานับแต่จิตใจก็ยังมีข้อกังขามากมาย มเหสีผู้งดงามบัดนี้มีลูกของผู้ใดไม่รู้อยู่ในท้อง ทารกน้อยนั้นเกิดจากเขาหรือเกิดจากชู้รักกันแน่ ตามขนบประเพณีแล้วหากหญิงใดจิตใจไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีหญิงผู้นั้นจะถูกประหารไม่ให้มีชีวิตรอดเป็นตัวอย่างแก่ผู้ใดอีก
“เอานางไปขังซะ วันรุ่งเราจะสำเร็จโทษแก่นาง”
“พระองค์ไม่เพคะ ได้โปรด ลูกของหม่อมฉันเป็นลูกของพระองค์ได้โปรดให้เขาเกิดมาเพคะ ได้โปรด”
เสียงร่ำไห้อันเป็นที่น่าเวทนาแม้นางรับใช้ที่เคยใกล้ชิดก็อดสงสารร่ำไห้ตามนายของตนไม่ได้ แต่ใครเล่าจะเปลี่ยนพระประสงค์ขององค์ราชาได้ คำอ้อนวอนถูกเมินเฉย ดวงตาที่จดจ้องกลับมานั้นช่างเย็นชา ยามเมื่อรักก็รักจนไม่ลืมหูลืมตาหากได้เกลียดแล้วก็ช่างต่างจากตอนรักนัก พระนางยูจินมิอาจห้ามหัวใจให้เจ็บไปกว่านี้แล้ว พระพักตร์เฉยชาและเฉยเมยเช่นนี้สู้ให้ใช้ด้ามดาบคมกริบปลิดชีวีกันเสียตรงนี้เสียยังดีกว่า
“หม่อมฉันมิได้คบชู้สู่ชายดังที่ถูกกล่าวหา เหตุใดพระองค์จึงฟังความข้างเดียวไม่ฟังหม่อมฉัน”
“หากไม่มีมูลมันผู้ใดจะกล้าใส่ร้ายเจ้า” พระราชาเบือนหน้าหนีไม่อยากมองใบหน้าเศร้าสร้อยทั้งใจยังผูกพันธ์และรักใคร่แต่โทษครั้งนี้ก็เกินให้อภัย ร่างงามถูกส่งกลับมาคุมขังในห้องบนหอคอยอีกครั้ง ภาพวาดสีน้ำผืนเดียวและผืนสุดท้ายจึงถูกแต่งเติมให้เสร็จ ยุนอาเป็นข้ารับใช้เก่าแก่ทั้งยังสงสารพระมเหสีฝ่ายซ้ายสุดหัวใจ
“พระชายาเพคะ พระองค์จะต้องหนีไปในคืนนี้”
มือที่จับปลายพู่กันชะงักอีกครั้ง “พระองค์จะต้องไปจากปราสาทแห่งนี้ หม่อมฉันจะช่วยพระองค์เพคะ”
ยุนอาก้มลงเอาศรีษะแนบกับฝ่าเท้าของพระชายา ความรักล้นเหลืออย่างที่บ่าวจะมีให้นายสุดรักนั้นมากยิ่งกว่าสิ่งใด มิอาจทนดูได้หากพระชายาจะถูกประหารพร้อมพระโอรส ไม่ว่าหลังจากนี้แผนการจะดำเนินไปเช่นไร หากถูกจับได้ยุนอาเองก็มีโทษถึงประหารชีวิตอย่างนี้ก็จะไม่เสียใจ
“แต่เจ้าจะต้องถูกลงโทษเมื่อฝ่าบาทรู้เข้า”
“หม่อมฉันไม่เสียดายชีวิตเพคะขอเพียงพระชายาของหม่อมฉันปลอดภัย”
“เรา……”
“ไม่มีเวลาแล้วเพคะ ได้โปรดตัดสินพระทัย หม่อมฉันจะไปเตรียมข้าวของไว้สำหรับเดินทางเพคะ”
“ยุนอา หนทางข้างหน้าอันตรายนัก เราไม่อยากให้เจ้าไปกับเรา ในเมื่อเสด็จพี่ปักใจเชื่อว่าเราทำผิดเราจะไปเอง”
“โธ่พระชายา เวรกรรมอันใดกันเหตุใดฟ้าดินจึงไม่เมตตาพระชายาของหม่อมฉัน”
“เราและลูกของเราจะปลอดภัย แพนโดราจะคุ้มครองเราเจ้าจงเบาใจเถิดหากยังไม่ตายเสียก่อนเราจะกลับมาพบกันใหม่”
