ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #20 : ...๑๘ กงล้อโชคชะตา Ep.๒

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.29K
      13
      8 เม.ย. 59

    18

    กงล้อโชคชะตา Ep.2

    Mahasane F.: กระจองงองๆ เจ้าข้าเอ๊ยได้ข่าววันนี้มีโคแก่ เอ๊ย คนแก่หยอดมุกจีบสาว

    ข้อความของมหาเสน่ห์เด้งขึ้นในกลุ่มสนทนา แอปพลิเคชันแสดงผลจำนวนสมาชิกที่เข้าอ่านอย่างรวดเร็ว คนกำลังจะนินทาพี่ชายถึงกับยิ้มกริ่มพอใจที่สมาชิกอยู่กันเยอะ

    Chilly: ไผๆๆ แถวนี้มีโคแก่ เอ๊ย คนแก่ริรักเด็กตั้งสองคน

    รูปหล่อมีสไตล์แต่ไร้สตางค์: อ้าวนายพริกเล่นพี่ซะแล้ว

    Karaked: ไอ้น้องเหน่ปากมากจริง รู้งี้ไม่เล่าให้ฟังหรอก

    การะเกดโพสต์เข้ามาในกลุ่ม สีหน้าเปื้อนรอยยิ้มขัดกับข้อความอย่างสุดโต่ง ความจริงแล้วเธอเป็นคนแรกที่ปล่อยข่าว หลังจากสามีกลับบ้านมาเล่าให้ฟังเรื่องพุทธชาดหยอดมุกเจ้าสาวยี่สิบสี่กับเทียนกัลยา

    Mahalap F.: ใครจีบสาว?

    Mahachoke F.: ขนาดลาภยังอยากรู้ ไอ้เหน่มึงรีบโพนทะนาเลย

    Mahasane F.: เจมี่ๆๆ เข้ามาอธิบายสิ

    Sonchat V.: พี่พุดจีบเทียนงั้นเหรอ

    Mahasane F.: เจมี่นุ้งเทียนเก็ตมุกเจ้าสาวยี่สิบสี่ย้างงง

    หลังข้อความของมหาเสน่ห์มีสติกเกอร์ตกใจหลายตัวเด้งขึ้นติดๆ กัน

    Mahasane F.: ทุกคนยังไม่เก็ตใช่ปะ

    Mahachoke F.: เก็ตพร่อง! มึงยังไม่ได้อธิบายเลยเหน่

    Mahasane F.: ชะอุ๊ยโทษที

    Mahasane F.: คืองี้นะพี่เกดเล่าให้ฟังว่าวันนี้พี่หมอพูดเรื่องเทียนกับเจมี่ บอกยังไม่อยากให้เทียนแต่งงานเพราะเทียนยังเด็ก แต่เจมี่แย้งไปว่ากลัวมีลูกตอนแก่

    คนอยู่ถึงสเปนเล่าเหมือนอยู่ในเหตุการณ์

    Mahasane F.: ทีนี้พอเทียนมาได้ยินตอนท้าย พี่หมอเลยอยากแกล้งให้เทียนเข้าใจผิด ด้วยการบอกเจมี่อยากแต่งงาน เจมี่เลยหยอดกลับถามเทียนว่าดีไหม

    Mahachoke F.: เดาว่าเทียนตอบว่าดีแบบงงๆ หน้าซื่อๆ

    Karaked: ถูกเผง

    Mahasane F.: แล้วเทียนก็ถามพี่หมอกับเจมี่มีเรื่องอะไรกันไหม เพราะเห็นสองคนนั้นคุยกันหน้าเครียด

    คนอยู่สเปนเล่าอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์อีกครั้ง

    Karaked: พุดออดไปว่าพี่หมอไม่เห็นด้วย อยากให้รอไปอีกสี่ปี

    Mahasane F.: แล้วเทียนก็ถามว่าทำไมต้องสี่ปี

    Karaked: พุดตอบว่ารอให้เจ้าสาวอายุครบยี่สิบสี่!

    รูปหล่อมีสไตล์แต่ไร้สตางค์: ฮิ้วววสรุปอยากได้เทียนเป็นพี่สะใภ้กันทั้งนั้น

    หลังข้อความของเทียบศิขร สติกเกอร์น่ารักๆ เน้นไปทางรูปหัวใจเด้งขึ้นติดกัน หนุ่มสาวดอกไม้ต่างไม่มีใครไม่เอ็นดูเทียนกัลยา แม้ก่อนหน้านั้นจะมีขัดๆ บ้าง เพราะด้วยวัยและวุฒิของทั้งสองต่างกันมาก แต่การะเกดก็เคยให้เหตุผลว่าพี่ชายเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบ เทียนกัลยาได้หัวใจพุทธชาดไปย่อมเป็นเรื่องโชคดี

    NumDokPud:?!

    Karaked: วันนี้มีเครื่องหมายตกใจพ่วงด้วย

    Mahasane F.: สลายโต๋!

    พุทธชาดซึ่งอ่านข้อความในกลุ่มสนทนาถึงกับโคลงศีรษะ แน่นอนว่าเจ้ากรมข่าวคงไม่แคล้วเป็นน้องสาวฝาแฝดเขา ชายหนุ่มนึกถึงคนที่ขอตัวเข้าห้องตั้งแต่ยังหัวค่ำ ท่าทางเหม่อลอย ดวงตามีน้ำจับคลอตลอดทางกลับบ้าน เขาไม่สบายใจเลย ความรู้สึกที่เคยละทิ้งไปนานตีตื้นขึ้น นอกจากเอ็นดูและสงสารแล้ว พุทธชาดยังเคยนึกอยากให้เทียนกัลยาบอกเขา บอกทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในใจ เล่าทุกปัญหาร้อยแปดพันเก้า

    ขอเพียงแค่เธอบอกมา…เขาจะตามแก้ให้

    แต่ไม่ว่าอย่างไร เวลาผ่านไปนานแค่ไหน สาวเจ้าก็ยังคงไม่ปริปากบอกสักคำ พุทธชาดรู้…นอกจากเรื่องดาวเรือง เธอยังมีเรื่องอื่นให้คิด และหวังมาตลอดว่าสักวันหนึ่งเธอจะเชื่อใจเขาและบอกแก่เขา

    รูปหล่อมีสไตล์แต่ไร้สตางค์: ยี่สิบสี่รอนานไปนะพุด สักอีกสี่เดือนกำลังดี แค่นี้พี่ก็อยากกราบนายแล้วว่ะ

    ข้อความให้กำลังใจของศิลปินในดวงใจที่พ่วงตำแหน่งพี่เขยเด้งขึ้น พุทธชาดอ่านแล้วยิ้ม

    NumDokPud: ประมาณนั้นแหละครับพี่สิงห์ ดูเหมือนเทียนกำลังมีปัญหาเก็บซ่อนเอาไว้

    Karaked: เทียนมีปัญหา?

