ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The End Of The World

    ลำดับตอนที่ #4 : หายนะที่2:หลง(100เปอร์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 20
      0
      9 มี.ค. 55

    หายนะที่2:หลง

    �������������� ผู้ที่เคยจอดรถบัดนี้ได้พายานพาหนะกลับสู่นิวาสถานของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเหลือเพียงแต่รถ Fortuner สีบรอนเงินเพียงคันเดียวซึ่งเป็นของพ่อเธอ และตอนนี้พ่อของเธอนั้นก็ได้ยืนรอกางร่มด้วยสีหน้าถมึงทึงอยู่หน้ารถพลางบ่นเสียงขรมอยู่น่ารถ แม่กับน้องของเธอเข้าไปรอในรถตั้งนานแล้ว ร่างบางเดินไปหาพ่อในสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำ เสื้อผ้าสีเข้มของเธอเปียกจนลู่แนบลำตัว ผมสีดำสลวยเปียกจนลีบ

    ������������� "ดูซิ...ไปไหนมา...แล้วเปียกแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"ผู้เป็นบิดาเอ่ยอย่างตำหนิแต่ก็เพราะว่าเขาเป็นห่วงในตัวของลูกสาว น้ำชาไม่เถียงพ่อสักคำ แต่ยังไม่หุบรอยยิ้มสะใจที่ได้ตอกหน้านายกรัฐมนตรีร่างอ้วน ป่านนี้คงจะถูกพวกนักข่าวทั้งหลายแหล่ทุกสถานีเขียนประนามตั้งแต่มองเธอว่าเป็นเด็กเหลือขอแล้ว เธอแอบหัวเราะในใจแต่ก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าที่แสดงออกมาได้มาก รู้แต่ตอนนี้ใบหน้าของเธอระรื่นผิดปกติจนน่ากลัว น่ากลัวเกินไป

    ������������ "เมื่อกี้ลูกไปไหนมา"พ่อถามเสียงดุ เพราะลูกสาวของเธอมีสีหน้าระรื่นมากจนเกินเหตุปกติธรรมดา

    ������������ "เมื่อกี้ไปเจออะไรสนุกๆ...เลยแวะเข้าไปหา"คนตัวเล็กพูด ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะขึ้นรถไปในทันที พ่อรู้ว่าเธอหลีกเลี่ยงที่จะบอกจึงไม่เซ้าซี้อะไรมากมายนักเพราะถึงเวลาลูกของเขาก็มักจะบอกเอง แม่กับน้องหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเสียงบ่นอะไรเพิ่มเติมจากแม่อีกคน มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่เข้าครอบคลุมภายในตัวรถโดยสมบูรณ์ นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำที่ดังหึ่งอยู่ภายในรถก็มีเพียงเสียงสายฝนจากภายนอกเท่านั้นเป็นตัวทำให้รถไม่ดูเงียบเหงาจนเกินไป ไม่มีบทสนทนาระหว่างสองพ่อลูก แต่ก็ไม่อึดอัด

    ����������� รถของพ่อยังคงแล่นต่อไปเรื่อยๆบนท้องถนนท่ามกลางสายฝนและท้องฟ้าที่ยังคงมืดมิดไม่จางหาย จึงทำให้ต้องเปิดไฟสูง และสุดท้ายคนที่เล่นเกมส์ความเงียบจนทนไม่ไหวซึ่งนั่นก็คือพ่อก็ได้เอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุในที่สุดเพื่อบรรเทาความเงียบ ส่วนน้ำชาทำเพียงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาสีดำกลับมาเย็นชาดังเดิม ในความมืดมิดที่มองไม่เห็นสิ่งใดเลย ลมหายใจร้อนๆกระทบกับกระจกอันเย็นเฉียบ ทำให้เกิดเป็นไอน้ำด้านในกระจกและค่อยๆจางหายไป เกิดขึ้นและจางหาย เกิดขึ้นและจางหายไป หยดน้ำเย็นๆเกาะพราวอยู่บนใบหน้าเธออย่างไม่คิดจะเช็ดออก บัดนี้ได้ไหลรวมไปอยู่ที่คางและหยดลงบนหลังมือของเธอ

    ������������� [วันนี้...ท่านนายกรัฐมนตรีได้เข้าไปสำรวจในที่เกิดเหตุเพราะอะไรคะ]เสียงของนักข่าวสาวดังออกมาจากวิทยุ เหมือนกับกำลังถ่ายทอดสดแต่พวกเธอไม่เห็นภาพ เสียงอื่นๆก็ดังอึงมี่กันไปหมดจนน่ารำคาญ