สองนายบ่าวกอดกันร่ำไห้ ไม่อาจรู้ได้ว่าการจากลาครั้งนี้จะเป็นพบกันครั้งสุดท้าย พระมเหสีผู้งดงามลอบออกมาทางหลังวังโดยการช่วยเหลือจากเวทมนต์ของนางรับใช้ยุนอา คืนนั้นหิมะหนากว่าทุกวันและพื้นดินขาวโพลนนั้นมีหิมะท่วมสูงทำให้การเดินท้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยุนอาพาพระชายาข้ามผ่านเขตราชวังรโหฐานมาไกลจากสายตาชาวโฟรเซนการ์ด ปากถ้ำใหญ่ซึ่งด้านในเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี แม้อยากจะเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ไม่อยากห่างกายไปที่ใดแต่พระชายาผู้งดงามกลับห้ามไว้ พระชายาผู้งดงามเอ่ยลาแต่เพียงเท่านี้ ยุนอายืนมองจนพระชายาหายลับเข้าไปในถ้ำภาวนาให้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงจวบจนให้กำเนิดพระโอรสน้อย ยุนอาร่ายมนต์รอบๆปากถ้ำเพื่อให้เจ้านายของตนปลอดภัย
“ลาก่อนเพคะ พระชายาของหม่อมฉัน”
“เดี๋ยว!....อย่าพึ่งไป ยุนอา เดี๋ยว!”
เสียงร้องห้ามดังขึ้นเมื่อร่างของนางรับใช้ยุนอากำลังจากไป ร่างกายผอมบางพยายามเดินฝ่าพายุหิมะหนาวเย็นตามทางที่นางรับใช้เดินจากมาเมื่อครู่สุดท้ายยุนอาก็หายไป แพนโดรามีสีหน้างงงวยยิ่งหักเมื่อสักครู่ยังนอนอยู่บนเตียงในห้องหับรโหฐานถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของพระสวามี แต่บัดนี้ห้องหับนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นดินแดนเกิดที่มีแต่ความหนาวเย็นและสีขาวจากผืนน้ำแข็ง อุโมงค์ถ้ำที่หญิงสาวท้องโตเดินเข้าไปเมื่อครู่สร้างความอยากรู้อยากเห็นจนต้องลอบตามเข้าไป
หญิงสาวผู้นั้นทรุดตัวลงกับพื้นฝ่ามือทั้งสองข้างโอบอุ้มท้องของตัวเองเอาไว้ ดวงตากลมโตนั้นสวยงามแต่ก็ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน แทมินพยายามจะเข้าไปใกล้ร่างงามนั้นอีกนิดเดียวแต่ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ภาพตรงหน้าก็เลือนลางหมอกควันสีจางล่องลอยไปทั่วบริเวณและเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มแบบเดียวกับที่พระราชาแห่งแสงประทานให้อยู่ในมือหญิงสาวผู้นั้นและฝ่ามือบางนั้นกำลังจะเปิดมัน
“เดี๋ยว!”
เสียงหวานร้องเรียก ร่างของหญิงสาวผู้นั้นหันมาหาแทมินช้าๆ ขณะเดียวกันเมฆหมอกหนาทึบก็กระจายตัวจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากรอยยิ้มตรึงตราที่แทมินจำได้ดี
“เสด็จแม่”
ภาพเขียนของรูปหญิงสาวผู้ให้กำเนิดดวงใจแห่งเมืองหิมะ เป็นคนเดียวกับพระมารดาผู้งดงาม ฝ่ามือบางพยายามไขว่คว้าภาพของพระมารดาสุดท้ายทุกอย่างก็สลายหายไป เมื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงแพนโดราผู้โฉมงามนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายแห่งโครนอสเสียงลมหายใจสม่ำเสมอและอ้อมกอดที่กระชับแน่นทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด กายบางซุกเข้าหาอกอุ่นและกดจูบลงบนแผ่นอกเปลือยของเจ้าชายมินโฮแผ่วเบา
“ยังไม่บรรทมหรือเจ้าหญิง?”
