เสียงประชาชนโห่ร้องกึกก้องดังสนั่น
ประชาชนทุกคนต่างมาด้วยใจเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
เพื่อต่อต้านรัฐบาลทรราชที่บริหารบ้านเมืองให้ตกต่ำถึงขีดสุด เกิดการทุจริตขึ้นมามากมาย
โดยเมื่อเดือนก่อนที่ผ่านมา เรื่องการกอบโกยผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ที่คนในคณะรัฐบาลต่างฮุบกินและตักตวงเงินทองจากภาษีของประชาชนเกิดแดงขึ้นเพราะคลิปลับภายในห้องประชุมลับสุดยอด
ถูกเผยแพร่ออกมาโดยมือดีคนหนึ่งในห้องประชุม
“เราก็ตั้งงบไปสักสองพันล้านสิ
อย่างเก่งโครงการนี้ขี้หมูขี้หมาก็ไม่กี่ร้อยล้าน
เราก็ถัวเฉลี่ยกันสิว่าจะเอาคนล่ะกี่ล้าน ก็ว่ากันไป” เสียงในคลิปกล่าว หลายๆ
คนฟังแล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คล้ายกับเสียงของรัฐมนตรีท่านหนึ่งซึ่งดูแลเรื่องกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ด้วยเหตุนี้ก่อให้เกิดกลุ่มก้อนการทวงคืนความถูกต้องกลับสู่สังคม โดยแกนนำมาจากฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นนักการเมืองหน้าเก่าหลายคน
สื่อมวลชนบางสำนัก และนักธุรกิจหลายราย บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาลมานาน จากกลุ่มที่มีหัวเรือใหญ่ๆ รวมกันไม่กี่คน
ก็เริ่มเพิ่มจำนวนคนไปเรื่อยๆ จากการให้ข้อมูล การเชิญชวน
และการปลุกใจผ่านช่องโทรทัศน์ซึ่งแกนนำบางคนเป็นเจ้าของอยู่
“พี่น้องที่รักความยุติธรรมทั้งหลาย...ขอให้ท่านออกมาร่วมกับพวกเรา
ขับไล่พวกทรราชย์ ขับไล่รัฐบาลชั่ว ที่มันเอารัดเอาเปรียบพี่น้องทั้งหลาย
ออกไปให้พ้นแผ่นดิน...” คำแถลงของนายชาติชาย เสี้ยมเจริญ
ประธานกลุ่มตรช. (ต่อต้านรัฐบาลชั่ว) ออกผ่านสื่อต่างๆ
เรียกมวลชนทั้งหลายให้มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ชนะพลมองดูประชาชนราวๆห้าแสนคนที่เขารักจับจิตอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
แม้จะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวทั้งห้าแสนคน
แต่เขาก็รู้สึกรักด้วยอุดมการณ์เดียวกัน ดวงตาของชนะพลเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปีติยินดี ชนะพลคือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของประธานตรช.
ชาติชาย
เขาเป็นคนที่ประชาชนรักและให้ความสนใจฟังคำปราศรัยของเขาอย่างเนืองแน่น
ด้วยวาทศิลป์ที่มีลีลาเร้าใจ รวมทั้งเนื้อหาข้อมูลต่างๆ
ล้วนแล้วแต่โจมตีรัฐบาลชนิดที่รัฐบาลดิ้นไม่หลุด
สื่อมวลชนมักจะจับประเด็นการพูดของเขาไปเป็นหัวข้อข่าวในตอนเช้าของวันต่อๆ ไป
ชนะพลจึงได้ทำการพิสูจน์ว่าเขามีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าร่วมประชุมลับของเหล่าแกนนำ
