ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The End Of The World

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำแห่งหายนะ(100เปอร์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 31
      0
      1 มิ.ย. 55

    บทนำแห่งหายนะ

                  เสียงพยากรณ์รายงานสภาพความเป็นไปของสภาพอากาศออกจากโทรทัศน์ที่คนดูซึ่งเป็นเด็กสาวผู้มีผิวซีดขาว ใบหน้าเฉื่อยชา และแววตาเหม่อลอยไม่ได้สนใจเท่าไรนักเพราะตอนนี้ดวงตาสีดำสนิทดุจรัตติกาลคู่นั้นกำลังมองท้องฟ้าซึ่งมีสีดำทะมึนของเมฆที่ดูราวคล้ายกับเมฆฝนปกคลุมเต็มท้องฟ้า แต่ในโทรทัศน์กลับประกาศออกมาได้ราวกับอยู่คนละโลกว่า...

                 [วันนี้สภาพอากาศภายนอกแจ่มใส...และมีแดดค่อนข้างแรงในตอนสาย]...

                  ...สถานีลวงโลกชัดๆ!!...

                  และแล้วเด็กสาวก็ทนต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นปิดโทรทัศน์ทันที พลางอ้าปากหาวหวอดๆ ต่อด้วยบิดขี้เกียจ ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็ปรากฏออกจะเด่นชัดขนาดนี้แล้ว รัฐบาลจะปิดบังประชาชนทำไมก็ไม่รู้ คิดว่าคนไม่มีตา ไม่มีสมองหรืออย่างไรกัน คิดว่าคนทั่วไปจะเชื่อตามคำพูด คำแถลงการ คำพยากรณ์อากาศโง่ๆ ที่พิมพ์ออกมาให้เปลืองหมึกหรืออย่างไรกันนะ เด็กสาวเสยผมสีดำสนิท ยาวประบ่าที่ปล่อยสยายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่เลยจริงๆว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ และเมฆนี่มีมานานเท่าไหร่แล้วนะ  แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราไม่เห็นแสงแดด

                  "จะไม่เอาร่มไปหน่อยหรือคุณ...เมฆยังก่อตัวอยู่เลยนะเหมือนฝนจะตก"เสียงของผู้หญิงข้างบ้านที่เดินมาส่งสามีนอกประตูบ้านดังมากระทบโสตประสาทที่ว่างเปล่าของเธอ...คนๆนี้ฉลาด เด็กสาวประเมินในใจ

                  "เขาบอกอากาศแจ่มใส"เสียงสามีของเจ้าหล่อน เท่านั้นเองเธอก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะเจ้าหล่อนไปคว้าผู้ชายสมองนิ่มหูเบามาเป็นสามี

                  "น้ำชาลูก...เปิดโทรทัศน์ให้แม่หน่อยสิจ๊ะ...แม่จะดูข่าว"แม่ของเด็กสาวตะโกน ออกมาจากในครัว ทำเอาเด็กสาวถอนหายใจพลางกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายเป็นที่สุด ไม่เข้าใจจริงๆพวกผู้ใหญ่

                 "แถลงการณ์ลวงโลกน่ะหรือคะ"เธอถามเรียบๆด้วยสีหน้าเบื่อโลกเต็มกลืน ไหนๆก็เหมือนกับโลกนี้จะแตกสลายอยู่แล้ว ขอเธอเบื่อมันสักหน่อยก่อนมันจะแตกก็แล้วกันคงไม่เสียหายอะไรมากมาย

                 "ไม่เอาสิลูก...เราต้องรับฟังข่าวจะโลกภายนอกบ้างนะลูก"ผู้เป็นแม่เอ่ยตำหนิเมื่อได้ยินลูกสาวพูดคำพูดที่เหมือนกับมองโลกในแง่ร้ายแบบสุดๆ

                 "ดูเอาจากความจริงไม่ดีกว่าหรือคะ"เด็กสาวเจ้าของนามน้ำชา ไปเปิดผ้าม่านสีทึบให้อ้าออกมากกว่าเดิมพบเพียงความมืดสลัวของภายนอกที่แทบไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องลงมากระทบพื้น เหมือนกับสถานการณ์ตอนนี้ที่ต้องการจะปิดบังความจริงไม่ให้เล็ดรอดออกมาทั้งๆที่มันก็เห็นอยู่ตำตา ความจริงมันไม่ใช่แทบจะไม่ กล่าวคือมันไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงมาเลยต่างหาก...