    Mahasane F.: ใครทำร้ายเทียน?

    หลังจากข้อความเจ้ามโนของมหาเสน่ห์ คนอื่นๆ ในครอบครัวต่างถามทำนองเดียวกับการะเกด พุทธชาดเลยพิมพ์เล่าเรื่องที่สาวน้อยไปเจอเพื่อนเก่า รวมถึงสองสามีภรรยาให้ฟัง

    Karaked: ถ้าเด็กที่ชื่อนำพร เกดเคยเจอนะพุด แกเคยมาถามหาเทียนเหมือนกัน

    NumDokPud: น่าจะคนเดียวกัน ตอนนี้มีครอบครัวมีลูกแล้ว

    Karaked: แล้วสองสามีภรรยานั่นเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ

    NumDokPud: ไม่รู้เหมือนกัน แต่เทียนมองทั้งสองคนแปลกๆ

    Passachon: เห็นด้วยกับพุดนะ พี่สังเกตเหมือนกันว่าเทียนมองแปลกๆ

    พรรษชลโพสต์ข้อความเข้ามาในกลุ่ม

    Chilly: สองคนนั้นท่าทางเป็นยังไงครับ ไว้ใจได้ไหม

    Passachon: ไว้ใจได้ทั้งสอง พี่เห็นหน้ามานาน เป็นผู้ใหญ่ใจดี

    Chilly: หรือเทียนจะคิดถึงพ่อแม่ครับ

    คุณพริกของสาวดอกเทียนให้ความเห็น

    Passachon: ก็อาจเป็นได้เหมือนกัน

    Sonchat V.: พักเรื่องเทียนไว้ก่อนไหม เรื่องนั้นไว้ค่อยให้พี่พุดจัดการ

    สนฉัตรโผล่เข้ามาในกลุ่ม ตอนนี้ชายหนุ่มเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อติดต่อธุรกิจ

    Sonchat V.: ข่าววงในกำลังลือกันเรื่องลูกสาวของเสี่ยเมธ ซึ่งมีคุณมาศคู่ควงคอยดูแล

    ชายหนุ่มโพสต์รูปชายหนึ่งหญิงสอง ซึ่งสองในสามคือธีรเมธและผกามาศ ส่วนอีกคนคือสาวน้อยหน้าแฉล้มกำลังส่งยิ้มให้กล้อง

    Sonchat V.: ดาวประดับ

    Passachon: เด็กในรูปชื่อดาวประดับ?

    Sonchat V.: ครับ ผมไปเจอมาวันนี้เอง พี่น้ำว่าหน้าเหมือนใคร

    Passachon: ภรรยาคนแรกของเสี่ยเมธ

    หนุ่มสาวดอกไม้รู้จักประวัติธีรเมธละเอียดยิบตั้งแต่ที่ดาวเรืองหายตัวไป พวกเขาพยายามตามสืบทุกเรื่องราวของชายคนนี้จนพบว่าเคยมีลูกสาวกับภรรยาคนแรกและได้หายตัวไป ล่าสุดสนฉัตรได้พบกับทั้งสามคนที่งานเลี้ยงการกุศลซึ่งจัดในโรงแรมแห่งหนึ่ง บรรดาไฮโซไฮซ้อในวงสังคมชั้นสูงซุบซิบเรื่องนี้ ข่าวว่าธีรเมธไม่เคยให้ข่าวลูกสาว แต่พอโตแล้วถึงพามาเปิดตัว สนฉัตรได้ยินแล้วถึงกับกังขาจึงนำมาเล่าสู่พี่น้อง

    NumDokPud: ที่สนเอามาเล่าให้ฟังเพื่อจะบอกว่าดาวประดับคือดาวเรืองอย่างนั้นเหรอ

    Sonchat V.: แล้วพี่คิดว่าไงล่ะ ถ้าไม่ใช่ดาวเรืองแล้วจะเป็นใคร

    Karaked: บ้าไปแล้ว!

    Passachon: อืมอย่างนั้นคงต้องหาโอกาสไปพบน้องสักที

    Sonchat V.: พบง่ายพี่ เขาจะเปิดตัวธุรกิจใหม่เร็วๆ นี้ แล้วก็ยังเป็นธุรกิจที่คู่ควงของเสี่ยเป็นโต้โผด้วย

    Passachon: สนช่วยหาประวัติดาวประดับให้พี่หน่อยแล้วกัน สักอาทิตย์หน้าพี่จะขึ้นกรุงเทพฯ

    Sonchat V.: ได้ครับ อ้อผมบอกพี่อีกอย่างนะ

    Sonchat V.: สาวน้อยของพี่ตอนนี้มีแฟนแล้ว

    Karaked: อะไรนะ เด็กอายุสิบหก!

    Sonchat V.: เธอเรียนเมืองนอก วันนี้ก็พาแฟนมาด้วย อายุเกือบสามสิบ ได้ข่าวว่าผกามาศเป็นคนผลักดัน

    เรื่องราวของ ‘ดาวประดับ’ ค่อยๆ กลบเรื่องรักฟรุ้งฟริ้งของหนุ่มดอกพุดและสาวดอกเทียนไปจนสิ้น แม้แต่พุทธชาดที่กำลังตั้งหน้าจีบสาวยังพับเก็บเรื่องนั้นเอาไว้ บางทีนะบางที…เขาควรเคลียร์ปัญหารอบกายให้จบก่อน