หลังจากที่เขาถูกคัดค้านจากแกนนำรุ่นเก๋าคนอื่นๆ
ที่ผ่านการชุมนุมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่เมื่อพ่อของเขาชี้ให้คนอื่นๆ เห็นว่าชนะพลพร้อมทำเพื่อกลุ่มตรช.แค่ไหน
แกนนำคนอื่นๆ จึงจำเป็นต้องยอมให้เขาเข้าประชุมด้วยความไม่เต็มใจ
เมื่อประชาชนมาร่วมฟังปราศรัยมากขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็นจำนวนมหาศาล
ก็เปรียบเสมือนผลทุเรียนที่ใกล้สุกงอม และจะมีกลิ่นหอมเย้ายวนใจตามมา คงใกล้ถึงเวลาที่จะเกิดการชุมนุมใหญ่เสียที
ชนะพลคิด
ชนะพลเดินกลับเข้ามาข้างหลังเวทีพร้อมกับแกนนำคนอื่นๆ
หลังจากพ่อของเขากล่าวปราศรัยขอบคุณประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลพร้อมทั้งกล่าวว่าจะมีปราศรัยใหญ่
ให้ประชาชนรอฟังคำสั่งจากแกนนำโดยจะประชุมหารือกันก่อนที่จะมีประกาศออกมา
“วันนี้แกพูดได้ดีมาก”
ชาติชายบอกชนะพลด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ “รัฐบาลกำลังอ่อนแอ
ยิ่งเจอข้อมูลเรื่องทุจริตโครงการสั่งซื้อของประดับห้องรัฐมนตรีเข้าไปยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่”
“กว่าผมจะหาหลักฐานมาได้ก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน” ชนะพลตอบ ชาติชายตบบ่าลูกชายแรงๆ
“ไม่เสียแรงจริงๆ
ที่เป็นลูกพ่อ” ชาติชายชื่นชม “จะดีกว่านี้ถ้าแกหล่อเหมือนพ่ออีกสักหน่อย”
ชนะพลหัวเราะ พ่อชอบพูดตลก ผิดกับการปราศรัยบนเวทีที่ดุเดือดเร้าอารมณ์
จนบางทีชนะพลเองก็ยังสงสัยว่าพ่อของเขาทำได้ยังไงที่สามารถแยกบุคลิกออกเป็นสองบุคลิก
บนเวทีอย่างหลังเวทีอย่าง
แล้วชาติชายก็ดึงแขนชนะพลให้เข้าไปในที่ประชุมลับซึ่งบอดี้การ์ดได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ มีแกนนำเก้าคนมานั่งอยู่ก่อนแล้ว และมีที่นั่งว่างอยู่สองที่ ซึ่งแน่นอนว่าตรงหัวโต๊ะคือที่สำหรับชาติชาย และที่นั่งติดกับด้านขวามือของหัวโต๊ะคือที่ของชนะพล เมื่อชาติชายและชนะพลนั่งลง
แกนนำทั้งหมดก็เริ่มพูดจาปราศรัยกันเพื่อปรึกษาหารือ
“วันนี้คนมากันเยอะมาก”
วันชัยผู้ประเมินสถานการณ์ทั่วไปของการชุมนุมกล่าว
“สื่อฝ่ายรัฐบาลรายงานว่าเรามีคนประมาณสามแสนคน สื่อต่างประเทศบอกว่ามีห้าแสนคน”
“แล้วสื่อฝ่ายเราล่ะ”
ชาติชายถาม วันชัยยิ้มก่อนจะบอกว่า
“ผมประสานงานกับพวกเขาแล้ว
บอกให้รายงานไปว่าหนึ่งล้านคน” ชนะพลเลิกคิ้ว
“แต่ผมดูยังไงก็ไม่ถึงหนึ่งล้านคน”
ชนะพลกล่าวเสียงแข็งใส่วันชัย “คุณบอกให้เขาออกประกาศไปอย่างนั้น
พวกฝ่ายตรงข้ามจะไปพูดเอาได้ว่าเรายกหางตัวเอง” วันชัยทำหน้าบึ้งตึง
“เป็นคำสั่งของคุณชาติชาย”
ชนะพลเงียบเขาหันไปเลิกคิ้วใส่ผู้เป็นพ่อเชิงตั้งคำถาม แต่ชาติชายไม่สนใจ
