ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #40 : Chapter 34 : งานเข้า!! คิมฮีชอล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.37K
      7
      29 ก.ย. 54


    Chapter 34 : งานเข้า!! คิมฮีชอล
     
     
     
     
     
     
                    เช้าใหม่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นเช้าที่เร่งรีบสำหรับฮันคยองและฮยอกแจที่ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อกลับมาที่หอเพื่อทำภารกิจส่วนตัวและเข้าเรียนให้ทันคาบแรก แต่มันกลับเป็นเช้าที่ดูสบายๆของใครอีกคนที่ยังคงนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาเนื่องจากคาบแรกของวันนี้เริ่มตอนสิบโมงทำให้สามารถทำตัวเอื่อยเฉื่อยได้เต็มที่
     
                แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาแต่มันคงไม่อาจทำให้ซองมินที่นอนคลุมโปงอยู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้ หากแต่เป็นเพราะแรงที่ฉุดกระชากดึงผ้าห่มผืนหนานั้นออกจากตัวเผยให้เห็นใบหน้าหวานยามหลับตาพริ้มเหมือนเด็กกำลังล่องลอยอยู่ในโลกแห่งความฝัน คยูฮยอนเหยียดยิ้มบางๆให้กับความน่ารักของคนรักตรงหน้า ว่าแล้วก็ไม่รอช้าตรงเข้าไปฉกชิงความหอมจากแก้มนิ่มๆนั่นเสียหน่อยก่อนที่จะไปเรียน
     
                ปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มใสแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนผละออกมาทำเอาคนที่หลับอยู่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คยูฮยอนยิ้มทักทายรับเช้าวันใหม่ยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปิดหน้าซองมินอยู่เบาๆในขณะที่ตัวเขาเองก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียง
     
                “จะไปเรียนแล้วเหรอ” ถามออกไปน้ำเสียงงัวเงียเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างที่ส่งมาให้ ซองมินยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งช้าๆ เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาแปดโมงตรง อีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มคาบเรียนของคยูฮยอนแล้วนี่นา
     
                “อืม” พยักหน้ารับเบาๆ พลางยกมือขึ้นจับผมที่ปะใบหน้าข้างแก้มไปทัดหู ความจริงแล้วคยูฮยอนก็ไม่ได้อยากจะปลุกซองมินให้ตื่นนักหรอก แต่อยากได้อะไรที่ทำกันเป็นกิจวัตรประจำวันเท่านั้นเอง
     
                “แล้วกินข้าวหรือยัง”
     
                “ก็รอไปกินพร้อมเพื่อนไง แต่ตอนนี้รออะไรบางอย่างอยู่” คยูฮยอนบอกแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม ซึ่งซองมินเองก็คงรู้ดีว่าที่คนรักพูดถึงนั้นหมายความว่าอย่างไร
     
                ริมฝีปากบางยิ้มเขินเหมือนเช่นทุกทีก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วจุ๊บเบาๆที่แก้มของคยูฮยอนก่อนจะผละออก เอื้อนเอ่ยคำพูดแสนหวานอย่างเช่นทุกครั้งก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเรียน สมกับเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันที่ความหวานชื่นมีมากกว่าทะเลน้ำตาลเสียอีก
     
                “ตั้งใจเรียนล่ะ”
     
                คยูฮยอนยิ้มรับตามเคยยกมือยีผมซองมินเบาๆก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเตรียมตัวออกไปเรียน ที่กล้าหอมกล้าจูบกันแบบนี้ทั้งที่คบกันได้ไม่กี่วันใช่ว่าพวกเขาไวไฟอะไรหรอกนะ ตัวซองมินเองก็น่ารักใช่ย่อยซะที่ไหน ยิ่งยอมรับหัวใจตัวเองไปแล้วบอกได้เต็มปากเลยว่าตอนนี้คยูฮยอนหวงแฟนคนนี้อย่างถึงที่สุด เลยอยากจะทำอะไรหวานๆตามประสาคนรักกันบ้าง เติมรักให้กันวันละนิดชีวิตคู่จะได้อยู่กันยาวนาน และไม่ใช่ว่าตอนนี้คยูฮยอนจะเห็นซองมินเป็นคนรักคนสุดท้าย ในภายภาคหน้าเขาอาจจะได้เจอใครที่ดีกว่าหรืออาจมีอันต้องเลิกรากันไป แต่ ณ เวลาปัจจุบันนี้ขอแค่ทำสิ่งที่คิดว่าดีให้มันดีที่สุดก็พอ
     
