ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The End Of The World

    ลำดับตอนที่ #7 : หายนะที่5: LiNe = LoNe (55.55เปอร์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      21 มิ.ย. 55

    หายนะที่5: LiNe = LoNe

                   กว่าน้ำชาจะกลับมาอีกครั้งก็ตอนหัวค่ำไปแล้ว อาหารที่ทำกินกันเมื่อตอนเย็นนั้นหมดไปไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับจงใจจะไม่ให้เหลือให้คนที่ออกไปข้างนอกเพียงคนเดียว ร่างบอบบางไม่ได้ยกของทั้งหมดกลับมาเพราะมันมีน้ำหนักมาก แต่เธอก็สามารถหากระบะเล็กๆที่เหมือนของเด็กเล่นที่ติดล้อแล้วลากมา ที่ตัวเธอนั้นยังกลับมาช้าก็เพราะว่าเหตุนี้กระมัง แต่เมื่อเธอกลับมาก็ไม่พบกับการต้อนรับทั้งๆที่เธอนั้นทำเพื่อทุกคนแท้ๆ เด็กสาวก้มหน้าลงเมื่อมาถึง

                  เหล่าบรรดาพวกผู้ใหญ่ยังคงจับกลุ่มคุยกัน ส่วนไนท์นั่งอยู่กับเดย์เฝ้าดูอาการของแบล็กกับดาร์กไม่ห่าง เขาหลบวูบเมื่อเธอมองหา คนตัวเล็กถอนหายใจก่อนขนน้ำ นม ในกระบะไปที่ครัวซึ่งอยู่เกือบด้านหลังของวัดโดยที่ไม่มีใครเห็น วางสิ่งของทุกอย่างเอาไว้ สำรวจว่าในครัวนั้นพอจะมีอะไรเหลือให้พอประทังความหิวของเธอได้บ้าง แต่เมื่อไม่พบอะไรเลย ก็ต้องถอนหายใจเอามือลูบท้องของเธอที่ร้องประท้วงด้วยความหิวราวกับจะปลอบประโลมแล้วเดินคอตกออกมาอย่างผิดหวัง

                 ร่างเล็กยังมีแรงเหลือเฟือพอที่จะพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนกำแพงวัดโดยง่าย เธอนั่งพิงหัวสิงห์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงวัด ขาข้างขวาห้อยลงมานอกเขตวัด ส่วนขาข้างซ้ายนั้นยกชันขึ้น และมือซ้ายก็วางพาดไว้ ดวงตาสีนิลเหม่อมองออกไปไกลๆ ไล่มองซากปรักหักพังทั้งหลายภายนอกที่เมื่อก่อนเคยตั้งตระหง่านท้าทายฟ้าดิน บัดนี้พังราบเป็นหน้ากลอง...ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน

                  แววตาของเธอเลื่อนลอย ในหัวมีเพียงคำพูดเมื่อตอนกลางวันก้องสะท้อนซ้ำไปมาอย่างไม่อาจสลัดหลุดออกไปจากหัวของตัวเองได้ มือบอบบางยีหัวของตัวเองราวกับเป็นคนบ้า ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่งพาเอากลิ่นดินธรรมชาติมาแตะจมูกของเธอ อาการที่เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้นั้นก็หยุดลง น้ำตาคลอหน่วงๆอยู่ในนัยน์ตาคู่สวยอย่างช่วยไม่ได้ ความน้อยใจตีขึ้นจากทรวงอกจนหลั่งไหลเป็นสาย...

                  ...ผิดด้วยหรือที่ตักเตือน...

                  ...ผิดด้วยหรือที่คิดไม่เหมือนคนอื่น...

                  ...ผิดด้วยหรือที่เห็นชีวิตเท่าเทียมกัน...

                   ...มันก็เท่านั้นเอง...