เขาตั้งคำถามกับแกนนำคนอื่นๆ
“ผมจะนัดชุมนุมใหญ่อีกสองวันข้างหน้า
ผมคิดว่าเราน่าจะเดินขบวนไปเยี่ยมเยียนฝ่ายรัฐบาลเสียหน่อย พวกคุณคิดว่ายังไง”
แกนนำทุกคนมองหน้ากันเชิงปรึกษา
“ผมเห็นว่าคนของเรากำลังเครื่องร้อน
กระแสของเราจุดติดมาอย่างดี
ผมคิดว่ายิ่งประกาศชุมนุมใหญ่เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ธเนศแสดงความเห็น
ไม่มีใครคัดค้านอะไร ทุกคนเห็นดีด้วย ชนะพลเองก็เห็นดีด้วย
แม้จะมีบางอย่างค้างคาใจอยู่ก็ตาม
“แล้วคิดว่าเราควรนำคนของเราไปยังไง”
ชาติชายถามต่อ
“ถ้าคนของเรามาเยอะ
เราน่าจะแบ่งขบวนออกเป็นหลายส่วนเพื่อไปเจอกันที่ทำเนียบรัฐบาล”
เทิดศักดิ์เสนอ
“ให้แกนนำสำคัญแต่ละคนเป็นคนนำไป แยกไปสักห้าหกขบวน ให้คนอื่นๆ เห็น
ว่าเรามีคนเยอะขนาดไหน”
“แต่ที่แน่ๆ
รัฐบาลต้องเตรียมตัวรับมือพวกเรา แล้วถ้ารัฐบาลทำรุนแรงล่ะก็
ความชอบธรรมก็จะเกิดกับเรา คนจะให้ความเห็นอกเห็นใจเรามากขึ้น”
ยงยศเสริมอย่างผู้รู้ ชาติชายยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ก็ดี
ถ้าคนของเราเป็นอะไรไป รัฐบาลก็ต้องรับลูกไปเต็มๆ” ชาติชายกล่าว
“แต่ถ้ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรล่ะครับ”
ชนะพลกล่าวถามอย่างสงสัย สายตาหลายคู่จ้องมองดูเขา
แต่ไม่มีใครให้คำตอบชนะพลแม้แต่คนเดียว
หลังจบประชุมทุกคนนัดแถลงข่าวในเช้าวันพรุ่งนี้ ชนะพลอยู่รั้งท้ายรอให้แกนนำทุกคนออกจากห้องไปให้หมดก่อนเพื่อหาโอกาสคุยกับชาติชาย
ซึ่งพ่อของเขากำลังพูดคุยอย่างเงียบๆกับยงยศซึ่งพยักหน้ารับเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อยงยศผละจากพ่อของเขาแล้วเดินออกจากห้องไป
ชนะพลจึงเดินเข้าไปหาพ่อแล้วเริ่มต้นตั้งคำถามด้วยความสงสัย
“ทำไมพ่อถึงให้สื่อบอกจำนวนคนเกินกว่าจำนวนจริง”
“เพราะจะทำให้เกิดความกลัวกับฝ่ายรัฐบาล
แล้วคนของฝ่ายเราที่เขายังไม่ออกมาก็จะออกมาเพิ่มยังไงเล่า กระแสมันกำลังดี” ชาติชายตอบขณะเก็บหลักฐานสำเนาบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ
ที่สุรชัยเป็นคนนำมาให้หลังเลิกประชุมใส่ลงกระเป๋าเอกสาร
“พ่อพูดอย่างกับว่าคนออกมาเพื่อตามกระแส
ไม่ได้มาเพื่ออุดมการณ์” ชนะพลกล่าว
“แล้วแกคิดจริงๆ
หรือว่าทุกคนที่มาชุมนุมทั้งหมดมาเพื่ออุดมการณ์” ชาติชายย้อนถาม
ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไป ทิ้งให้ชนะพลยืนอยู่ในห้องแล้วครุ่นคิดเพียงลำพัง
การแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้นเป็นไปอย่างครึกครื้น
สื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจกับการประกาศชุมนุมใหญ่
เดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มตรช.