                “ตอนกลางวันให้ไปรับมั้ย” เอ่ยถามขณะเดินไปยังประตูห้อง ที่คยูฮยอนถามออกไปก็เพื่อความแน่ใจ เขารู้ดีว่าซองมินเองก็อยากจะนั่งทานข้าวด้วยกันแต่ก็ห่วงเรียวอุกที่หลังจากคบกันมักจะโดนทิ้งให้หนีไปทานกับฮยอกแจที่อยู่ต่างคณะอยู่บ่อยๆ
     
                “ไม่ต้องหรอกนายกินกับเพื่อนนั่นแหละจะได้ไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา อีกอย่างทิ้งเรียวอุกบ่อยๆเดี๋ยวจะโดนน้อยใจเอา” ส่ายหน้าตอบคำถามและอธิบายเหตุผลเพิ่มเติม ซึ่งคยูฮยอนก็พยักหน้ารับทราบ
     
                “งั้นไปก่อนนะ อย่ามัวแต่นอนเพลินจนตื่นไม่ทันล่ะ หรือว่าต้องให้โทรมาปลุก” ถามทีเล่นทีจริงขณะที่คยูฮยอนกำลังสวมรองเท้าอยู่บริเวณประตู
     
                “รู้แล้วน่า นายรีบๆไปเลยเดี๋ยวก็สายหรอก” ซองมินโบกมือไล่เหมือนรำคาญแต่กลับยิ้มหวานส่งไปให้เสียอย่างนั้น
     
                หลังจากใส่รองเท้าเสร็จคยูฮยอนจึงหันกลับมายิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมล็อกประตูไว้ให้เสร็จสรรพเพราะกลัวใครจะประสงค์ร้ายเข้ามาทำมิดีมิร้ายคนที่หวงแสนหวงคนนี้เข้า ทั้งที่จริงๆแล้วหอแห่งนี้นั้นปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ อยู่กันมาก็ตั้งหลายเดือนแต่พอเลื่อนสถานะจากรูมเมทเป็นแฟนเข้าหน่อยกลับทำท่าทีหวงออกนอกหน้าเสียอย่างนั้น
     
                เมื่อประตูปิดลงซองมินก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง รอยยิ้มหวานๆยังคงประดับอยู่บนใบหน้าหวานไม่แพ้รอยยิ้มอยู่อย่างนั้น รู้สึกอิ่มเอมใจ หัวใจมันพองโตจนหุบยิ้มแทบไม่ลง นี่น่ะหรือความรัก แรกรักที่ทำให้คนลุ่มหลงและมีความสุขได้ขนาดนี้ แต่ถ้าหากเข็มนาฬิกามันเดินวนต่อไปเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านพ้นจะทำให้ความรักหวานชื่นเหมือนแรกรักหรือเปล่านะ
     
     
     
     
     
                ก่อนคบกันว่าหวานแล้วแต่ดูเหมือนหลังคบกันจะหวานยิ่งกว่า เมื่อบอดี้การ์ดอย่างคังอินไม่ยอมปล่อยให้นางฟ้าตาหวานแฟนหนุ่มหน้าสวยของตนห่างสายตาเลยแม้แต่นิดเดียวนอกเสียจากเวลาเรียน จนเพื่อนร่วมคณะอย่างชินดงยังต้องระเห็จหนีหายไปสุงสิงอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่นแทนเนื่องจากทนเห็นฉากหวานๆของคู่รักคู่นี้ไม่ได้ แม้หลายครั้งที่อีทึกพยายามห้ามคังอินทำตัวออดอ้อนเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อน แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นตนเองเสียอย่างนั้นที่ยอมรับบทเล่นต่อแถมยังดูออดอ้อนหน้าหมั่นไส้มากกว่าเก่าเสียอีก
               
    แต่ใครเล่าจะสู้ความสนิทสนมของคิบอมกับดงแฮที่ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่ได้คบกันแต่การกระทำมันกลับถลำลึกไปไกลมากกว่านั้นเสียแล้ว ท่าทางอ้อนๆที่เห็นอยู่เป็นนิจของดงแฮยังมีให้เห็นอยู่เช่นเคย หากแต่พักหลังกลับดูใกล้ชิดและถึงเนื้อถึงตัวมากกว่าเคย อย่างเช่นไอ้อาการงอนง้อของคู่นี้ที่กำลังทำให้สายตาหลายคู่ในโรงอาหารจ้องมองมาอยู่
     
