ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตเด็กทุนก.พ. ในอเมริกา (ตั้ง 10 ปี แน่ะ โหย..)

    ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตก่อนยื่นใบสมัคร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.62K
      11
      15 มิ.ย. 53

    ก่อนอื่นก็ต้องขอกราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องงาม ๆ ก่อนนะคะ แหมพูดเหมือนลิเกเลยนะคะ  อย่าเข้าใจผิดค่ะ มิเคยเล่นเลย

    วันนี้เป็นวันแรกของการอัพเรื่องค่ะ เออัพเหรอ ยังไม่ได้เขียนอะไรเลยด้วยซ้ำ เหอๆ  พูดว่าอัพแล้วรู้สึกแปลกๆ

    มาๆ วันนี้มาสัมภาษณ์เจ้าของเรื่องกันดีกว่า ฮิฮิ (ก็ไม่มีใครสัมภาษณ์เค้าอะ  สัมภาษณ์มันเองซะเลย ฮ่าๆ)

    เรื่องวันนี้ก็แค่เกริ่นๆนะคะ บ่มีสาระไรมาก เหอๆ แบบว่าอารมณ์จริงจังมันยังไม่มาน่ะค่ะ เม้าท์ ๆ ไปก่อนละกัน


    ถาม..เอ้า ชื่อไรล่ะเธอ ว่ามาสิ
    ตอบ..อันดับแรกขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ มด ค่ะ ขอร้องนะ เรียก แค่ มด  ก็พอนะคะ ไม่ต้องต่อเพิ่มอย่างอื่นหรอก เกรงใจค่ะ

    ถาม..มาทำอะไรแถวนี้
    ตอบ..ก็จะมาเล่าเรื่องเด็กทุนเมกาให้ฟังว่าชีวิตมันขมขื่นขนาดไหน พูดแล้วเศร้า..อะล้อเล่นนน ไม่ได้แย่ขนาดน้านนน มีอะไรดีๆเยอะค่ะ

    ถาม..แล้วเป็นคนที่ไหนเนี่ย เรียนอะไรมา
    ตอบ..หนูจบม.๖ แล้วล่ะค่ะ จากร.ร. ภูเก็ตวิทยาลัย หนูเป็นคนภูเก็ตแท้ๆเลยนะคะ แต่หนูไม่รู้ภาษาถิ่นเลยค่ะ  ก็ได้แค่แหลงใต้ธรรมดาน่ะค่ะ แม่อะชอบบ่น ว่า"ทำไมแค่คำนี้ไม่รู้เหรอไงฮะ" โหยย ตัวเองเคยสอนเค้าพูดที่ไหนกันเล่า อย่ามาซี้ซั้วเลย

    ถาม..แล้วสมัครทุนอะไรนะ บอกให้มันละเอียดซิ
    ตอบ..ทุนก.พ.  สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์   สาขา Animal Immunology/ Animal Biotechnology/ Veterinary Technology
            เพราะฉะนั้นตอนนี้ ก็เรียนปูพื้นฐานเกรด ๑๒ ที่ Preparatory School อยู่ค่ะ ที่ชื่อว่า Lawrence Academy

    ถาม..คิดไงมาสมัครล่ะเธอ
    ตอบ..เพราะไม่ได้คิดค่ะ  (.....อืม ตอบได้ดีมาก  ==" )  ถ้าคิดอาจจะ... เหอๆ 

    ถาม..อะไรกันเนี่ยย สมัครแบบไม่ได้คิด ลืมเอาสมองมาหรือไงเธอ ฮะ
    ตอบ..เปล่านะคะ ไม่ได้ลืม กะโหลกหนูไม่ใช่หีบใส่ผ้า ได้เปิดวางแล้วลืมไว้ (เอ่อถ้าน้องๆ อ่านอยู่ละก็ อย่าไปตอบกรรมการแบบนี้นะ ไม่งั้นคงได้รู้ผลตั้งแต่ยังไม่นั่งเก้าอี้กันเลยล่ะค่ะ เหอๆ)  คือที่บอกว่าไม่ได้คิดน่ะ หมายถึงพี่สาวเค้าคิดให้

    ถาม..แล้วคนสมัครนี่ใครยะ เธอหรือพี่สาวฮะ
    ตอบ..ก็แบบว่า แบบว่า แหม โดนไซโคมาตั้งแต่เด็กจนเล็กเลยอะ ว่าโตขึ้นต้องไปเรียนเมืองนอกนะ ต้องสมัครทุนกพ.นะ โดนกรอกหูแบบเนี้ย ทุกวันๆ อิฉันก็เบื่อเหมือนกันนะคะ แต่ก็เข้าใจในความหวังดีของพี่สาวสุดประเสริฐ (ไม่นับตอนที่เธอชอบแกล้งฉันนะยัยพี่สาว ฮึ่มม..) 