    ������������� [วันนี้มีสายข่าวของเราบอกว่า...เห็นนายกโดนเด็กปีนเกลียวหรือคะ]คำถามนี้ทำให้เด็กสาวหลุดหัวเราะพรืดออกมา พร้อมทั้งจินตนาการถึงสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโมโหและเจ็บใจของนายกรัฐมนตรีหลังจากถูกเธอตอกด้วยคำพูดจนหน้าหงาย ในข่าวนั่นมันหมายถึงเธอในตอนนั้นนี่นา พ่อของเธอเหล่มองเธอผ่านทางกระจกส่องหลังเพราะจู่ๆเธอก็หัวเราะออกมา

    ������������ "ขำอะไรของลูก"พ่อถาม เหลือบหันไปมองลูกสาวของตนว่ายังคงปกติดีหรือเปล่า เพราะฟังข่าวแล้วก็หัวเราะหรือบางทีลูกสาวของเขาอาจจหัวเราะขึ้นมาเฉยๆเลยก็เป็นได้ อย่างหลังนี่เริ่มจะน่าเป็นห่วงแล้ว

    ������������ "นึกถึงอะไรสนุกๆขึ้นมา...พ่อช่วยเร่งเสียงหน่อยค่ะ"เธอพูดพลางหัวเราะ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องตลกหนักหนา

    ��������� �� [เอ่อ...พอดีว่าผมไปแถวนั้นพอดีก็เท่านั้นเอง...ส่วนเรื่องเด็กก็คงจะเป็นเด็กเหลือ...เด็กแถวๆนั้นที่พูดจาหาสาระไม่ได้เท่านั้นเอง...ผมก็เพิ่งรู้ว่านักข่าวเดี๋ยวนี้หามูลข่าวมาจากเด็ก]คราวนี้เป็นเสียงของนายกรัฐมนตรีบ้างซึ่งหลังจากพูดเหน็บแนมให้นักข่าวหน้าเสียไปแล้ว เด็กสาวก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่วิทยุพลางกอดอกอย่างรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก กับคำพูดที่ไม่เป็นจริงและหาสาระไม่ได้มากกว่าคำพูดของเธอของนายกรัฐมนตรี อยากจะโทร.ไปหาสถานีวิทยุเสียเดี๋ยวนี้

    ������������ "หมูอ้วนปากเหม็นนนนนนน"เด็กสาวพึมพำเสียงเบา แต่ด้วยความที่รถมีพื้นที่จำกัดเสียงของเธอจึงไม่พ้นลอยไปกระทบหูของผู้เป็นบิดา

    ������������� "ชา...ไม่ไปว่าคนอื่นนะลูก"พ่อขมวดคิ้วพลางเอ่ยอย่างตำหนิอีกครั้ง เด็กสาวเบ้ปากราวกับเด็กเอาแต่ใจ หันหน้าหนีไปอีกทางแล้วไม่พูดอะไร

    ������������� ตึก!!

    ������������� "เหวอ!"พ่อของเด็กสาวร้อง พร้อมๆกับรถที่ทรุดลงไปเล็กน้อย "แย่ล่ะสิ...สงสัยรถจะตกหลุม"พอพูดจบคนเป็นพ่อก็รีบลงไปข้างล่างเพื่อไปดูรถทันที ส่วนเด็กสาวก็ตามไปพร้อมๆกับกางร่มให้พ่อ และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่องให้พ่อ ก็พบว่าล้อรถตกหลุมจริงด้วย แต่เป็นหลุมที่ไม่ลึกมาก และแรงสั่นสะเทือนเมื่อสักครู่ก็ทำให้ แม่และน้องสาวตื่นขึ้นมาแต่ไม่ได้ลงมาดูเหตุการณ์ด้วย

    ������������� "พ่อจะลองขยับรถดู"พ่อของเด็กสาวพูด และกำลังจะไปเปิดประตู

    ������������� "พ่อ...อย่า!!"เด็กสาวดึงพ่อไว้ ส่วนอีกมือก็เปิดประตู และกระชากแม่ออกมา และตามด้วยกำลังจะดึงน้องสาวลงมา แต่ทว่าไม่ทันเสียแล้ว...