                “กินอันนี้มั้ยคิบอม อร่อยนะ” ดงแฮตักน้ำแข็งใสเข้าปากเมื่อได้ลิ้มรสชาติหวานๆเย็นๆชื่นใจก็เอ่ยชวนรูมเมทมาดนิ่งของตนทันที นิ้วก็ชี้ที่ถ้วยน้ำแข็งใสของตัวเองให้คิบอมลองกินดู  
     
                “ป้อนหน่อยสิ” จากที่ไม่เคยไม่พูดได้ต่อเสริมเติมคำมากนักแต่บัดนี้คิบอมกลับทำมันมากขึ้น สงสัยคงจะติดนิสัยขี้อ้อนจากดงแฮมาแล้วเป็นแน่
     
                “อ่ะ” ได้ยินคำขอดงแฮก็ไม่รอช้ารีบตักน้ำแข็งใสไปจ่อที่ปากคิบอมทันทีแล้วยิ้มกว้างไปให้
     
                คิบอมอ้าปากงับช้อนกินน้ำแข็งใสคำนั้นเข้าไปก่อนจะยิ้มตาเป็นขีด ดงแฮเปลี่ยนเป็นอมยิ้มแทนมองหน้าคิบอมด้วยท่าทางเขินอายแปลกๆแล้วดึงช้อนกลับมากัดเล่นเสียอย่างนั้น ตั้งแต่เรื่องราวงอนๆง้อๆกันคราวก่อนทำให้ทั้งคิบอมและดงแฮรู้จักที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตนเองมากขึ้น เพราะไม่อยากกลับไปอยู่ในเหตุการณ์อันน่าอึดอัดแบบนั้นอีก กล้าที่พูด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะบอกและแสดงออกอะไรหลายๆอย่าง เหลือแค่เพียงความรู้สึกลึกๆที่ยังไม่มีใครกล้าเผยมันออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างแน่ชัดก็เท่านั้น
     
     
     
     
     
                หลายวันแล้วที่หลังเลิกเรียนมักจะเห็นพ่อหนุ่มหน้ากลมตาตี่ คนแปลกหน้าแปลกตาของชาวคณะมนุษยศาสตร์เดินมารับหนุ่มน้อยร่างเล็กผู้เป็นรูมเมทกลับหอไปพร้อมกัน เนื่องจากเพื่อนผู้น่ารักร่วมคณะดันตัดหน้ามีแฟนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียวอุกจึงถือโอกาสนี่บังคับเยซองให้มารับด้วยความเต็มใจเพราะแอบหมั่นไส้คนมีคู่เดินกลับหอด้วยกันทุกวัน
     
                “ว่าไงคยูฮยอน มารับแฟน?” เยซองที่เดินมาเจอคยูฮยอนที่หน้าคณะมนุษยศาสตร์พอดีเลิกคิ้วถามด้วยท่าทางกวนๆ ทั้งที่จริงก็รู้อยู่แล้วว่ามารับใคร
     
                “อืม แล้วนายล่ะ มารับแฟน?” คยูฮยอนเล่นมุขกลับพร้อมกับเลิกคิ้วถามด้วยท่าทางแบบเดียวกันซึ่งเรียกรอยยิ้มจากเยซองได้เป็นอย่างดี
     
                “อืม มารับแฟน” ตอบได้แบบเต็มปากเต็มคำแล้วยิ้มร่า เยซองหันไปมองข้างหน้าก็เห็นรูมเมทตัวเล็กวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนมือเล็กๆจะฟาดเข้าเต็มที่แขนซ้ายจนต้องร้องซี๊ดออกมา
     
                “แฟนที่ไหน! อย่ามามั่ว!” เรียวอุกแหวดเข้าให้เมื่อโดนเยซองตู่ให้เป็นแฟนเสียอย่างนั้น เขาแค่ให้มารับเพราะหมั่นไส้ซองมินกับคยูฮยอนที่หวานเกินหน้าเกินตาไม่ได้ให้มารับในฐานะแฟน
     