“เราจะเดินขบวนในวันพรุ่งนี้
เพื่อไปแสดงพลังของพวกเราหน้าทำเนียบรัฐบาล เราจะเดินขบวนอย่างสงบ ไม่มีการทำร้าย
ไม่มีการทำลายสิ่งของ เราแค่ไปแสดงพลัง
พลังของประชาชนผู้รักความถูกต้องให้ทุกคนได้เห็น...” ชาติชายประกาศต่อหน้าสื่อมวลชน
รวมทั้งแกนนำอีกกว่าสิบชีวิตที่นั่งอยู่เป็นดังสักขีพยานในการประกาศรวมพลเดินขบวน
หลังจากสื่อมวลชนทำข่าวนัดรวมพลชุมนุมใหญ่เสร็จแล้วนั้น
ชาติชายและแกนนำบางส่วนยังอยู่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหลายสำนักที่ต้องการถามอย่างเจาะลึก
แกนนำที่เหลือรวมทั้งชนะพลก็เข้ามานั่งรวมตัวกันในห้องประชุมอีกครั้งเพื่อแจกแจงว่าใครจะนำมวลชนเดินไปตามเส้นทางย่อยเส้นไหน
เพื่อไปรวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาล
ในการจัดขบวนชนะพลมีความรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่า
แทบจะทุกขบวนจะมีรถของแกนนำอยู่ตรงกลาง และประชาชนต่างๆล้อมรอบ
“ทำไมเราไม่เดินนำพวกเขาล่ะครับ”
ชนะพลถาม “ประชาชนเดิน เราก็ควรเดิน แล้วเราก็ไม่น่าจะอยู่ตรงกลางด้วย
เราควรจะนำหน้าพวกเขา เพราะพวกเราเป็นแกนนำนะ”
วันชัยหัวเราะหึหึ
ในขณะที่ยงยศและทรงพลส่ายหน้าอย่างระอา
ธเนศยิ้มอย่างมีเลสนัยก่อนจะถามชนะพลกลับว่า
“เคยเล่นหมากรุกหรือเปล่าคุณชนะ”
“ผม...เคย”
ชนะพลตอบอย่างระมัดระวัง เขาไม่เข้าใจว่าธเนศถามเรื่องหมากรุกทำไม
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะเข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่เดินนำหน้า”
ธเนศบอก “เปิดเกมทุกครั้ง เบี้ยเป็นฝ่ายเดินก่อน” ชนะพลรู้สึกไม่พอใจ
“ทำไมคุณพูดแบบนั้น”
ชนะพลขึ้นเสียง “ประชาชนรักและศรัทธาเรานะ ถ้าพวกเขาได้ยินเราพูดแบบนี้ล่ะก็
ผมว่าคงไม่เหลือประชาชนแม้แต่คนเดียวเป็นเบี้ยให้คุณ”
ธเนศยักไหล่อย่างไม่ให้ราคาในคำพูดของชนะพล
“พวกผมผ่านการชุมนุมมามากกว่าคุณนะ
ชนะ” ยงยศกล่าวเขาจ้องหน้าชนะพล “คุณยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะในการเป็นแกนนำ
เหตุผลที่พวกผมไม่อยากให้คุณมาประชุมด้วย ก็เพราะอะไรล่ะ
ก็เพราะคุณยังอ่อนประสบการณ์ แล้วก็โลกสวยเกินกว่าจะเข้าใจธรรมชาติของการชุมนุม”
ชนะพลสะอึก เขารู้ดีว่ายงยศเป็นนักต่อต้านตัวยงและทำงานร่วมกับพ่อของเขามาโดยตลอด จนเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของชนะพลไปโดยปริยาย
แต่การที่เขาว่าชนะพลต่อหน้าแกนนำคนอื่นๆ
ทำให้ชนะพลโกรธเสียจนต้องเดินออกมาจากห้องประชุม
ชนะพลพบพ่อของเขาเดินกลับเข้ามาหลังเวทีเพื่อจะมาเข้าห้องประชุม
เขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ชาติชายฟัง รวมทั้งบอกถึงความรู้สึกของเขาด้วยว่าเขาไม่พอใจธเนศมากแค่ไหน
และโกรธยงยศที่ว่าเขาโลกสวยเกินไป ชาติชายมองลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พ่อเห็นด้วยกับธเนศ”
ชาติชายบอก
“เห็นด้วยที่ว่าประชาชนเป็นเบี้ยน่ะเหรอครับ”
ชนะพลบอกอย่างหัวเสีย
“แกนนำก็เปรียบเหมือนขุน
ถ้าโดนรุกฆาต ก็ถือว่าจบเกม” ชาติชายอธิบาย
“แต่...นี่มันไม่เหมือนกับหมากรุกนะครับ”
“พ่อไม่มีเวลามานั่งอธิบายให้แกฟังทั้งวันหรอกนะ”
ชาติชายพูดน้ำเสียงเบื่อหน่าย “พ่อมีเรื่องต้องคุยกับยงยศ
แกจะออกไปปราศรัยหรือจะไปไหนก็ไปเถอะไป” แล้วชาติชายก็เดินเลี่ยงเข้าห้องประชุมไป
ชนะพลพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะเดินออกไปพบปะประชาชนด้านนอกเพื่อความสบายใจ
และแล้ววันชุมนุมใหญ่ก็มาถึงกลุ่มตรช.
