ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #41 : Chapter 35 : Kim Chulli?

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.45K
      7
      29 ก.ย. 54


    Chapter 35 : Kim Chulli?
     
     
     
     
     
                    เมื่อตะวันสายโด่ง แสงสีทองสาดส่องผ่านช่องหน้าตาเข้ามาเป็นเวลาที่ฮีชอลต้องออกเดินทางไปตามนัดที่แม่ของเขาบังคับตายตัวแล้วว่าต้องไป ร่างบางเหวี่ยงกระเป๋าเป้ใบเล็กขึ้นสะพายบ่าซึ่งภายในนั้นมีเพียงกระเป๋าสตางค์ใบเดียว สายตาเรียวเล็กเหลือบมองรูมเมทที่ยังคงนอนอุตุไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ถึงอย่างนั้นฮีชอลก็ไม่ได้คิดจะบอกหรือร่ำลาอะไร เพราะเมื่อวานได้คุยกันไปบ้างแล้ว ยังไงซะซีวอนก็คงไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าเขาจะหายไปไหน
     
                ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกรอบด้วยใจห่อเหี่ยวก่อนฮีชอลจะย่างกรายออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ นึกถึงเรื่องราวที่จะต้องพบต่อจากนี้แล้วอยากจะเดินหันหลังกลับไปทางเดิมแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อครอบครัวเลือกทางเดินแบบนี้แล้วลูกชายผู้ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอย่างเขาจะทำอะไรได้ ถ้าคัดค้านก็เท่ากับอกตัญญู จำไว้เสียเถอะว่าเงินทองมากมายที่พ่อกับแม่ส่งเสียได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะอาชีพที่เขาเกลียดหนักหนา
     
                ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก็เดินทางมาถึงที่หมาย ฮีชอลเดินเข้าไปในตึกแถวความสูงสามชั้นอย่างคุ้นเคยแม้จะไม่ได้เข้ามาเหยียบที่นี่นานหลายเดือนแล้วก็ตาม ร่างโปร่งเปิดประตูเข้าไปซึ่งเป็นร้านเสริมสวยของน้าสาวและดูเหมือนกำลังนั่งเม้าท์กับแม่ของเขาอย่างออกรสออกชาติ เสียงกรุ๊งกริ๊งบริเวณหน้าประตูเรียกความสนใจจากสาวๆให้หันมามอง ก่อนที่คิมนารา คุณแม่ของฮีชอลจะยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
     
                “ไงจ๊ะลูกแม่ หน้าบึ้งเชียว” นาราทักลูกชายอย่างหยอกล้อเพราะรู้ดีว่าฮีชอลไม่เต็มนักใจที่จะทำตามที่เธอสั่ง
     
                “สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับน้าชินเฮ” ฮีชอลโค้งทักทายผู้ใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงที่โซฟาข้างแม่ตัวเอง
     
                “วันนี้จะเอาแบบไหนดีล่ะ ผมลูกยาวมากแล้วนี่นา แบบนี้ไม่ต้องใส่วิกก็ได้” นาราทำท่านึกพลางพินิจพิเคราะห์ใบหน้าแสนหวานของลูกชายไปด้วย มือยกขึ้นจับผมสลวยที่บัดนี้ยาวเลยบ่าลงมาเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มออกมา ยากจะคิดไปเองว่าฮีชอลปล่อยให้ผมยาวขนาดนี้เพื่อรองานนี้ที่เธอจะสั่ง แต่มันก็คงเป็นไม่ได้เพราะลูกชายเธอเกลียดงานแบบนี้จะตาย
     
                “จะยังไงก็แล้วแต่แม่เถอะครับ” ตอบอย่างเบื่อหน่ายเพราะถึงยังไงก็คงค้านอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว
     
                ฮีชอลนั่งกอดอกปั้นหน้านิ่งให้นารากับชินเฮช่วยกันคิดรูปแบบที่จะจับเขาแปลงโฉมเป็นสาวสวยในวันนี้ หลายต่อหลายครั้งแล้วที่ครอบครัวเขามักได้เงินมาจากการโกงชาวบ้านชาวช่อง โดยการแฝงตัวไปเป็นหุ้นส่วนแต่สุดท้ายก็โกงเงินเขามาก้อนโต แถมยังต้องเร่ล่อนหาที่อยู่ใหม่ไปเรื่อยเมื่อโดนบริษัทที่โกงจับได้บ้าง เฉียดเข้าคุกเข้าตารางมาก็หลายทีแต่ไม่เห็นจะเข็ดหลาบกัน ซ้ำร้ายยังชอบจับเขาแต่งเป็นผู้หญิงไปหลอกพวกลูกชายคุณหญิงคุณนายรวยๆ พอได้ในทรัพย์สินเงินทองที่ต้องการก็ตีตัวออกห่างแล้วหายหน้าหายตาไปเฉยๆ จนกระทั่งตอนที่เขาเข้ามหาวิทยาลัยดูเหมือนพ่อกับแม่จะห่างหายออกไปจากวงการต้มตุ๋นนี่แล้ว แต่ที่ไหนได้กลับกำลังซุ่มเงียบหลอกล่อเหยื่อรายใหม่ให้มาติดกับอยู่ และดูเหมือนจะเป็นเหยื่อที่ใหญ่และหนักมากเสียด้วย
     
                “ฉันว่าเริ่มจากทำผมก่อนดีมั้ย เอาเป็นทำสีแล้วดัดลอน ดูน่ารักและเซ็กซี่นิดๆ” ชินเฮเสนอ เพราะทุกครั้งที่ฮีชอลต้องแต่งเป็นหญิงไปหลอกพวกลูกชายคนรวยก็ได้เธอนี่แหละที่เป็นคนแปลงโฉมให้
     
                “โอเคเลย งั้นเดี๋ยวฉันออกไปหาซื้อเสื้อผ้าสวยๆก่อนนะ” รับข้อเสนอของน้องสาวจากนั้นนาราจึงเดินออกไปจากร้านด้วยความร่าเริงเต็มที่ งานนี้ถ้าสำเร็จรับทรัพย์กันไม่หวาดไม่ไหวแน่
     