                “เรียวอุกอ่า~ ล้อเล่นหรอกคร๊าบ” พูดเหมือนติดจะงอนๆ แต่ใครจะรู้บ้างเล่าว่าไอ้ที่ว่าล้อเล่นเมื่อครู่นี้มันมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ไอ้คำว่าแฟนเนี่ย เยซองกลับอยากให้มันเป็นจริงเหมือนเพื่อนเขาคู่นี้บ้าง
     
                ซองมินเห็นอาการงอนๆง้อๆ ของเรียวอุกกับเยซองแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ก่อนจะเดินเข้าไปหาคยูฮยอนที่ยืนยิ้มรออยู่แล้ว แต่พอเรียวอุกเห็นรอยยิ้มหวานๆที่ส่งให้กันเท่านั้นแขนเรียวก็คว้าแขนของเยซองมากอดไว้ทันที พร้อมท่าทางประกอบเล็กน้อยให้รู้ว่าหมั่นไส้อยู่
     
                “ไปกันเถอะเยซอง เย็นนี้จะกลับหอเลยหรือจะไปหาอะไรกินก่อนดีน้า” ท่าทางที่แสดงออกไปอย่างเดียวมันคงไม่พอ เลยพ่วงเอาคำพูดของคยูฮยอนที่ชอบถามซองมินตอบมารับออกมาด้วย
     
                “ผมว่าเราไปหาไอติมอร่อยๆกินกันดีกว่าเนอะ” แล้วเยซองก็ต่อบทให้ได้อย่างแนบเนียนก่อนคู่รักลวงๆจะเดินควงกันผ่านคู่รักจริงๆไป
     
                ซองมินกับคยูฮยอนมองแล้วก็ได้แต่ขำอยู่ในใจกับวิธีแซวรูปแบบใหม่ของเรียวอุกที่ดูจะเข้าทางเยซองซะเหลือเกิน ก่อนที่คู่รักจริงๆจะหันมาถามประโยคที่เรียวอุกเพิ่งพูดออกไปบ้าง
     
                “แล้วจะไปไหนดี” คยูฮยอนถามความเห็นออกไปแบบไม่เต็มประโยคเพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร
     
                “เราไปกินไอติมอร่อยๆกันดีกว่าเนอะ” แล้วซองมินก็ก็อปคำพูดของเยซองมาซะเกือบเหมือนพร้อมกับเดินเข้าไปควงแขนคยูฮยอนบ้าง ทำเอาคนพ่อรูมเมทตัวสูงหัวเราะร่าชอบใจยกใหญ่
     
                “ครับผม” ตอบทั้งรอยยิ้มแก้มปริเดินเคียงคู่กันไปตามทางของมหาวิทยาลัย เส้นทางที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ถนนที่ยิ่งตัดก็ยิ่งยาว กับความรักที่ยากจะห้ามใจรู้ตัวอีกทีก็ถล้ำลึกเกินกว่าจะถอนเสียแล้ว
     
     
     
     
               
    “อาม่ากับแม่นายกลับไปแล้วเหรอ ทำไมกลับเร็วจังล่ะ แล้วไม่เห็นบอกฉันเลย” หายออกไปจากห้องในวันหยุดสุดสัปดาห์เกือบห้าชั่วโมงฮันคยองกลับเพิ่งมาแจ้งข่าวเรื่องอาม่ากับแม่ของเขาให้ฮยอกแจได้ทราบ เนื่องจากฮันคยองเพิ่งพาพวกท่านไปเที่ยวรอบกรุงโซลก่อนส่งขึ้นเครื่องที่สนามบินอินชอนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ความแปลกของอาม่าที่ดันมาในวันเรียนของเขาแล้วตะลอนเที่ยวกับแม่ของเขาแค่สองคน ปล่อยให้วันหยุดที่สมควรจะได้ไปเที่ยวพร้อมหน้ากลับต้องเป็นการไปส่งขึ้นเครื่องบินกลับจีนแทน และที่ทำเอาฮันคยองถึงกับกุมขมับอ้อนอาม่าไม่ให้โกรธอยู่ยกใหญ่คงเป็นเรื่องที่เขาไม่ยอมพาฮยอกแจไปส่งด้วยกัน แม่ว่าที่หลานสะใภ้ที่อาม่าตู่เอาเองว่าอยากได้นักได้หนาทั้งที่ได้เจอตัวเป็นๆแค่ไม่กี่ชั่วโมง และตอนนี้เขาเองก็กำลังโดนว่าที่ภรรยาในอนาคตที่อาม่าพยายามยัดเยียดให้ส่งสายตาเคืองๆให้อยู่ โทษฐานที่ไม่ยอมบอกว่าไปไหนมา
     