                   "ฉันผิด...อย่างนั้นหรือ?"เด็กสาวเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย คำพูดอันแสนแผ่วเบาเหมือนจะถามสหายที่แฝงตัวอยู่ตามซากปรักหักพังซึ่งไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว หรือเธอกำลังถามตัวเอง

                  "ไม่ผิดหรอกโยมน้ำชา"น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาของภิกษุชรารูปเดิมที่ภายหลังรู้ว่าเป็นเจ้าอาวาสด้วยดังขึ้น ร่างที่ห่มจีวรสีส้มก้าวออกมาจากความมืดอย่างแช่มช้าดูน่าศรัทธา หลวงพอ่เงยหน้าขึ้นดวงตามองเธออย่างอ่อนโยน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นระบายรอยยิ้มออกมาอย่างกรุณา

                  ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อเห็นว่าภิกษุชราเงยหน้ามองตน จึงรีบรุดกระโดดลงมาคุกเข้าและกราบขอโทษในทันที "ขออภัยเจ้าค่ะ"

                  "ไม่เป็นไรหรอกโยม...ที่สำคัญในตอนนี้คือโยมถูกกีดกันจากบรรดาโยมผู้ใหญ่ข้างในอย่างนั้นสินะ"ดวงตาของภิกษุชราเหลือบมองไปด้านในอุโบสถ ก่อนจะหันมามองหน้าที่เธอที่สะดุ้งเฮือก ร่างบอบบางกัดริมฝีปากล่าง หลบตา คงมีใครสักคนบอกหลวงพ่อเป็นแน่ เมื่อภิกษุชราเห็นความรู้สึกที่แสดงออกมาทางใบหน้าของเธออย่างชัดเจนเช่นนั้นจึงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

                  "อาตมาเห็นเมื่อตอนบ่ายก่อนจะมาแสดงธรรมให้กับพวกเขาฟังน่ะ...แล้วโยมน้ำชาก็เดินออกไปเลย...คงยังไม่ได้กินอะไรเลยสินะ" หลวงพ่อทิ้งคุกกี้ถุงเล็กลงบนมือของเธอ ร่างเล็กยกมือไหว้ขอบพระคุณ "การที่โยมพวกนั้นสร้างกำแพง สร้างเส้นกั้นระหว่างโยมน้ำชากับพวกเขาทำให้โยมรู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกผิดสินะ" เด็กสาวชะงักกึกกับคำพูดแรกของหลวงพ่อ แค่ประโนคแรกก็จี้ใจดำเสียแล้ว ก้มหน้างุดกับคำเทศน์ เธอหลบตา

                  "หรือเพราะตัวโยมเองนั่นแหละ...ที่'พยายาม'คิดแปลกแยก...อันที่จริงคำพูดของโยมก็แค่มากกว่าพวกเขาอีกขั้นและยากที่จะเข้าใจ"เด็กสาวสะอึกกับคำพูดที่ทิ่มแทงเข้ากลางอก มันเป็นความจริงทุกประการ หลวงพ่อเงยหน้ามองคนได้ทะลุปรุโปร่งเสียจริงๆ

                   "เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจ ก็จะต่อต้าน...และคำพูดของโยมขวานผ่าซากมากเกินไป...ฟังแล้วไม่เสนาะหู ยิ่งเหมือนจะทำให้พวกผู้ใหญ่ต่อต้านและไม่เข้าใจเพราะคิดว่าโยมก้าวร้าว สุดท้ายก็สร้างเส้นกั้นผลักให้โยมออกมาอยู่ข้างนอกอย่างโดดเดี่ยว"คำพูดของหลังพ่อยิ่งเหมือนจะฝังเธอให้จมดิน

                   "และถ้ายิ่งโยมรู้สึกและเดินหนีออกมา เส้นกั้นก็จะก่อตัวเป็นกำแพงสูง แบ่งแยกชัดเจนยิ่งขึ้น"หลวงพ่อต่อ

                   "หากแต่พวกเขารังเกียจความคิดแบบนี้มาก...หนูก็ยินดีที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อให้เขามีความสุข"เด็กสาวสวนกลับมาทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควร ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยวและดูเด็ดขาด สิ่งนั้นทำให้หลวงพ่อรู้สึกหนักใจขึ้นมาชอบกลๆ นอกจากเด็ดเดี่ยวแล้วยังหัวดื้อไม่เป็นรองใครอีกต่างหาก หากจะพังกำแพงทิฐิคนประเภทนี้คงยาก น้ำชาเป็นเด็กที่ท่านคิดว่าปราบยากน่าดู

                   "คนอื่นมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของโยมน่ะหรือ...จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่นะโยม...มันบาปนะ"หลวงพ่อแย้งออกมา "หากโยมคิดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากบัวใต้น้ำหรอก...ถึงอาตมาจะชี้ทางสว่างไปก็ไร้ผล"คราวนี้ลองพูดแรงๆดู ใบหน้าเด็กสาวถึงกับซีดลงไปเลยทีเดียว เธอก้มลงกราบหลวงพ่ออย่างสำนึกผิดได้ในความที่ตัวเองไปพูดไม่ดีเข้า กับผู้ที่จะมาตักเตือนอย่างหวังดี

