คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue:: หมายหัว
อัลลา รูบิดัส โลกใบใหญ่ที่เป็นที่ตั้งของสี่ทวีปอันเป็นเสาหลักค้ำจุนไว้ ซึ่งก็คือเรสเทียแห่งเทพนิยาย เซลทีอัลเน่แห่งมหาตำนาน ฟีเรสแห่งการค้นหาและสุดท้าย…
อันเดลเทลิสแห่งวิทยาการ…
ถ้าจะเทียบล่ะก็ทวีปอันเดลเทลิสเป็นทวีปที่เหล่าผู้คนนั้นเป็นพวกไร้พลังเวทย์ซะส่วนใหญ่พวกเขาเลยพัฒนาทวีปแห่งนี้ด้วยวิทยาศาสตร์ประยุกต์กับเวทมนตร์แทนทำให้เวทมนตร์ส่วนมากหาได้จากการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในรูปของวัตถุซะส่วนใหญ่
ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่ายนอกตัวเมืองส่วนภายในเมืองก็วุ่นวายเหมือนกันทุกที่ แต่ที่แตกต่างจากทวีปอื่นและเป็นเรื่องที่ควรระวังที่สุดของที่แห่งนี้คือ...
อัตราการก่ออาชญากรรม
ใช่…คดีเยอะแบบทุกที่ทุกเมืองต้องมีสถานีตำรวจสองสามที่ อาชีพดีเด่นแห่งปีก็พวกทหาร ตำรวจกับหมอ ระบบรักษาความปลอดภัยสูง แก๊งก็เยอะแถมงานสูงตามด้วย ชาวบ้านนอกเมืองเลยปลอดภัยไม่โดนปล้นเอาง่ายๆ แต่แค่นี้ถ้าคิดว่าปลอดภัยล่ะก็ขอตอบว่าผิด
ถึงจะระบบรักษาความปลอดภัยดีแค่ไหนแต่ก็มีกลุ่มเดียวที่อันตรายและค่าหัวสูงติดอันดับ ท็อปสิบของทวีปที่พอจะงัดเข้าไปปล้นคุตได้แถมยังไม่เคยโดนจับเลยสักครั้ง พวกเขาเป็นอาชญากรผู้เป็นเลิศในทักษะที่ต่างกันด้วยความสามารถเหล่านั้นทำให้พวกเขายังคงลอยนวลอยู่ต่อเนื่องมาหลายปีแม้จะมีสมาชิกแค่เจ็ดคน
ทุกครั้งที่ปล้นพวกเขาจะทิ้งนาฬิกาทรายที่ว่างเปล่าไว้จนได้ชื่อว่าเป็นลายเซ็นหลังการปล้นบวกจนกลายเป็นชื่อของพวกเขา นาฬิกาทรายที่ไร้เวลา
"ไทม์เลส Timeless"
.
.
.
.
.