    ������������ หลุมสักครู่ที่พวกเธอเห็นว่าเล็กนั้น บัดนี้กลายเป็นรอยแยกที่ทั้งกว้างและมีขนาดใหญ่ ให้รถคันหนึ่งร่วงลงไปได้ ท่ามกลางความตกใจ และตกตะลึงของทุกคน คิดว่าน้ำส้มคงตกลงไปแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม มือของน้ำชาจับน้ำส้มที่ร่างนั้นร่วงลงไปเรียบร้อย ใบหน้าของผู้เป็นพี่สาวดูบิดเบี้ยวทรมาน เพราะคราวนี้มีแรงดึงจากเมื่อสักครู่ เหงื่อเป็นโป้งผุดซึมขึ้นมาตามไรผม น้ำชากัดฟันเพื่อข่มความเจ็บปวดและไม่ให้มีเสียงร้องใดๆอันแสดงถึงความอ่อนแอออกมา ส่วนน้ำส้มเงยหน้ามองพี่สาวของตัวเอง ด้วยน้้ำตาที่นองใบหน้า เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่น้ำชาตัดสินใจดึงน้องสาวของตัวเองเอาไว้ น้องสาวของเธอต้องเจอเหตุการณ์น่าหวาดกลัวแบบนี้ถึงสองครั้งในวันเดียว หากมีจิตใจที่ไม่เข้มแข็งพอ อาจจะเสียสติไปเลยก็ได้

    ������������ "พี่...อย่าปล่อยส้มนะ"น้ำส้มกรีดร้องออกมาอย่างไร้สติ น้ำชาเป็นเพียงความหวังสุดท้ายของเธอ

    ������������ "เออ...อย่าดิ้นด้วย!!...ตัวหนักเป็นบ้า"น้ำชากระชากเสียง มือหนึ่งของเธอเกาะปากหลุมเอาไว้เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองลื่นตกลงไป เพราะน้ำหนักของอีกฝ่าย ตอนนี้เธออยู่ในท่าคุกเข่า และก้มลงไป หากเธอพลาดเพียงนิดเดียว นั่นหมายคราวมรณะของน้องสาวแต่ในคราวนี้ เธอจะต้องทำให้น้องรอดตามคำพูดของเธอ น้ำชาเอ่ยเสียดสีน้องสาว แต่ในเวลานี้ ไม่ใช่เวลาเล่นอีกต่อไปแล้ว

    ������������ "ไว้ส้มจะลด...แต่ตอนนี้พี่ต้องช่วยส้มนะ"เด็กหญิงพูด พร้อมๆกับมีน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

    ������������ "หากไม่ช่วย...จะดึงไว้ทำไม"น้ำชาเริ่มกัดฟัน เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว "ส้มเอื้อมมือขึ้นมา...จับปากหลุม" เธอเริ่มสั่งน้อยสาวของเธอ ส่วนน้ำส้มก็พยายามทำตาม แต่ก็ไม่สามารถจับได้ จึงทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง

    ������������ "พี่...ส้มจับไม่ถึง"น้ำส้มพูด

    ������������ "เห็นแล้ว...พี่จะพยายาม"น้ำชาพูดกัดฟัน พยายามงอแขนให้ร่างเล็กนั้นสามารถที่จะจับปากหลุมได้ตามที่เธอคิด ส่วนคนเป็นน้องก็รู้ว่าพี่สาวตัวเองไม่ค่อยจะไหวแล้ว จึงพยายามฝืนแรงโน้มถ่วงเอื้อมมือมาจับขอบผา เด็กหญิงกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ เธอเองก็พยาามงอแขนเพื่อให้จับปากหลุมได้ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะไม่รู้ก็ตามทีว่าพี่สาวของเธอต้องการสิ่งใดกันแน่ แต่ว่าเธอก็ทำตามที่พี่สาวของเธอต้องการเพราะเชื่อมั่นว่าพี่สาวของเธอนั้นจะต้องการให้เธอรอดมากกว่าที่จะทำให้เธอเหนื่อยเปล่าแน่ๆ ความหวังทั้งหมดของเธออยู่ที่พี่สาวเพียงคนเดียวจริงๆ เนื่องจากพ่อและแม่ของเธอยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่ไม่ไกล

    ������������ "จับได้แล้วพี่!!"ในที่สุดความพยายามก็สำฤทธิ์ผล เด็กหญิงร้องออกมาด้วยความดีใจ

    ������������ "ทีนี้ไต่ไปเรื่อยๆนะ...ไปตรงที่แคบแล้วก็ตื้นกว่านี้"พี่สาวพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะออกคำสั่ง พลางดึงมือของน้องสาวอีกข้างให้ไปตามไปด้วย น้องสาวก็ไต่ตามไปเรื่อยๆอย่างว่าง่าย