ร่างแกร่งที่ถูกเข้าใจว่านิทราแต่แรกนั้นกลับลืมตาคมขึ้นมาในความมืด แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางบานหน้าต่างทำให้เห็นใบหน้างดงามของเจ้าหญิงน้อย และก็ต้องลอบยิ้มเมื่อการกระทำแสนน่ารักนั้นยังติตรึงอยู่บนหน้าอกด้านซ้าย
“พระองค์ยังไม่หลับหรือเพคะ”
“หากเราหลับจะเห็นเจ้าทำกับเราเช่นนี้รึ?”
“หามิได้เพคะ”
เจ้าหญิงน้อยผู้งดงามใบหน้าหวานนั้นแดงด้วยสีธรรมชาติและร่างกายที่ถูกกอดนั้นร้อนราวกับถูกไฟสุม หัวใจก็เต้นโครมครามบังคับอย่างไรก็ไม่เป็นตัวของตัวเองแม้จะถูกเจ้าชายหนุ่มจดจ้องอย่างไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่เกิดความเคยชินเสียที
“เป็นอันใดรึทำไมจึงตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนี้”
“หม่อมฉันฝันประหลาดเพคะ”
“ฝันสิ่งใดหรือเมียข้า”
“หม่อมฉันฝันเห็นเสด็จแม่เพคะ แต่ในฝันหม่อมฉันไม่สามารถจับต้องเสด็จแม่ได้เพคะ”
ชเวมินโฮส่งยิ้มด้วยความเอ็นดู ฝ่ามืออุ่นลูบหัวเมียตัวน้อยปลอบด้วยความรัก
“ฝันถึงพระมารดาเช่นนี้มิใช่เมียเราจะตั้งท้องหรอกรึ?”
“พระองค์”
“อย่ากังวลไปเลยเจ้าหญิงหลับเสียเถิด”
เจ้าหญิงน้อยที่ยังมีความกังวลใจและปิดบังเรื่องกล่องแห่งความลับ เสียงประหลาดที่ดังออกมาจากในนั้นพยายามร้องเรียกให้เจ้าหญิงน้อยเปิดมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเป็นสิ่งของเพียงชิ้นเดียวที่พระบิดามอบให้จากโฟรเซนการ์ด
ยามรุ่งเช่นนี้แสงแดดอ่อนๆสาดส่องเข้ามาจนเกิดประกายสีทองโอบล้อมร่างของเจ้าหญิงน้อยที่กำลังบรรทมเปรียบเสมือนนางฟ้านางสวรรค์ บัดนี้ชายหนุ่มข้างกายที่ตระกองกอดมาทั้งคืนจวบจนรุ่งสางไม่อยู่เสียแล้ว เมื่อดวงตากลมค่อยๆปรับชินกับแสงสว่างความน้อยใจก็เข้ามาแทนที่ไออุ่นที่ยังโอบล้อมร่างกายยังไม่จางหายไปไหน เจ้าชายหนุ่มหายไปเช่นนี้คงไม่พ้นตำหนักตะวันตกแม้ทำใจยอมรับที่เจ้าหญิงแอนโดรเมดราทรงพระครรภ์แต่อย่างไรหัวใจที่เต้นรุนแรงอยู่ในอกด้านซ้ายนี้ก็ไม่ยอมชินชาเข้าเสียที
“เจ้าหญิงน้อยของซอนมีตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
ซอนมียกถาดอาหารเข้ามาด้านในเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มสดใสและแววตาซุกซนนั้นทำท่าจะเอ่ยแซวเจ้าหญิงน้อยอีกหน
“เขาไปแล้วหรือ?”
“เจ้าชายเสด็จออกไปก่อนหน้านี้แล้วเพคะ เจ้าหญิงตำหนักนั้นทรงพระประชวรเพคะ หม่อมฉันว่าคง….”