     
                เมื่อนาราออกไปแล้วชินเฮก็เริ่มจัดการแปลงโฉมหลานชายหน้าหวานโดยเริ่มจากการเปลี่ยนสีผมอย่างที่บอกเอาไว้ หุ่นจำเป็นอย่างฮีชอลเลยทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆหรือเดินไปตามแรงฉุดของน้าสาวด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม อารมณ์หดหู่ที่ต้องทำแบบไม่เต็มใจยังไม่เลือนหายไปง่ายๆ ได้แต่ภาวนาให้วันนี้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วและสำเร็จตามที่แม่ได้ตั้งใจไว้ เพราะไม่อย่างนั้นครอบครัวเขาอาจจะเดือดร้อนแบบที่ว่าไม่เหลืออะไรติดตัวเลยก็ได้
     
                บริษัทที่แม่ตนเองเลือกเล็งคราวนี้ฮีชอลรู้เพียงแค่ว่าเป็นบริษัทผู้นำธุรกิจอันดับต้นๆของประเทศกว่าจะแทรกแซงเข้าไปได้ก็นานหลายเดือน และพอท่านประธานบริษัทร่ำๆว่าอยากให้ลูกชายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนนาราก็รีบเสนอลูกชายของตัวเองออกไป โดยที่โกหกคำโตว่าฮีชอลน่ะเป็นผู้หญิง ก็เพราะพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ดันหน้าตาสวยหวานยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แถมยังเคยใช้วิธีนี้หลอกใครต่อใครมาได้นักต่อนัก ถ้าจะใช้หลอกล่อเหยื่อรายใหญ่อีกครั้งจะเป็นไรไป ลงทุนเล็กๆน้อยๆ แต่ผลที่อาจจะได้น่ะมันคำนวณออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้เลย
     
                ผ่านไปราวสามชั่วโมงนาราก็กลับมาพร้อมชุดผู้หญิงสวยๆมากมายหลายแบบหลายแบรนด์ที่เลือกสรรมาให้ฮีชอลได้สวมใส่ ย่างก้าวแรกที่ผ่านพ้นประตูเข้ามาสายตาดุคมก็เบิกกว้างพร้อมกับกดรอยยิ้มร้ายเมื่อการแปลงโฉมลูกชายในเบื้องต้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีและเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก
     
                ใบหน้าหวานที่ออกจะบึ้งตึงบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบายังคงเหลือไว้ซึ่งความงามแบบธรรมชาติ แก้มขาวใสถูกปัดให้มีสีสันเล็กๆกับริมฝีปากบางที่ทาด้วยลิปกลอสดูแวววาวเป็นประกายเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ผมที่เคยเป็นสีดำกลับกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนฉายแววเซ็กซี่เล็กๆ โดยการดัดลอนปลายผม
     
                “สวยจังเลยลูกแม่” นาราเดินมายืนตรงหน้าแล้วเอ่ยชม คำชมที่ฮีชอลไม่อยากฟังมันเท่าไหร่นัก เพราะตัวเองเขาเป็นผู้ชายมาชมกันแบบนี้มันไม่ได้น่าภูมิใจเลยสักนิด ถึงจะยอมรับตัวเองอยู่ว่าหน้าตาสวยหวานเกินผู้ชายก็ตาม
     
                ฮีชอลเลือกที่จะเงียบไม่ต่อปากต่อคำอะไรมากปล่อยให้นารากับชินเฮจับเขาแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ตามใจชอบต่อไป
     
                “ลูกเอาชุดพวกนี้ไปลองทีละชุดนะ แล้วออกมาให้แม่ดูว่าเหมาะหรือเปล่า” นารายื่นถุงกระดาษทั้งหมดให้ฮีชอลเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ซึ่งคนโดนสั่งก็ยอมทำตามแต่โดยดี
     
                ชุดแรกเป็นเดรสสีขาวกระโปรงทรงบอลลูนสั้นปิดขาอ่อนเพียงน้อยนิด เข็ดขัดสีครีมคาดรัดเอวกิ่วดูน่ารักไม่หยอกแต่มันก็ยังไม่เข้าตาคณะกรรมการเท่าไหร่นัก นาราจึงยกมือขึ้นโบกน้อยๆไล่ฮีชอลให้กลับเข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่
     
                ต่อมาเป็นชุดเกาะอกสีแดงเลือดหมูโชว์เนื้อผิวเนียนละเอียดให้ได้เห็นกันเต็มๆตา กระโปรงสั้นผ้าพลิ้วโบกสะบัดยามที่ฮีชอลเขยิบตัวไปมาเพื่อหมุนซ้ายหมุนขวาตามคำสั่ง แต่นาราก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี
     
                “ฮีชอลมันไม่มีหน้าอก ฉันก็ลืมนึกไป ใส่แบบนี้ไม่ค่อยเนียน เปลี่ยนๆ” หันไปพูดกับชินเฮก่อนจะสั่งฮีชอลให้ไปเปลี่ยนชุดใหม่มาให้ดู
     
                เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเกือบจะครบสิบชุดสุดท้ายก็ได้บทสรุปที่น่าพอใจ นารายิ้มกว้างเมื่อฮีชอลเดินออกมาในชุดเดรสผ้าซีฟองสีดำ แขนจั้มสามส่วน ปกเสื้อปักมุขสีขาว กระโปรงทรงบานพลิ้วไหวขณะขยับตัว รองเท้าคัทชูส้นสูงสีดำเรียบๆยิ่งทำให้ร่างบางดูสง่ายิ่งขึ้น ดูเป็นเด็กสาววัยใสน่ารักน่าชังแบบที่เธอไปคุยโวไว้กับท่านประธานบริษัทจริงๆ
     
                “ยิ้มหน่อยสิฮีชอล แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ” นาราดุลูกชายที่กลายสภาพเป็นลูกสาวไปแล้วตอนนี้ ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับไปเหยียดตรงดังเดิม ทำเอาคนเป็นแม่ลอบถอนหายใจ
     
                “เอาเถอะฮีชอล ลูกไม่ยิ้มตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราไปถึงที่หมายเมื่อไหร่ลูกต้องยิ้มนะเข้าใจมั้ย ยิ้มกว้างๆ”
     
                “ครับ” ตอบรับสั้นๆแล้วฮีชอลก็เบือนหน้าหนี แต่กลับต้องเห็นภาพสะท้อนของตนเองในกระจกเงาบานใหญ่ของร้านเสริมสวยแห่งนี้ คิมฮีชอลที่เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคน คนที่ไม่มีตัวตนจริงๆอยู่บนโลกใบนี้
     
                “ห้ามตอบว่าครับต้องพูดว่าค่ะ และต่อไปนี้ลูกคือคิมชอลลี่นะจำไว้”
     