"อ๋อ เคลียร์ฉันมีข่าวมาบอกช่วงนี้ระวังบ้างก็ดีนะไทม์เลสน่ะผ่านทางมาแถวนี้กันแล้ว”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มวัยยี่สิบสองปีเอ่ยขึ้นมาจากอีกฝั่งของโต๊ะในร้านอาหารในตัวเมืองเรียกสติผมให้กลับมาจากการจมอยู่ในห่วงของความคิด
ซึ่งตามที่อีกฝ่ายบอกผมชื่อเคลียร์หรือชื่อเต็มก็คือเคลียเรนเซ่ กราเซีย เจ้าของหอศิลป์เก่าของเมืองเป็นแค่ผู้ชายอายุสิบเก้าธรรมดาๆ มีชีวิตเรียบง่ายตามประสาคนติดบ้าน
ถ้าถามว่าแล้วมหาลัยล่ะ ผมขอตอบเลยว่าเรียนจบแล้ว ผมไม่ใช่อัจฉริยะอะไรนักหรอกแค่มีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นตอนเด็กๆก็เข้าเรียนเร็วตั้งแต่ห้าขวบข้ามชั้นอนุบาลมาโผล่หัวในชั้นประถม ปิดเทอมก็ไม่ได้พักแต่เรียนติดต่อกันเลย ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็น
มีเวลาเป็นนีทได้ทั้งวันเป็นมาสี่ปีแล้วด้วย
"ออสตินหอศิลป์ของผมไม่มีอะไรมีค่ามากนักหรอกนะ พวกเขาคงไม่สนใจหรอก”
ครับผมพูดจริง…
หอศิลป์ของผมเก็บสะสมของโบราณก็จริงแต่มูลค่าก็แค่เท่าๆกับของโบราณชิ้นอื่น ๆ ส่วนงานศิลป์นั้นก็เป็นชิ้นงานที่มีมูลค่าแบบกลางๆเท่านั้น พวกไทม์เลสเคยผ่านที่นี่เมื่อสองปีก่อน ตอนแรกก็กังวลแต่พอเขาไม่ปล้นผมก็โล่งใจ
ผมก้มหน้าลงทานอาหารบนจานต่อเงียบๆในขณะที่ออสตินเบ้ปากแล้วบ่นพึมพำเบาๆอะไรสักอย่างแต่ใครสน ของกินมาก่อนนั้นคือคติของผม
"แล้วเพชรของนายล่ะ นั้นน่ะของเก่าที่ครอบครัวประมูลได้ไม่ใช่รึไง"
ออสตินยังคงพยายามสนทนากับผมต่อท่ามกลางช่วงเวลาอันสงบสุขของผมที่ได้สวาปามอาหารที่อีกฝ่ายเลี้ยงในวันนี้ซึ่งผมเองก็ตอบออกไปโดยไม่ใส่ใจอะไรมากนัก
"ท่านพ่อเอาไปเก็บสักทีหนึ่งในทวีปก่อนตายช่างเถอะใครสน มีกินมีใช้อย่างที่เป็นอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว"
"โหย ไม่สนโลกเลยนะแกแล้วก็ไปตัดผมได้แล้วยุ่งฟูน่าดึงชะมัด”
"ไม่เอาขี้เกียจ โอ๊ย!”
ว่าแล้วก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายไปแบบหวานสุดเท่าที่จะทำได้แต่ก็ได้สันมืองามๆจากเจ้าพนักงานนอกชุดเครื่องแบบมาแทนก่อนที่พวกเราจะเริ่มหัวเราะออกมากันเบาๆ
ออสติน ชาร์เมลเพื่อนสนิทอายุยี่สิบสองปีของผม เขาเป็นรองสารวัตของกรมตำรวจประจำเมืองนี้ คนที่ผมสนิทที่สุดถึงขั้นรอจับผิดเตรียมลากคอกันเข้าคุกเลยทีเดียว
พ่อแม่ของออสตินเป็นผู้ปกครองของผมหลังจากที่พ่อผมตายเมื่อสิบปีก่อนแถมแม่หนีไปแต่งานใหม่ผมเลยมีเขาเป็นต้นแบบการทำงานเป็นเพื่อน เป็นครูและเป็นพี่ชายของผม
ผมดีใจอยู่นะที่ได้เขาเป็นเพื่อนเหมือนมีเพื่อนบวกกับ รปภ.คอยดูแล…
ออสตินที่ละสายตาจากผมไปสนใจอาหารของเขาบ้างนั้นถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดอีกครั้งเมื่อความใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายผมคงพูดได้ว่าเรื่องมากเหลือเกิน แต่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจเขาหรอกนะ
เมื่อก่อน…พูดแบบนี้รู้สึกแก่พิกล…
เออ เมื่อตอนเด็กๆ เอาเป็นว่าผมดูแลตัวเองดีกว่านี้ละกัน แต่เพราะหน้าที่การงานและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปผมเลยเลิกดูแลตัวเอง…แต่ผมก็ยังรักษาหนังหน้าตัวเองเรื่อยๆนะ
"ไปตัดได้แล้วเคลียร์ผมยาวถึงกลางหลังแล้วนะไหนจะปรกหน้าปรกตาแถมยังยุ่งชี้ฟูอีก ถ้านายไม่ใส่เสื้อผ้าดีๆเนี่ย ฉันคิดว่าเป็นคนบ้าหนีออกจากโรงบาลแล้วนะ”
เฮ้ย นี่ก็เกินไปคนบ้าที่ไหนกัน!