“เจ้าหัดเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เจ้าหญิงน้อยเอ่ยท้วงเมื่อรู้ว่าคนของตนกำลังจะชวนนินทาว่ากล่าวตำหนักทางตะวันตก
“โธ่เจ้าหญิงน้อยของหม่อมฉัน ซอนมีก็เอ่ยไปตามที่เห็นนะเพคะ อย่างไรเสียเจ้าชายมินโฮก็ทรงเอ็นดูพระชายาของหม่อมฉันมากกว่าเสียอีก”
“เช่นนี้รึเรียกว่าเอ็นดู”
เจ้าหญิงน้อยยิ้มแต่เพียงเบาบาง ความน้อยเนื้อต่ำใจกับเจ้าชายรูปงามที่ปฏิบัติกับตนนี้ไม่ต่างจากตำหนักสนมเรือนน้อยเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าชายหลบหลีกบ้านใหญ่และมาร่วมหลับนอนด้วย ร่างงามเดินเข้าไปในห้องสรงทั้งที่ร่างกายผอมบางยังปวดอยู่ไม่น้อย ขาเรียวงามก้าวลงในอ่างไม้อย่างเคยชินปล่อยให้ความอบอุ่นของสายน้ำค่อยๆชโลมความเมื่อยล้าไปจนหมดสิ้น
“เส้นพระเกศาของเจ้าหญิงน้อยงามกว่าผู้ใดในโครนอสเลยเพคะ เสียดายที่พระชายาปลิดทิ้งเสีย”
“จะอย่างไรก็เถอะมันไม่สำคัญกับเราแล้ว มีไว้ก็เท่านั้น”
“โธ่พระชายาของหม่อมฉันทรงทุกข์ร้อนอีกแล้วหรือเพคะ”
ผิวกายขาวผ่องถูกขัดถูอย่างแผ่วเบา เส้นเกศาสั้นกุดถูกชโลมด้วยความหอมจากน้ำมันอย่างดี แม้เส้นผมยาวสลวยถูกตัดออกแล้วก็ไม่สามารถลดความน่ารักและสวยงามของร่างกายและใบหน้าอันสวยงามนี้ได้เลย
เมื่อนายทุกข์บ่าวก็ทุกข์ตามไปด้วย รอยยิ้มของเจ้าหญิงน้อยราวกับช่วยเยียวยาทุกสรรพสิ่งบนโลกเมื่อรอยยิ้มหวานถูกความโศกเศร้าคืบคลานมาแทนทีแม้กระทั่งเสียงนกร้องยังไม่มีให้ได้ยินในยามเช้า ผ้าผลัดวันนี้เจ้าหญิงน้อยก็ยังเลือกใส่ดังเช่นบุรุษเช่นเคย
“เจ้าหญิง”
“ท่านพี่อี้ฟาน”
เมื่อบุรุษหนุ่มปรากฏตรงหน้ารอยยิ้มที่หายไปกลับมาเริ่มสดใสดังเดิม อี้ฟานมองเจ้าหญิงน้อยและส่งยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน เจ้าหญิงน้อยผู้ดื้อรั้นไม่อยากใส่ชุดเจ้าหญิงเพราะตนเองเป็นเจ้าชายบัดนี้ความทรงจำเมื่อสมัยก่อนกลับมาชัดเจนเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าอีกครั้ง
“เหตุใดจึงไม่เสวยอาหารปล่อยไว้จะเย็นชืดเสียหมดและจะมีรสชาติดีได้อย่างไร”
“ข้ายังไม่หิวเจ้าคะ”
เจ้าหญิงน้อยออดอ้อนเช่นเคยและเรียกชายหนุ่มให้มานั่งด้วยกันบนแท่นประทับ อี้ฟานทำได้เพียงส่ายศรีษะไปมาเขาเป็นข้ารับใช้ไม่ใช่นายจะทำตนเทียมเสมอเจ้าหญิงได้อย่างไร
“ท่านพี่รังเกียจข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“พี่ไม่ได้รังเกียจเจ้า หากจะทำดังเช่นก่อนมิได้อีกต่อไป เจ้าเป็นถึงพระชายาของเจ้าชายแห่งโครนอสคงไม่ดีกระมังหากพี่จะเข้าใกล้ในตอนนี้”
เจ้าหญิงน้อยผู้เข้าใจยากเหลือเกินในครานี้ยอมละทิ้งอาหารเช้าแม้ซอนมีจะท้วงติงอย่างไรเจ้าหญิงน้อยก็ไม่หันกลับมาเสียแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะพาท่านพี่ไปดูอะไรเจ้าคะ”
มือบางดึงแขนให้ร่างใหญ่เร่งติดตามมา ตั้งใจจะพาอี้ฟานไปดูม้าเปกาซัสด้วยตนเองและเจ้าหญิงน้อยรู้ว่าพวกม้าเหล่านั้นอยู่ที่ใด
“เจ้าเร่งรีบไปเช่นนี้หากหกล้มเจ็บกายไปพี่จะทำอย่างไร”