    ������������ 1วินาทีราวกับ 1 นาที 1 นาทีราวกับ 1 ชั่วโมง เด็กสาวรู้สึกได้ว่าพื้นนั้นสั่นจึงเงยหน้ามองน้องสาว ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็รู้สึกเช่นกัน จึงยิ่งต้องรีบเร่งแข่งกับเวลา เธอรู้สึกว่าเส้นเอ็นและผิวหนังของเธอเหมือนจะฉีกขาดออกมาจึงยิ่งต้องรีบเร่งมากขึ้นเพื่อลดความกดดันในตัวเอง จนในที่สุดก็มาถึงในบริเวณที่แคบและลึกไม่มากจึงสั่งให้น้องสาวของเธอหยุดไต่

    ������������� "ทีนี้เท้าแขนลงบนพื้น"มือที่จับขอบปากหลุมยกขึ้นเท้า แล้วออกแรงดันตัวเอง เมื่อบวกกับแรงที่พี่สาวของเธอดึงขึ้นมาด้วยแล้วจึงทำให้ร่างของน้องสาวนั้นลอยหวือขึ้นมาทับร่างของพี่สาว ทำให้น้ำชาลงไปนอนแผ่อยู่ที่พื้น และคราวนี้จึงทำให้ทั้งคู่ได้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินเบื้องล่างอย่างชัดเจน จึงรีบผลักร่างของน้องสาวออก ดึงให้ลุกขึ้น สุดท้ายก็ผลักน้องไปอีกด้านของรอยแยก

    ������������� ภาพที่น้องสาวของเธอถลาไปด้านหน้าเหมือนเป็นภาพช้า และเพียงชั่วพริบตาเดียวที่น้องสาวของเธอเหยียบถนนฝ่ายตรงข้าม ในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อและแม่ พื้นถนนก็แยกออกเป็น 2 ฝั่ง เป็นเหวลึกเสียจนมางไม่เห็นก้นเหว และพื้นฝั่งของเด็กสาวก็เอียงเล็กน้อยทำให้น้ำชาไม่สามารถทรงตัว และเกือบร่วงลงไป แต่เธอก็พยายามตะกาย เมื่อหันไปมองทั้ง 3 ที่ยังคงตกใจไม่หาย จึงกัดฟันสูดลมหายใจลึก เพื่อข่มเสียงของตัวเองที่เริ่มสั่นและเหนื่อยล้า รวมไปถึงแววตาที่สั่นระริกเพราะความตกใจ ปกปิดความรู้สึกหวาดกลัวที่พุ่งพล่านในจิตใจด้วยความเย็นชาเสียสิ้น

    ������������ "รีบไปยังที่ปลอดภัยเถอะ...มัวอึ้งอะไรอยู่!!"เธอตะโกน เท่านั้นเอง ทั้ง 3 ก็เหมือนหลุดจากภวังค์ จะอ้าปากตะโกนเรียกชื่อของเธอ "รีบไป!!"เธอตวาดแล้วจิกเล็บลงไปยังพื้นลาดยางมะตอย รองเท้าผ้าใบพยายามจิกเพื่อเพิ่มการเสียดสี พยายามที่จะปีนขึ้นไปให้พ้นจากพื้นลาดเอียง และเมื่อเธอหันไปมองด้านข้างที่ยังคงเรียบตามปกติ เว้นเสียแต่จะมีการสั่นอย่างรุนแรงเท่านั้นจึงกลืนน้ำลาย ดวงตาแสดงถึงความไม่มั่นใจเล็กๆว่าเธอจะสามารถไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่ เธอหลับตาแน่นเพื่อเรียกความมั่นใจและข่มความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจ จากนั้นจึงตัดสินใจที่จะกระโจนไปยังพื้นที่ราบเรียบโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

    ������������ ช่วงเวลาที่เธอกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศเธอไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเหมือนมีบางอย่างมาดันเธอไว้ไม่ให้ตกลงไป...

    ������������ ปึก!!

    ������������� ร่างเล็กกระแทกกับพื้นสั่นๆอย่างแรงแต่ก็นับว่าเล็กน้อยมากหากเมื่อตกลงไป ร่างบอบบางกลิ้งอยู่บนพื้นเรียบๆ สั่นๆอย่างไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าระยะห่างระหว่างพื้นเอียงกับพื้นราบมันมากเหลือเกิน แต่มันก็เป็นไปแล้ว สักพักเธอก็มาอยู่ในท่านอนหงาย เมื่อหันไปทางทิศที่พ่อ แม่ และน้องก็พบเพียงความว่างเปล่า และความมืดมิดเท่านั้นคงจะวิ่งไปแล้ว จึงกลับมาหน้าตรงเหมือนเดิม เพื่อรับกับน้ำฝนที่เย็นเฉียบได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ราวกับดูถูกทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ พร้อมกับกำมือซ้ายชูขึ้นฟ้า ส่วนมือขวานั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