                    "หลวงพ่อโปรดชี้แนะด้วย"เธอพูดเสียงแผ่วเบาด้วยความสำนึกผิดจากใจจริง ทำเอาหลวงพ่อถอนหายใจ

                    "สิ่งที่อาตมาสอนโยม...หากโยมนำไปใช้ก็อาจจะลดเส้นกั้นลงได้...อย่างไรเสียเขาก็อายุมากกว่าอย่าไปต่อต้านอะไรมากกมายพวกเขามากนัก"หลวงพ่อเทศน์ต่อ "พยายามทำลายเส้นกั้น...เส้นกั้นในจิตใจหรือ'ทิฐิ'และ'ความอิจฉาริษยา'ของโยมและพวกเขา"

                    "ค่ะ"เธอตอบรับ หลวงพ่อเหลือบมองไปด้านหลังเห็นเงาตะคุ่มๆของใครบางคนแอบอยู่อีกฝั่งของอุโบสถ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

                    "อาตมาขอตัวไปจำวัดก่อนก็แล้วกัน"ว่าแล้วภิกษุชราก็เดินกลับไปยังกุฏิที่อยู่ทางด้านหลังของอุโบสถอย่างสงบ ร่างบอบบางมองตามแผ่นหลังที่ห่มจีวรจนขึ้นกุฏิไปแล้วจึงหันหลังให้อุโบสถทำท่าจะปีนขึ้นไปบนกำแพงอีกครั้งแต่เธอก็ตวัดสายตาเย็นเยียบและคมปลาบไปมองความมืดที่เกือบจะอำพรางบุคคลที่ 3 ผู้แอบฟังบทสนทนาของเธอและภิกษุชรา

                    "นิสัยไม่ค่อยดีเลยนะครับ...แอบฟังคนอื่นเขาคุยกัน"เด็กสาวพูดก่อนจะหันหลังกลับ ทว่าผู้ที่แฝงกายอยู่ภายในความมืดมิดก็ยังไม่ยอมออกมาเสียที จนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกหงุดหงิดหันหลังกลับไปมอง แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกทางสีหน้า "...ออกมาเถอะครับ...เขารู้หมดแล้ว"แล้วก็ยืนหันหลังต่อ รอให้อีกฝ่ายเป็นผู้เผยตัวออกมาเองจะดีกว่าใช้กำลัง "รุ่นพี่ไนท์"

                    ในที่สุดร่างสูงก็ยอมเคลื่อนกายออกมาจากมุมมืดจนได้ ไนท์พ่นลมหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังบอบบางที่ราวกับจะเรืองแสงออกมาได้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างรู้สึกกังขา

                    "น้องรู้ได้ไงว่าพี่แอบดูอยู่"ปกติคนทั่วไปก็มักจะรู้แค่เพียงว่ามีคนแอบฟังเท่านั้น แต่นี่พูดชื่อออกมาอย่างไม่ลังเล

                   "มีธุระอะไรหรือครับผม"เด็กสาวไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย หันกับมาอีกครั้งพร้อมกับสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ก็ต้องผงะเมื่อหันกลับมาพบว่าชายหนุ่มก็อยู่ใกล้ ใกล้เกินไปเสียแล้ว...

                   ชายหนุ่มใช้เสียงพูดในการกลบเสียงฝีเท้าของตัวเองก่อนจะเข้าประชิดกับร่างของเธอในระยะใกล้ขนาดนั้น แล้วนี่เธอเผลอขนาดทำให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ใกล้ได้ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ไนท์ก้มลงมองรุ่นน้องร่างเล็กใกล้ๆ ใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายก่อนเขาจะเอื้อมมือมาแตะขอบตาของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาจนเธอสะดุ้งสุดตัว รีบปัดมือออก และถอยตัวเองให้ออกห่าง

                   "ร้องไห้?"เขาถามพลางเลิกคิ้ว

                   "ใครร้อง...ข้างนอกฝุ่นมันเข้าตาต่างหาก"ร่างบางหันหนีอีกฝ่าย ก้มหน้าลงให้ความมืดมิดยามรัตติกาลช่วยปกปิดสีหน้าตื่นตระหนกของเธอ