เคลื่อนขบวนจากจุดนัดพบ แบ่งขบวนออกเป็นห้าสายเพื่อไปเจอกันที่ทำเนียบรัฐบาล
ชนะพลจำใจนั่งรถประจำขบวนที่สี่ร่วมกับยงยศ
เขายังไม่ให้อภัยที่ยงยศว่ากล่าวเขาวันนั้น แต่อย่างไรก็ตามเพื่อมวลชนของเขา
ชนะพลจึงต้องพักความขุ่นเคืองส่วนตัว กล่าวคำปราศรัยร่วมกับยงยศบนรถแกนนำที่มีเครื่องขยายเสียงพร้อมเปิดเพลงปลุกใจคลอไปด้วย
ประชาชนมากมายเหลือที่จะคาดคะเนได้ว่ากี่หมื่นคนล้อมหน้าล้อมหลังรถของแกนนำไปตลอดทาง
ต่างแสดงสัญลักษณ์ความเป็นหนึ่งด้วยการสวมเสื้อสีเหมือนกัน
ยงยศกล่าวปลุกใจไปเรื่อยๆ ในขณะที่ชนะพลก็ให้กำลังใจและเสริมคำพูดของยงยศเป็นอย่างดี
อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล
หัวใจของชนะพละกำลังพองโตด้วยความรู้สึกฮึกเหิมและมีพลัง นี่แหละคือพลังของประชาชน
ต่อต้านรัฐบาลทรราชย์
บึ้มส์!!!!!!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว
รถแกนนำหยุดชะงัก ประชาชนกรีดร้องด้วยเสียงตกใจแตกตื่น หลายคนหมอบลงกับพื้น
ชนะพลตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเขามองเห็นกลุ่มควันลอยคุ้ง
เขาโยนไมโครโฟนทิ้งแล้วถลาโดดลงจากรถ เพื่อจะวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่มืออันแข็งแกร่งของยงยศก็ดึงรั้งเขาไว้ทัน
เห็นได้ชัดว่ายงยศเองก็โดดลงจากรถเพื่อมาคว้าตัวเขาไว้ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไป
“อย่าไป!”
ยงยศสั่งเสียงเข้ม ชนะพลพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของยงยศแต่ไม่เป็นผล
เขาหันไปตะโกนใส่ยงยศด้วยความโมโห
“ปล่อยผมมมมมม”
บึ้มส์!!!!!!!
ระเบิดลูกที่สองดังขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้อยู่ไม่ไกลจากลูกแรก และถ้าชนะพลวิ่งเข้าไปดูแล้วล่ะก็คงจะไม่พ้นโดนระเบิดอย่างแน่นอน
ชนะพลตกตะลึงพูดไม่ออก เขาหยุดดิ้น
มองเห็นร่างประชาชนที่ล้มกองอยู่กับพื้นแน่นิ่งในฝุ่นควัน ก่อนจะหันกลับไปมองยงยศ
ซึ่งนิ่งเงียบและไม่มีทีท่าใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากเหตุการณ์นั้น
มีผู้เสียชีวิตทันทีสามคน และบาดเจ็บอีกสามสิบสองคน
เพราะเป็นช่วงที่ประชาชนแถวหน้าทิ้งห่างระยะจากตัวขบวนจึงทำให้จำนวนผู้เคราะห์ร้ายไม่เยอะเท่าที่ควรจะเป็น
แต่นั่นก็ทำให้เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไม่ใช่น้อยในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง
หลังขบวนทุกขบวนมาจนถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล แกนนำถกกันอย่างเคร่งเครียด
นักข่าวบันทึกภาพเหตุการณ์นี้ไว้เพราะรู้ว่าเป็นวินาทีทองที่จะนำไปทำเป็นภาพข่าวได้
หลังจากแกนนำได้พูดคุยกัน ก็พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว
“ในวันนี้พี่น้องเรา...ต้องสูญเสียชีวิต
เราตั้งใจจะชุมนุมอย่างสงบ แต่หากรัฐบาลหยิบยื่นความไม่สงบให้เรา