    �������������� "ถึงเวลาแล้วสินะ"เด็กสาวพึมพำ ก่อนมือนั้นจะลดลงมาก่ายหน้าผาก "บ้าฉิบ เจ็บแขนขวาชะมัด"น้ำชาสบถออกมา แล้วยันตัวลุกขึ้นสำรวจความเสียหาย เริ่มเกิดความสงสัยว่า รอยแยกนี่จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แน่นอนว่าเธอคงไม่พยายามข้ามไปอีกฝั่งหรือข้ามพื้นลาดเอียงเพื่อกลับไปยังห้างสรรพสินค้า เธอมั่นใจได้เลยว่าเธอคงจะไม่รอดหากไปที่นั่น

    ������������ "เหอะๆ...โครงสร้างถนนคงจะไม่แข็งแรง ไม่ได้มาตรฐานทั้งประเทศเลยสินะครับนายก"เด็กสาวเอ่ยอย่างประชดประชันก่อนจะลุกขึ้นยืน มือกระเป๋ากางเกงตามแบบฉบับแล้วเดินไปยังทิศที่รถของเธอเคยจะต้องขับไป ตามหาพ่อแม่ แน่นอนว่าเธอต้องทำ แต่ตอนนี้ความอยากรู้มันเข้าครอบคลุมในจิตใจหมดแล้ว

    ������������ 2 เท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆ ก็พบแค่เพียงความว่างเปล่า ทว่าใช้เวลาแค่เพียงไม่นานเท่านั้น ก็ถึงหมู่บ้านที่เธอได้อาศัยอยู่ แต่มันก็ช่างเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน บริเวณนี้ยังไม่เกิดผลกระทบใดๆ เธอจึงต้องรีบสาวเท้าเข้าไป เพื่อเตือนให้คนอื่นๆให้อพยพไปหาที่ปลอดภัยก่อนที่จะเกิดเหตุ แบบที่เธอเพิ่งเผชิญ และอาจจะมีการสูญเสียมากยิ่งขึ้น พลันดวงตาของเธอก็เห็นสโมสรอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นที่ๆนิติบุคคลทำงานอยู่ จึงรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาในทันทีทันใด เนื้อตัวของเธอมอมแมมราวกับไปคลุกโคลนมา ปลายเล็บของเธอมีรอยร้าวและมีเลือดไหลออกมาอีกด้วย

    ������������ "นี่คุณอา...คุณรีบบอกให้ทุกคนออกจากหมู่บ้านนี้เร็ว!!...อีกไม่นานแผ่นดินจะไหวหนักกว่านี้นะ"เด็กสาวรีบถลาเข้าไปหาหัวหน้านิติบุคคลทำงานอยู่ แล้วพูดเร็วรัว ทันทีที่เธอพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังก้องไปทั่วสโมสร ไม่ใช่แค่หัวหน้านิติบุคคลแต่เป็นทุกคนที่ทำงานอยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด ทำให้ร่างบางเซถลาไปด้านหลังด้วยความตกใจ ทำไมทุกคนถึงได้หัวเราะ?...ทั้งๆที่แผ่นดินไหวรุนแรงถึงขนาดนั้นแล้ว แต่ไม่มีใครรู้สึกเลยอย่างไรกัน

    ������������ "ตลกแล้วเด็กน้อย...ยังไม่มีเหตุอะไรบอกเราเลย...กระต่ายตื่นตูมน่า"หัวหน้านิติบุคคลกล่าวพลางโบกมือไล่ กลับไปสนใจงานในมือของตัวเองต่อ

    ������������� "ไปนอนอยู่ใต้ต้นอะไรนะ...ถึงได้หน้าตาตื่นแบบนี้"อีกคนแซว ทำให้เด็กสาวกัดริมฝีปาก เธอถูกเหยียดหยามขั้นรุนแรง อารมณ์ที่เป็นห่วงในตัวเพื่อนมนุษย์นั้นจึงหมดไป เป็นเคียดแค้น ชิงชังมนุษย์ขึ้นมาในทันที ดวงตาของเธอมีวาวโรจน์อย่างโกรธแค้นในตัวบุคคลตรงหน้า

    ������������ "ตามใจ...แล้วพวกคุณจะได้เห็น!!"เธอพูดจบก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไล่หลังมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะจากบุคคลด้านหลังเพราะเห็นว่าการพูดจาของเธอเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ จนเธอต้องกัดฟันกรอดอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกเจ็บใจตัวเองที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย...