                   "หากน้องน้ำชาคิดว่ามีเส้นกั้นระหว่างน้องกับพวกผู้ใหญ่...พี่ก็จะข้ามเส้นกั้นนั้นมาอยู่กับน้องไม่ให้โดเดี่ยวเอง"ไนท์พูด

                   "ไม่ต้อง...ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อน...ไม่เป็นไร...ไม่จำเป็น...ผม...ผม...ผม..."กลายเป็นเด็กติดอ่างไปเลย

                   "ไม่ยอมรับหรือว่า...น้องน้ำชาโดดเดี่ยวเพราะพวกผู้ใหญ่คิดว่าเธอเป็นคนก้าวร้าวแปลกแยก?...คิดไม่เหมือนคนอื่น"ไนท์เอ่ยต่อ

                   "พอ...ผมไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนเพราะผมชัดมั้ย!!...ผมจะทำให้พวกเขายอมรับผมด้วยตัวของผมเอง...รุ่นพี่กับเดย์...วางตัวเป็นกลางเถอะครับ"ร่างบางพูดออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย แต่มีกระแทกกระทั้นในประโยคแรก 

                   ในมุมมองหนึ่งอาจมองว่าเธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง ไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อนไปด้วย ส่วนในอีกมุมมองหนึ่งเธอก็ดูเป็นคนเย่อหยิ่ง เอาเหตุผลร้อยพันมาอ้างและไม่เห็นหัวใคร แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น สิ่งที่เธอได้แสดงออกไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเหตุผลเพียงเหตุผลเดียว...

                   ...อยากจะปิดบังความอ่อนแอเท่านั้นเอง...

                   ชายหนุ่มได้ยินถึงกับอึ้ง

                    "เส้นนั้นผมเป็นคนสร้าง...ผมจะเป็นคนทำลายด้วยมือของผมเอง"น้ำชาพูดเสียงแข็งกร้าว

                   " แต่หากเส้นนั้นเป็นกำแพง...น้องน้ำชาเพียงตัวคนเดียวเพียงลำพังคงจะทำลายมันไม่ไหว"ชายหนุ่มดึงมือเธอมากุมเอาไว้ "ถึงน้องน้ำชาจะไม่ต้องการ...แต้พี่จะอยู่เป็นเพื่อนน้องเองนะครับ"เขายังคงยืนยันเจตนาเดิมของตัวเอง น้ำชาเงยหน้าสบตากับดวงตาคู่สวยคู่นั้นที่เธอพยายามจะหลบ อยากจะบอกคนตรงหน้าว่าขอบคุณในน้ำใจเสียเหลือเกิน อยากจะแสดงความอ่อนแอออกมาแต่...

                   "ตามใจรุ่นพี่เถอะครับ...อยากจะทำอะไรก็ทำ"เด็กสาวไหวไหล่ด้วยสีหน้าเฉยชาพลางดึงมือออกจากการเกาะกุมของผู้เป็นรุ่นพี่แล้วเดินข้าไปในอุโบสถทันที นั่นทำให้ผู้เป็นรุ่นพี่ถึงกับอ้าปากค้างกับความเย็นชาของเจ้าตัว มันทำให้เขาชักอยากจะพิสูจน์ว่าความเย็นชาของน้ำชาจะเป็นเนื้อแท้สมชื่อเธอหรือเปล่า หรือเป็นเพียงหน้ากากที่ทำเพื่อจะปกปิดความรู้สึกบางอย่างในจิตใจเท่านั้นเอง

                  ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดดำเพราะก้อนเมฆก่อนจะถอนหายใจ ไม่สามารถเดาทางหรือล่วงรู้ได้เลยว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป นอกเสียจากต้องรอให้เวลามันดำเนินต่อไป รอว่าเมื่อไหร่จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา และจะจบ จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ในหัวของชายหนุ่มเริ่มคิดมาก หากว่าจู่ๆแผ่นดินเกิดมาแยกเอากลางอุโบสถ ทุกคนจะทำอย่าไร แล้วจะรอดไปได้หรือไม่ ไนท์เริ่มเปลี่ยนจากความคิดมากเป็นความฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในสถานการณ์ที่มันตึงเครียดแบบนี้...