                  ...ตั้งนานแล้ว...

                  ...นานจนลืมเลือนว่าเคยเห็นแสงแดดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่...

                  ไม่ได้เห็นแสงแดดตั้งนานแล้ว แต่เหล่ามนุษย์ก็ยังคงเฝ้าหลอกตัวเองอยู่ทุกคืนวันว่าโลกนี้ยังไม่เป็นอะไร ไม่มีสิ่งใดเกินขึ้นทั้งนั้น ทำทุกอย่างเหมือนชีวิตเป็นปกติทุกอย่างทั้งๆที่ความจริงที่ปรากฏอยู่นั้น...

                   ...มันตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง....

                   "เสาร์-อาทิตย์ไปเที่ยวกันไหมลูก?"ผู้เป็นแม่เอ่ยชวนเด็กสาวที่ยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำชาหัยกลับมาหาผู้เป็นแม่พลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลอกตามองสภาพอากาศภายนอกสลับ
    ไปมาอยู่ครู่หนึ่งกับครัวบ้านที่ผู้เป็นแม่ยังคงอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ หากอยู่กับแม่บ่อยๆเธอต้องถอนหายใจจนอากาศหมดปอดก่อนเป็นแน่เลยทีเดียว

                   "เป็นแบบนี้แล้วยังมีอารมณ์ไปเที่ยวอีกหรือ?"เด็กสาวเอ่ยเบาๆเป็นเชิงบ่นไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน "ตามใจแม่เถอะค่ะ"เธอไม่มีความคิดเห็นอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะมันดูไร้สาระมากในสายตาเธอตอนนี้

                  "โอเค...อาทิตย์นี้แม่จะพาลูกไปเปิดหูเปิดตาเพื่อที่ลูกจะได้ไม่จมปลักอยู่กับการมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้"และแล้วเด็กสาวก็ต้องถอนหายใจเป็นรอบที่สามของวัน กับคำพูดของแม่ของตัวเอง ว่าเหตุใด ทำไมถึงมัวแต่ฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด ไม่ได้มองถึงความเป็นจริงตรงหน้าและหายนะอันดำมืดที่จ่อรอและแผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าภายนอกบ้างเลย เธอไม่เข้าใจการกระทำของมนุษย์จริงๆ เพราะไม่ใช่แค่ประเทศที่เธออยู่ประเทศเดียวที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ทั่วโลกเองต่างก็ประสบปัญหาเดียวกันและประชุมร่วมกันอยู่ว่าควรจะทำเช่นไรกับกลุ่มเมฆกลุ่มนี้ดี

                แต่เธอว่าแก้ปัญหาตอนนี้คงจะสายไปแล้ว นี่คงเป็นผลกระทบจากพวกมลพิษมากกว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างเมฆฝน

                "ไปไหนดี...ไปห้างก็แล้วกันลูกไม่ได้เลือกซื้อเสื้อผ้ามานานแล้ว"ผู้เป็นแม่นั้นโผล่ออกมามองการแต่งตัวของลูกที่เป็นเสื้อยืดเก่าๆสีหม่นที่แถมมากัยกางเกงเจเจที่เชือกผูกเอวได้อันตธานหายไปไหนก็ไม่รู้ และผมเผ้าก็ไม่ผูกให้เรียบร้อยอีกต่างหากทั้งๆที่ผมของเธอก็ออกจะดูสวยแท้ๆ ทำให้เธอลองก้มมองตัวเองดูบ้าง...แต่งแบบนี้แล้วมันทำไมหรือ? ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้เลือกซื้อเสื้อผ้าเองเลยส่วนมากมันจะเป็รแม่เลือกให้มากกว่า เพราะเวลาเธอเลือกอะไรแม่ของเธอมักจะบอกว่าไม่เหมาะกับเธอ จากนั้นผู้เป็นแม่ก็จัดแจงให้เสร็จสรรพ