    Mahasane F.: ต่อมจิ้นฝ่อแฟบเมื่อไหร่จะได้เทียนเป็นพี่สะใภ้

    Karaked: ไอ้น้องเหน่ เขาคุยกันเป็นการเป็นงาน

    Mahasane F.: เหน่ก็เป็นการเป็นงานแต่งเหมือนกัน อยากกินลาบงานแต่ง

    Karaked: ไอ้บ้า แม่เลี้ยงโต๊ะจีนไม่ก็บุฟเฟต์เว้ย

    Mahasane F.: ไม่รู้ละ งานแต่งเจมี่ต้องมีลาบ แล้วก็เรื่องหนูดาวให้พี่หมอกับพี่สนจัดการไป ส่วนเรื่องเทียนถ้าเจมี่ตึงมือเรียกเหน่ได้เลยนะ

    รูปหล่อมีสไตล์แต่ไร้สตางค์: หายนะชัดๆ

    Kavee: เห็นด้วยกับไอ้เกลือ

    Mahasane F.: โหพี่ถึกมาตอนตลาดวาย

    Kavee: เอาลูกเข้านอนอยู่เฟ้ย แต่พี่ไม่พลาดหรอก ไล่อ่านจนหมดแล้ว

    Mahasane F.: เหอะจอมเสือกสินะ

    Kavee: เสือก

    Fabe F.: เสือกอะไรไอ้ลูกถึก!

    Kavee: เสือกเฉยๆ นี่แหละครับคุณป๋า

    คนรู้ว่าพ่อตากำลังอ่านอยู่หัวเราะ

    Fabe F.: เรื่องดาวฝากสนกับหมอน้ำดูด้วย ส่วนเรื่องเทียนให้พุดจัดการ เกดคอยช่วยพี่อีกคน

    Fabe F.: วันนี้พอแค่นี้แยกย้ายกันกลับยานแม่! มีข่าวคืบหน้ารีบรายงานทันที!

    คนเป็นพ่อเข้ามาสั่งชุดใหญ่หลังจากนั่งอ่านข้อความที่ลูกๆ คุยกัน แน่นอนว่าเรื่องราวของดาวประดับดึงความสนใจของทุกคน รวมถึงอดีตความเป็นมาของผกามาศคู่ควงของธีรเมธด้วย


    ฟากฝ่ายคนที่ทุกคนกำลังเป็นห่วงกำลังนั่งดูรูปถ่ายหลายใบที่พิมพ์ออกมาเก็บไว้ในสมุดบันทึก ใบหน้าหญิงชายในรูปเป็นคนเดียวกับที่เธอได้พบวันนี้เป็นแน่แท้ อีกทั้งชื่อของพวกเขาก็ตรงกับที่ตาเคยบอกไว้ บันทะวงกับราตรี คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เทียนกัลยามั่นใจอย่างนั้น

    “พ่อขา…แม่ขา…” หญิงสาวแนบรูปถ่ายไว้เหนืออก ปล่อยให้น้ำตาไหลรินจากหน่วยตางามอย่างไม่ขาดสาย สีหน้าท่าทางของพวกท่านตอนทราบว่าเธอชื่อเทียนยิ่งสร้างความมั่นใจ

    ใช่แน่ๆ พวกเขาคือพ่อแม่ของเธอแน่ๆ

    ในหัวหญิงสาวคิดสะระตะว่าจะเดินเข้าไปบอกพวกท่านอย่างไร ว่าเธอเป็นลูก เป็นลูกที่พลัดพรากจากกันมาสิบเก้าปี พ่อกับแม่จะเชื่อไหม พวกเขาจะหาว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงแกะไหม

    ชีวิตที่เจอมรสุมลูกใหญ่พร้อมทั้งมีพุทธชาดคอยเตือนสติในวันที่เหมือนคนหลงทางทำให้เทียนกัลยารีบตั้งสติทุกครั้งที่กำลังเผชิญปัญหา หากเธอตั้งสติ ค่อยๆ แก้ไขปัญหาอย่างใจเย็น เธอจะผ่านพ้นมันไปด้วยดี

    การได้พบกันอีกครั้งเท่ากับยังมีวาสนาต่อกัน

    “รอเทียนหน่อยนะคะ รอให้เทียนรวบรวมความกล้าอีกสักนิด แล้วเทียนจะเข้าไปบอกพ่อกับแม่ว่าเทียนคือลูก ลูกที่รอคอยอ้อมกอดของพ่อกับแม่มาตลอด”


    มือเหี่ยวย่นคล้ามแดดจับจอบพรวนดินอย่างขะมักเขม้น ใบหน้าภายใต้งอบซึ่งมีผ้าขาวม้าพันทบอีกทีค่อยๆ เงยขึ้นหลังจากเห็นเงาที่ทอดผ่านต้นดาวเรือง เทียนกัลยาที่แวะมาเก็บดอกดาวเรืองไปถวายพระส่งยิ้มนำทัพมาก่อน หลังจากยืนมองชายชราทำสวนอยู่นาน ไม่รู้อย่างไรเทียนกัลยาเกิดนึกถึงผู้เป็นตาจับหัวใจ

    “เทียนมาขอตัดดอกไม้ไปถวายพระค่ะ” คนที่มีตะกร้ากรรไกรพร้อมบอก ความว้าวุ่นใจทำให้เธออยากไปทำบุญที่วัด เมื่อคืนเทียนกัลยานอนคิดเรื่องพ่อแม่ทั้งคืน หญิงสาวไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จะเดินเข้าไปบอกพวกท่านเลยดีไหมว่าเธอเป็นลูก แล้วพวกท่านจะยอมรับไหม จะตกใจไหม หลากหลายคำถามผุดขึ้นในหัวจนเธอนอนไม่หลับ

    “ตามสบายเถอะครับคุณหนู ดอกไม้ทั้งสวนนี้เป็นของคุณหนู” 

    น้ำเสียงแหบพร่ายิ่งชวนให้หญิงสาวคิดถึงคนที่จากไปหลายปีแล้ว หากตายังอยู่ก็คงดี ตาจะได้ช่วยไปเป็นพยาน เพราะแค่รูปถ่ายตอนเด็กที่เธอเก็บไว้ อาจไม่เพียงพอ

    “ของเทียนคนเดียวที่ไหนล่ะจ๊ะ” ดวงตาเนื้อทรายมองไปรอบๆ ที่มีแต่สีเหลืองของดอกดาวเรือง ก่อนจะยอบตัวนั่งยองๆ ห่างจากเสริม