“ข้าไม่เคยกังวลเรื่องนี้เพราะข้ารู้ว่าท่านพี่จะไม่มีวันปล่อยให้ข้าเจ็บอีก”
“วาจาเจ้าร้ายนัก จะกี่ปีผ่านไปก็ยังไม่โตเสียทีเจ้าหญิง”
แพนโดราส่งยิ้มกลับมาให้อย่างเคย เสียงกระพือปีกดังพึ่บพับและเบื้องหน้าก็คือฝูงม้ามีปีก ดวงตาคมกำลังจดจ้องด้วยความสนใจแต่เจ้าหญิงน้อยกลับพยายามดึงแขนเขาเข้าไปดูใกล้ๆด้วยกัน ม้าพวกนั้นตัวโตหลายเท่านักเจ้าหญิงน้อยไม่ใช่โครนอสแต่กำเนิดหากเจ้าม้าพวกนี้ได้กลิ่นของผู้บุกรุกอาจจะหันกลับมาทำร้ายเอาได้ เพราะเช่นนั้นอี้ฟานจึงดึงแขนของเจ้าหญิงน้อยเอาไว้มิให้ดื้อรั้นอีกต่อไป
“ท่านพี่จับข้าไว้ทำไมเจ้าคะ”
ดวงตากลมไร้เดียงสาหันกลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ม้าพวกนี้ไม่มีคนดูแลทั้งยังมิใช่ม้าเลี้ยงเจ้าจะเข้าไปใกล้ได้อย่างไร”
“ข้าคุ้นเคยกับนางเจ้าคะ เจ้าม้าสีขาวตนนั้นชื่อนาบีเป็นม้าของคิมคิบอมเจ้าคะ นางใจดีข้าเคยป้อนข้าวโพดให้นาง”
ยามรุ่งอรุณเช่นนี้ยังไม่มีวี่แววของจินกิและคิบอมซึ่งปกติแล้วจะต้องมาดูม้าเหล่านี้ อี้ฟานรู้ดีว่าม้าเหล่านี้มีไว้เพื่อเป็นยานพาหนะและม้าเหล่านี้ก็ช่างภักดีต่อเจ้าของหากมิใช่เจ้าของแล้วจะต้องถูกทำร้ายให้บาดเจ็บอย่างแน่นอน และการดึงแขนเจ้าหญิงน้อยไว้เช่นนี้ก็เพื่อตัวแทมินเอง เจ้าม้าสีดำมีตัวใหญ่เดินเยื้องย่างราวกับนางพญาปีกสีดำปีกกางกระพือจนลมระรอกใหญ่พัดผ่านให้ความรู้สึกสดชื่น และท่าทีโอหังของเจ้าม้านั้นแม้ดูปราดเดียวก็พอรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
“เจ้าหญิงถอยห่างมาหน่อยได้หรือไม่”
“ได้เจ้าคะ”
แทมินยอมถอยตามที่อี้ฟานบอกแต่โดยดี
“เจ้าแอบหนีมาที่นี่ประจำหรือไม่?”
“ปล่าวเจ้าคะ ข้ามาครั้งที่สอง”
อี้ฟานหรี่ตาลงพร้อมจับผิดครั้งแรกที่มาที่นี่และแอบหนีไปเที่ยวเล่นกับองครักษ์คนสนิทของมินโฮจนถูกพิษไซเรนเล่นงานเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้ก็ยังดื้อดึงเข้ามาใกล้ฝูงม้าโดยไม่มีผู้ดูแลหากเขาไม่อยู่ด้วยร่างเล็กนี้อาจจะบาดเจ็บเอาได้
“งั้นนั่งลงเถิดมาฟังเสียงเพลงพี่จะเป่าขลุ่ยให้เจ้าฟัง”
เจ้าหญิงน้อยยอมนั่งแต่โดยดี อี้ฟานนั้นขึ้นชื่อว่าเล่นดนตรีได้ไพเราะเสนาะหูนัก ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องเวทมนตร์และพลังเวทต่างจากแทมินที่ไม่มีพรสวรรค์เอาซะเลย แม้คาถาง่ายๆยังทำพลาดพลั้งมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เสียงขลุ่ยแห่งสายลมเมืองหนาวค่อยๆดังขึ้นแม้ฝูงม้าที่กำลังเดินเยื้องย่างยังต้องหยุดชะงักรอฟังเสียงเพลงประหลาดนี้
หิมะจำนวนหนึ่งค่อยๆโปรยหล่นจากฟากฟ้าปะทะผิวขาวนิ่ม ร่างบางยิ้มปลื้มด้วยความดีใจความเย็นที่คุ้นเคยนี้ราวกับอยู่ในบ้านเมืองเกิดของตนเอง ดวงตากลมเฝ้ามองเกล็ดหิมะที่หล่นจากฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า พลันหัวใจดวงน้อยก็หวนคิดถึงบ้านเกิด คิดถึงปราสาทคิดถึงสีขาวของหิมะคิดถึงเสด็จพ่อและเสด็จแม่ใหญ่
“เจ้าร้องไห้เช่นนี้คิดถึงบ้านรึ?”