ผมขมวดคิ้วละสายตาจากของหวานไปมองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ผมยอมรับก็ได้ว่าสี่ปีมานี้ผมไม่ได้ดูแลตัวเองแต่ก็ไม่เหมือนนายหรอก
ออสตินวันนี้ใส่สูทสีแดงเลือดหมูกับเสื้อเชิ้ตและกางเกงสีดำ ผมสีดำของเขาถูกเซตขึ้นเก็บไว้ทิ้งแค่หน้าม้าข้างขวายาวลงมาปิดตาสีน้ำตาลอ่อนในขณะที่ผมใส่เสื้อเชิ้ตขาวกับสูทสีฟ้าเทา ผมสีเบจยาวถึงกลางหลังยุ่งฟูดูไม่ได้แม้จะถูกรวบไว้แบบลวกๆก็ตาม
ยอมรับก็ได้ว่าต่างกัน…
แต่ใครแคร์ในเมื่อแฟนก็ไม่มี…
"เรื่องของผมน่าออสติน อ๊ะ ตายล่ะวันนี้ผมต้องไปรับของจัดงานหนิ ผมไปก่อนนะ”
ว่าแล้วก็ได้เรื่องถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวก็ไม่ทันงานพอดี งานเปิดเริ่มตอนแปดโมงเช้า มีเวลาจัดงานอยู่สิบชั่วโมงแถมของที่สั่งดันมีเยอะอีกกว่าจะจัดเสร็จก็ไม่ได้นอนกันพอดี ซึ่งถ้าผมไปช่วยจัดไม่เสร็จผมไม่รู้เลยว่าเลขาผมจะว่าอะไรบ้าง
ผมได้ยินเสียงด่าของเลขาผมด้วยพระเจ้า!
สาวเจ้าท่านนั้นน่ะมาดเข้มแถมโหดบรรลัยเลยถ้าผมไปช้าอย่าว่าแต่งานเจ๊งผมจะกลายเป็นศพไปด้วยเพราะฝีมือเจ๊แกชัวร์ ทางด้านตำรวจผมดำที่เห็นผมดูรีบร้อนเขาก็ยิ้มให้แบบขำๆเมื่อพอจะรู้ว่าถ้าไปสายผมจะเป็นยังไงซึ่งผมก็ไม่รอช้าตบหัวเขาแล้วเผ่นออกจากร้านแทบจะในทันทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายวิ่งตามมาตบหัวคืนพร้อมกับเสียงอีกฝ่ายดังตามหลัง
“ฉันพูดจริงเคลียร์ระวังตัวไว้ด้วย!”
"เข้าใจแล้วออสติน! เฮ้ย!?"
ปิดฉากด้วยการสะดุดขามดล้มหัวฟาดต้นกระบองเพชรแล้วส่งเสียงร้องอย่างน่าอนาถเป็นรอบที่เจ็ดของเดือนสนองกรรมที่ตบหัวชาวบ้าน
ฮือ...เจ็บปวดที่สุดเลยครับ
.
.
.
.
.
ภายในโกดังขนาดใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งเหนือของท่าเรือเมืองเพรัส มีเหล่าร่างสูงในชุดดำเจ็ดคนยืนประจำอยู่ ณ ตำแหน่งต่างๆในโกดังร้างแห่งนี้โดยมีหนึ่งในนั้นนั่งอยู่บนพื้นและทำการค้นข้อมูลอะไรบางอย่างบนหน้าจอสกรีนเลสดิสเพลย์ขนาดใหญ่และขนาดย่อมๆอยู่รอบๆตัว
"ระบุตัวได้รึยัง”
ชายหนุ่มผมเงินเอ่ยถามจากทางด้านหลังของเด็กหนุ่มผมดำผู้ที่กำลังตรวจสอบข้อมูลบางอย่างจากหน้าจอสกรีนเลสดิสเพลย์ขนาดใหญ่ที่แสดงข้อมูลของเพรชน้ำงามขนาดใหญ่ไว้พร้อมกับข้อมูลเจ้าของเพชรที่ถือครองมันอยู่
ตัวเด็กหนุ่มผมดำที่อายุน้อยสุดในกลุ่มส่ายหน้าเบาๆให้กับร่างผมเงินเพียงคนเดียวของกลุ่มเป็นคำตอบแทนคำพูดซึ่งแม้จะไม่เห็นแต่คนผมเงินก็รับรู้และไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับท่าทีแบบนั้นของสมาชิกคนเล็กของทีม จนกระทั่ง…
ตี๊ด!
เสียงแจ้งเตือนข้อมูลที่คนผมดำมองหาอยู่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอขนาดย่อมอันใหม่ เขาเลื่อนปลายนิ้วไปสัมผัสมันเบาๆเพื่อทำการเปิดอ่านข้อมูล…แต่ก็ต้องผิดหวังกับข้อมูลแรกที่ปรากฏขึ้นมาในรูปของโปรแกรมเสียงที่ถูกอ่านออกให้สมาชิกที่เหลือฟัง
"โดเมส กราเซีย เจ้าของหอศิลป์เมืองเพรัสผู้ถือครองเพรชราคาแปดร้อยล้านคนปัจจุบันได้มาโดยการประมูลในราคาเก้าร้อยล้านเหรียญจากโครงการการกุศล เขาแยกทางกับภรรยาของเขาคลาร่า กราเซียเมื่อเก้าปีก่อน
หลังเหตุการณ์เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการเดินทางรอบทวีปไปกับลูกชายวัยสิบปีของเขาเคลียเรนเซ่ กราเซีย ก่อนจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุแก๊สระเบิดภายในโรงแรมที่เข้าพักแห่งสุดท้ายที่ฟลอดีลทางตำรวจไม่เจอเพชรที่ถูกประมูลภายในห้องหรือกับตัวผู้ตายจึงคาดว่าเป็นไปได้ที่จะโดนขโมยไปไม่ก็หายสาบสูญระหว่างเดินทาง...."
เด็กหนุ่มผมดำหันไปมองคนผมเงินที่ยืนฟังข้อมูลอยู่ด้วยสายตาที่ถามออกไปเป็นเชิงว่าจะเอายังไงต่อกับเป้าหมายในครั้งนี้ดีในเมื่อเจ้าของเพชรนั้นตายไปแล้วแถมเพรชก็หายสาบสูญไปอีก ตอนนี้เรียกได้ว่าเกือบมืดแปดด้านแล้ว
เพราะต่อให้ฝีมือการปล้นดีแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีของมันก็เท่านั้น…
คนผมเงินถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อได้ยินข้อมูลที่ได้มาจากการแฮ็คระบบข้อมูลของตำรวจ พวกเขาเสียเวลาตอนมาที่นี่เมื่อสองปีก่อนกับสมบัติอีกชิ้นเลยไม่รู้ว่ามีสมบัติที่มีค่ามากกว่าซ่อนเอาไว้อยู่
พวกเขาเลยกลับมาสืบดูอีกครั้ง แต่มีบางอย่างตะหงิดๆกับช่วงเวลาที่เพชรหายไปกับคำถามต่างๆนาๆที่ว่าเขาเดินทางไปทำไม เพชรหายที่ไหน แล้วเหตุผลที่พาลูกชายไปด้วยคืออะไร…
"... เดี๋ยว”
เขาฉุดคิดขึ้นมาได้แม้ว่าจะเป็นสมมุติฐานบ้าๆแต่ถ้ามันเป็นจริง ข้อมูลสุดท้ายนี้ที่กำหนดทุกอย่างจะเป็นตัวตัดสิน ถ้าไม่มีทุกอย่างก็ตันแล้วเพชรเม็ดนั้นก็จะเป็นแค่ความฝันที่ไกลเกินเอื้อม
“...ย้อนกลับไปเช็กไฟล์ของโรงพยาบาลต่อ ตรงส่วนประวัติทางการแพทย์ของลูกชายน่ะเผื่อจะมีอะไรพอเป็นเบาะแสได้”
ร่างผมดำพยักหน้าให้อย่างว่าง่ายแล้วเริ่มย้อนกลับไปเช็กข้อมูลส่วนของลูกชายที่นอกจากจะเรียนจบเร็วแล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นปริศนา
ตี๊ด!