                ฮีชอลพยักหน้าตกลงโดยไม่พูดอะไรก่อนจะถูกดึงไปตามแรงของนาราออกไปนอกร้านเมื่อเธอเงยหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว ยังต้องเผื่อเวลาเดินทางไปให้ทันนัด ถ้าชักช้ากว่านี้คงจะสายเป็นแน่
     
                นาราต่อโทรศัพท์ถึงสามีของเธอเพื่อให้ขับรถมารับ รอไม่นานนักรถยุโรปคันหรูก็มาจอดเทียบท่า นาราดันหลังฮีชอลให้เดินขึ้นรถท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้เป็นพ่อที่ไม่คิดว่าคราวนี้จะแปลงโฉมได้งดงามราวนางฟ้าตัวน้อยๆขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะเห็นฮีชอลแต่งเป็นผู้หญิงมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
     
                แต่ชื่นชมในความงามของลูกชายได้ไม่นานอีวานก็ต้องรีบออกรถตามเสียงกระแอ่มไอของภรรยาสุดเฮียบ คันเร่งถูกเหยียบจนแทบมิดเพื่อไปให้ทันเวลาที่เกือบจะสายอยู่มะลอมมะล่อ ไม่รู้ทำไมทั้งที่เป็นวันหยุดแต่รถดันติดในช่วงเย็นๆแบบนี้เสียได้ กว่าจะมาถึงก็จวนเลยเวลานัดเสียแล้ว
     
               
     
     
     
                ห้องอาหารสุดหรูภายในโรงแรมระดับห้าดาว บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารมากมายนานาชนิดจากทั่วทุกมุมโลก ส่วนราคานั้นไปต้องพูดระดับตระกูลชเวที่มีธุรกิจเป็นร้อยล้านพันล้านนั้นเพียงแค่ค่าอาหารไม่กี่วอนไม่ทำให้กระทบกระเทือนรายจ่ายด้านอื่นเลยแม้แต่น้อย เสียงพูดคุยถามถึงสารทุกข์สุขดิบของลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวดังขึ้นไม่หยุดหย่อน รวมถึงเสียงหัวเราะของคนเป็นพ่อกับแม่ และน้องสาวที่เอาแต่นั่งยิ้มประจบพี่ชายสุดที่รักที่ไม่เจอกันมานาน
     
                “ซีวอน ลูกจะโกรธแม่มั้ยนะถ้าวันนี้แม่จะบอกว่ามีแขกพิเศษที่อยากแนะนำให้รู้จัก” คุณหญิงเกริ่นนำอย่างเกร็งๆเพราะกลัวว่าจะทำให้บรรยากาศดีๆเสียหมดหากซีวอนเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเพราะเธอไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้าว่ามีคนอื่นมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย
     
                “ไม่หรอกครับ” เงียบไปพักหนึ่งกว่าซีวอนจะตอบออกมา ความจริงเขาก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันการนัดทานข้าวกับครอบครัวเพียงแค่สี่คนทำไมต้องจัดโต๊ะใหญ่มีที่นั่งกว่าหกเจ็ดที่แบบนี้ แต่ถึงจะรู้ว่ามีคนอื่นมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยเขาก็ไม่อยากทำให้มันเสียเรื่อง บางทีอาจจะเป็นเพื่อนทางธุรกิจที่พ่อกับแม่อยากแนะนำให้เขารู้จักเพื่อการทำธุรกิจร่วมกันในภายภาคหน้าก็เป็นได้
     
                “เหรอจ๊ะ งั้นอีกสักพักคงจะมาถึงกันแล้วล่ะ” บอกอีกครั้งด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกับคุณสามีซึ่งซีวอนเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก หากไม่มีแรงกระตุกน้อยๆที่ชายเสื้อจากน้องสาวสุดน่ารักซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
     
                “นี่ๆพี่ซีวอน หนูจะบอกอะไรให้ ความจริงแม่เค้าอยากนัดพี่มาดูตัวแหละ” เสียงใสๆของจีวอนเอ่ยบอกพี่ชายถึงแผนการที่ทางผู้ใหญ่ซุ่มทำกันอยู่ ซึ่งเธอบังเอิญไปได้ยินพ่อกับแม่คุยกันมา
     
                ซีวอนเลิกคิ้วเป็นเชิงถามน้องสาวโดยไม่พูดอะไรออกมา ซึ่งจีวอนก็รับรู้ด้วยการพยักหน้าถี่ๆกลับมาให้ว่าเรื่องที่เธอบอกไปน่ะเป็นเรื่องจริงล้านเปอร์เซ็นต์
     
                “ไหนดูซิว่าจะสวยสู้น้องสาวพี่ได้หรือเปล่า” ยกมือขึ้นยีผมน้องสาวพูดทีเล่นทีจริงให้จีวอนเคืองเล่น ซีวอนเหยียดยิ้มบางๆเมื่อนึกถึงประโยคที่น้องสาวเพิ่งบอกกล่าวกันเมื่อครู่ ดูตัวงั้นเหรอ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นอยากให้เขามีแฟน พวกลูกคุณหนูรวยๆเรียงหน้าเข้ามาหาไม่เห็นจะสนใจสักราย แล้วนึกยังไงกันนะถึงได้พาเขามาดูตัว อยากรู้จริงๆว่าผู้หญิงคนนั้นมีดียังไง
     
                คุยเล่นกันต่อได้ไม่นานนักบุคคลที่รอคอยก็มาถึง คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งลักษณะดูภูมิฐานและมีฐานะเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร สมาชิกครอบครัวชเวลุกขึ้นโค้งทักทายแขกผู้มาใหม่ทั้งสองคนก่อนจะพูดคุยกันพอเป็นพิธี และเยื้องไปด้านหลังนั้นปรากฏร่างบอบบางของหญิงสาวในชุดเดรสสีดำ เดินก้มหน้าก้มตาตามบุพการีของตนเช้ามา
     
                “ชอลลี่ ทักทายท่านประธานชินโจกับคุณหญิงอึนจองสิลูก”
     
                ฮีชอลเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันก่อนจะโค้งให้ผู้ใหญ่ทั้งสองตามคำบอกกล่าวของมารดา ซึ่งดูจากท่าทางของชินโจและอึนจองแล้วคงจะถูกใจอยู่ไม่น้อย หน้าตาก็ดูน่ารักสวยหวาน มารยาทก็งามสมเป็นกุลสตรี ดูจากภายนอกเมื่อประเมินทางสายตาแล้วถือว่าผ่าน
     