“เจ้าคะ”
ความอ่อนโยนจากนิ้วมือของอี้ฟานค่อยๆเกลี่ยน้ำตาจากใบหน้าหวานจนหมด รอยยิ้มอบอุ่นทำให้หัวใจดวงน้อยบอบช้ำจากเจ้าชายรูปงามค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ หากหัวใจแข็งแกร่งและเย็นชาดังแต่ก่อนก็ไม่อยากพ่ายแพ้ให้เจ้าชายมินโฮเลยสักนิด และหากเกลียดดังเช่นแต่ก่อนจะไม่มีวันเพลี่ยงพล้ำให้ได้เจ็บเช่นนี้หรอก
“ท่านพี่ข้าเจ็บเหลือเกินเจ้าคะ”ในที่สุดแพนโดราโฉมงามก็เอื้อนเอ่ยสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจ
“เจ้าหญิงหัวใจของเจ้าให้เขาไปหมดสิ้นแล้วใช่หรือไม่”
เจ้าหญิงน้อยพยักหน้าและกรรแสงร่ำไห้อย่างที่ทำให้หัวใจของผู้เฝ้ามองเจ็บปวดยิ่งนัก หากได้เกิดมาคู่กันและอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์เทียมกันคงไม่ปล่อยดวงใจดวงนี้ให้ผู้ใดเป็นแน่
“ข้าไม่ปฏิเสธเจ้าคะ ข้ารักเขาเหลือเกินจนหัวใจของข้าเจ็บไปหมดแล้ว”
“หากเจ้าเจ็บมากนัก พี่จะพาเจ้าไปจากที่นี่เจ้าจะไปกับพี่หรือไม่”
“ท่านพี่อี้ฟาน”
ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยสิ่งนี้กับเจ้าหญิงน้อยแม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตาม โครนอสจะประกาศสงครามกับโฟรเซนการ์ดเมื่อเจ้าหญิงน้อยหายตัวไปสุดท้ายบ้านเกิดเมืองนอนจะลุกเป็นไฟ
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้เจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้วโฟรเซนการ์ดของเราจะต้องแพ้สงครามและถูกโจมตีจนย่อยยับ”
หัวใจเมืองน้ำแข็งคร่ำครวญ เพราะเป็นเครื่องบรรณาการแก่เมืองที่แข็งแกร่งกว่า เกิดมาเป็นชายแต่ไม่สามารถช่วยพระบิดาทำศึก ข้อตกลงที่โครนอสยอมสงบศึกนั่นคือต้องให้เจ้าหญิงน้ำแข็งอภิเษกสมรสกับเจ้าชายแห่งโครนอสแต่หากละทิ้งหน้าที่นี้ไปผู้อยู่ข้างหลังจะต้องเดือดร้อนแม้อยากจะเห็นแก่ตัวและหลบหลีกจากความเจ็บปวดนี้เสียทีแต่ก็มิอาจทำได้
“เพลานี้ศึกบ้านเมืองช่างใหญ่หวงนักนี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะทำเพื่อพระบิดาได้”
เพลานี้พระวรกายของเจ้าหญิงน้อยช่างดูไม่แข็งแรงเอาเสียเลย ใบหน้าหวานที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักนั้นซูบซีดเสียจนผิวขาวหิมะนั้นซูบลงกว่าเก่า หากไม่ได้กำลังจากอี้ฟานประคองให้ลุกขึ้นร่างผอมบางนี้ก็มิอาจยืนเองได้
“เจ้าหญิง!”
อี้ฟานเอ่ยเรียกเมื่อเจ้าหญิงน้อยหมดสติในอ้อมกอด เขาจับชีพจรตามที่ได้ร่ำเรียนมา และเหตุผลที่ทำให้อี้ฟานต้องเบิกตากว้างนั้นนอกจากชีพจรข้างซ้ายนั้นเต้นแรงผิดปกติ รวมทั้งอาการของเจ้าหญิงน้อยก็คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นสิ่งใดไปได้นอกจากพระชายาทรงพระครรภ์
………………………………………………………………………………………………………………………
ความคิดเห็น