ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #18 : ...๑๖ ค่อยๆ แก้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.96K
      21
      4 เม.ย. 59

    16

    ค่อยๆ แก้

    ตั้งแต่วันที่ไปเป็นนางแบบมือสมัครเล่นให้ตากล้องถ่ายรูปและไม่ยอมดูรูปกับครอบครัวในเย็นวันนั้น ทุกคนรอบตัวเทียนกัลยาก็ค่อยๆ หายหน้าไปทีละคนสองคน ลีลาวดีเองก็เช่นกัน แม้จะคุยปกติ แต่ก็ไม่ค่อยว่าง กลางวันก็หนีไปเลี้ยงหลานที่บ้านคาวี ส่วนการะเกดพาลูกและสามีย้ายกลับไปอยู่บ้านในตัวอำเภอ ปล่อยให้เธออยู่บ้านกับชายหนุ่มสองต่อสอง ดังนั้นเวลาเธอจะไปไหนมาไหนจึงมีพุทธชาดคอยไปเป็นเพื่อนเสมอ

    “คุณพุดจะไปกับเทียนจริงๆ เหรอคะ” เธอถามซ้ำหลังจากถามไปแล้วมากกว่าสามรอบ

    “จ้ะ”

    “แน่ใจนะคะ เทียนไปหาเพื่อนนะ แล้วก็ไม่รู้จะเจอไหม” หญิงสาวถามอีกที เธอมีโอกาสได้คุยกับสมทรง บอกเล่าเรื่องเมื่อครั้งยังเรียนประถมว่าเคยมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง พอไล่ถึงชื่อพ่อชื่อแม่อีกฝ่าย สมทรงก็บอกว่าเพื่อนของเธอแต่งงานกับหนุ่มหมู่บ้านข้างเคียงซึ่งก็คือหมู่บ้านแห่งนี้ หมู่บ้านที่เทียนกัลยาเคยอาศัยอยู่ติดกับหมู่บ้านดงมะเฟือง พอได้ทราบหญิงสาวก็นึกอยากไปเยี่ยมเพื่อน สมทรงวาดแผนที่ให้ ส่วนเธอก็ไปขออนุญาตลีลาวดีและฟาบิโอ้ ท่านทั้งสองอนุญาตหลังจากซักถามแล้ว

    “แน่ใจจ้ะ ว่าแต่เทียนขี่เองหรือให้พี่ขี่” เขามองเวสป้าสีเขียวอ่อนซึ่งจอดรอเจ้านายด้วยสภาพซึ่งพร้อมลุยไปด้วยทุกที่

    “คุณพุดขับเถอะค่ะ” เธอตอบหลังจากที่เขาไม่เปลี่ยนใจ เทียนกัลยาประดักประเดิดเล็กน้อย หากเธอเจอนำพร เธอคงต้องอธิบายความสัมพันธ์อีกยืดยาว และด้วยความที่สนิทสนมกันมากตั้งแต่เด็ก เชื่อว่านำพรคงไม่เชื่อแน่ว่าเธอจะมีพี่ชายที่หล่อเหลาปานเทพบุตร ไหนจะอุปนิสัยที่คล้ายคลึงมหาเสน่ห์อยู่หน่อยๆ ของเพื่อนทำให้เธอนึกกลัว

    ร่างบางขึ้นซ้อนท้ายเมื่อคนตัวโตนั่งประจำตำแหน่งแล้ว พุทธชาดหันมายิ้มให้คนที่มีสีหน้าหนักใจ ชายหนุ่มออกรถเมื่อคนซ้อนนั่งดีแล้ว สองหนุ่มสาวซ้อนท้ายกันไปตามถนนที่ลาดด้วยยางมะตอย สองข้างทางเป็นต้นชัยพฤกษ์ซึ่งกำลังติดดอก แต่ยังไม่บาน

    “ตรงนี้หรือเปล่าคะที่พี่เดหลีกับพี่คาวีถ่ายรูปพรีเวดดิงกัน” เทียนกัลยาตะโกนถามจากด้านหลัง

    “อะไรนะ” คนขับที่ขี่ช้าอยู่แล้วผ่อนความเร็วลงอีกระดับ เขาเอียงศีรษะลงทางด้านซ้าย เทียนกัลยาเห็นดังนั้นจึงขยับตัวชิดอีกเล็กน้อย ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้จนอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มสมใจบนมุมปากคนขับ

    “เทียนถามว่าตรงนี้หรือเปล่าคะที่พี่เดหลีกับพี่คาวีถ่ายรูปพรีเวดดิงกัน”

    “อ้อ ใช่จ้ะ” ชายหนุ่มจอดรถข้างทาง มองหากระรอกขาวซึ่งมักจะเห็นมันวิ่งข้ามถนน แต่วันนี้เขาคงไม่มีโชค

    “คุณพุดเป็นตากล้องใช่ไหมคะ”

    “เพื่อนพี่จ้ะ เทียนอยากถ่ายรูปบ้างไหม” คนที่มักถ่ายรูปเทียนกัลยาเก็บไว้ทุกครั้งที่เจอกันถาม ส่วนใหญ่แล้วพุทธชาดมีโอกาสถ่ายรูปหญิงสาวในงานวันเกิดช้องนาง ซึ่งแน่นอนว่ารูปของเธอต้องมีคนอื่นๆ ติดมาเป็นพื้นหลัง โดยเฉพาะมหาเสน่ห์ที่เสนอหน้าวิ่งเข้ากล้องทุกครั้ง