    “คุณท่านบอกเป็นของคุณเทียน” เสริมย้ำ มองเสี้ยวหน้าที่ฉายแววเศร้าโศกอย่างปวดหัวใจ

    “ของน้องเทียนด้วยค่ะ ตาเพิ่มคงยังไม่รู้ว่าตาของเทียนมีหลานอีกคน ดาวเรืองเป็นเจ้าของสวนอีกคนค่ะ”

    เสริมมองหลานสาวผ่านม่านน้ำตา ใครกันหนอ เคยบอกว่าพอหมดขมแล้วก็จะหวาน เขาที่กลืนกินอยู่กับความขมมาหลายปี เหตุใดถึงไม่หมดขมเสียที แม้เทียนกัลยาจะเหมือนความหวาน แต่ใบหน้ายามเศร้าเสียใจของหลานสาวนั้นขมยิ่งกว่าบอระเพ็ด

    “อยู่กับตาเพิ่มทีไร เทียนรู้สึกเหมือนได้อยู่กับตาเลยค่ะ ตาก็ไม่ค่อยชอบพูดแบบนี้ แต่ยามอารมณ์ดีตาจะสอนเทียนกับน้อง สิ่งที่เทียนจำไม่ลืมคือตาสอนให้เทียนกับน้องรักกัน เฮ้อ…พูดขึ้นมาคิดถึงตาชะมัดเลย” คนที่พูดไปตัดดอกดาวเรืองไปถอนหายใจ โดยไม่รู้ว่าอีกคนร้องไห้อยู่เงียบๆ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลซึมผ่านเนื้อผ้าขาวม้า

    เสริมเฝ้ามองหลานสาวตัดกิ่งดาวเรืองออกทีละกิ่ง ดอกแล้วดอกเล่าจนกระทั่งมือบางวางกรรไกรในตะกร้า หญิงสาวขอตัวกลับ ก่อนกลับยังยกมือไหว้คนสูงวัยอีกด้วย การกระทำนั้นเหมือนคนอมยาขมได้รับน้ำหวานปลุกปลอบ นี่อย่างไรที่อยากให้หลานได้เป็น คนพวกนั้นเลี้ยงหลานเขามาดีเหลือเกิน

    “จะไม่ทบทวนเรื่องนั้นใหม่เหรอครับ” เสียงทุ้มดังขึ้น 

    เสริมรีบใช้ผ้าขาวม้าเช็ดน้ำตาแล้วหันไปมองผู้มาใหม่ซึ่งคงเดินสวนกับเทียนกัลยา

    “อ้อ คุณนี่เอง” เสริมอดชื่นชมชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ พุทธชาดมีรูปร่างสูงใหญ่และสมส่วน ครั้งแรกที่ได้พบกับเจ้าหนุ่มคนนี้ก็เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนเจ้าตัวเดินทางมาขอสร้างบ้านหลังน้อยแทนบ้านหลังเดิมที่มอดไหม้ไปเพราะมือเขา ชายสูงวัยยิ้มให้คนที่เคยขอดูแลหลานสาว

    “ผมอยากให้ตาคิดใหม่ เทียนไม่มีความสุขเลย” ตั้งแต่เมื่อวานเทียนกัลยาก็เอาแต่เก็บตัว หญิงสาวทำให้มุกอ่อย ‘เจ้าสาวยี่สิบสี่’ ของเขาเป็นหมัน แทนที่เธอจะเขินอายกลับเอาแต่เหม่อลอยเหมือนคนมีเรื่องครุ่นคิด

    “เทียนอาจคิดถึงผมกับดาวเรือง”

    หนุ่มดอกไม้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แต่ผมว่ามีมากกว่านั้นครับ เมื่อวานเทียนไปเจอสามีภรรยาคู่หนึ่งแล้วเทียนก็เปลี่ยนไป เอาแต่เงียบ เก็บตัวอยู่ในห้อง” ท่าทางเหม่อลอย น้ำตาคลอเบ้าตลอดของหญิงสาว ทำให้พุทธชาดไม่ได้นอนทั้งคืน “ตามีอะไรจะบอกผมไหม หรือมีเรื่องอะไร ‘ติดค้าง’ เทียนอยู่หรือเปล่าครับ”

    เสริมทิ้งจอบในมือ ยืนเผชิญหน้ากับหนุ่มดอกไม้ ใช่…เขายังติดค้างหลานสาวอย่างมหาศาล

    “ที่เทียนไม่บอก ‘เรื่องนั้น’ กับพวกคุณ คงเพราะแกอยากลืมกระมัง”

    “เทียนไม่อยากบอก แล้วตาอยากบอกไหมครับ”

    เสริมส่ายหน้า

    “แล้วที่ตาเห็นทุกวันนี้ เทียนเหมือนคนที่ลืมมันได้ไหมครับ น้องเหมือนคนมีความสุขไหม ที่สำคัญ…ตามีความสุขไหมครับ”

    พุทธชาดทิ้งคำถามไว้แค่นั้นก็เดินจากไป ปล่อยให้เสริมยืนตัวสั่นเทาท่ามกลางต้นดาวเรืองที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง มีความสุขไหมงั้นหรือ…ชายสูงวัยคุกเข่ากับผืนดิน คนที่หลอกตัวเองว่ามีความสุขมาหลายปีร้องไห้อย่างอัดอั้น

    “เทียน…ตาอยากกอดหลานเหลือเกิน”


    ลีลาวดีและฟาบิโอ้ออกเดินทางไปเชียงรายในเช้าวันถัดไป หลังจากทราบเรื่องดาวประดับแล้วลีลาวดีเกิดไม่อยากไปหาลูกสาวอีกคนเอาดื้อๆ แต่ถูกสามีปราม ฟาบิโอ้อ้างว่าหลานๆ ทางโน้นกำลังคอยตากับยายอยู่ อีกทั้งยังปลอบว่าอีกไม่กี่วันเทียนกัลยาและคนอื่นๆ ก็จะตามขึ้นไป

    “แม่รู้สึกเป็นห่วงเทียนยังไงก็ไม่รู้” คนที่รักสาวดอกเทียนเหมือนลูกบอกไปตรงๆ ลีลาวดีรู้สึกใจหวิวๆ ตั้งแต่ทราบเรื่องดาวประดับ