    “ฉันรีบไง เมื่อเช้านายก็ยังไม่ตื่น เลยไม่ได้ปลุก” ฮันคยองยกเหตุผลข้างๆคูๆขึ้นมาอ้าง ความจริงเขากลัวบอกไปแล้วฮยอกแจจะตามไปด้วยอีก เขาไม่อยากเพิ่มความอยากได้หลานสะใภ้เป็นฮยอกแจของอาม่า เพราะแค่นี้เขาก็โดนปลูกฝังให้รีบจีบฮยอกแจมามากพอแล้ว ไม่เข้าใจผู้หญิงสวยๆก็มีตั้งเยอะแยะทำไมอาม่าต้องอยากได้รูมเมทจอมซกมกคนนี้หนักหนา
     
    “เหรอ โทรมาบอกกันก็ได้หนิ แบบนี้ฉันก็ไม่ได้ร่ำลาญาติผู้ใหญ่นายเลยน่ะสิ” ว่าหน้างออย่างไม่สบอารมณ์ ฮยอกแจนั่งกอดอกมองฮันคยองที่กำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงกระดาษที่ถือเข้ามาด้วย ถ้าเดาไม่ผิดคิดว่าคงเป็นของฝากจากอาม่ากับคุณแม่อีกแน่
     
    “เอาเถอะน่า เดี๋ยวไว้คราวหน้าฉันพานายไปเยี่ยมอาม่าที่จีนเลย ส่วนอันนี้อาม่าฝากมาให้นาย” บอกฮยอกแจเหมือนปลอบเด็กว่าคราวหน้าจะพาเที่ยวซึ่งฮยอกแจรีบเบะปากใส่ทันที ก่อนฮันคยองจะยื่นซองกระดาษเล็กนั้นมาตรงหน้า ซึ่งฮยอกแจก็เอื้อมมือไปคว้าทันทีเมื่อรู้ว่าใครฝากมา
     
    “อะไรอ่ะ” ถามพร้อมเปิดซองดูไปพร้อมกัน ฮยอกแจหยิบสร้อยเงินเส้นเล็กที่อยู่ภายในซองออกมามองด้วยสายตาเป็นประกาย สร้อยเส้นนี้มีแหวนเงินสองวงคล้องกันอยู่และมีคำสลักเป็นภาษาจีนอยู่ด้านในของวงแหวน ซึ่งแน่นอนว่าฮยอกแจไม่รู้ความหมายของมัน
     
    ฮันคยองที่เห็นของฝากจากอาม่าที่ให้ฮยอกแจก็รีบตรงเข้าไปนั่งดูอยู่ข้างๆ ตลอดทางที่กลับมาเขาอยากจะเปิดดูว่ามันคืออะไรแต่ก็ห้ามใจตัวเองไว้เพราะคิดว่ามันไม่สมควร และเขาก็ไม่คิดว่าอาม่าจะให้สร้อยกับแหวนคู่กับฮยอกแจเป็นของฝาก ส่วนจุดประสงค์ที่อาม่าทำแบบนี้เขาเองก็เดาได้ไม่ยากเลย
     
    “อ่านให้ฟังหน่อยสิ” ฮยอกแจเขยิบเข้าไปใกล้ฮันคยองพร้อมกับยื่นแหวนไปให้ ซึ่งคนอยากรู้อยากเห็นก็รีบรับมันมาอ่านในทันที
     
    “หือ?” อ่านข้อความที่สลักลงด้านในของแหวนทั้งสองวงจบฮันคยองถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่อยากเชื่อ ไม่คิดเลยว่าอาม่าเขาจะสลักข้อความแบบนี้ลงไป
     
    “มันแปลว่าไรอ่ะ” ชะโงกหน้ามาถามอย่างอยากรู้ แต่ฮันคยองกลับยัดแหวนใส่มือฮยอกแจแล้วส่ายหน้า
     
    “ความลับ” ประโยคเดิมที่ฮันคยองเคยตอบฮยอกแจยามที่อาม่ากับแม่ของเขาเอ่ยชมรูมเมทคนนี้ ซึ่งเรียกหน้าตาบึ้งตึงของฮยอกแจให้กลับมาได้อย่างทันท่วงที แต่คนที่รู้ความหมายก็ยังใจแข็งไม่ยอมบอกเช่นเดิม
     