    ������������� ...โกรธทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้อะไร...

    ������������� ...เสียใจที่คงขุดพวกเขาขึ้นมาไม่ได้...

    ������������� ...สะใจหากคนพวกนี้หมดโลกไปได้เสียที...

    ������������� ...ยินดีหากพวกมันมีจุดจบเช่นนั้น...

    �������������� ขากลับเด็กสาวเดินผ่านบ้านของตัวเอง ไม่พบพ่อ แม่จึงรู้ว่าไม่มีบ้านให้เธอกลับเข้าไปได้อีกแล้ว จึงเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงว่าโทรศัพท์มือถือยังอยู่และกระเป๋าเงินของตัวเองว่ายังมีเงินเหลืออยู่อีกหรือไม่ เมื่อมีจึงเดินจากบ้านของตัวเองลัดเลาะออกไปนอกหมู่บ้าน เธอต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว หาคนที่พึ่งได้ ไปรอพวกผู้ใหญ่ชาตินี้คงตาไม่สว่างหรอก

    �������������� เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร.หาพ่อ

    �������������� [หมายเลยที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...]สงสัยเครื่องจะอยู่ในรถที่ตกไปแล้ว เธอลองโทรหาแม่ดูแต่ก็พบว่า...

    ��������������
    [หมายเลยที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...]ไม่ต่างอะไรกันเลย!!...นี่มันนรกชัดๆ

    ��������������
    หมู่บ้านของเธอนั้นเชื่อมติดกับถนนใหญ่โดยตรง จึงเดินเลาะออกมาได้ไม่ยาก ฝนก็ยังคงตกไม่หยุด แต่เธอก็ยังเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ในเมืองยังคงไม่เป็นอะไร และไม่มีสิ่งใดเกิดหรือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงหายนะเหมือนกับที่เธอเพิ่งประสบมา จึงแน่ใจได้เลยว่า ตอนนี้เธอพูดอะไรออกไปคงไม่มีใครฟัง และไม่มีใครเชื่อเธอด้วย เธอวู่วามไปเอง คราวต่อไปเธอจะพูดอะไร ต้องใจเย็นและมีพยานหลักฐานมากกว่านี้ ชัดเจนกว่านี้เสียก่อนจึงจะสามารถพูดอะไรออกมาได้

    �������������� คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเฮือกยาวอย่างเหนื่อยอ่อน หลับตาลง แพขนตายาวหลุบลงแตะแก้มสีซีด ความรู้สึกเป็นห่วงพลุ่งพล่านในจิตใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ป่านนี้จะไปหลบอยู่ที่ไหน แล้ว ต่อไปตรงนั้นจะปลอดภัยหรือเปล่า จะหิวไหม จะหนาวไหม จะหวาดกลัวไหม จะถูกคนอื่นระรานหรือเปล่า หรืออาจจะโดนใครทำอะไรไม่ดีหรือไม่

    �������������� ยิ่งคิด ยิ่งคิดมาก ยิ่งคิดมาก ยิ่งฟุ้งซ่าน เด็กสาวเงยหน้ารับน้ำฝนเย็นๆอีกครั้งหนึ่งก่อนจะครางเสียงต่ำในลำคอ เธอรู้ตัวว่าเธอคิดมาก จึงหลับตาลงแน่นกว่าเดิม เม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ให้น้ำฝนที่เย็นเฉียบสัมผัสใบหน้าเพื่อให้ร่างกายของเธอผ่อนคลายและไล่ความคิดมากของเธอ ท่ามกลางผู้คนที่ยังคงเดินขวักไขว่ไปมาท่ามกลางความวุ่นวายอันสงบเงียบ ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอหรือมองเธอว่าเธอกำลังทำอะไรลงไป สภาพของเธอดูเหมือนคนวิกลจริตเข้าไปทุกทีๆแล้วถึงได้ไม่มีใครสังเกตเห็น เธอไม่มีกระจกจึงไม่สามารถมองตัวเองได้ว่าสภาพของตัวเธอเองนั้นทุเรศขนาดไหน หรือเป็นอะไร