    “อยากสิคะ” หญิงสาวตอบเร็วโดยไม่ทันคิด “เอ่อ เทียนหมายถึงอยากถ่ายเล่นๆ น่ะค่ะ ไม่ใช่ถ่ายรูปแต่งงานนะคะ เทียนเห็นในรูปของพี่เดหลีแล้วชอบ ดอกชัยพฤกษ์บานแล้วสวยมาก”

    “อืม งั้นพอมันบานแล้วเรามาถ่ายรูปกัน”

    ไม่รู้อย่างไร เทียนกัลยาคิดว่าคำพูดของเขากินความหมายกว้างๆ อีกแล้ว ‘เรามาถ่ายรูปกัน’ หมายถึงเธอกับเขาอย่างนั้นหรือ

    “คุณพุดแน่ใจเหรอคะว่าไปกับเทียน” หญิงสาวถามขึ้นอีกครั้ง

    พุทธชาดยิ้มก่อนตอบ “ดูเทียนอึดอัดที่พี่ไปด้วย”

    “ง่า…ก็ต้องอึดอัดสิคะ เทียนไม่รู้จะแนะนำคุณพุดกับพรว่าอะไรดี” ลิ้นหญิงสาวพันกันยามนึกถึงสถานะของเขาและเธอ จะบอกว่าเป็นพี่น้องก็ดูกระดากปาก “เอ่อ หมายถึงไม่รู้จะบอกพรว่าคุณพุดเป็นอะไรกับเทียนน่ะค่ะ”

    “แล้วเทียนอยากให้พี่เป็นอะไรล่ะ”

    “หา เอ่อคือ…” เจอย้อนแบบนี้หญิงสาวถึงกับไปไม่ถูก ในหัวไพล่คิดไปถึงวันนั้น วันที่หัวใจเธอไม่ได้มีเขามานั่งอยู่กลางใจเหมือนในวันนี้

    ‘คุณพุดจะรักเทียนอย่างที่พี่พริกรักน้ำผึ้งได้ไหมคะ’

    ‘แล้วเทียนอยากให้ฉันรักเทียนไหม’

    นั่นหรือคือคำถามของคนเป็นพี่ชาย

    ‘อยากค่ะ เทียนอยากให้คุณพุดรักเทียน เพราะ…เทียนก็จะรักคุณพุดเหมือนกัน’

    หากย้อนกลับไปในวันวาน เทียนกัลยามั่นใจว่าเธอสามารถบอกใครๆ ว่าเขาคือพี่ชาย แต่วันนี้การต้องพูดอย่างนั้นเหมือนเอามีดเฉือนหัวใจตัวเองทีละน้อย

    “พี่จำได้ว่าเทียนเคยถามพี่ครั้งหนึ่งว่าพี่จะรักเทียนอย่างที่นายพริกรักน้ำผึ้งได้ไหม” 

    เทียนกัลยานึกอยากค้อนให้คนความจำดี เธอภาวนาขอให้เขาลืมคำพูดบ้าๆ นั้นไปเสีย หญิงสาวพยักหน้าลงอย่างจำใจ 

    “ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้ตอบ ขอถือโอกาสตอบตรงนี้เลยแล้วกัน พี่รักเทียนอย่าง…”

    มือบางยกขึ้นปิดปากเขา หนุ่มสาวยังคงนั่งซ้อนท้ายกันอยู่เหมือนเดิม

    “เทียนรู้แล้วค่ะว่าคุณพุดรักเทียนแบบไหน เราไปกันเถอะนะคะ” หญิงสาวรีบตัดบท

    ดวงตาคมสีฟ้าหลุบมองมือน้อยที่ปิดปากเขาอยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก กักตุนกลิ่นหอมๆ จากกายสาวเข้าเต็มปอด ก่อนจะมองอย่างเสียดายเมื่ออีกฝ่ายชักมือกลับรวดเร็วหลังจากสานสบตากับเขา

    “ปะ...ไปกันเถอะค่ะ สายมากแล้ว” คนที่เผลอสบเข้ากับดวงตาคมซึ่งฉาบฉายด้วยประกายวิบวับให้ความรู้สึกร้อนแรงบอกปากคอสั่น

    หนุ่มดอกพุดมองแก้มสาวที่แดงเรื่อจนพอใจแล้วหันไปออกรถ มุมปากที่มักปรากฏรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยบัดนี้ฉีกกว้างขึ้น แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงการซบศีรษะของคนด้านหลัง แล้วยังแว่วเสียงกรีดร้องในลำคอเบาๆ อีกด้วย


    บ้านของสามีนำพรเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ปลูกสร้างในพื้นที่ขนาดหนึ่งงานเศษๆ เวสป้าสีเขียวอ่อนจอดไว้ข้างรั้วซึ่งนำต้นเทียนทองมาปลูกติดกัน สองหนุ่มสาวลงจากรถโดยฝ่ายหญิงที่ยังเก้อเขินอยู่เล็กน้อยเดินนำไปก่อน สุนัขสีน้ำตาลสองตัวส่งเสียงเห่าผู้มาใหม่ พุทธชาดดึงตัวหญิงสาวให้มาอยู่ข้างหลัง