    “ทำไมชอบทำให้มันเป็นความลับอยู่เรื่อย บอกมานะว่ามันสลักคำว่าอะไร” ฮยอกแจเริ่มขู่แต่อีกคนยังคงนิ่งเหมือนเดิม ให้ตายยังไงฮันคยองก็ไม่บอกหรอก
     
    ฮันคยองไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะลุกขึ้นไปจัดการกับถุงของฝากทั้งหลายที่อาม่ากับแม่ทิ้งไว้ให้ ปล่อยให้ฮยอกแจนั่งอมลมแก้มป่องด้วยความขัดใจอยู่อย่างนั้น
     
    “มันมีสองวงแบบนี้ก็แล้วอีกวงเป็นของใครล่ะ หรือว่าของนาย” ถามออกไปเสียงดังตามที่ตัวเองคิด ซึ่งฮันคยองก็ทำเพียงแค่หันมายิ้มให้แล้วหันกลับไปสนใจของฝากดั่งเดิม ฮยอกแจเลยได้แต่นั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียวที่ถามอะไรไปฮันคยองก็ไม่ยอมบอกสักอย่าง ถ้าไม่บอกเขาก็ไม่ง้อแล้ว อินเตอร์เน็ตก็มีหาความหมายเอาจากในนั้นก็ได้
     
    เสียงฮยอกแจที่เงียบไปดึงความสนใจของฮันคยองให้หันไปมองและพบว่ารูมเมทจอมซกมกกำลังเปิดโน้ตบุ๊กของตัวเองเล่นอยู่ เอาเถอะ จะรู้เองหรือเขาบอกสักวันฮยอกแจก็คงต้องรู้ ความหมายของคำที่อาม่าจงใจสลักไว้บนแหวนทั้งสองวง
     
    แหวนเงินวงแรก รูปแบบเรียบเกลี้ยงทั้งวงดูเรียบหรู ด้านในสลักคำว่า ‘หลานชาย...หานเกิง’
    อีกวงมีเพชรเม็ดเล็กติดอยู่เพื่อไม่ให้ดูเรียบจนเกินไป ด้านในสลักคำว่า ‘หลานสะใภ้...ฮยอกแจ’
     
     
     
     
     
     
    เป็นอีกวันหยุดที่ดูจะวุ่นวายไม่น้อยสำหรับไอ้โรคจิตกับยัยขี้โวยวาย เพราะตั้งแต่เช้าทั้งสองคนก็โดนทางบ้านโทรตามจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง คนหนึ่งนั่งคุยโทรศัพท์อยู่นอกระเบียงส่วนอีกคนนอนคลุมโปงคุยอยู่บนเตียง เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันเป็นความลับของครอบครัว คงไม่มีใครอยากให้มันรั่วไหลถึงหูคนอื่นทั้งที่เป็นรูมเมทกันก็ตาม เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สมควรจะบอก โดยเฉพาะคู่กัดอย่างสองคนนี้
     
    “พรุ่งนี้เหรอครับแม่ มันกะทันหันไปหน่อยหรือเปล่า” ฮีชอลเปิดผ้าห่มที่คลุมโปงไว้ออกพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก สายตาก็เหล่มองซีวอนที่ทำหน้ารื่นเริงคุยโทรศัพท์ต่างกับตนเองลิบลับ ดูจากท่าทีแล้วคงไม่มาสนใจเสียงโวยวายของเขาแน่ๆ
     
    (อย่าเรื่องมากน่ะฮีชอล งานนี้สำคัญมากจริงๆนะลูก กว่าแม่จะเจรจาได้ไม่ใช่เล่น) เสียงของผู้เป็นแม่ดุผ่านสายโทรศัพท์เพราะลูกชายตัวดีดูจะไม่ยอมเอาง่ายๆ ทั้งที่เรื่องแบบนี้ก็เคยทำมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
     
    “ผมไม่ทำไม่ได้เหรอครับแม่ เราเลิกทำแบบนี้เถอะ” เอ่ยขอร้องไปทั้งที่รู้ดีว่ายังไงก็คงไม่ได้ผล และแน่นอนว่าฮีชอลต้องถูกดุกลับมาอีกตามเคย
     