                 แล้วสุดท้ายก็ชอบมาถามเธอว่าเมื่อไหร่จะคิดเองได้ เมื่อไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่เสียที นั่นแหละที่ทำให้เธอต้องถอนหายใจอยู่เรื่อยและพูดปัดเรื่องนี้เพราะอย่างไรก็ตามแม่ก็ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าลูกสาวคนนี้อยากโต และอยากคิดเองมากแค่ไหร่ แต่ใครก็ไม่รู้ขัดตลอด พอแต่งตัวออกมาแล้วก็บอกว่าเธอแต่งตัวเหมือนเด็กๆแล้วใครกันเล่าเลือกเสื้อผ้าให้เธอกันน่ะ...คงทำได้แค่พูดในใจ ไม่เคยโกรธ ไม่เคยคิดจะเถียง ปล่อยไปเลยตามเลยแบบนี้ก็แล้วกัน

                 "แล้วแต่เถอะค่ะ"อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปขัดใจอะไรแม่อยู่แล้วนี่นา เธอพูดอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นยังคงไม่ละสายตาไปจากข้างนอก ก่อนจะขยับแว่นเหลี่ยมกรอบบางซึ่งขอบด้านนอกเป็นสีดำสนิทส่วนขอบด้านในเป็นสีเขียวสด ที่ดูจะตามสมัยของวัยรุ่นที่สุดแล้ว แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งได้เกิดขึ้นข้างนอกเป็นเหตุการณ์ที่เด็กสาวมั่นใจว่าไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในชีวิต รวมถึงตัวเธอเองในตอนนี้อีกด้วย

                 "น้ำ...ชา...น้ำชา...น้ำชา!!"แม่เรียกลูกสาวเสียงดังลั่นแถมเขย่าตัวแรงๆอีกต่างหากเพื่อเรียกสติลูกสาวที่เหมือนจะกระเด็นหลุดออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้

                "คะ!!..."เด็กสาวหันมาหน้าตาตื่น หอบหายใจแรง เหงื่อเม็ดโป้งผุดพราวขึ้นมาเต็มใบหน้าของเด็กสาว ใบหน้าที่ดูซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งซีดขาวมากขึ้นไปอีก ราวกับเธอเพิ่งหลุดออกมาจากห้วงภวังค์ของฝันอันโหดร้าย

                 "เป็นอะไรไปลูก...เหงื่อแตกเชียว"ผู้เป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วงและเอื้อมมือมาเช็ดเหงื่อเย็นๆที่ไหลอาบใบหน้าของเธอ แต่งเธอก็ไม่สนใจ เด็กสาวรีบหันกลับไปพร้อมๆกับกระชากผ้าม่านให้เปิดกว้างที่สุด เบิกตาให้กว้างเพื่อมองหาสิ่งที่เธอมองเห็นเมื่อสักครู่ท่ามกลางความมืดมิดและแสงสลัวของนีออนริมถนน...

                  ...แต่ก็ไม่พบสิ่งใด...

                  "ไม่มี...ไม่มี...มันหายไปไหน"เธอพบเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า แต่เธอมั่นใจว่า เธอไม่ได้ตาฝาด เมื่อสักครู่นั้นเธอเห็นจริงๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเอามือเกาะกระจกหน้าต่าง เพ่งมองราวกับว่ามันจะปรากฏให้เธอได้เห็นอีกครั้งหากเธอทำแบบนี้ เล็บของเธอจิกกระจกอย่างเจ็บใจ

                 "เป็นอะไรไปลูก"น้ำเสียงของผู้เป็นแม่ยิ่งทวีความเป็นห่วงเมื่อเห็นอาการของลูกสาว มือของผู้เป็นแม่ยื่นมาแตะบ่าของลูกจากทางด้านหลังทั้งๆที่ยังเปียกจากการล้างจานในครัว เด็กสาวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ริมฝีปากของเธอนั้นสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวพร้อมๆกับบ่นพึมพำออกมาว่า