    เจ้าของบ้านซึ่งเดินออกมามอง นิ่วหน้ายามเห็นฝรั่งหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสาร นำพรซึ่งอุ้มลูกน้อยวัยห้าเดือนถึงกับทำตาโต ชายหนุ่มตรงหน้าสวมเสื้อโปโลสีเข้มกับกางเกงยีน เสื้อผ้าที่ดูธรรมดาๆ พอมาอยู่บนเรือนกายของเขาแล้วมันดูไม่ธรรมดาขึ้นทันที ขนาด ‘ช้างดาว’ ที่ดูขัดตาไม่เข้าพวกยังดูดีขึ้นมาทันที

    “เขามาถ่ายหนังแถวนี้หรือเปล่าน้อ” หญิงสาวเจ้าของบ้านพึมพำคนเดียว ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่โผล่จากด้านหลังพ่อเทพบุตร

    “พร!”

    “หือ?” นำพรที่จำเพื่อนไม่ได้ร้องหืออย่างแปลกใจ มองสองหนุ่มสาวสลับกันด้วยตาละห้อย สวรรค์ส่งคนหล่อมาให้ยล แล้วไฉนใจร้ายส่งเมียเขามาด้วย

    “ยายพร!” เทียนกัลยาที่รู้ว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรร้องเรียกอีกครั้ง “ฉันเทียนไงล่ะ เทียนเพื่อนสนิทแก” พอสุนัขที่ถูกเจ้าของบ้านไล่หยุดเห่า เทียนกัลยาจึงเดินตรงไปหาเพื่อน

    “เทียน? อ๊าย…ยายเทียนหลานตาเสริมน่ะเหรอ”

    “เออสิ เทียนหลานตาเสริม พี่สาวดาวเรืองนั่นแหละ”

    “สวยว่ะ ไปทำอะไรมาถึงสวยขึ้นเป็นกองเลย” นำพรที่ไม่ได้เจอเพื่อนนานถามเสียงตื่นเต้น จริงอยู่ที่เทียนกัลยาหน้าตาดีตั้งแต่ยังเล็ก แต่พอไม่เห็นหน้ากันนานแล้วพบกันอีกครั้ง นำพรก็อดตื่นเต้นไม่ได้ หากเปรียบผู้ชายคนนั้นเป็นเทพบุตร เพื่อนของเธอก็นางในวรรณคดีดีๆ นี่เอง

    “ออกกำลังกาย กินของที่มีประโยชน์ไงแก” เทียนกัลยาตอบทีเล่นทีจริง

    “แหวะ จะบอกว่าสวยอยู่แล้วฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก ว่าแต่แกมาได้ไง แกหายไปไหนมาวะเทียน แล้วๆๆ เขาเป็นใคร” นำพรถามเป็นชุด

    “อ่า ไปนั่งตรงโน้นก่อนดีไหม” เทียนกัลยาชี้โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ซึ่งอยู่หน้าบ้าน

    “เออลืมไป เอ้า แกอุ้มหลานไว้ก่อน เดี๋ยวฉันหาน้ำหาท่ามาให้กิน” ว่าแล้วแม่ลูกอ่อนก็ส่งลูกน้อยวัยห้าเดือนให้เพื่อนอุ้ม คนไม่คุ้นกับการอุ้มเด็กรับมาอย่างเงอะๆ งะๆ โดยมีพุทธชาดเข้ามาประคองช่วยจากด้านหลัง ไปๆ มาๆ เหมือนเขากำลังกอดเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น

    เทียนกัลยาส่งค้อนให้คนจ้องหาโอกาส พุทธชาดยิ้มใส่ตาหญิงสาวเป็นการตอบรับ

    “ไปนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวเทียนทำลูกเขาตกแล้วต้องทำใช้ไม่รู้ด้วยนะ” คำว่าทำลูกเขาตกไม่ทำให้ตกใจเท่า ‘ทำใช้’ หญิงสาวรีบสาวเท้าไปนั่งบริเวณม้าหินอ่อน

    เสียงอ้อแอ้จากหนูน้อยในอ้อมกอดดึงความสนใจของหญิงสาว ผิวแก้มกลมๆ เหมือนซาลาเปามีรอยแตก ปากเล็กๆ มีสีแดง จมูกมีน้ำมูกไหล

    “ดูท่าน้องจะไม่สบายนะคะคุณพุด”

    “อืม ถ้าแม่เขามา ยังไงเทียนลองถามอีกทีนะ” คนที่เห็นหลานและได้เลี้ยงอยู่บ่อยๆ บอก

    รอไม่นานนำพรก็ออกมาพร้อมกับขวดน้ำและแก้ว แม่ลูกอ่อนยิ้มยามเห็นภาพเพื่อนอุ้มลูกน้อยของตัวเองโดยมีชายหนุ่มอีกคนนั่งติดกัน

    “กินน้ำก่อนสิเทียน” นำพรเชื้อเชิญแขกหลังจากวางแก้วน้ำบนโต๊ะ

    “ขอบใจจ้ะ ว่าแต่ลูกแกไม่สบายหรือเปล่าพร”

    “อืม เมื่อเช้าพาไปหาหมอที่อนามัยมาแล้วละ อากาศมันเย็นเด็กเลยเป็นไข้”