    (ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเรื่องมาก ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ถ้าลูกสัญญาว่าจะไม่ทำเสียเรื่อง รับรองว่าเราสบายกันไปทั้งชาติแน่) เสียงเหมือนผู้กุมชัยชนะอยู่ในมือตอบกลับมา พอได้ยินแบบนี้ฮีชอลก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้จะขัดแม่ของตนอย่างไร ดูแล้วแม่คงมั่นใจเหลือเกินว่าสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำลงไปมันต้องสำเร็จ ทั้งที่บทเรียนเลวร้ายก็มีหลายต่อหลายครั้ง สารภาพตามตรงว่าเขาไม่อยากทำมันเลยจริงๆ
     
    “ก็ได้ครับแม่” ฮีชอลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน พ่อกับแม่คงเป็นคนเดียวสินะที่เขาไม่สามารถโวยวายใส่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นมาบังคับเขาแบบนี้ล่ะก็คงอาละวาดใส่ไปนานแล้ว คิดซะว่าสิ่งที่ทำเพื่ออนาคตของครอบครัว ถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำได้กันล่ะ
     
    ด้านซีวอนเองก็กำลังคุยโทรศัพท์กับทางบ้านด้วยสีหน้าเบิกบาน เพราะพรุ่งนี้ครอบครัวของเขานัดออกไปทานข้าวด้วยกันหลังจากที่เขาไม่ได้กลับไปค้างหรือทำกิจกรรมร่วมกับที่บ้านอยู่หลายเดือน เลยใช้เวลาว่างในวันหยุดแบบนี้คุยจ้อโม้เรื่องสนุกๆ ขณะเป็นนักศึกษาพักอยู่หอเสียหน่อย
     
    “พรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็นนะครับ ได้ครับได้” ตอบกลับไปเสียงสดใสเมื่อได้เวลานัดที่แน่นอน
     
    (อย่าสายนะจ๊ะ แม่คิดถึงลูกนะ อย่าลืมแต่งตัวหล่อๆล่ะลูกแม่)
     
    “ซีวอนลูกแม่คนนี้แต่งแบบไหนก็หล่ออยู่แล้วล่ะครับ ไม่งั้นคนสวยๆไม่ติดตรึมแบบนี้หรอก” พูดจบซีวอนก็หัวเราะกว้างกับความหลงตัวเอง
     
    ฝั่งคุณหญิงแม่เมื่อได้ฟังกลับจิ๊ปากอย่างหมั่นเขี้ยวพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก่อนจะหัวเราะกลับมาเบาๆ ถึงแม้ซีวอนจะพูดเหมือนคนหลงตัวเองแต่เธอรู้ว่ามันเป็นอย่างลูกชายเธอพูดจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกลูกคุณหญิงคุณนายทั้งหลายคงไม่หวังจะจับลูกชายของเธอมากมายตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเก่ง คุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้จะมีใครที่ไม่ต้องการ แต่ดีที่พอขึ้นมหาวิทยาลัยเธอส่งลูกชายไปอยู่หอใช้ชีวิตเหมือนนักเรียนนักศึกษาธรรมดา จนทำให้ซีวอนหายหน้าหายตาออกไปจากวงการไฮโซ เรื่องพวกลูกสาวคุณหญิงคุณนายทั้งหลายที่หวังจะมาจับหวังฮุบสมบัติจึงทุเลาลงไปบ้าง ถึงจะมีเอ่ยถามถึงบ้างในช่วงแรกๆก็ตามแต่เธอก็ไม่ได้บอกอะไรนอกเหนือจากว่าตอนนี้ซีวอนกำลังเรียนหนัก ความจริงเธอก็อยากให้ซีวอนมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหมือนกัน และเธอไม่ได้หวังสูงอยากได้พวกลูกคุณหญิงคุณนายพวกนั้นเลยสักนิด ขอแค่เพียงคนจริงใจและจริงจังกับลูกชายของเธอก็พอ
     
    (จ้าพ่อรูปหล่อของแม่ อย่ามาสายแล้วกันนะจ๊ะ งั้นแม่ขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะลูกนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้) ย้ำลูกชายอีกไม่ให้ลืมนัดก่อนจะบอกลา
     
    “ครับแม่ รักแม่นะครับ”
     