    ������������� แล้วคราวนี้เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี แล้วจุดหมายของเธออยู่ ณ ที่ตรงไหนกันแน่ ร่างบางตอนนี้หลักลอย ไม่มีแม้กระทั่งความคิดหรือแผนการณ์ใดๆภายในหัว ริมฝีปากของเธอบัดนี้ซีดจนเกือบขาวเป็นกระดาษ เพราะเธอตากฝนเป็นเวลานาน ใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบคงเนื่องจากเมื่อสักครู่อยู่ในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศ จึงทำให้เธอรู้สึกว่า ตอนนี้เธอต้องเป็นไข้แล้วอย่างแน่นอนโดยที่ไม่ต้องไปหาหมอ

    ������������� "ชักจะมึนหัว...จะทำไงดีล่ะ"เธอคิด เริ่มหอบหายใจ ตอนนี้เธอปวดหัวขึ้นรุนแรง และเริ่มสูญเสียการทรงตัวเสียแล้ว จึงถลาเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่มีแสงสว่างจ้า ดวงตาของเธอพร่าเบลอจนต้องหรี่ตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกยาว เด็กสาวตัวสั่นน้อยๆเพราะความหนาวจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไหนๆเธอก็เข้ามาแล้วซื้อของกินก่อนซื้อยาก็แล้วกัน

    ������������� ร่างบอบบางเดินไปยังตู้อาหารแช่แข็งที่บนตู้นั้นมีวิทยุซึ่งพนักงานมักจะเปิดคลื่นที่มีเพลง แต่จู่ๆก็มีเสียงดนตรีของช่องวิทยุชื่อดังซึ่งจะได้ยินก็ต่อเมื่อมีข่าวต้นชั่วโมง เมื่อมองดูนาฬิกา ยังไม่ครบชั่วโมงด้วยซ้ำ คนขายสบถอย่างหัวเสีย จึงหมุนเปลี่ยนช่อง แต่เมื่อเปลี่ยนไปช่องไหนต่อช่องไหน ก็ได้ยินเสียงรายงานข่าวเหมือนๆกันหมดทุกคลื่นวิทยุ จึงทำท่าจะปิดแต่น้ำชาก็รีบถลาไปคว้ามือเอาไว้ ร่างบางลื่นไถลเกือบหน้าจะทิ่ม แต่ก็ใช้ยางรองเท้าเบรคเอาไว้

    ������������ [ขอรายงานข่าวด่วน ขณะนี้มีรอยแยกขนาดใหญ่เกิดขึ้นตามสถานที่สำคัญในหลายจุด เกิดเป็นเหวลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม และตอนนี้นักธรณีกำลังใช้เครื่องมือ เพื่อวัดความลึกของเหว...]

    ������������ จู่ๆเสียงของวิทยุก็ดับลงเพราะคนขายนั้นได้กดเปิดสำเร็จ ในขณะที่เธอเผลอตอนตั้งใจฟัง ทำให้เธออ้าปากค้างออกมาเพราะเธอพลาดจุดสำคัญที่สุดไปเลยทีเดียว ร่างบอบบางปล่อยมือออก

    ������������� "คุณ...ขอฟังหน่อยไม่ได้หรือไง"เด็กสาวโวยวาย

    ������������� "บ้านไม่มีวิทยุหรือไง"คนขายทำเสียงดุพร้อมถลึงตาใส่

    ������������� "จะบ้าหรือ...นี่มันความเป็นความตายของเราเลยนะ!!...หากแผ่นดินไหวทั้งประเทศจะนัดพบกันที่ไหน...จะรู้มั้ย" เด็กสาวตวาดออกมาอย่างเหลืออดคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่า ทำเอาทุกคนในร้านหันมามองเธอ คนขายผลักเด็กสาวให้ล้มลง แล้วเอาแฟลชไดรฟ์เสียบกับวิทยุเพื่อจะฟังเพลงต่อ โดยไม่ยี่หระกับคำพูดของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

    ������������ ประเทศที่เธออยู่ไม่ได้อยู่ในบริเวณรอยต่อของเปลือกโลก หรือมีรอยแยกของแผ่นดิน ทำให้ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวแรงๆ หรือความจริงแล้วไม่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเลยสักครั้ง ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันออกจะแนวเหลือเชื่อไปเลย และทุกคนก็ไม่เชื่อเสียด้วย ทำให้การที่พูดอะไรออกไปสักคำทุกคนอาจจะมองว่าเธอบ้าไปเลยก็เป็นได้ แต่เธอพูดความจริง และธรรมชาติก็แสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นแล้วด้วยว่าอีกไม่นาน...โลกใบนี้อยู่ได้อีกไม่นาน