    ถาม..แอบนินทาพี่สาวเหรอ ไม่ได้เรื่องเลยนะเรา แล้วทำไมเค้าต้องกรอกหูแบบนั้นด้วยล่ะ
    ตอบ..ก็คือความจริงแล้วมันเป็นความทะเยอะทะยาน ความใฝ่ฝัน ความมุ่งมั่นของเราเอง ตั้งแต่ตอนอยู่ป. ๔ น่ะค่ะ คือรู้ตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นว่าหลงรักวิชาวิทยาศาสตร์มาก แล้วในอนาคตจะต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้ได้ ฟังดูเวอร์ ๆ เนอะ  แต่จริงอะคะ เพราะว่าเราได้อาจารย์ดีน่ะ เหมือนมาจุดประกายความคิด ตั้งแต่นั้นมาก็เลยมุ่งมั่นไปสายวิทย์อย่างเดียว เพื่ออาชีพนี้

             นั่นก็เลยกลายเป็นเหตุผลให้พี่สาวคนดี เข้ามาคอยแนะนำจัดการเรื่องเรียนอะไรพวกเนี้ยให้เรา เค้าบอกว่าถ้าอยากเป็นนักวิทยฯ จริงๆล่ะก็ ต้องเรียนเมืองนอก ทำงานเมืองนอก เราถึงจะได้ใช้ความรุู้ความสามารถอย่างเต็มที่ อยู่ที่ไทยเนี่ย มันไม่รุ่งอะค่ะ
           
    ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่เราสามารถตระหนักได้ทุกวันนี้นะคะ  ก็ไม่ได้จะว่าใครหรืออย่างไร  เพราะเราก็เห็นกันจริงๆ  คิดดูละกัน ปีหนึ่ง ๆ มีเด็กจบคณะวิทย์ออกมากี่พันคนล่ะคะ แล้วทำไมทุกปีถึงประกาศปาวๆ ว่าประเทศไทยยังขาดนักวิทยฯ นะ ต้องการคนเหล่านี้เพิ่ม  ทำไมประเทศไทยต้องมีโครงการส่งเสริมนักวิทยฯ ตั้งมากมายหลายโครงการ ทั้งที่แต่ละมหาวิทยาลัยก็มีหลักสูตรอยู่แล้ว 
            
    แล้วโทษทีเถอะค่ะ ทุกวันนี้เราเห็นบทบาทนักวิทยฯ ไทยมากน้อยแค่ไหนคะ ที่ไม่เห็นอาจเพราะสื่อไม่เสนอก็ใช่ แต่ที่เห็นล่ะ ก็น้อยเหลือเกิน  ดังนั้นแลจึงควรนำความรู้จากเมืองนอกเมืองนามาใช้ และคือเหตุว่าทำไม ต้องสมัคร ก.พ. (ความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ  โปรดใช้วิจารณญาณ  ความจริงถ้าให้คุยเรื่องนี้นะ ข้ามวันข้ามคืนเลยล่ะ จึงพอแค่นี้)

    ถาม..พ่อแม่คิดว่าไงบ้าง กับ ความคิดของเรา
    ตอบ..จริง ๆ ก็รู้นะคะ ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่ก็ยากซะหรอกค่ะ ถ้าจะมาเปลี่ยนใจเรา พ่อแม่อยากให้เป็นหมอเพราะเห็นเราก็เรียนดี ก็ไม่น่ามีปัญหา อีกอย่างเป็นอาชีพที่มั่นคงเงินเดือนดี เทียบกับนักวิทยาศาสตร์แทบจะไม่ได้เลย (หมายถึงนักวิทย ฯ บ้านเราอ่ะนะคะ) เค้าไม่เคยพูดแบบนัันนะ แต่เราถอดความจากการอ้อมค้อมของเขามาได้แบบนี้แหละค่ะ ไอเราก็ไม่เคยเถียงแบบโจ่งแจ้งนะว่าไม่อาวววววว อะไรเงี้ย  ก็พยักหน้าหงึกๆไป แต่ในใจน่ะคัดค้านสุดฤทธิ์ 
           
            ไม่กลัวหรอกนะ แล้วก็ไม่รู้สึกผิดด้วย ในเมื่อมันคือตัวของเรา ใจของเรา คนเรียนคือเรา ได้ทำได้เรียนในสิ่งที่ชอบมันก็ย่อมดีกว่า แล้วเราเชื่อว่า ต่อให้งานมันต๊อกต๋อยแค่ไหน ถ้าเราทำอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ เราก็รุ่งเรืองหรือก้าวหน้ากับงานนั้นๆ ได้ ไม่เห็นจำเป็นเลยว่าต้องทำงานระดับสูงเหมือนใครเค้าคิดกัน