    “เทียนมีคุณพุดกับพี่ๆ คอยดูแล แม่อย่าห่วงเลยนะคะ” คนที่ใจหวิวๆ ไม่แพ้กันบอก

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เฮ้อ…ยังไงเทียนรีบตามแม่ไปนะลูก อยู่ทางนี้ก็อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แม่ห่วง…” ความห่วงใยสร้างพลังมากมายให้เทียนกัลยา หญิงสาวโอบกอดลีลาวดี

    “เทียนรักแม่นะคะ แล้วเทียนจะรีบตามขึ้นไปพร้อมพี่เกดค่ะ”

    “โอ๊ย ทำไมเล่นใหญ่กันจัง” คนที่ไม่ชอบตกอยู่ในสถานการณ์ซาบซึ้งขัดขึ้น การะเกดค้อนให้น้องสาวก่อนจะอ้อนผู้เป็นแม่ “แม่ทำเหมือนรักเทียนคนเดียวเลย เกดยืนอยู่นานแล้วไม่เห็นกอดสักที”

    ลีลาวดีค้อนลูกสาวบ้าง “แล้วใครล่ะขึ้นไปกอดแม่ตั้งแต่อยู่ในห้อง”

    “ตอนนั้นกับตอนนี้เหมือนกันที่ไหนคะ แม่เล่นกอดแต่เทียน ห่วงแต่เทียนอย่างนี้ เกดน้อยใจแย่” คนไม่ได้น้อยใจว่าพลางอมยิ้ม

    “หน้าเราเหมือนน้อยใจแม่เขามากเลยเนอะ” ฟาบิโอ้กระเซ้าลูกสาว

    “โธ่คุณป๋า เกดก็แค่พูดเตือนแม่เท่านั้นหรอกค่ะ แม่มีลูกเก้าคน ไม่ใช่คนเดียวเสียหน่อย” คนที่รวมเทียนกัลยาเป็นลูกสาวคนที่เก้าออด

    “พอเถอะๆ เกดงอนเป็นเด็กแปดขวบไปได้” คาวีซึ่งกำลังอุ้มลูกสาวบอก มองเวลาแล้วเขากลัวพ่อตาแม่ยายเดินทางไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน

    “นั่นสิ แม่จะตกเครื่องเพราะเกดนี่แหละ”

    “ป๋าฝากดูแลน้องด้วยนะ ส่วนเทียนก็เชื่อฟังพี่ๆ เขานะลูก ห้าม…ย้ำว่าห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด ให้พุดอยู่ข้างตัวเรายี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยิ่งดี”

    “มากไปแล้วครับคุณป๋า อย่าได้ชี้โพรงให้กระรอกมากไปกว่านี้เลยครับ” คาวีขัดขึ้นอย่างหมั่นไส้ ทีลูกชายละเชียร์เอ๊าเชียร์เอา พอลูกเขยละขัดได้ขัดดี เชอะ!

    “คาวี” บุษบาปรามสามีก่อนหันไปทางผู้เป็นพ่อ “คุณป๋าไม่ต้องห่วงนะคะ เดหลีจะช่วยดูแลเทียนเองค่ะ”

    “เดี๋ยวให้สองคนนั้นย้ายไปอยู่บ้านเราเลยเนอะเดหลี” คาวีบอกเสียงกลั้วหัวเราะ ฟาบิโอ้รีบถลึงตาใส่ลูกเขย

    “ไม่ต้อง ให้พุดกับเทียนเฝ้าบ้านไป ไปเถอะคุณ อยู่นานรังแต่จะชังน้ำหน้าคนบางคน”

    “โห…แรงเสมอต้นเสมอปลายเลย” เจ้าของฟาร์มมากบารมีโอดครวญ

    “เดินทางปลอดภัยนะครับคุณป๋า แล้วผมจะรีบพาเทียนขึ้นไปหาแม่นะครับ” พุทธชาดที่ฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น ฟาบิโอ้และลีลาวดีส่งยิ้มให้ลูกๆ ก่อนขึ้นรถ ทุกคนยืนมองท้ายรถไปจนลับตาก่อนชักชวนกันเข้าบ้าน

    “เห็นพุดบอก วันนี้เทียนจะไปเยี่ยมเพื่อนงั้นเหรอ” การะเกดถามหลังจากเดินเข้ามาในห้องรับแขก

    “ค่ะ ลูกพรออกจากโรงพยาบาลวันนี้ เทียนเลยตั้งใจจะไปเยี่ยม”

    “อืม งั้นก็ตามที่คุณป๋าสั่ง ให้พุดไปเป็นเพื่อน”

    “ค่ะ เอ่อ ว่าแต่คุณพุดไม่ติดธุระที่ไหนนะคะ” เทียนกัลยาหันไปถามคนข้างตัว เขามานั่งหมิ่นๆ ตรงขอบโซฟาที่เธอนั่งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

    “ช่วงนี้พุดลางานมาทำภารกิจ เทียนไปไหนพุดก็ไปด้วยทั้งนั้นแหละ” กลายเป็นคาวีที่ตอบคำถามกึ่งกระเซ้าเย้าแหย่

    “ภารกิจ?” สาวดอกเทียนทวนซ้ำ พุทธชาดยิ้มใส่ตาสาว ก่อนรีบปรับสีหน้าให้นิ่งเมื่อพี่เขยหัวเราะลั่นเหมือนคนเป็นบ้า

    “อย่าไปฟังพี่คาวีมาก ช่วงนี้สติไม่อยู่กับร่องกับรอย” ชายหนุ่มเหน็บไปเบาๆ

    “นั่นสิ เชื่อพุดเถอะเทียน” บุษบาที่หมั่นไส้สามีเต็มแก่พูดพลางค้อน เธอรู้หรอกว่าคาวีก็เชียร์ทั้งสองคน แต่วิธีเอาใจช่วยของคาวีนี่น่ากลัวไม่น้อย…น่ากลัวจะเสียเรื่อง

    “ขนาดเมียเขายังคอนเฟิร์มว่าผัวบ้า” การะเกดแยกเขี้ยวใส่พี่เขย “จะไปก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวบ่ายจะร้อน”

    คาวียักไหล่ใส่ทั้งภรรยาและน้องภรรยาอย่างไม่อินังขังขอบ บอกตรงๆ ช่วงนี้เขาแม่มโคตรมีความสุขเลย การได้เห็นพ่อตาคอยลุ้นคอยเชียร์ลูกชายจนหืดขึ้นคอนี่มันฟินเว่อร์ สุขเว่อร์ๆ