                สายตาของซีวอนจ้องมองตามหญิงสาวผู้ที่ถูกนัดมาดูตัวกับตนไม่วางตาอย่างตกตะลึง ทั้งรูปร่างและใบหน้าละม้ายคล้ายยัยขี้โวยวายรูมเมทของเขายิ่งนัก ทั้งดวงตา จมูกหรือแม้ริมฝีปากเหมือนก็อปปี้กันมาไม่มีผิด จะต่างกันเพียงแค่สีผม ใบหน้าที่ดูจะอ่อนหวานกว่าเล็กน้อย และเธอคนนี้เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย
     
                “ซีวอน จีวอน นี่คุณนารากับคุณอีวานจ่ะ เป็นหุ้นส่วนคนใหม่ของบริษัทเรา” คุณหญิงอึนจองแนะนำลูกชายคนโตและลูกสาวคนเล็กให้ได้รู้จัก ซึ่งทั้งคู่ก็โค้งทักทายอย่างมีมารยาท นารากับอีวานยิ้มแย้มกันเสียยกใหญ่เมื่อได้ยลโฉมความมีเสน่ห์ของซีวอนใกล้ๆ สมกับเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลเสียจริง
     
                หากแต่กลับใครอีกคนที่เมื่อได้ยินชื่อคนคุ้นเคยใบหน้าหวานที่มักจะก้มหน้าตลอดเวลาก็เชิดขึ้นมาทันที ดวงตาเรียวตวัดมองบุคคลดังกล่าวด้วยความตกใจ และเมื่อเห็นว่าทั้งชื่อ ทั้งรูปร่างหน้าตาใช่คนๆเดียวกับคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันทุกวันฮีชอลเป็นอันต้องก้มหน้างุดเหมือนเดิม นี่พระเจ้ากลั่นแกล้งเขาหรือไงกันนี่ ทำไมถึงดลบันดาลให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ทำไมเหยื่อรายใหม่ต้องเป็นซีวอนด้วย
     
                ทักทายกันเสร็จพอเป็นพิธีต่างคนก็กลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง และยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้นที่นั่งของฮีชอลดันติดกับซีวอน คนที่เคยวีนแตกขี้โวยวายไม่แพ้ใครกับไอ้โรคจิตที่ตั้งฉายาไว้ให้บัดนี้กลับเอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบไม่พูดไม่จา คิ้วเรียวสวยขมวดติดกันตลอดเวลาตั้งแต่เห็นหน้าซีวอน หัวใจที่เคยคิดว่าใหญ่บัดนี้หดเล็กเหลือเพียงไม่กี่เซนต์ ไม่อยากจะนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนี้หากซีวอนจำเขาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไอ้แผนที่พ่อกับแม่อุตส่าห์ก่อร่างสร้างกันมาหลายเดือนไม่เป็นอันพังครืดไม่เป็นท่างั้นหรือ ในใจก็อดจะนึกโทษผู้ให้กำเนิดไม่ได้ที่ไม่ยอมเผยไต๋แต่แรกว่าใครกันคือเหยื่อที่กำลังหลอกล่ออยู่ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มจนอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่ตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
     
                “เขินหรือไงจ๊ะหนูชอลลี่ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา” คุณหญิงอึนจองทักทำเอาฮีชอลสะดุ้ง จนต้องยอมเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพราะแรงกระทุ้งจะมารดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ช่วยผลักดันอีกแรง
     
                “เปล่าค่ะ” ดัดเสียงเล็กน้อยพอเป็นพิธีแล้วแย้มยิ้มบางๆ ฮีชอลอยากจะหันไปบอกความจริงกับแม่ของเขาตอนนี้ก็คงทำไมได้ เพราะสายตาทุกคู่บนโต๊ะอาหารดันจ้องมาที่เขาเพียงคนเดียว โดยเฉพาะชเวซีวอน
     
                “เธอไม่สบายนิดหน่อยน่ะค่ะ” นาราตอบแก้ขัดให้กับอาการแปลกๆของฮีชอล ไม่รู้ว่าเครียดหรือเขินอย่างที่คุณหญิงเธอบอกกันแน่
     
                “งั้นเหรอค่ะ แต่หนูชอลลี่นี่น่ารักนะคะ หน้าตาก็สะสวย หุ่นก็ดี แบบนี้หนุ่มๆไม่เข้ามาจีบเพียบเลยหรือคะ”
     
                “แหม ไม่หรอกค่ะ แกรักนวลสงวนตัว เรื่องผู้ชายไม่มีหรอกค่ะ”
     
                “แบบนี้ก็ดีเลยน่ะสิคะ ซีวอนลูกชายดิฉันก็โสดอยู่พอดี”
     
                เสียงหัวเราะต่อกระซิกยังคงดังต่อไปเรื่อยๆเมื่อเหล่าคุณหญิงคุณนายคุยกันถูกคอ ส่วนฝ่ายสามีก็ทำเพียงแค่ยิ้มสนับสนุนและพูดคุยกันเรื่องธุรกิจบ้างเล็กๆน้อยๆ ผิดกับฝั่งลูกๆที่ได้แต่นั่งเงียบไม่มีปากมีเสียงเนื่องจากผู้ใหญ่หยิบยกเรื่องราวของตนเองไปพูดเสียหมด
     
                “นี่ๆ พี่ซีวอน ทำไมพี่ชอลลี่เอาแต่ก้มหน้าล่ะ หน้าตาก็สวยดีออก แถมยังไม่ระริกระรี่เหมือนพวกผู้หญิงคนอื่น จีวอนชอบจัง” เสียงใสๆของน้องสาวกระซิบขึ้นข้างหู ซีวอนรับฟังคำทั้งหมดแต่สายตายังคงจ้องมองคนที่นั่งเบือนหน้าหนีเขาไม่เลิกรา ยิ่งมองก็ยิ่งใช่ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน แต่เขาไม่อยากคิดว่าคนๆนี้จะใช่ฮีชอลจริงๆ แต่ความรู้สึกมันสั่งให้เชื่อมากไปกว่าครึ่งแล้ว
     
                 “ชอบเหรอ” ซีวอนหันกลับไปถามซึ่งได้รับการพยักหน้าถี่ๆเป็นคำตอบ เพียงแค่เห็นเขานั่งเฉยๆก็บอกว่าชอบแล้วเหรอเนี่ย เชื่อเลยน้องสาวเรา
     
                และเพื่อเป็นการพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันจะผิดหรือถูกอย่างไร ซีวอนเพ่งสายตาพินิจพิเคราะห์โครงหน้าสวยที่แสนคุ้นเคยแล้วกดยิ้มมุมปาก
     