    ������������� "แผ่นดินไหวในประเทศนี้มีที่ไหนกัน"เสียงของคนในร้านกระซิบกระซาบ ราวกับจะเหยียบซ้ำ ใบหน้าของเธอชาวาบ เธอเผลอวู่วามออกไปอีกแล้ว แต่ข่าวออกมาถึงขนาดนี้คนก็ต้องฉุกคิดกันบ้างสิ คงมีใครสักคนคิดได้แล้วพูดออกมากระมัง

    ������������� "น่าสงสาร...ยังเด็กอยู่เลย...ไม่น่าบ้า"เสียงของอีกคนพูด ทำเอาเธอต้องหันขวับไปมอง ทำอย่างไรพวกมนุษย์ถึงจะตาสว่างได้กันนะ ทั้งๆที่เมื่อสักครู่เสียงประกาศก็ดังออกมาจากวิทยุ

    ������������ ทันใดนั้นเองพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนหลอดไฟกระพริบถี่ๆ ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นและชั้นวางของ เศษแก้วแตกกระจายไปทั่วบริเวณ สิ่งของบนชั้นวางของก็สั่นสะเทือนเช่นกัน และวิทยุก็ร่วงลงมากระแทกหัวของเด็กสาวอย่างรุนแรงจนเลือดอาบฟุบลงไปกับพื้ยแกรนิตโต้ที่เย็นเฉียบ สติของเธอเริ่มเลือนรางรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและเส้นเลือดที่เต้นตุบๆอยู่ในหัว ม่านเลือดไหลลงมาบังตา เสียงกรีดร้องผสมมากับเสียงไซเรนดังอื้ออึง

    ������������ ผู้ต่างทิ้งสิ่งของและวิ่งหนีกันอย่างเอาเป็นเอาตายและเห็นแก่่ตัวเป็นที่สุด ทิ้งให้เธออยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเธอช่วยเธอขึ้นมาเลย ซ้ำแล้วยังมีคนผลักหัวของเธอให้กลับไปกระแทกพื้นใหม่อีกครั้งหนึ่งอย่างไร้น้ำใจที่จะช่วย ครั้งนี้เธอเจ็บจนลุกไม่ขึ้นอีกต่อไปอีกแล้ว ร่างบางรู้สึกหนาวสั่น ดวงตาพร่าเลือนลาง ทุกอย่างโดยรอบค่อยๆมืดดับลง เสียงโดยรอบเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์

    �������������� แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้ตัวอาคารที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการเกิดของแผ่นดินไหวนั้นไหวเอน เสานั้นหักโค่นลงมา เศษปูนแตกกระจายโดนหัวของเธอ และสักพักทุกอย่างก็ร่วงกราวลงมา ส่งผลให้ชั้นวางของล้มลงตามมาด้วยต่อกันเป็นโดมิโน...

    ������������� ...ทับร่างที่หมดสติของเธอ...

    ������������� คราวนี้เธอดิ้นไปไหนไม่รอดจริงๆ...

    ������������� ...ปล่อยมันไปเถอะ...

    ������������� ...ไม่มีใครเชื่อเธออยู่แล้วนี่นา...

    ������������� โดดเดี่ยวท่ามกลางสายฝนไปเถอะ เด็กสาวกำมือแน่นขณะที่หมดสติไปแล้ว เธอหลับไปพร้อมๆกับความปวด และเจ็บแค้นในตัวมนุษย์ผู้โง่เขลาและเห็นแก่ตัว เกินกว่าที่จะฉุดกลับมาให้ตาสว่างได้...

    �������������� ...เจริญทางวัตถุ...

    �������������� ...แต่กลับไม่เจริญทางจิตใจ...

    �������������� ...ทำให้โลกต้องเอาคืน...

    �������������� ...ทำลายล้างวัตถุนิยมพวกนี้ให้สิ้นซาก...

    �������������� ...แล้วบูรณะใหม่เสียที...

    ��������������� ...โลกช้ำมาพอแล้ว...

    ��������������� ...พอเสียที...

    ��������������� ...หยุดได้เสียที...

    ________________________________________

    555+

    บทนี้แต่งแบบอารมณ์ตัวเองตอนโดนพวกทำรถไฟฟ้ามาขุดหน้าบ้าน

    ฝุ่นกระจาย ไม่พอติดเครื่องไว้ไม่ทำนั่งสูบบุหรี่!!เครื่องดีเซลลองคิดดู

    ที่เหี้ยอีกอย่าง...ต้องบอกว่าเหี้ยสัสๆ พ่อมึงทำตอนเที่ยงตอนที่ร้านอาหารข้างๆขายดี

    รวมไปถึงตอนฉันขายดีด้วย...พอลูกค้าไปแม่งหยุดดูดบุหรี่ต่อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×