    “เหรอ งั้นแกรับลูกแกไปเสียทีสิ ฉันกลัวทำหลานตก” คนที่ไม่ได้กลัวทำหลานตกเพราะอุ้มไม่เป็นบอก แต่กลัวทำเด็กน้อยตกเพราะมือของคนข้างๆ วางทาบไว้ที่เอวเธอนี่สิ เขาทำราวกับกลัวเธอจะทำหนูน้อยหลุดมือไปจริงๆ ถึงได้เอามือวางเตรียมพร้อมช่วยอย่างทันท่วงที

    “อุ้มไว้ก่อนเถอะ ซ้อมๆ ไว้ เผื่อแกมีจะได้อุ้มให้คล่องๆ”

    “บ้าดิ ฉันจะมีลูกได้ยังไง” สองสาวที่ไม่ได้คุยกันนานหลายปีต่างค้อนไม่จริงจังใส่กัน

    “ทำไมจะมีไม่ได้ ผัวก็นั่งอยู่โทนโท่” นำพรที่เป็นคนพูดตรงมาตั้งแต่เด็กบุ้ยปากไปทาง ‘ผัวเพื่อน’

    “อ๊าย…ไม่ใช่ย่ะ คุณพุดไม่ใช่…”

    เสียงหัวเราะอย่างชอบใจของพุทธชาดดังขัดขึ้นเสียก่อนที่เทียนกัลยาจะแก้ตัว หญิงสาวหันขวับไปทางเขา ตาเขียวๆ ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มกลัวแต่อย่างใด

    “แน่ะ ผัวแกเขาหัวเราะชอบใจใหญ่แล้ว นี่แสดงว่ายังไม่ได้แต่งงานกันละสิ เอาน่า…ไม่ต้องอายฉัน ถึงยังไม่ได้แต่งงานแต่ได้เสียกันแล้วก็เรียกผัวเมียได้ ยิ่งหล่อๆ อย่างนี้แกอย่าปล่อยให้หลุดมือเชียว”

    “โอ๊ยยายพร ฉันว่าฉันคิดผิดละที่มาหาแก”

    “โอ๊ยยายเทียน มีผัวหล่อหน่อยทำเป็นจะทิ้งเพื่อน” นำพรล้อเลียนอีกฝ่าย ยิ่งเห็นสีหน้าของชายหนุ่มข้างตัวเพื่อน เธอก็ยิ่งมั่นใจ สองคนนี้ได้เสียกันแล้วอย่างแน่นอน

    “เขาฟังภาษาไทยออกทุกคำนะแก๊” เทียนกัลยาโวยวายหวังให้เพื่อนหยุดพูด

    “เออสิ ไม่งั้นจะหัวเราะชอบใจเหรอวะ”

    “อยากจับหลานทุ่มใส่แกจังเลย” คนที่ทำอะไรไม่ได้ขู่ แต่มือยังกอดกระชับหลานไว้แน่น ก่อนจะจั๊กจี้เมื่อใบหน้าน้อยๆ เริ่มซุกซบกับอกเธอ ปากเล็กๆ สีแดงกำลังส่ายหานมมารดา

    “อุ๊ย ดูท่าจะหิวนมแล้ว ส่งลูกมาให้ฉันเถอะเทียน” นำพรรับลูกชายมา พร้อมนั่งเบี่ยงตัวก่อนเลิกเสื้อขึ้นเพื่อป้อนนมลูกน้อย พุทธชาดเสมองไปทางอื่นทันควัน หลังจากจับจ้องเจ้าหนูที่ปะป่ายใบหน้าและฝ่ามืออยู่บนอกคนข้างตัวตาไม่กะพริบ

    รออยู่นานกว่าเจ้าหนูจะอิ่มและหลับไป นำพรขยับตัวหันมาทางเพื่อนอีกครั้งก็พบว่าสองหนุ่มสาวต่างนั่งหน้าแดงหันไปคนละทาง

    “แกสบายดีนะเทียน” คราวนี้แม่ลูกอ่อนถามอย่างเป็นการเป็นงาน

    “ฮื่อ แล้วแกล่ะเป็นไงบ้าง”

    “ก็สุขๆ ดิบๆ แหละแก” นำพรเล่าว่าตัวเองเรียนจบมัธยมต้นก็ต้องออกมาทำงานช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านซึ่งมีน้องๆ อีกสามคนอยู่ในวัยเรียน ครั้นทำงานได้ไม่กี่ปีก็คบหาดูใจกับแฟนและตั้งท้อง จึงย้ายมาอยู่ที่นี่และลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกน้อย กอปรกับที่น้องอีกสองคนเรียนจบชั้นมัธยมต้นพอดี ภาระทางบ้านจึงเหลือแค่น้องคนสุดท้อง “แฟนฉันเขาทำงานที่มากบารมีนั่นแหละเทียน นายคาวีแกใจดีกับลูกน้อง พวกฉันเลยไม่อยากดั้นด้นไปหางานที่อื่น นี่ก็กะว่าลูกโตอีกหน่อยจะให้ย่าเลี้ยง ส่วนฉันก็จะไปของานที่ฟาร์มทำ”

    เทียนกัลยาพยักหน้าโดยไม่พูดไม่จา ชีวิตของเธอนับว่าดีกว่านำพร บ้านของนำพรค่อนข้างยากจนและมีลูกเยอะ เพื่อนเธอเป็นลูกคนโตจึงต้องแบ่งเบาภาระทางบ้าน