                “คุณชอลลี่อายุเท่าไหร่แล้วเหรอครับ ผมจะได้เรียกถูก” คำถามจากซีวอนที่ส่งเข้าโสตประสาททำเอาฮีชอลอยากจะมุดลงไปใต้โต๊ะ ให้ตายสิ นั่งอยู่นิ่งๆเงียบๆก็ดีอยู่ จะชวนคุยให้มันเสียเรื่องทำไม
     
                “ยี่สิบเอ็ดค่ะ” ตอบโกหกเสียงอ้อมแอ้มโดยไม่ยอมหันมามองหน้า ฝ่ายผู้ใหญ่เมื่อเห็นเด็กๆคุยกันก็อมยิ้มชอบใจก่อนจะทำทีเป็นไม่สนใจปล่อยให้เด็กคุยกันไปตามประสา
     
                “งั้นก็เป็นรุ่นพี่สินะครับ ผมขออนุญาตเรียกพี่ชอลลี่แล้วกัน” ซีวอนกดยิ้มลึกเมื่อได้ฟังคำตอบ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาถึงแม้จะฟังดูแปลกแต่มันกลับคุ้นหูไม่น้อย ตอนนี้ความเชื่อของเขามันเพิ่มขึ้นเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์เสียแล้วสิ
     
                ฮีชอลไม่ตอบอะไรกลับมาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเช่นเดิมไม่ยอมเปิดช่องว่างให้ซีวอนได้เห็นใบหน้าได้อย่างเต็มตา แต่คนที่ลอบสังเกตกลับยิ่งรู้สึกสนุกไปกันใหญ่กับการจับผิดที่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นไปได้นัก และถ้าหากคนที่นั่งอยู่ข้างๆใช่คือฮีชอลจริง แล้วเหตุการณ์ตอนนี้มันคืออะไรกันล่ะ เรื่องโกหกหลอกลวงงั้นเหรอ ตลกสิ้นดี
     
                “ผมอยากเห็นหน้าคุณชัดๆ หันหน้าขึ้นมามองผมได้มั้ย” เอ่ยถามเสียงอ่อนนุ่มทำเอาอีกคนหัวใจกระตุก ไม่ใช่เพราะหวั่นไหว หากแต่เป็นเพราะความกลัวมากกว่า มือทั้งสองข้างของฮีชอลที่วางอยู่บนตักขยับกำหลวมๆ ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ซีวอนจะจับได้หรือยัง แต่คิดว่าคงหลอกได้อีกไม่นานแน่ แต่งเป็นผู้หญิงซีวอนก็เคยเห็นมาแล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออกกัน
     
                ในเมื่อหลบหนีไม่ได้ก็คงต้องเผชิญ ฮีชอลสูดอาการเข้าปอดลึกๆอย่างเรียกกำลังใจ เขาไม่ได้กลัวซีวอนหากแต่กลัวครอบครัวของอีกฝ่ายจะรู้ความจริงและเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ฮีชอลเป่าลมออกจากปากอีกครั้งก่อนจะหันหน้าไปหาซีวอนช้าๆ สองสายตาสบประสานกันนิ่งเมื่อความจริงฉายชัดอยู่บนนัยน์ตาสีดำสนิท แววตาที่มีแต่ความสบสันไม่เข้าใจ กับอีกแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดกับเรื่องที่ทำลงไป และความจริงที่ไม่อยากพบเจอหากแต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว
     
                “สวยดีนี่” บอกกลับเสียงเรียบนิ่งแต่มันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกจนไม่สามารถสบตากันตรงๆได้อีก ซีวอนแสยะยิ้มก่อนเบือนหน้าไปทางอื่น เช่นเดียวกับฮีชอลที่เบือนหน้าหนีเช่นกัน ความรู้สึกประหลาดถาโถมเข้ามาทั้งที่ตั้งตัวได้แต่กลับรับมือมันไม่ทัน จากที่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกแต่ตอนนี้ซีวอนกลับหัวเราะไม่ออก ปากมันหนักจนกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆออกมาได้อีก
     
     
                เวลาบนโต๊ะอาหารล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงกว่าจะสิ้นสุดลง หลังจากรู้ความจริงทั้งฮีชอลและซีวอนไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ท่ามกลางความเป็นห่วงของพวกผู้ใหญ่ที่จับสิ่งผิดปกติได้ตั้งแต่ต้น ด้านตระกูลชเวนั้นหากลูกชายไม่เต็มใจจะสานสัมพันธ์ด้วยทางครอบครัวก็ไม่เคยบังคับ และคราวนี้ซีวอนอาจจะไม่ถูกใจสาวสวยชอลลี่คนนี้ก็เป็นได้ ในทางกลับกันนาราลอบมองลูกชายของเธอที่เงียบผิดปกติตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ความรู้สึกผิดลึกๆของคนเป็นแม่อยากจะเข้าไปกอดปลอบให้ลูกหายกังวลในสิ่งเลวร้ายที่ครอบครัวกำลังก่อ แต่คงทำอะไรมากไม่ได้นอกจากบีบมือให้กำลังใจ เธอรู้ว่าฮีชอลอึดอัดและไม่ได้อยากทำในสิ่งที่เธอต้องการ แต่มันเป็นทางที่เธอเลือกเพื่อความสุขสบายของครอบครัวในภายภาคหน้า
     
                แต่บทสรุปสุดท้ายที่พวกผู้ใหญ่ตกลงกันเองคือให้ซีวอนขับรถไปส่งฮีชอลที่หอพัก หลังจากการสอบถามความเต็มใจของทั้งคู่แล้วไม่มีใครคัดค้านอะไรออกมา หรือจะพูดอีกอย่างคือไม่มีอารมณ์จะพูดกันมากกว่า ขนาดจีวอนน้องสาวสุดน่ารักเอ่ยถามอะไรซีวอนยังสงวนคำตอบ
     
                ออกมาจากห้องอาหารคุณหญิงอึนจองก็เจ้ากี้เจ้าการเดินพาซีวอนกับฮีชอลไปส่งที่รถ บอกลากันเสร็จคุณหญิงจึงเดินไปขึ้นรถของตนที่อยู่ไม่ไกล ส่วนพ่อแม่ของฮีชอลนั้นยืนรอดูเหตุการณ์อยู่ที่รถของตนเมื่อลูกชายเข้าไปในรถเรียบร้อยจึงขับรถออกไป รอฟังผลที่ฮีชอลจะรายงานเข้ามา
     