    (รักลูกเหมือนกันจ้า) จบคำบอกรักต่างฝ่ายก็ต่างวางสายไป ซีวอนฉีกยิ้มกว้างเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงก่อนเดินเข้าไปในห้อง แต่แล้วอารมณ์ดีๆที่กำลังพาบรรยากาศสดใสกลับดูหม่นหมองลงเมื่อเจอคู่กัดอย่างฮีชอลนั่งหน้าบึ้งอยู่
     
    “เป็นอะไร” เอ่ยถามห้วนๆแต่เจือไปด้วยความเป็นห่วง ซีวอนเดินไปล้มตัวนอนบนเตียงตัวเองหันหน้าไปทางฮีชอลเพื่อรอคำตอบ
     
    ไร้เสียงตอบรับจากคำถามที่ส่งไป ฮีชอลเบ้ปากเล็กน้อยแล้วเมินหน้าใส่ซีวอนเสียอย่างนั้นจนมันดูผิดวิสัยตามประสาคนขี้โวยวายที่ซีวอนรู้จัก แต่ ณ อารมณ์นี้พ่อรูปหล่อบ้านรวยก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรมาก ดีเสียอีกที่วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งทำให้ฮีชอลยอมสงบปากสงบคำ ถึงมันจะเหงาหูไปหน่อยแต่มันก็เงียบสงบอย่างที่เคยต้องการ
     
    “พรุ่งนี้ตอนเย็นฉันไม่อยู่ห้องนะ” ซีวอนบอกเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเผื่ออยู่ดีๆหายตัวไปฮีชอลที่อาจจะนึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาบ้างจะได้ไม่ต้องกระวนกระวายเฝ้าโทรตาม
     
    “ส่วนฉันคงไม่อยู่ตั้งแต่ตอนสายๆ” บอกนัดหมายของตัวเองกลับไปบ้างซึ่งทำเอาซีวอนเลิกคิ้วอย่างสงสัย
     
    “จะไปไหน”
     
    “ฉันต้องบอกนายด้วยหรือไง” ตวัดเสียงถามกลับเริ่มออกลายฮีชอลคนเก่าทำเอาซีวอนชักรู้สึกถึงลางไม่ดี สงสัยได้ปะทะคารมกันอีกเป็นแน่
     
    “ไม่รู้ก็ได้วะ” ซีวอนสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก คนอุตส่าห์ถามดีๆดันมากวนอารมณ์ใส่เสียได้ แต่วันนี้เขาจะยอมสงบศึกอยู่ปรองดองกันสักวัน ถ้าไม่ต่อปากต่อคำอะไรไปมากแล้วหวังว่าฮีชอลคงไม่สวนอะไรกลับมาหรอกนะ
     
    ไร้เสียงโต้ตอบกลับมาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ใบหน้าสวยๆที่มักจะแหวดใส่ซีวอนตลอดตอนนี้กลับเอาแต่ซุกอยู่ที่หัวเข่า คนมองก็ได้แต่มองอย่างสงสัยต่อไปเพราะขืนถามอะไรออกไปเจ้าตัวคงไม่ตอบ ดีไม่ดีอาจจะมีปากมีเสียงกันอีกก็เป็นได้ คงต้องรอเวลาที่เจ้าตัวจะพูดออกมาเอง เวลาที่ซีวอนไม่รู้ว่ามันจะเป็นของเขาหรือเปล่า

    --------------------------------------------------



    Kr…Talk

    อันยอง!!! คิดถึงไรเตอร์กันไหมจ๊ะเพื่อนๆ
    หลังจากสิ้นสุดการสอบไฟนอลก็เลยมาอัพฟิคฉลองซะหน่อย คิคิ

    ตอนนี้เป็นของวอนชอลชิปเปอร์นะจ๊ะ

    ใครที่กำลังคิดถึงทั้งคู่ ที่คนนึงไปเป็นทหารซะแล้ว ฮือๆๆ
    TwT
    ส่วนอีกคนก็ถ่ายแต่ละครจนไม่ได้ขึ้นไลฟ์
    A-Cha เลย
    ก็มาอ่านฟิคของไรเตอร์แก้เซ็ง(หรือจะเซ็งกว่าเดิม เพราะความดราม่า)ไปก่อนนะจ๊ะ 

    เนื่องจากวันนี้ยังไม่ได้นอน(?) ก็เลยจะอัพให้2ตอนติดเลย
    เพราะไม่อยากให้ความดราม่าค้างคา(หรือจะค้างกว่าเดิม?)
    ช่วยกันเม้นกันโหวตให้ด้วยนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×