    เทียนกัลยาพบบันทะวงและราตรีอีกครั้งที่บ้านของนำพร หญิงสาวยกมือไหว้คนสูงวัยทั้งสอง ดวงตาสองคู่ที่ฉายแววหวั่นไหวทำให้เธอใจชื้น ‘หรือพ่อกับแม่จะจำเราได้’ ความดีใจแล่นผ่านเข้ามาให้หัวใจพองโตก่อนจะฝ่อแฟบเมื่อสติรั้งเอาไว้ เธอจากมาตอนอายุได้เก้าเดือน ไม่มีทางที่พวกท่านจะจำได้ แต่ที่ทำไปคงเพราะเห็นเธอมีอายุไล่เลี่ยกับลูกสาว

    “นึกว่าแกจะไม่มาหาฉันซะแล้ว” นำพรบอกเพื่อน ตอนนี้บ้านของเธอมีหน้าต่างใส่ไว้เรียบร้อย เบิ้มผู้เป็นสามีบอกว่าน้องภรรยาของคาวีเป็นคนออกเงินให้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเทียนกัลยานั่นเอง

    “ทำไมฉันจะไม่มาล่ะ”

    “ก็นึกว่าจะโกรธจนตัดเพื่อนกันไง”

    “ฉันไม่บ้าขนาดนั้นหรอกน่า ว่าแต่หลานหายดีแล้วใช่ไหม จะไปเยี่ยมเมื่อวานแต่คุณพุดบอกรอให้มาเยี่ยมที่บ้านวันนี้เลย” สาวดอกไม้บอก ตอนเธอขอไปเยี่ยมหลาน ชายหนุ่มบอกว่าโทรศัพท์ถามพรรษชลแล้ว หมออนุญาตให้ลูกชายของนำพรกลับบ้านได้วันรุ่งขึ้น ซึ่งเขาออกความเห็นว่าควรมาเยี่ยมที่นี่เลย

    “ขอบใจแกมากนะ ที่ไม่ถือโทษโกรธฉัน” นำพรบอกอย่างรู้สึกผิด ยิ่งเพื่อนไม่คิดอะไร เธอก็ยิ่งเสียใจที่ทำตัวเป็นคนพาล

    “อือ เอ่อ…คุณลุงคุณป้าก็มาเยี่ยมพรเหรอคะ” เทียนกัลยาหันไปถามสองสามีภรรยาด้วยทีท่าประดักประเดิด

    “จ้ะ เอ่อ วันก่อนป้ากับลุงขอโทษนะ ที่ทิ้งพวกหนูไว้ที่โรงพยาบาล” คนที่ไปด้วยกันแต่แยกกันกลับเอ่ยขอโทษ

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใช่ไหมคะคุณพุด” เจ้าของเสียงหวานหันไปถามคนที่ถูกทิ้งเหมือนกัน

    “ครับ ผมกับน้องขับรถพี่หมอกลับ คุณป้าคุณลุงไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ”

    “ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงขอป้าเลี้ยงข้าวเที่ยงเป็นการขอโทษนะคะ เราไปด้วยก็ได้นะพร เอาหลานไปเลี้ยงบ้านป้า” ราตรีหันไปชักชวนนำพร

    “ไปกันเถอะจ้ะ พี่เบิ้มแกซื้อข้าวผัดมาให้เมื่อเช้า ฉันยังไม่ได้กินเลย กะว่าเอาไว้กินเที่ยง” นำพรปฏิเสธ 

    จากนั้นทุกคนจึงพูดคุยกันอีกพักใหญ่ ราตรีกับบันทะวงจึงขอตัวกลับ ก่อนกลับไม่วายย้ำให้สองหนุ่มสาวไปกินมื้อเที่ยงที่บ้านให้ได้

    “ดูป้าตรีกับลุงเป้แกเอ็นดูเทียนจังเลยเนอะ”

    “อ่า ฉันคงมีอายุไล่ๆ กับลูกสาวเขามั้ง” เทียนกัลยาบอกเขินๆ รู้สึกดีที่พ่อกับแม่เอ็นดู

    “ไฮ้ ใช่ที่ไหน ป้าตรีกับลุงเป้ไม่มีลูกหรอก ฉันเคยถามแล้ว ป้ากับลุงบอกอยู่สองคนดีอยู่แล้ว อีกอย่างป้าตรีแกก็ไม่ค่อยแข็งแรงด้วย”

    “เขาบอกว่าไม่มีลูกเหรอ”

    “อือ ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ชาวบ้านแถวนี้เขาสงสัยกัน ป้ากับลุงแกเลยตอบคำถามเป็นระวิง แต่ก็น่าสงสารนะ รักกันมากขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีลูกก็ไม่รู้”

    “เขาอาจมีเหตุผล” เทียนกัลยาบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรที่พ่อแม่บอกคนอื่นว่าไม่มีลูก หรือพวกท่านจะลืมเธอไปแล้วจริงๆ

    “ก็คงใช่ แต่ฉันว่าคงเป็นเพราะป้าตรีแกไม่แข็งแรง เห็นตอนนี้ผอมบางร่างน้อย ตอนย้ายมาอยู่ใหม่ๆ นี่หุ่นอย่างกับไม้เสียบลูกชิ้น หน้างี้ซีดเซียวเหมือนคนอมทุกข์ ชาวบ้านแถวนี้เขาลือกันให้แซ่ด” นำพรเล่าเป็นฉากๆ “ว่าปอบเข้าแก แต่อยู่ไปอยู่มาคนเห็นแกไปวัดบ่อยๆ ก็เลิกลือกันไป”

    พุทธชาดสังเกตเห็นแววตาที่ประเดี๋ยวเศร้าประเดี๋ยวทอประกายวิบวับของเทียนกัลยา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวจึงหันมายิ้มให้เขา

    “แล้วป้าตรีเขาย้ายมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง”

    “คงสักสามปีได้แล้วมั้ง เมื่อก่อนบ้านยายแกก็เคยอยู่ที่นี่นะ ส่วนป้าตรีแกอยู่กับพ่อแม่ในเมือง พอยายตาย น้าชายก็ขายที่ แกกับสามีก็มาขอซื้อคืนแล้วปลูกบ้านอยู่”