                ภายในรถที่แสนกว้างขวางแต่บัดนี้ภายในใจของทั้งสองกลับรู้สึกอึดอัดจนมันแทบจะระเบิดออกมา ซีวอนยังคงนิ่งเงียบในขณะที่ฮีชอลเอาแต่ก้มหน้าอย่างเดียว งานนี้รู้ตัวคนผิดอยู่แล้วโดยไม่ต้องสืบหาให้เหนื่อย
     
                ซีวอนหันหน้าไปมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าแล้วอารมณ์โมโหมันก็พาลขึ้นมาจุกอกเสียดื้อๆ ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นครอบครัวเขาที่มาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วทำไมต้องคนๆนี้ ทำไมต้องเป็นฮีชอล
     
                “สนุกมากมั้ย” ซีวอนเอ่ยถามเสียงเย็นไม่ต่างจากคำพูดล่าสุดที่ฮีชอลได้ยิน คนผิดยังคงนั่งเงียบไม่ตอบอะไร อยากจะพยายามอธิบายแต่ ณ เวลานี้พูดอะไรไปซีวอนก็คงไม่ฟัง ความรู้สึกแบบนี้เขาเข้าใจมันดี ความรู้สึกที่เหมือนโดนหักหลัง
     
                “ทำแบบนี้ทำไม ตอบมาก่อนที่ฉันจะโมโห” กดเสียงต่ำอย่างข่มอารมณ์ มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยไว้แน่น สายตาเหลือบมองคนข้างกายที่ยังคงนิ่งเงียบ บอกมาซะทีสิฮีชอล นายทำแบบนี้ทำไม
     
                “นายโมโหไปแล้วซีวอน” ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่นานกว่าฮีชอลจะยอมพูดออกมาแต่มันกลับไม่ใช่คำตอบที่ซีวอนต้องการ
     
                “ตอบดีๆ อย่ามาย้อน!!” พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอตะคอกเสียงดังไปมากกว่านี้ ซีวอนหันไปจ้องฮีชอลที่เบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างเขม็ง สายตาที่มีแต่ความไม่เข้าใจ สายตาที่มีแต่ความสับสน และสายตาที่เริ่มฉายแววเกลียดชังออกมา
     
                “เหตุผลส่วนตัวและฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย” ฮีชอลทำใจแข็งเอื้อมมือหวังจะเปิดประตูแล้วเดินหนีไปซะจะได้ต้องมาทนอยู่ในบรรยากาศสุดแย่น่าอึดอัดแบบนี้ แต่มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อซีวอนคว้าแขนเรียวไว้ก่อนจะกระชากเต็มแรงจนร่างบางถลาเข้ามาชิดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แรงบีบที่ต้นแขนสร้างความเจ็บปวดจนใบหน้าหวานเหยเกพยายามจะสลัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล
     
                “อย่าคิดหนีถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่อง เหตุผลที่นายว่าไหนลองบอกฉันมาสิ!” ขู่เสียงต่ำ มือที่จับแขนเล็กอยู่เผลอออกแรงบีบตามอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ฮีชอลพยายามอย่างยิ่งที่จะบิดแขนให้หลุดจากกรงเหล็กนี้แต่ยิ่งขัดขืนกลับยิ่งสร้างความเจ็บปวด จนน้ำตาใสๆมันคลอออกมา
     
                “เรื่องนี้นายไม่สมควรรู้ เหตุผลอะไรนายก็คงไม่เข้าใจ” กล้าต่อปากต่อคำทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิดเต็มประตู ฮีชอลเบือนหน้าหนี กัดฟันแน่นเมื่อความเจ็บปวดที่ต้นแขนมันรุนแรงขึ้นจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
     
                “อย่ามาบีบน้ำตา ฉันถามเพราะอยากรู้คำตอบไม่ใช่ให้นายมาทำตัวน่าสงสาร!!” ซีวอนตวาดใส่เสียงดัง ไม่ว่าตอนนี้ฮีชอลจะทำอะไรก็ดูเหมือนเป็นการเสแสร้งไปเสียหมด มือที่บีบแขนเล็กอยู่ปล่อยออกก่อนจะผลักร่างฮีชอลให้ถอยห่างจนชิดประตูอีกฝั่งด้วยความโมโห ซีวอนกัดริมฝีปากล่างแน่นเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า ใช่ว่าเขาอยากจะทำรุนแรงแต่มันยั้งมือไว้ไม่อยู่จริงๆ
     
                ฮีชอลนั่งพิงประตูร้องไห้หนัก มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าไม่สามารถจะอธิบายอะไรออกมาได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไปชีวิตนักศึกษาคยองฮีคงต้องจบลงแล้วสินะ ต้องทำตัวหลบๆซ่อนๆย้ายบ้านย้ายโรงเรียนหาที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย ไม่เคยได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนกับคนอื่นเขา ในเมื่อเขาเลือกเกิดไม่ได้แถมยังเลือกทางเดินของตัวเองไม่ได้อีก
     
                “คงทำบ่อยล่ะสินะไอ้เรื่องแบบนี้ หน้านายให้นี่เลยหลอกชาวบ้านได้อย่างแนบเนียนเหมือนที่หลอกพ่อกับแม่ฉันไง ทำไม! เรื่องดีๆมีให้ทำตั้งเยอะแยะทำไมนายไม่ทำ! หรือว่าอยากจะรวยทางลัด! หาจับผู้ชายแล้วเกาะไปตลอดทั้งชาติ!!” ตะคอกใส่อย่างโมโห คำพูดทุกคำนั้นล้วนไม่ผ่านการกรองจากสมองก่อนเปล่งผ่านออกมาจากริมฝีปาก ซีวอนกำหมัดแน่นอย่างโกรธจัด รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปมันแรงแค่ไหนและคงจะทำร้ายจิตใจฮีชอลมากแค่ไหน แต่ในเมื่ออารมณ์มันนำเหตุผลก็ยากเกินกว่าจะห้ามคำพูดคำจาของตัวเองได้
     
                เหมือนโดนค้อนทุบอย่างจังเมื่อคำพูดทุกคำที่ซีวอนพูดออกมามันแทงใจดำเต็มๆ ฮีชอลไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เขาหลอกลวง เขาอยากรวยทางลัด แต่เขาไม่ได้เต็มใจจะทำมัน น้ำตาที่เคยเหือดแห้งไปนานหลายเดือนบัดนี้ไหลออกมาไม่ขาดสายกับคำพูดทำร้ายจิตใจของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรูมเมท ฟันคมกัดริมฝีปากไว้แน่นอยากจะกลั้นเสียงสะอื้น อยากจะหยุดน้ำตา เดี๋ยวซีวอนจะหาว่าเขามารยาบีบน้ำตาให้สงสารอีก
     