    “แล้วแกล่ะ ฉันได้ข่าวว่าบ้านไฟไหม้แล้วมีคนช่วยดูแลแก ฉันไปถามข่าวคนรู้จัก เขาก็บอกว่าแกย้ายไปเรียนที่อื่นแล้ว นอกนั้นฉันก็ไม่ได้ข่าวอะไรอีกเลย”

    “ถูกแล้วละ ฉันย้ายไปอยู่วังเวียงมา แล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ”

    “เรียนเมืองนอกเชียวเหรอแก” นำพรทำตาโต

    “ฮื่อ ครอบครัวคุณพุดเป็นคนดูแลฉัน” หญิงสาวเบนสายตาไปยังคนข้างตัว

    “อ้อ ไปเป็นลูกบุญธรรมแล้วค่อยกลายเป็นลูกสะใภ้ใช่ไหม”

    “เฮ้ย ไม่ใช่เสียหน่อย” เทียนกัลยารีบปฏิเสธ แต่รอยยิ้มของพุทธชาดกลับเพิ่มความมั่นใจให้นำพร

    “แค่นี้ทำเป็นอาย แกน่าจะเชิดหน้า พูดอวดผัวกับฉันมากกว่าจะมานั่งอายนะเทียน” ชั่วขณะหนึ่งนำพรรู้สึกอิจฉาเพื่อนเหลือเกิน เทียนกัลยามีชีวิตที่ดี มีการศึกษาที่ดี ต่างกับเธอที่ต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบ

    สองสาวคุยกันเกือบชั่วโมง เทียนกัลยาก็ขอตัวกลับเพราะเกรงใจพุทธชาด นำพรมองตามหลังสองหนุ่มสาวที่ดูอย่างไรก็เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออก ระหว่างดีใจไปกับเพื่อน หรืออิจฉาในความโชคดีของเทียนกัลยา


    ตกค่ำภายในบ้านต่างครึกครื้นด้วยเสียงเด็กๆ และเสียงผู้ใหญ่พูดคุยกัน เทียนกัลยาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จลงมาเจอคาวี พรรษชล และพุทธชาดนั่งพูดคุยกันในห้องรับแขก ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ถัดไป หญิงสาวก้าวไปข้างหน้าหลังจากที่พรรษชลพยักหน้า

    “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    “เห็นพุดบอกว่าแฟนเพื่อนเทียนเขาทำงานที่มากบารมี” คาวีเป็นคนถาม

    “ใช่ค่ะ พี่คาวีรู้จักหรือเปล่าคะ”

    “ถ้าชื่อไอ้เบิ้มลูกตามาดนั่นพี่รู้จักมันดี กำลังคิดจะให้มันขึ้นมาเป็นผู้ช่วยหัวหน้างานคนเก่าที่จะลาออกพอดีเลย”

    “เอ่อ คนงานลาออกมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะพี่คาวี” หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง มากบารมีนับเป็นฟาร์มที่มีคนงานอยู่มาก และทุกคนก็รักเคารพเจ้านายด้วยกันทุกคน

    “ไม่มีอะไรหรอก แกแก่แล้ว ลูกหลานเลยอยากให้พัก”

    “อ้อ เทียนนึกว่ามีปัญหากันเสียอีก ว่าแต่พี่คาวีจะช่วยเพื่อนเทียนจริงๆ เหรอคะ”

    “ไม่ได้ช่วยจ้ะ แต่คิดไว้ก่อนแล้ว เลยจะเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้น เทียนพูดอย่างกับกำลังใช้เส้นกับพี่งั้นแหละ” คาวีบอกอย่างล้อเลียน เขาปกครองคนอย่างยุติธรรมก็จริง แต่หากน้องสาวคนนี้เอ่ยปากขอร้อง เขาก็พร้อมแหกกฎ

    “แหม…เทียนไม่กล้าหรอกค่ะ แต่ถ้าได้ก็ดี วันนี้เทียนไปเห็นบ้านพร เห็นความเป็นอยู่ของเขาแล้วเทียนอดเห็นใจไม่ได้” เทียนกัลยาเลี่ยงคำว่าสงสาร เพราะเธอไม่ได้สงสารนำพร แต่แค่เห็นใจที่อีกฝ่ายอยู่อย่างขัดสน “อีกอย่างเทียนก็อยากให้หลานอยู่ดีกินดี ถ้าพี่คาวีช่วยพ่อแม่ของเขาก็เท่ากับได้ช่วยเด็กตาดำๆ คนหนึ่งเลยนะคะ” จบท้ายประโยคเธอไม่พลาดที่จะออดอ้อนอีกฝ่าย

    “ดูเอาเถอะพุด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พี่ใจอ่อนได้ไงวะ” คาวีหันไปทางพุทธชาดซึ่งกำลังอมยิ้ม

    “พี่อุตส่าห์เบรกไม่ให้พี่คาวีใช้เส้นสายเพราะกลัวเทียนไม่สบายใจ นี่อะไร…เราเล่นขอกันโต้งๆ เทียนทำให้พี่รู้สึกเสียหน้าชะมัด” คนที่คิดอยากช่วยครอบครัวนำพรเหมือนกันต่อว่าไม่จริงจัง