                   ...ตามคำทำนาย...

                    ชายหนุ่มชะงักความคิดอันฟุ้งซ่านของตัวเองอย่างนึกขึ้นได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเท่านี้ก็ไม่ต้องมืดแปดด้านอีกต่อการรับมือแล้ว แต่เขาไม่รู้คำทำนาย คนที่รู้ก็มีเพียงแค่พระสงฆ์ และน้ำชาเท่านั้น ทว่าเด็กสาวคงไม่อยากจะพูดคุยกับเธอเท่าไรนัก ความว้าเหว่ฉายเด่นชัดออกมาทางดวงตาคู่สวยคู่นั้น เขาไม่เข้าใจการกระทำของเด็กสาวเลยแม้แต่นิดเดียง ว่าทำไมเธอถึงต้องพยายามที่จะหนี และพยายามที่จะทำตัวเย็นชากับเขาและทุกๆคนด้วยทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ออกจะสนิทกันแท้ๆ ราวกับว่าเด็กสาวต้องการจะปิดบังอะไรบางอย่างกับเขาอยู่อย่างนั้นแหละ

                    ประธานนักเรียนสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อสลัดความฟุ้งซ่านที่เริ่มจะออกนอกเรื่อง และไปกันใหญ่ของตัวเอง แล้วเดินกลับเข้าไปในอุโบสถตามเดิม

                    เมื่อเข้ามาก็พบกับน้ำชากำลังนั่งกินคุกกี้ในมือซึ่งเมื่อสักครู่ภิกษุชราเป็นคนให้อย่างสบายอารมณ์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของเธอดูปกติ ไม่เหมือนคนที่ถูกกีดกัน ต่อต้านจนต้องให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเลยแม้แต่สักนิดเดียว สีหน้าของเธอในตอนนนี้มันแสดงออกมาอย่างชัดเชนจนน่าหมั่นไส้ 'ไม่ต้องการให้มาง้อ ไม่ต้องการการยอมรับใดๆ ฉันอยู่ของฉันได้'

                   "ยังจะมาทำหน้าระรื่นอยู่อีก...น่าหมั่นไส้จริงๆ"เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นมา ท่ามกลางผู้คนหมู่มากเบาๆ ราวกับว่าเสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ ณ ขณะนี้จะสามารถกลบความริษยาที่พุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของคนๆนั้นลงได้ ถึงแม้จะไม่มีใครได้ยิน แต่ก็มีคนรู้สึกได้ถึงสิ่งนั้น คนรู้สึกและคงจะรู้ตัวนั่งพิงกำแพงอุโบสถที่เย็นเฉียบ พลางยกมุมปากขึ้นอย่างยิ่งทวีคูณความน่าหมั่นไส้นั่นมากขึ้นไปอีก

                  เริ่มอีกครั้งสำหรับสงครามจิตวิทยา สีหน้เรียบนิ่งดูเหมือนจะยั่วโมโหฝ่ายคู่สงครามปรากฏอยู่บนใบหน้าของน้ำชา แน่นอน เธอกำลังปั่นหัว ยั่วโทสะอีกฝ่ายด้วยการนั่งสบายๆแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวสักเท่าไร พลางกินขนมอย่างสบายใจ ซึ่งแน่นอนว่ามันตรงกันข้ามกับจุดประสงค์ของอีกฝ่ายที่ต้องการจะให้เธอเจ็บหรือโมโหจนอาละวาด แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกผันกลายเป็นฝ่ายนั้นแหละที่รู้สึกเจ็บใจ และอยากจะอาละวาดให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย แต่ก็นับว่ายังมีความอดทนและสติมากพอสมควรที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามออกมา...

                     แต่อย่างไรก็ตาม...เธอถือไพ่เหนือกว่าในตานี้

                   "พี่น้ำชาคะ...หาก 2 ตัวนี้ฟื้น 'เรา' จะทำยังกันดีคะ"เดย์ยีังคงจ้องมองไปยังร่างที่ยังคงไร้สติของแบล็กและดาร์กอย่างเป็นกังวล ดวงตาใสซื่อ อ่อนต่อโลกมีแววเศร้าสร้อยอย่างประหลาด เมื่อน้ำชามองเดย์แล้วภาพของน้ำส้มก็ปรากฏขึ้นมาย่างเลือนราง
    ซ้อนทับกับร่างของเดย์ จนอีกฝ่ายถึงกับต้องชะงักค้างแล้วสะบัดหัวไล่ความกังวลออกไป