    “เขามีญาติที่ไหนอีกไหม”

    “ไม่มีหรอก ตอนขายที่น้าชายฮุบเงินคนเดียว แถมยังประกาศตัดญาติกับหลานอีกด้วย คนมันโลภก็ยังงี้แหละ ป่านนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน”

    “แล้วป้ากับลุงเขาทำอาชีพอะไร”

    “ทำสวนแล้วก็ให้ชาวบ้านเช่าที่ทำนาไง เมื่อก่อนเห็นว่าเคยทำธุรกิจ ก่อนแกจะมาแกขายทุกอย่างมั้ง” เสียงร้องอ้อแอ้เบรกคนเป็นแม่ที่ฝอยจนน้ำลายแตกฟองขอตัวให้นมลูก

    “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” คนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ถาม หลังจากพาหญิงสาวมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน

    “ค่ะ” การตอบรับทำให้คนถามใจชื้นขึ้นนิด ดีกว่าเธอปฏิเสธไม่ยอมให้เขารับรู้ “เอ่อ คุณพุดไม่ถามต่อเหรอคะ” หญิงสาวเห็นเขาเงียบไปจึงเอ่ยถามขึ้น

    “อยากเล่าไหม”

    “ไม่รู้สิคะ เทียนไม่รู้จะเริ่มตรงไหน”

    “งั้นก็ค่อยๆ คิด ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกพี่ก็ได้” 

    คำตอบที่ไม่คาดคั้นเอาความจริงทำให้เทียนกัลยาซาบซึ้ง หญิงสาวสวมกอดชายหนุ่ม ตระหนักดีว่าผ่านมาได้ทุกวันนี้เพราะมีเขาคอยอยู่เคียงข้าง ใจที่แห้งผากขาดน้ำหล่อเลี้ยงตั้งแต่พบผู้ให้กำเนิดค่อยๆ ชุ่มชื้น อย่างน้อยๆ เธอก็รู้ว่าวันใดที่พลาดพลั้งเสียใจ จะมีผู้ชายคนนี้คอยปลอบใจ


    เกือบเที่ยงหนุ่มสาวเดินไปยังบ้านสวนซึ่งมีพื้นที่ติดกับบ้านนำพร ประตูบ้านห่างออกไปพอสมควรเพราะบ้านข้างๆ มีบริเวณรอบบ้านกว้าง อีกทั้งยังเป็นบ้านสวนที่ร่มรื่น ทันทีที่เท้าก้าวผ่านประตูด้านหน้าเทียนกัลยาก็ต้องห่อปาก มะม่วงหลายสิบต้นซึ่งปลูกเรียงกันตลอดทางกำลังออกผลเต็มต้น

    “อื้อหือ…ดินที่นี่ท่าจะดี เทียนดูสิ เยอะแยะไปหมด” ขนาดพุทธชาดยังออกปากพร้อมกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงน้ำปลาหวานฝีมือแม่

    “ไม่ก็คนปลูกดูแลดีค่ะ ออกลูกเยอะขนาดนี้เทียนว่าพะ…เอ่อ ลุงเขาคงใส่ปุ๋ยด้วยกระมัง”

    “อืม ขากลับพี่เห็นจะต้องขอไปชิมสักหน่อย”

    “งั้นเดี๋ยวเทียนทำน้ำปลาหวานให้เองนะคะ สูตรเดียวกับแม่เลย เทียนไปขอเคล็ดลับมาแล้ว” คนฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลีลาวดีบอก แม้จะพูดอย่างสนุกสนาน แต่หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นยามเห็นบ้านซึ่งปลูกสไตล์เรือนไทยประยุกต์ ใต้ถุนบ้านยกสูง พื้นด้านล่างปูด้วยหินอ่อน มีโต๊ะไม้สักสำหรับรับประทานอาหารตั้งอยู่ เจ้าของบ้านส่งยิ้มมาให้ก่อนเชื้อเชิญแขก

    “กับข้าวเสร็จพอดี เชิญนั่งเลยค่ะ” ราตรีบอกหนุ่มสาวก่อนหันไปรับกับข้าวที่สามียกออกมา ท่าทางเกื้อกูลกันทำให้เทียนกัลยาอดยิ้มไม่ได้

    “กลิ่นหอมจังเลยค่ะ”

    “ไม่หอมอย่างเดียวยังอร่อยด้วย ลุงท้าให้ลอง” บันทะวงบอก รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นเมื่อได้พูดกับหญิงสาวตรงหน้า เธอช่างมีหลายอย่างคล้ายภรรยาและตัวเขา

    จะเป็นไปได้ไหมหนอ ที่เด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขากับราตรี

    “งั้นเทียนไม่เกรงใจนะคะ”

    พุทธชาดสังเกตเห็นท่าทางกระตือรือร้นของคนข้างตัว เทียนกัลยาแม้จะร่าเริงแจ่มใสดี แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่รอยยิ้มและแววตาจะเจิดจ้าเท่าวันนี้ ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้เจ้าของบ้านทั้งสองก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าว

    “อร่อยที่สุดเลยค่ะ เทียนขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ป้าได้ไหมคะ จะเอาไว้ไปทำให้คุณพุดกินบ้าง” คนที่ตักแกงจืดตำลึงเข้าปากไปหลายคำฉะอ้อนขอ มองเห็นโอกาสได้ใกล้ชิดผู้เป็นแม่ ซึ่งนั่นก็เรียกความสนใจจากพุทธชาดอีกครั้ง เขาทราบว่าสาวน้อยขอฝากตัวเป็นศิษย์ของแม่กับยายเขาแล้ว เหตุใดถึง…

    “ได้สิจ๊ะ มาบ่อยๆ ก็ได้” ราตรีบอกอย่างเอ็นดู ยิ่งได้พูดคุยยิ่งคิดถึงลูกสาวที่หายตัวไปเกือบสิบเก้าปี ‘ยายหนู’ ของเธอจะน่ารักเท่าเด็กคนนี้ไหมหนอ เด็กที่มีชื่อจริงและชื่อเล่นเหมือนกัน