    “เทียนไม่ได้ขอเสียหน่อย พี่คาวีบอกว่าตั้งใจจะเลื่อนตำแหน่งให้แฟนพรพอดีต่างหากค่ะ” คนอยากช่วยเพื่อนแย้งหน้าแดงก่ำ อายคนที่ขยันแทนตัวเองว่า ‘พี่’ เหลือเกิน

    “สรุปว่าคาวีจะช่วยนะ ทีนี้ก็ลุกไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะรอ” พรรษชลแทรกขึ้นก่อนจะลุกขึ้นมาดึงแขนน้องสาวให้เดินตาม

    ท่าทางหวงน้องของคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่เขยทำให้คาวีระเบิดเสียงหัวเราะ ดูเหมือนพรรษชลจะเป็นคนเดียวที่ยังรับความรู้สึกของพุทธชาดไม่ได้

    “งานนี้ท่าจะยากนะพุด มีก้างชิ้นบักเอ้กขนาดนั้นขวางคอเอาไว้”

    “ผมไม่กลัวหรอกครับ ลองเทียนได้เอ่ยปากตกลง ยังไงเสียพี่หมอก็ต้องตามใจน้องอยู่ดี”

    “ท่าทางมั่นใจจังเลยเนอะ” คาวีหมั่นไส้น้องภรรยาเล็กน้อย ผู้ชายตรงหน้าไม่ว่าปัญหาน้อยใหญ่ขนาดไหนก็ดูเหมือนมันจะไม่สะท้าน “แน่ใจนะว่าเทียนจะไม่เจอคนที่ดีกว่า”

    “ถึงเจอก็ใช่ว่าจะดีกว่าผมนี่ครับ”

    “พี่ขอถามหน่อย อะไรทำให้นายมั่นใจขนาดนั้นวะพุด”

    หนุ่มดอกพุดเผยยิ้มก่อนตอบ “ประสบการณ์ล้วนๆ ครับพี่คาวี ผมเป็นนักธุรกิจ ลงทุนลงแรงอะไรไปแล้วย่อมต้องเก็งกำไรเอาไว้เสมอ”

    คาวีได้แต่อ้าปากค้างมองตามหลังนักธุรกิจหนุ่มไปจนหลับตา ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ อยู่คนเดียว งานนี้เทียนกัลยาดูท่าจะรอดยาก ส่วนเพื่อนเขาก็คงได้แต่ทำใจ มีครั้งหนึ่งพรรษชลเคยเอ่ยปากปรึกษาเขา เพราะกลัวพุทธชาดจะเป็นโรคจิตเภทจำพวกที่ชอบเด็กรักเด็ก แต่จากที่เฝ้าดูและรับรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมาตั้งแต่ต้น คาวีมั่นใจว่าพุทธชาดไม่ได้เป็นอย่างที่พรรษชลกล่าวหาแน่นอน ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นไปอย่างพี่ชายน้องสาวมาตลอด จนกระทั่งเทียนกัลยาเติบโตเป็นสาวสะพรั่งนั่นหรอก ทุกอย่างจึงเริ่มเปลี่ยนไป

    มหาเสน่ห์เป็นคนแรกที่จับความไม่ชอบมาพากลเหล่านั้นได้ การที่พี่ชายเฝ้าพรมนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือส่งข้อความหาสาวทุกวันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แปลกเปลี่ยนไปช่วงที่เทียนกัลยาเริ่มเติบโตเป็นสาวและมีหนุ่มๆ มาคอยขายขนมจีบให้ พุทธชาดดูเคร่งเครียดทุกครั้งที่กัลปพฤกษ์โทรศัพท์มาเล่าให้ฟัง แต่ที่สุดแล้วก็ไม่พูดอะไร ได้แต่เงียบและเงียบมาตลอด ซึ่งความเงียบนั้นเองที่จอมเสือกอย่างมหาเสน่ห์สรุปเอาว่าพี่ชายแอบมีใจให้สาวน้อย

    หลังจากนั้นทุกคนก็ได้รับรู้พร้อมๆ กันเมื่อมหาเสน่ห์โพสต์ข้อสงสัยลงในกลุ่มสนทนา แรกๆ ก็มีคนด่าว่ามหาเสน่ห์มโน บ้างก็บอกให้รับยาช่องสอง แต่หลังๆ มาพอทุกคนจับตามองดูความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวบ้างก็เห็นคล้อยไปกับมหาเสน่ห์ จนในที่สุดฟาบิโอ้ออกปากถามลูกชาย และพุทธชาดก็ตอบตามความจริง จากนั้นทุกคนก็คอยช่วยลุ้นช่วยแซวกันอยู่ห่างๆ ยกเว้น…พรรษชล


    ภายในห้องรับประทานอาหารหลังจากที่คาวีมานั่งประจำที่ ทุกคนต่างก็ลงมือกินมื้อเย็นสลับกับพูดคุยกัน ฟาบิโอ้พูดถึงเรื่องเดินทางไปเยี่ยมอัญชันที่เชียงราย เพราะฝ่ายนั้นอยากให้ผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นไปอยู่ด้วยสักสองสัปดาห์ เทียนกัลยาอ้อนขออยากไปด้วย แต่การะเกดค้านเสียก่อน

    “เทียนค่อยไปพร้อมพี่ต้นเดือนหน้าก็ได้ เด็กๆ มีวันหยุดติดกันหลายวัน”