                “เงียบทำไมล่ะ” ซีวอนแสยะยิ้มถามอย่างนึกสมเพช สมเพชครอบครัวตัวเองที่ดันหลงกลครอบครัวสิบแปดมงกุฎนี้ได้
     
                ไร้เสียงตอบรับอีกเช่นเคยมีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆเมื่อฮีชอลพยายามกลั้นมันไว้เต็มที่ ซีวอนมองภาพนั้นแล้วต้องเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าจะใจอ่อน ภาพของหญิงสาวร่างบอบบางที่นั่งร่ำไห้อย่างน่าสงสาร ใบหน้าก้มงุดซบกับฝ่ามือ ไหล่บางสั่นไหวตามจังหวะที่เสียงสะอื้นหลุดลอดออกมา ภาพที่เขาไม่เคยเห็นฮีชอลเป็นแบบนี้มาก่อน แต่ถึงแม้จะโกรธเกลียดอย่างไร ความสนิทสนมที่อยู่ด้วยกันมานานหลายเดือนย่อมทำให้เกิดความผูกพันไม่มากก็น้อย
     
                “ฉันจะฟังถ้านายอยากจะอธิบาย” สุดท้ายก็เริ่มใจอ่อนเมื่อเห็นฮีชอลที่เคยโวยวายใส่เอาแต่นั่งร้องไห้ ซีวอนบอกด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจือความขุ่นเคืองโดยไม่หันไปมองหน้า อารมณ์ที่เคยคุกรุ่นสงบลงเมื่อเจอน้ำตา เขาพยามจะใช้เหตุผลเข้าแลกกับคำตอบมากกว่าอารมณ์และความรุนแรงที่ถึงใช้ไปมันคงไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา ซ้ำยังจะทำให้ยิ่งเสียความรู้สึกเปล่าๆ
     
                ฮีชอลเงยหน้าขึ้นใช้มือทั้งสองข้างช่วยกันปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามตั้งสติเพื่อจะอธิบายเหตุผลในเมื่อซีวอนบอกจะฟังมัน
     
                “เรื่องทั้งหมด...ฮึก...ฉันไม่ได้...อยากทำมัน...ฮึก...และฉัน...โดนบังคับ...นาย...ฮึก...จะเชื่อไม่เชื่อ...ก็แล้วแต่” พูดไปก็สะอื้นไป ฮีชอลก้มหน้าก้มตาตอบพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เริ่มจะเหือดแห้งไปบ้างแล้ว สิ่งที่อยากบอกก็มีเพียงเท่านี้ ถ้าซีวอนไม่เชื่อเหตุผลมากมายที่จะอธิบายก็คงไม่มีประโยชน์
     
                “ฉันไม่ได้อยากรู้ว่านายเต็มใจหรือไม่ แต่ฉันอยากรู้เหตุผล” ซีวอนใช้ความพยายามอย่างมากที่จะจับใจความจากประโยคที่ฮีชอลพูดออกมา ถึงแม้คำพูดคำจาจะยังดูไร้เยื่อใยหากแต่ตอนนี้ซีวอนก็มีท่าทีอ่อนลงมากแล้ว อารมณ์โกรธเคืองที่มีค่อยๆเลือนหายลงไปเมื่อเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลเป็นเขื่อนแตก มันรู้สึกไม่ชินที่เห็นคนที่เคยโวยวายด่าเขาปาวๆมานั่งร้องไห้แบบนี้ ยอมรัยเลยว่าเขาอยากเห็นฮีชอลโหมดเดิมมากกว่าถึงมันจะดูน่ารำคาญไปหน่อยก็ตาม
     
                จากน้ำตาที่จะหยุดกลับล้นทะลักออกมาอีกรอบนี้ฮีชอลนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง ถึงแม้ที่ผ่านมาการเป็นอยู่มันจะไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลยก็ตาม แต่ทั้งหมดตั้งอยู่บนความไม่สบายใจทั้งสิ้น เหตุผลต่างๆนานาที่มีนั้นสามารถยกมาอธิบายให้ฟังเป็นวันๆยังได้ แต่คนรวยๆอย่างซีวอนจะเข้าใจงั้นเหรอ พูดไปยังไงมันก็เหมือนคนหลอกลวงอยู่ดี
     
                “หยุดร้องซักทีฮีชอล หยุดได้แล้ว!” บอกอย่างนึกโมโหกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกใจอ่อน ยิ่งเห็นยิ่งไม่กล้าตวาดทั้งที่มันสมควรต้องด่าแท้ๆ ให้ตายเถอะซีวอน นายแพ้น้ำตาของผู้ชายชื่อคิมฮีชอลหรือนี่
     
                ดูเหมือนพูดไปยังไงก็คงไร้ผล ซีวอนจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงฮีชอลที่นั่งพิงประตูอยู่อีกด้านให้เข้ามาในอ้อมกอดอย่างนึกปลอบประโลม ไม่ได้ใจอ่อนซะทีเดียว เพียงแต่ไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้ถึงแม้จะเป็นผู้ชายที่แปลงกายมาก็เถอะ ยังไงความเป็นเพื่อนก็ยังคงอยู่ เขาไม่บ้าพอที่จะตัดขาดความสัมพันธ์เพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงได้ เหตุผลอะไรก็ยังไม่ได้ฟัง เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปก็ยังไม่ได้รู้ แม้ตอนแรกจะใช้อารมณ์นำในการตัดสินใจแต่ตอนนี้เขาพยายามที่จะใช้เหตุผลนำมากกว่า
     
                ฝ่ายคนโดนกอดก็ใช่ว่าจะยอมซะทีเดียว ฮีชอลดิ้นเล็กน้อยแต่สุดท้ายแรงทั้งหมดมันกลับหดหายไปกับการร้องไห้เสียแล้ว เลยยอมนั่งนิ่งๆให้อีกฝ่ายกอดไว้หลวมๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจการกระทำของซีวอนเหมือนกัน เดี๋ยวด่าเดี๋ยวปลอบ สรุปจะเอายังไงกับชีวิตเขากันแน่
     