                     "น้องกับพ่อแม่จะต้องไม่เป็นอะไร"น้ำชาพึมพำเบาๆพลางก้มหน้าลงอย่างรู้สึกเป็นกังวล
                   
                     "พี่น้ำชาว่าอะำรนะคะ?" เดย์ขยับเท้ามาใกล้กับเธอ
                    
                     "เปล่าๆ...เดย์เรียกพี่ว่าน้ำชาก็ได้"เด็กสาวฉีกรอยยิ้มเฝื่อนๆให้กับเดย์อย่างฝืนๆ

                     "พี่กำลังกลัว?...ไม่สิกังวลอะไรหรือเปล่าคะ?"เดย์ถามตรงประเด็นอย่างใสซื่อจนร่างบอบบางหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วยกมือขึ้นมาขยี้หัวคนตัวเล็กที่อายุน้อยกว่าเบาๆอย่างรู้สึกเอ็นดู ทำให้เธอนึกถึงน้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
     
                      "พี่มีน้องสาว...อายุคงบจะไล่ๆกับเดย์นั่นแหละ...ชอบโหวกเหวกโวยวาย คำก็พี่ไม่รักส้มใช่มั้ย สองคำก็ไม่ห่วงส้มใช่มั้ย?"พูดจบก็หัวเราะขื่นๆในลำคอก่อนจะข่มเสียงสั่นๆของตัวเอง "ยัยบ้านั่นจะรู้หรือเปล่าว่า...พี่สาวที่มันพร่ำว่าำไม่รักกำลังคิดถึงกำลังเป็นห่วงมากแค่ไหน"สีหน้าและแววตาของน้ำชาดูเจ็บปวดและเศร้าสร้อย
                 
                      "พี่ชาอยากร้องไห้หรือเปล่าคะ...บอกหนูได้นะ"เดย์เสนอตัว

                      "หึ...ไม่หรอก...แต่ยัยนั่นอยู่กับพ่อ-แม่ คงไม่น่าห่วงเท่าไำหร่...หรืออาจจะน่าห่วงทั้ง 3 คนเลยก็ได้มั้ง"น้ำชาไหวไหล่

                      "แล้วแบล็กกับดาร์กจะฟื้นมั้ยคะ?...พี่คิดว่าไง"เดย์วกกลับมาประเด็นเดิมแรกเริ่ม

                      "ฟื้นสิ...พี่เชื่อว่าอย่างนั้น"มือขวาของน้ำชาเอื้อมมาจับร่างของสัตว์ทั้ง2ชนิด สัมผัสได้ว่าชีพจรของทั้งคู่ยังเต้นอยู่ ก่อนจะเงยหน้ามองหน้าเดย์ด้วยแววตาที่มั่นใจ"เราต้องมีความเชื่อมั่นและความหวังนะเดย์ไม่ว่าเรื่องนี้หรือเรื่องไหน"เธอเสริมต่อ

                      ร่างสูงที่นั่งมองทั้งคู่อยู่ไม่ไกลก็ต้องถอนหายใจเมื่อฟังบทสนทนาของเดย์และน้ำชาที่ไม่ว่าดูอย่างไร ฟังอย่างไรมันก็มันไม่พ้นคำว่า 2 มาตราฐานดูอีกทีออกจะ 3 มาตรฐานด้วยซ้ำไปเพราะพูดกับภิกษุชราก็อีกแบบหนึ่ง ทำให้เขาเริ่มที่จะไม่เข้าใจในตัวเด็กสาวเข้าไปทุกทีแล้ว ตกลงว่าเธอเป็นคนประเภทไหนกัน แต่ที่แน่ๆต้องเป็นเภทที่ยากแก่การเข้าใจแน่นอน
                      ...แถมมีทีท่าที่ยังดูเหมือนจะเปิดศึกมากกว่าสงบศึกอีก!...
                      เห็นทีจะต้องกู้สถานการณ์
    ______________________________________________

            
    รถไฟฟ้าหน้าบ้านผมเอง...โอ๊ะๆอีกไม่นานหรอกครับ

    มันจะกลายเป็นกองซากขยะแล้ว...

    คึๆๆๆ

    คุ้นๆกันมั้ยที่นี่ที่หนายยยยยยยยยย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×