    “ไม่ต้องเกรงใจนะ” บันทะวงตักแกงจืดตำลึงซึ่งเก็บตำลึงจากหลังบ้านให้เทียนกัลยา หญิงสาวยกมือไหว้ จ้องมองทั้งหมูและตำลึงในจานผ่านม่านน้ำตาที่คลอขึ้น “ป้าเขาจะได้มีเพื่อนเวลาลุงไปดูต้นไม้ในสวน”

    “อ้าว นั่นเป็นอะไรเสียล่ะ ตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้” ราตรีถามด้วยความเป็นห่วง

    “อย่าบอกนะว่าฝุ่นเข้าตา” พุทธชาดที่นั่งสังเกตอาการเทียนกัลยารีบดักขึ้น

    “เอ่อ คือเทียนคิดถึงแม่ค่ะ” สาวดอกไม้บอกเสียงเครือ มองผู้ให้กำเนิดทั้งสอง สำหรับตอนนี้…แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว แค่ได้รู้ว่าพ่อกับแม่ยังอยู่ดี เธอก็มีความสุขแล้ว

    “โถแม่คุณ งั้นหนูมาเป็นลูกป้านะ” ราตรีที่อ่อนไหวไปกับน้ำตาของเด็กสาวออกปาก 

    บันทะวงได้ยินเข้าจึงมองคู่ชีวิต ได้เห็นสีหน้าอิ่มเอิบและแววตาพึงใจของราตรี เขาก็ดีใจ นานมากแล้ว…นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นผู้เป็นภรรยามีสีหน้ามีความสุขอย่างนี้

    “จะ…ให้เทียนเรียกคุณป้าว่าแม่เหรอคะ”

    “จ้ะ ถ้าหนูไม่รังเกียจก็เรียกแม่ตรีกับพ่อเป้นะ ได้ไหมคะพี่เป้” ท้ายประโยคราตรีหันไปขอความเห็นผู้เป็นสามี

    “ได้สิ”

    “ละ...แล้วคะ เอ่อ พ่อเป้กับแม่ตรีไม่มีลูกเหรอคะ” หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป แม้คำพูดของนำพรจะดังชัดอยู่ในหัว แต่เธออยากฟังจากปากของพวกท่าน

    ปกติแล้วใครถามเรื่องลูก ราตรีกับบันทะวงจะบอกปัดว่าไม่มีไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ทั้งสองไม่อยากให้ใครซักถามต่อว่าลูกไปไหน อยู่อย่างไร เพราะเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดว่าลูกกำลังทำอะไร เป็นตายร้ายดีอย่างไร ทว่าวันนี้ทั้งสองไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำปฏิเสธ

    “เคยมีจ้ะ เราสองคนมีลูกสาว” เสียงแหบเครือดังขึ้น

    บันทะวงมองผู้เป็นภรรยาตาโต นับเป็นครั้งแรกที่ราตรีตอบก่อน ทุกครั้งที่ใครถาม ภรรยาเขาจะเบือนหน้าหนีและนิ่งเงียบไปเฉยๆ

    “แล้ว…” เทียนกัลยาไม่กล้าซักถามต่อ เพราะรู้ว่าเธอได้สะกิดบาดแผลในใจพวกท่านเข้าเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจที่แม่ตอบตามความจริง นั่นหมายความว่าแม่กับพ่อยังคิดถึงเธออยู่ทุกขณะจิต เช่นเดียวกับที่เธอคิดถึงพวกท่านตั้งแต่ได้พบรูปถ่ายที่วังเวียง

    “ถ้าคุณลุงคุณป้าไม่สะดวก เราสองคน…” พุทธชาดเป็นคนทำลายความเงียบ เขาพบว่าทั้งสามคนต่างร้องไห้เงียบๆ บนโต๊ะอาหาร

    “ไม่เป็นไร ป้าแค่คิดถึงลูกสาวจ้ะ แกหายไปตั้งแต่ยังอายุแค่เก้าเดือน พอเห็นหนูเทียนป้าเลยคิดถึง เอ็นดูแกอย่างลูกสาว ขอโทษพ่อหนุ่มด้วยก็แล้วกันที่ทำให้อึดอัด”

    “ไม่เป็นไรครับ” หนุ่มดอกไม้ตอบด้วยท่าทางอ่อนน้อม

    “เฮ้อ…พูดเรื่องนี้ทีไร เราสองคนต้องร้องไห้ทุกทีเลย ยังไงก็ขอโทษด้วยนะ ปกติมีใครถามเราจะบอกไปว่าไม่มีลูก เพราะไม่อยากตอบคำถาม ราตรีเขาก็ช้ำมามากแล้ว ลุงก็ไม่อยากพูดให้เขาคิดถึงอีก” บันทะวงเอ่ยขึ้นหลังจากใช้ผ้าซับหัวตา

    “ตายละ ดูเทียนสิ ร้องไห้ใหญ่เลย” ราตรีหันไปยิ้มกับสามี นับเป็นครั้งแรกและยิ้มแรกในรอบหลายสิบปีที่สองสามีภรรยามีให้แก่กัน เป็นรอยยิ้มที่ไม่ฝืนส่งให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นกำลังใจ ทั้งสองคนโชคดีที่รักกันมาก ต่างฝ่ายต่างตั้งใจให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แม้หัวใจจะเจ็บปวดก็ตาม

    “เทียน…” เจ้าของเสียงทุ้มเรียกคนเป็นน้อง

    “ก็เทียนเศร้านี่คะ” คนร่างบางโถมตัวเข้ากอดพี่ชายที่นั่งติดกัน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นยังให้บุคคลอีกสองต่างก้มหน้าซับน้ำตา มีเพียงพุทธชาดเท่านั้นที่แปลกใจกับปฏิกิริยาของน้องน้อย นานมากแล้วที่คนในอ้อมกอดไม่แสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมา แต่วันนี้ ต่อหน้าสามีภรรยาคู่นี้ เทียนกัลยากลับปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น

    พุทธชาดมองคนทั้งสองที่พูดปลอบกันด้วยความรัก ดวงตาคมกริบเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนก้มมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายสองคนนั้นเหลือเกิน คล้ายเสียจนเหมือนจับส่วนที่โดดเด่นมาหลอมรวมกันอย่างไรอย่างนั้น




    พี่พุดตาถึง...

    ส่วนไลน์กลุ่มสนุกสนานกันเช่นเคย ฮ่าๆๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×