             ลองคิดดูแล้วกัน ว่านั่นน่ะคือชีวิตของเราในวันข้างหน้าที่เราจะต้องอยู่กับมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านานแค่ไหน แต่พ่อแม่ท่านอยู่กับเราได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อยากจะอยู่อย่างมีความสุข หรือต้องทนทุกข์ แล้วมาเสียใจตอนหลัง มันเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ค่ะ  เหอๆ ไม่ได้สอนให้ดื้อกะป่าป๊า หม่าม้า นะคะ  แค่ให้ลองคิดดู

    ถาม..ก่อนสมัครทุนก.พ. เตรียมตัวสมัครที่อื่นอะไรบ้างป่ะ
    ตอบ..ก็แหงล่ะค่ะ ไม่มั่นใจตัวเองด้วยซ้ำว่าจะติดหรือไม่ ก็ต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อนถูกไหมล่ะ ก็เล็งมหาลัยไว้สามสี่ที่อะค่ะ  และแน่นอนว่า คณะวิทยฯ ลูกเดียวค่ะ ไม่เคยนอกใจคิดสมัครคณะอื่นเพราะเรามีเป้าหมายแล้ว ขึนทำแบบนั้นก็เหมือนไปแย่งที่ชาวบ้านอีก ต้องเห็นใจคนที่เขาอยากเรียนจริงๆด้วยนะคะ ถูกไหมคะ

    ถาม..แล้วติดที่ไหนบ้างล่ะเนี่ย
    ตอบ..ก็ติดทุนพสวท. ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทุนเต็มถึงป.เอก ที่ต้องเล่าเพราะมันเหมือนช่วงรอยต่อเลยอะ พอได้ทุนอันนี้ แบบว่าเริ่มคิดหนักแล้ว เอาไงดีหว่า ถ้าเอาทุนนี้นะ ป.ตรีจะได้เรียนที่ไทยก่อน ค่อยเรียนนอกตอนป.โท แต่ถ้าไปเอาทุนนู้นก็ไปนอกตั้งแต่ป.ตรี สรุปจะไปสัมภาษณ์ก.พ.ดีมั้ยไรเงี้ย เพราะรู้สึกถ้าติดทุนอันใดอันหนึ่งมันจะตัดสิทธิ์อีกอันไปเลยอะ  

            สละสิทธิ์ก.พ.ไปเลยละกันไม่ต้องไปสัมภาษณ์มันแล้ว เพราะยังไงก็ได้ทุนเต็มเหมือนกัน อีกอย่างใจนึงก็ไม่ได้พิศวาสอยากเรียนเมืองนอกขนาดนั้น ค่อยไปป.โทก็ได้ ก็ปรึกษาพ่อแม่ ผลก็ออกแบบเนี้ย แล้วอีกอย่างถ้าเอาก.พ. ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัมภาษณ์จะผ่านมั้ย ไม่ผ่านก็จบสิคะ หลุดลอยไปหมดสองอัน

            แต่...ค่ะแต่ ฮะฮ่า มีแต่ อีกแล้วค่ะ เพื่อนพี่สาวดิฉันโทรมาไซโคให้ขึ้นไปสัมภาษณ์ค่ะ เฮ้ออ แล้วเอาไงอ่ะ เครียดนะรู้ไหม ความจริงก็อยากลองไง แต่กลัว (เหตุผลงี่เง่าไหมล่ะคะ) ท้ายที่สุดหลังจากเราไปสัมภาษณ์ทุนพสวท.เสร็จ ก็แอบอ้อนวอนถามเขาว่าให้เราไปสัมภาษณ์ก.พ. ได้ไหม เค้าบอกว่าได้! โอ้แม่เจ้า อย่ามาล้อเล่นกันนะคะ โหยโคตรดีใจ รีบบึ่งไปจองตั๋วขึ้นกรุงเทพฯ กันเลยทีเดียวค่ะ หึหึ แล้วเป็นไงล่ะ ได้ตั๋วแพงเลย อยากช้านัก (T_T)

    สรุปสุดท้ายก็ไปสัมภาษณ์อยู่ดี แหมทำลีลา ชิชะ น่าหมั่นไส้ (ฮ่าๆ ว่าตัวเองได้ด้วย หลายคนก็อาจกำลังคิดอยู่ เหอๆ) 


    ******************************************************************************************************************************
    วันนี้พอแค่นี้ค่ะ กับเรื่องราวส่วนตัวเล็กๆน้อยๆอะค่ะ เดี๋ยวไว้มาต่อตอนสองละกัน

    บะบายยย  สวัสดีค่ะ :)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×