                “บอกมาสิที่นายทำต้องการอะไรการกันแน่ เงิน ความสุขสบาย หรืออะไร” เมื่อจบคำพูดที่เหมือนการแดกดันเล็กๆของซีวอน เรี่ยวแรงที่หายไปมันกลับมาเสียดื้อๆ ฮีชอลออกแรงผลักตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้นจ้องมองอีกคนด้วยสายตาขุ่นเคือง นึกว่าจะปลอบอะไร ที่แท้แค่อยากหลอกด่าเขาล่ะสินะ
     
                “ฉันไม่ได้...ต้องการเงิน ไม่ได้อยากสุขสบายเหมือนนาย...ฮึก...แต่เพราะฉันเลือกไม่ได้ ฉัน...ขัดครอบครัวไม่ได้ บ้านฉันไม่ได้รวยอย่างนาย....ฮึก....พ่อแม่การศึกษาไม่สูง จะทำอะไรก็ขัดสนไปหมด ทางเดินแบบนี้ฉันไม่ได้เลือก ไม่ได้ต้องการ...ฮึก...แต่เพราะไม่อยากเป็นลูกอกตัญญูฉันเลยต้องทำ” สุดท้ายแล้วฮีชอลก็หมดความอดทน ความในใจถูกกลั่นออกมาพร้อมม่านน้ำตาบางๆ มือเรียวยกขึ้นปาดมันทิ้งแล้วเบือนหน้าหนีสายตาที่เดาความหมายไม่ได้ของซีวอน คงจะไม่เข้าใจเขาสินะ คนอย่างนายคงไม่เข้าใจ
     
                “แต่อาชีพอื่นก็มีตั้งเยอะแยะไม่ใช่หรือไง” ซีวอนเถียงกลับ แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจฮีชอล แต่ไม่เข้าใจครอบครัวนี้มากกว่า
     
                “ฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มทำเรื่องแบบนี้!” ฮีชอลโหมดขี้โวยวายเริ่มกลับเข้าร่างทีละนิด เสียงแหลมแหวดลั่นอย่างไม่อยากจะทน ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆอย่างนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง
     
                “แล้วนายจะมาตวาดฉันทำไม!” และพอเจอแบบนี้เข้ามีหรือคนอย่างซีวอนจะไม่โวยกลับ คนผิดมีสิทธิ์มาคะตอกผู้เสียหายกลับได้ยังไง
     
                “ก็นายมาจี้ถามฉันทำไมเล่า! ก็บอกแล้วไงไม่ได้อยากทำ ไม่ได้ต้องการ!” เสียงดังมาก็เสียงดังกลับเข้าโหมดปกติของคิมฮีชอลขี้โวยวายเต็มตัว
     
                “อย่ามาตะคอกฉัน! เป็นคนผิดหัดทำตัวให้มันดีๆหน่อย!”
     
                “แต่ฉันไม่อยากดีกับนาย!” ฮีชอลยังคงใช้เสียงระดับเดิมอย่างไม่ยอมแพ้ คงลืมไปแล้วว่าก่อนนี้ตัวเองเพิ่งทำอะไรผิดไป
     
                “หุบปากไปเลย! ปากดีไม่เจียมตัว” ซีวอนเองก็เสียงดังใส่ไม่แพ้กัน
     
                “ไม่หุบ” ท้าทายด้วยท่าทางอวดดีสมกับเป็นคิมฮีชอลเสียจริง
     
                “ดี” จบคำสั้นๆซีวอนดึงตัวฮีชอลเข้ามาหาประกบจูบแรงๆอย่างนึกหมั่นไส้คนอวดดี บดขยี้ริมฝีปากบางดูดเม้มขบกัดอย่างเมามัน มือข้างหนึ่งบีบคางมนไว้ไม่ให้สะบัดหน้าหนี ส่วนอีกข้างรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างกันคนอวดดีดิ้นหลุดออกไปได้ อยากรู้ว่าจะฤทธิ์เยอะแค่ไหนกันเชียว
     
                สั่งสอนจนพอใจซีวอนจึงผละออกมา ฮีชอลสะบัดแขนออกอย่างแรงซึ่งฝ่ามือใหญ่ก็ยอมปล่อยมันออกแต่โดยดี ซีวอนแสยะยิ้มอย่างสะใจเมื่อฮีชอลยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากตัวเองพร้อมกับถอยกรูไปนั่งเสียติดประตู
     
                “ถือซะว่าเป็นลงโทษที่นายหลอกฉันก็แล้วกัน พอกลับถึงหอเมื่อไหร่ค่อยเคลียร์กันต่อ เรื่องนี้ฉันไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่” คาดโทษไว้เสร็จสรรพกว่าจะได้ออกรถก็กินเวลาไปหลายนาที
     
                ฮีชอลจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์พลางหันหน้ามองวิวนอกรถแทนการมองหน้าซีวอน ริมฝีปากล่างถูกฟันคมขบกัดไว้เบาๆ จนความรู้สึกจากรสจูบเมื่อครู่มันแทรกเข้ามาฮีชอลเลยต้องเปลี่ยนเป็นการเม้มปากไว้แทน นึกอยากจะหันไปด่าแต่ก็ด่าอะไรไม่ออก ยิ่งโดนคาดโทษไว้แบบนี้ไม่รู้ว่ากลับไปถึงหอจะโดนอะไรอีกบ้าง
     
                ขับรถไปซีวอนก็เหลือบมองที่นั่งข้างคนขับไป ซีกหน้าด้านข้างนั้นเผยให้เห็นแก้มสีชมพูอ่อนที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเครื่องสำอางหรือจูบของเขากันแน่ มองแล้วลอบยิ้มอย่างชอบใจนึกถึงแผนการที่จะใช้จัดการกับคนหลอกลวงคนนี้
     
    คิมชอลลี่ หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีกับรูปร่างบอบบาง ดวงหน้าหวานใส ดวงตาโต จมูกโด่งที่ดูเย่อหยิ่ง กับริมฝีปากน่าจูบ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงหลอกได้อย่างสนิทใจ แต่คงไม่ใช่กับชเวซีวอนคนนี้

    -----------------------------------------------------


    kr…Talk
    ดราม่ากันไหมจ๊ะ??
    แต่เรื่องดราม่าครั้งนี้ยังไม่จบลงแค่นี้หรอกจ้า

    ทนรอกันหน่อย อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    2ตอนหน้าก็ยังคงเป็นเรื่องราวของ2คนนี้เป็นส่วนใหญ่อยู่ดี

    แฟนวอนชอลเกาะติดสถานการณ์ให้ดีเน้อ
    ~~
    ตอนนี้ไรเตอร์เริ่มง่วงแล้ว

    ขอไปนอนก่อนนะจ๊ะ GN ^____^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×