    “ให้เทียนไปรอที่โน่นก็ได้นี่คะพี่เกด” หญิงสาวออดเมื่อคิดแล้วก็น่าจะพอดีกัน ให้เธอไปเที่ยวรออยู่ที่โน่นก็ไม่เสียหลาย อย่างไรก็ต้องเจอกันอยู่ดี

    “พี่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ” พรรษชลสำทับอย่างเห็นดีเห็นงามกับน้อง

    “ไม่ดีค่ะ เทียนไปแล้วเกดก็ไม่มีเพื่อนคุยสิคะ เดหลีด้วยใช่ไหม” คนที่พาสามีและลูกหอบเสื้อผ้ากลับไปนอนที่บ้านได้เกือบสัปดาห์หาพรรคพวก

    “เอ่อ ใช่ค่ะ เทียนไปเดหลีก็ไม่มีเพื่อนคุย” บุษบารีบรับไม้ต่อจากน้องสาว

    “นั่นไง ไม่มีคนช่วยเลี้ยงหลานด้วย ยายมิ้นกับน้ำฟ้าติดเทียนจะตายไป” การะเกดพูดถึงลูกสาวของบุษบาซึ่งมีวัยเดียวกันกับลูกสาวเธอพอดี

    “ช่ายค่ะ ถ้าป้าเทียนไปแล้ว ฟ้าก็เหงาสิคะ” สาวน้อยวัยห้าขวบเจื้อยแจ้วขึ้น

    “ฮื้อ เรียกน้าเทียนเหมือนเดิมสิคะ น้าเป็นน้องแม่หรือไม่ก็เรียกพี่เทียนก็ได้” คนถูกเรียกป้าตลอดช่วงสองสัปดาห์ท้วง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชินเสียที

    “หลานชินปากแล้วช่างเถอะน่า เดี๋ยวค่อยๆ บอกไปเนอะ” การะเกดหันไปเนอะกับลูกสาวซึ่งก็คือกรรณิการ์หรือน้ำฟ้าที่เรียกเทียนกัลยาว่าป้า

    “เทียนแก่กว่าพี่เกดได้ไงเนี่ย ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่เรียกน้าก็เรียกพี่เลย”

    “เขาไม่ได้วัดกันที่อายุหรอกย่ะ เขาเรียกกันตามศักดิ์ เอาเป็นว่าหลานเรียกอย่างนี้ถูกแล้ว จบนะ…กินข้าวต่อได้แล้ว”

    “ไม่จบค่ะ แม่ขา…เทียนต้องเป็นน้าไม่ใช่เหรอคะ” คนถูกเรียกป้าไม่ยอมจบ อย่างไรเสียเธอก็ไม่ยอมเป็นป้าแน่ อายุแค่ยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ดเป็นป้าใครไม่ได้หรอก

    “เอาเถอะๆ แม่ว่าให้หลานเรียกเทียนว่าน้าก็ได้นะ หลานไม่สับสนหรอก” ลีลาวดีหันไปปรามลูกๆ ของเธอ คำเรียกแทนตัวเทียนกัลยาเป็นที่ถกเถียงกันในกลุ่มญาติมาพักใหญ่ ว่าจะให้เด็กๆ เรียกหญิงสาวว่าอย่างไร

    “แต่ตามศักดิ์แล้วต้องเป็นป้านะคุณ” ฟาบิโอ้เอียงตัวกระซิบกับภรรยา

    “ถึงอย่างนั้นเทียนก็เป็นน้องของทุกคนมาก่อนนี่คะ” คนที่ยึดลำดับความสัมพันธ์แรกที่เทียนกัลยามีกับคนในครอบครัวบอก ส่วนเรื่องจะเปลี่ยนเป็นป้าหรือสะใภ้ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาเพราะลูกๆ เธอนี่แหละ

    “เออ งั้นก็ให้เรียกเทียนว่าน้าแล้วกันนะ เด็กๆ เรียกน้าเทียนว่าน้านะลูก” ฟาบิโอ้บอกหลานๆ ทั้งห้าคน ซึ่งมีบารมีเป็นพี่ใหญ่ ตามด้วยบุญสิริ พรรษกร บุษบัณ และกรรณิการ์

    “อ้าว ไม่เรียกป้าแล้วเหรอคะคุณตา” กรรณิการ์ถามขึ้น

    “นั่นสิคะ จากน้าเทียนเปลี่ยนเป็นป้าเทียน แล้วก็มาเปลี่ยนเป็นน้าเทียนอีก” บุษบัณนิ่วหน้าจนคนเป็นพ่ออย่างคาวีอดยีหัวทุยเล่นอย่างเอ็นดูไม่ได้

    “น้าเทียนเลิกกับน้าพุดแล้วเหรอครับ” เป็นเสียงของบารมีที่ทำให้วงแทบแตกกับคำถามโผงผางอันเป็นลักษณะของคาวี

    “อ่า…หมายความว่ายังไงคะ” เทียนกัลยาที่ทั้งมึนทั้งงงกับคำถามมองคนโน้นทีคนนี้ที ก่อนจะหันมามองคนข้างกายซึ่งเอาแต่นั่งอมยิ้ม

    “ตาไม้! ปากเปราะได้พ่อเลยนะเรา” การะเกดเอ็ดหลานชายซึ่งถอดพิมพ์คาวีมาทุกกระเบียดนิ้ว

    “แต่ฟ้าคิดเหมือนพี่ไม้นะแม่” กรรณิการ์เห็นญาติผู้พี่โดนดุก็รีบช่วย

    “ยายฟ้านี่ก็เหมือนแม่เปี๊ยบเลยเนอะ” คาวีได้ทีโต้กลับ

    “เอาเถอะๆ เป็นอันว่าให้เด็กๆ เรียกเทียนว่าน้าเหมือนเดิมน่ะถูกแล้ว” ลีลาวดีรีบห้ามศึกน้ำลายระหว่างพี่เขยกับน้องเมีย

    “สรุปว่าน้าเทียนเลิกกับน้าพุดจริงๆ ด้วย”

    “ตาเมฆ!”