เราจะขอชุมนุมยื้อเยื้อเพื่อขับไล่รัฐบาลที่ได้สูญเสียความชอบธรรมไปแล้ว
เราจะไม่ยอมแพ้ ถ้ารัฐบาลไม่ยอมเคารพความต้องการของประชาชน”
ชาติชายกล่าวกับสื่อด้วยท่าทีแข็งกร้าว
ชนะพลโดนดึงตัวจากสื่อหลายสำนักเพื่อจะสัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น
ชนะพลเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกเสียใจและรู้สึกโทษตัวเองที่ช่วยประชาชนไม่ได้
ยงยศเองก็ให้สัมภาษณ์ร่วมกับเขา
แต่ยงยศไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนชนะพล เขากล่าวสั้นๆว่า
รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์สูญเสียทั้งหมด
หลังจากให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ
เรียบร้อย ชาติชาย
พร้อมทั้งแกนนำทุกคนต่างขึ้นบนเวทีและกล่าวคำไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตที่เพิ่มจากสามคนเป็นห้าคน
ชนะพลได้เห็นน้ำตาของพ่อ ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเองก็เศร้าจับใจเหลือเกิน
ประชาชนเหล่านั้นไม่สมควรตาย หากเป็นไปได้ แกนนำอย่างเขาจะขอตายแทนเอง
บรรยากาศการปราศรัยหน้าทำเนียบเต็มไปด้วยความเศร้าโศกระคนโกรธแค้น
ทุกคนฝากความแค้นไว้กับรัฐบาลทั้งหลาย แกนนำให้คำสัญญากับประชาชนว่าจะสู้ไปพร้อมๆ
กัน เพื่อไล่รัฐบาลชั่วออกไป ชนะพลเห็นประชาชนมองแกนนำด้วยความเลื่อมใสอย่างสุขใจ
หลังจากแกนนำใหญ่ปราศรัยจนครบทุกคนแล้ว
ก็กลับเข้ามาประชุมกันในห้องประชุมที่บอดี้การ์ดได้จัดไว้ให้ใหม่ ชนะพลเห็นรอยยิ้มจากแกนนำทุกคนซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏอยู่บนเวทีเมื่อครู่
“เข้าทางเราแล้วล่ะทีนี้”
ทรงพลเปิดประเด็นด้วยความบันเทิงใจ “รัฐบาลหมดความชอบธรรม
คะแนนสงสารกำลังจะเทมาทางเรา” ชนะพลขมวดคิ้วมองบรรยากาศที่รื่นเริงผิดกับบนเวทีด้วยความไม่ชอบใจ
“งานนี้ถ้าไม่ได้ยงยศล่ะก็คงไม่ดีเท่านี้หรอก”
ชาติชายบอก ชนะพลหันไปมองยงยศที่ค้อมศีรษะรับอย่างสบายอารมณ์
“ตอนนี้ฝ่ายเรากำลังเป็นต่อ
รัฐบาลเป็นรอง ผมว่าไม่พ้นเดือนนี้ยังไงก็ชนะแน่” ยงยศกล่าว “ถ้าฝ่ายรัฐบาลไม่ยอมล่ะก็
ระเบิดอีกสักสองสามลูกก็น่าจะพอให้หลายฝ่ายกดดันรัฐบาลอยู่แล้ว”
ชนะพลเข้าใจแล้วว่ายงยศหมายถึงอะไร ระเบิดในวันนี้ไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล แต่เป็นพวกเขา
พวกแกนนำกันเอง
“คุณทำได้ยังไง”
ชนะพลโพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด “ทำกับประชาชนพวกนั้นได้ยังไง”
“ใจเย็นๆ
ชนะ” ชาติชายปรามลูกชายที่กำลังเดือดพล่านราวกับน้ำร้อน
“พ่อเองก็เหมือนกัน
ทำไมทำแบบนี้”
“การชุมนุมมันก็ต้องมีเสียสละกันบ้าง”
ธเนศตอบแทนชาติชาย
“แล้วทำไมไม่เป็นคุณที่เสียสละ”
ชนะพลหันไปถามธเนศ “ทำไมไม่เป็นพวกเรา ผมหมายถึง เราเป็นแกนนำนะ”
“ก็เพราะพวกเราเป็นแกนนำยังไงล่ะ!”