                  "มือ...มือสีดำ"อย่างแผ่วเบา

                  "นี่ลูกอ่านนิยายมากเกินไปหรือเปล่า"แม่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน ลูกสาวของเธอชักจะเพ้อเจ้อและมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปใหญ่แล้ว

                   "หนูเห็นจริงๆนะแม่!!"เด็กสาวโวยวายเสียงดังลั่น เพราะแม่ของเธอทำหน้าไม่เชื่อถือเธอเลยแม้แต่น้อย เธอหันมายึดบ่าทั้งสองข้างของผู้เป็นแม่

                   "แม่คงต้องพาลูกออกไปเปิดหูเปิดตาจริงๆแล้วสินะ"ผู้เป็นแม่พูดเสียงเครียด ค่อยๆแกะมือลูกสาวออก

                   "แม่จะพาพี่ชาออกไปไหนหรือค้าาาาาาา"เสียงลากยาวอย่างไร้เดียงสาของเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบปีดังขึ้นพร้อมกับโผล่หน้าเข้ามาในประตูบ้าน แล้วเข้ามาเต็มตัวในเครื่องแบบของชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง

                   "น้้ำส้ม"น้ำชาพูดเสียงกดต่ำและสุดจะเย็นชาใส่น้องสาวของตัวเอง พร้อมทั้งตวัดสายตาเย็นๆไปทางน้องสาว

                   "แหมๆ...เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง...ระวังตัวจะขึ้นคานเอานา"ว่าแล้วน้องก็ลากเสียงยาวเป็นระรอกที่สอง หมกตัวไม่เท่าไหร่ดูท่าทางผู้เป็นพี่สาวดูจะไม่สนใจในเรื่องแบบนี้เสียด้วยซ้ำ น้ำส้มยิ้มเผล่หวังว่าจะยั่วอารมณ์ของผู้เป็นพี่สาวนั้นเปลี่ยนสีหน้า แต่ทว่าก็ต้องมีอันผิดแผน เพราะพี่สาวกลับมองน้องสาวด้วยใบหน้าตายด้านหนักกว่านี้ เดินหนีแล้วมองน้องด้วยหางตาปิดท้าย ก่อนจะเดินไปที่บันไดเพื่อขึ้นไปบนห้อง ก็ในเมื่อไม่มีใครเชื่อเธอสักคนอยู่แล้วนี่นา ดังนั้นเธอเองก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงนี้อีกต่อไป เธอเลือกจะขึ้นไปเก็บตัวอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอ

                  "พี่มองส้มแบบนั้นน่ะ...แสดงว่าพี่ไม่รักส้มใช่มั้ย!!"น้ำส้มตะโกนลั่นบ้านเมื่อเห็นพี่สาวเดินไปถึงชานพักบันได พี่สาวมองหน้าน้องสางลอดราวบันไดลงมาด้วยสีหน้าที่คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

                 "เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง"ผู้เป็นพี่พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง ทิ้งให้ทุกคนหงุดหงิดกับคำพูดของเธอและแน่นอนว่า...

                 ...สิ่งที่เธอพูด สิ่งที่เธอเห็น และสิ่งที่เธอคิดนั้น...

                  ...กำลังจะเป็นจริง...

    _____________________________________________

    รายงานตัวครับผม...1ในdark_duo

    ว่าเรื่องduoก็ต้องมี 2 คนครับผม ผมเป็นพี่ครับ

    เดี๋ยวน้องจะมารายงานตัว

    เรื่องนี้เป็นเรื่องแนวประชดสังคม...ไม่สิประชดโลกเลยก็ว่าได้ บวกกับแฟนตาซีชวนฝัน(?)

    หวังว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งรสชาติชวนลิ้มลองนะครับ

    ผมถนัดแนวนี้ที่สุด เขียนลื่นจนเพื่อนสนับสนุน





    เมื่อ เมฆสีดำเข้าปกคลุม...หลังบ้านผมเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×