    บุญสิริเป็นคนที่ถูกเอ็ดตบท้ายรายการ เรื่องราวที่ผู้ใหญ่หารือกันบ่อยๆ หาได้รอดหูรอดตาเด็กช่างจดช่างจำ บุญสิริทำหน้าหงอย เด็กชายชอบ ‘น้าเทียน’ มาก แถมผู้เป็นพ่อยังเคยบอกว่าน้าพุดกับน้าเทียนเป็นแฟนกันอีกด้วย


    เทียนกัลยาเก็บคำพูดของเด็กๆ มาขบคิด สิ่งที่บารมีและบุญสิริพูดทำให้เธอค้างคาใจเหลือเกิน อะไรคือ…น้าเทียนเลิกกับน้าพุด หลังจากที่คิดสะระตะแล้วหญิงสาวพุ่งเป้าไปที่มหาเสน่ห์ ต้องเป็นเขาแน่ๆ ที่เอามาพูดให้เด็กๆ เข้าใจผิด รวมถึงคนอื่นๆ ด้วย

    นึกถึงใบหน้าของคนข้างกายแล้วเธออดขุ่นเคืองเขาไม่ได้ เหตุใดพุทธชาดไม่ทักท้วงบ้าง ปล่อยให้เธอนั่งทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนทุกคนจะคิดไปในทางเดียวกันกับมหาเสน่ห์ เจ้าของร่างบางเอนตัวลงกอดหมอนข้าง เธออยากถอนหายใจแรงๆ ติดกันสักร้อยครั้ง จากนั้นก็กลอกตาเป็นเลขแปดสักสามชั่วโมง ค่าที่ทุกคนทำให้เธอหวั่นไหว

    พอคิดถึงเพื่อนสนิทอย่างนำพร ต่อมจินตนาการที่พองคับอยู่ในร่างกายของเทียนกัลยาก็ค่อยๆ ฝ่อลง หากตัดดาวเรืองออกไป นำพรนับเป็นเพื่อนที่เธอสนิทที่สุด สมัยเรียนด้วยกันบ้านนำพรไม่ได้มีฐานะยากจนเท่าที่เพื่อนเล่า เพราะยังไม่มีน้องชายอีกสองคน ครั้นพอแม่ของนำพรตั้งท้องลูกคนที่สามและสี่ติดกันหัวปีท้ายปี รายได้ที่แม่เคยได้ก็หดหายไปเพราะต้องออกจากงานมาดูแลลูกเล็ก ฐานะทางบ้านจึงย่ำแย่ รายได้จากผู้เป็นพ่อไม่เพียงพอสำหรับอีกห้าชีวิตซึ่งยังหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้

    สาวดอกไม้นึกถึงบ้านที่เพื่อนอาศัยอยู่ในปัจจุบันอย่างขมขื่นใจ เป็นบ้านปูนก็จริง แต่ช่องหน้าต่างยังใช้ไม้อัดปิดกั้นเอาไว้ ประตูหรือก็เก่าแสนเก่า ภายในบ้านที่มองเห็นแวบเดียวเป็นพื้นที่ไม่ได้ปูกระเบื้อง มีเสื่อน้ำมันปูอยู่หนึ่งผืนตรงเปลเด็กและคงไว้สำหรับนอนด้วย ที่ผ่านมาเทียนกัลยาคิดถึงเพื่อนบ้าง แต่ก็ไม่เท่าคิดถึงน้องสาว เธอรู้ว่านำพรอยู่กับครอบครัวอย่างปลอดภัย แต่สำหรับดาวเรือง เธอไม่รู้เลยว่าน้องจะปลอดภัยหรือมีความสุขไหม

    หญิงสาวพร่ำภาวนาอยู่ในใจ…ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยปกป้องคุ้มครองน้องสาวเธอด้วยเถิด ขอให้ดาวเรืองปลอดภัย ขอให้น้องอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป

    เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลง ม่านผ้าฝ้ายสีขาวปลิวไหวๆ อยู่ริมหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสนิทแต้มด้วยดาวนับล้าน ดวงดาวที่บางคนเคยอ้อนวอนอธิษฐานขอพร ล้านคำขอ พันคำถาม ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าคำขอพรจากดวงดาวนั้นจะเป็นจริงไหม

    เทียนกัลยาเองก็เช่นกัน หญิงสาวไม่มีวันรู้เลยว่าคำขอนั้น…ไม่-มี-วัน-เป็น-จริง




    เริ่มเข้าปมของสาวดอกเทียนแล้วนะคะ ลงให้อ่านถึงตอนที่ ๒๐ เด้อค่า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×