ยงยศพูดตวาดใส่หน้าชนะพล “แกนนำก็เหมือนกับตัวขุน ต่อให้เบี้ยตายทั้งกระดาน
แต่ถ้าขุนยังอยู่ก็ยังเล่นเกมต่อได้”
ชนะพลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ผมพูดจริงๆนะคุณชาติ
ถ้าคุณไม่ห้ามปรามลูกชายคุณบ้างเรื่องการควบคุมอารมณ์ และก็ความเข้าใจเรื่องเกมการเมืองล่ะก็
ผมคงต้องขอให้เอาเขาออกไปให้พ้นๆการประชุมของเรา”
ยงยศหันไปกล่าวประโยคทั้งหมดกับชาติชายโดยตรง ชาติชายมีสีหน้าโกรธจัด
แล้วไล่ให้ชนะพลออกไปสงบสติอารมณ์นอกห้องประชุม
เมื่อทุกคนประชุมเสร็จชาติชายก็ลากตัวชนะพลที่รออยู่ข้างนอกห้องไปคุย
ปรามเรื่องการใช้อารมณ์ รวมทั้งอธิบายเรื่องที่ยงยศทำลงไปเพื่อให้ชนะพลเข้าใจ
โดยที่ชนะพลทำเป็นเข้าใจเพื่อจะไม่โต้เถียงใดๆ กับพ่ออีก เพียงแต่เขาคิด
ต่อไปนี้เขาจะไม่ยอมให้ประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์ของเขาเป็นอะไรไปอีก
เว้นเสียแต่เขาจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้มีอันเป็นไปไปด้วย
แกนนำอย่างเขาจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายกับประชาชน
ชนะพลกล่าวกับตัวเองในใจ
พวกแกนนำทั้งหลายส่วนใหญ่จะนอนในห้องหลังเวที
รวมถึงชาติชายและชนะพลด้วย แรกๆ ก็ไม่มีใครรู้สึกลำบาก
เพราะอาหารการกินอยู่ดีกินดี แม้ชนะพลจะรู้สึกกระดากบ้างที่ตัวเองได้กินของดีๆ จำพวกหูฉลาม
เป็ดปักกิ่งจากโรงแรมที่แกนนำคนอื่นๆ เป็นคนสั่งมา
ในขณะที่ประชาชนด้านนอกได้กินแกงพะโล้ หรือบางวันก็แค่กุนเชียงทอดธรรมดา
แต่ความรู้สึกกระดากเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลดน้อยลงตามกาลเวลา
รัฐบาลไม่มีทีท่าว่าจะยอมอ่อนข้อให้พวกเขาโดยง่าย
ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าแล้วที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ข่าวคราวการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มตรช.
เริ่มซบเซาลง แม้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ระเบิด
หรือคนในที่ชุมนุมถูกยิง กลับไม่ได้สร้างกระแสบวกให้กับพวกเขาอีกต่อไป
กลับมองว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ ประชาชนก็เริ่มลดน้อยลง
เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตนเอง
“งบที่ได้มาก็เริ่มจะหมดแล้วนะครับ”
สุรชัยผู้เป็นคนดูแลเรื่องการเงินของตรช.รายงานกับชาติชาย “ถ้าภายในเดือนนี้ไม่จบ
ผมว่าเดือนหน้าจะลำบากแล้วนะ”
“มันต้องจบภายในเดือนนี้แน่นอน”
ชาติชายกัดฟันตอบ
“อาหารค่ำวันนี้เป็นไก่ทอดจากร้านชื่อดังนะครับ”
สุรชัยกล่าวต่อ
“แค่ไก่ทอดเองหรอ”
ธเนศบ่น “วันก่อนยังมีตั้งเยอะ”
“เราต้องประหยัดงบ”
ยงยศบอกกับธเนศ “เราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากเกินไป คนก็น้อยลงทุกที
รัฐบาลก็ไม่มีทีท่าอะไรเลย แม้แต่สถานการณ์รายวันก็ไม่ช่วยอะไร”
“ผมว่าสถานการณ์รายวันของคุณเป็นการไล่คนไม่ให้มาชุมนุมกันเสียมากกว่า”
ทรงพลว่า
“แล้วจะให้ทำยังไง
ถ้าไม่ใช้วิธีนี้แล้วจะให้ใช้วิธีไหน” ยงยศสวน
“พอทีเถอะ”
ชาติชายห้ามปราม “ผมคิดว่ารัฐบาลกำลังรออะไรสักอย่าง” ทุกคนเงียบ
ชนะพลซึ่งไม่มีปากมีเสียงอะไรมานานแล้ว นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มีการระเบิดเกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน
ก็เสนอความคิดเห็นของเขาขึ้นมาว่า
“ผมว่ารัฐบาลกำลังรอให้คนของเราน้อยพอที่จะเข้ามาสลายการชุมนุม”
ชนะพลบอกเรียบๆ แกนนำทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
“ทำไม่ได้หรอก
ถ้าทำล่ะก็รัฐบาลก็จะ...”
“ไม่มีความชอบธรรม”
ชนะพลต่อคำพูดให้ “คุณจะพูดแบบนี้หรือเปล่า คุณธเนศ” ธเนศพยักหน้า
“ผมจะบอกให้นะฝ่ายรัฐบาลก็จะอ้างความชอบธรรมมาปราบปรามเราเหมือนกัน
พวกเราทำให้การชุมนุมของพวกเราขาดความชอบธรรม”
“พูดเป็นเล่น”
ยงยศพูดสั้นๆ
“ผมไม่ได้พูดเล่น...”ชนะพลว่าแล้วหันไปจ้องตายงยศโดยตรง
“นี่ไงเกมหมากรุกของคุณ คุณทำลายเบี้ยไปเสียจนหมด ทีนี้ก็เหลือแต่เฉพาะขุน
แล้วคุณจะทำยังไง ในเมื่อหมากของฝ่ายรัฐบาลยังเหลืออยู่เต็มกระดาน”
“รุกฆาต”
ชนะพลกล่าวเบาๆ เขาไม่รู้ว่าแกนนำคนอื่นๆ ได้ยินเขาหรือไม่
เพราะตอนนี้มีเสียงที่ดังกว่ากลบเสียงพูดของพวกเขาจนหมดสิ้น
เสียงปืนดังรัวๆ
มาแต่ไกล
แกนนำหลายคนลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้อง
ชนะพลเองถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า
แต่ก็ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ รัฐบาลส่งกองกำลังเข้ามาสลายการชุมนุมแล้ว
แต่เขาไม่อาจขยับไปไหนได้ อาจเป็นเพราะความตื่นตระหนก
เพราะชนะพลไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผิดกับชาติชายที่ลุกขึ้นอย่างรู้งาน
เขาออกแรงดึงชนะพลให้วิ่งออกไปจากห้อง ก่อนจะออกไปพบกับบอดี้การ์ด
ที่ยืนรออารักขาความปลอดภัย
“ไปที่รถ”
ชาติชายสั่งเสียงเฉียบ ชนะพลมองไปรอบๆไม่รู้ทิศทาง
มีประชาชนราวๆพันคนที่อยู่ร่วมชุมนุมกับแกนนำในคืนนี้ เสียงประชาชนที่อยู่ภายนอกกรีดร้อง
ชนะพลอยากจะวิ่งไป วิ่งไปตามต้นเสียงที่ร้องระงมด้วยความเจ็บปวด
แต่เขาไม่เข้าใจตัวเอง เขาวิ่งตามพ่อของเขาไปเรื่อยๆ ขณะที่แกนนำคนอื่นๆ หายไปกันหมด
อาจจะเป็นเพราะการตระเตรียมทางหนีทีไล่นั้นแตกต่างกัน
ชาติชายสั่งให้คนนำรถตู้มาจอดไว้ข้างทำเนียบสำหรับพาหนียามเกิดเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ชนะพลยังได้ยินเสียงปืนดังอยู่
พ่อของเขาส่งกุญแจรถให้บอดี้การ์ด พวกเขาวิ่งถึงรถตู้แล้ว
ชาติชายกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถตู้อย่างรวดเร็ว ส่วนชนะพลลังเลเขาหันหลังกลับไปมองที่ชุมนุมที่มีทั้งเสียงปืนและเสียงกรีดร้อง
“ขึ้นมาเร็วๆ
เข้า” ชาติชายตะโกน
“เราเป็นแกนนำนะ”
ชนะพลพึมพำอย่างแผ่วเบา เหมือนจะพูดย้ำกับตัวเอง “เราเป็นแกนนำ”
“ขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้!”
ชาติชายสั่งเด็ดขาด ชนะพลกระโดดขึ้นรถไปนั่งข้างๆพ่อ
ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูปิดเสียงดัง ปั้ง!
แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไปสู่ท้องถนนที่ร้างผู้คน
ทิ้งซากประชาชนไว้เพียงเบื้องหลัง