ไฟล์ข้อมูลของชายวัยสิบเก้าปีเด้งขึ้นมาหลังจากที่รอเจาะระบบข้อมูลของโรงพยาบาลสำเร็จ คนผมดำเลื่อนนิ้วไปปลดล็อกข้อมูลแล้วมองเนื้อหาที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอใหญ่ก่อนจะเปิดโปรแกรมอ่านออกเสียงอีกครั้ง
"เคลียเรนเซ่ กราเซีย ปัจจุบันอายุสิบเก้าปีเจ้าของปัจจุบันของหอศิลป์เมืองเพรัส เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัสเมื่อสิบปีก่อนในอุบัติเหตุแก๊สระเบิดในโรงแรม เขาได้รับการรักษาฉุกเฉินในโรงพยาบาลเมืองฟลอดีลในเคสของสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนจากแรงระเบิดกับอวัยวะภายในเสียหาย
หลังการฟื้นตัวผู้ป่วยยังคงมีอาการผิดปกติทางประสาทเล็กน้อยโดยการย้ำบางอย่างวนไปมาและร้องเพลงกล่อมเด็กภาษาโบราณซึ่งพฤติกรรมนี้ผู้ป่วยทำเป็นเวลาเจ็ดเดือนก่อนจะหายไปและถูกปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลด้วยการอุปการะของตระกูลชาร์เมลอีกสองเดือนต่อมา "
ข้อมูลที่ปรากฏมานั้นให้พวกเขาแปลกใจไม่น้อยที่เด็กยังรอดมาได้แต่ก็ไม่แปลกใจเท่ากับพฤติกรรมแปลกๆที่ว่านั้น ถ้านั้นเป็นคำบอกใบ้ล่ะ ถ้านั้นเป็นจุดเชื่อมล่ะ ถ้าสิ่งที่เขาทำในระยะเวลาเจ็ดเดือนนั้นเป็นการที่สมองย้ำคิดย้ำทำในสิ่งสุดท้ายที่ถูกปลูกฝังให้เป็นเรื่องสำคัญล่ะก็...
เขาก็คือกุญแจและแผนที่นำทางในครั้งนี้…
ร่างผมเงินขยับยิ้มออกมาเล็กน้อยกับการตัดสินใจของตัวเองพร้อมกับแสงจันทร์ที่ฉายแสงลงมาผ่านช่องว่างเล็กๆของโกดังร้างเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของกลุ่มอาชญากรที่อยู่ในระดับท็อปสุดของทวีป
"เปลี่ยนเป้าหมายการปล้น...เป้าหมายคือเคลียเรนเซ่ กราเซียเจ้าของหอศิลป์คนปัจจุบัน”
สิ้นเสียงคนผมเงินผู้เป็นหัวหน้าสมาชิกที่เหลือก็ทำการแยกย้ายไปในทันทีพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจของแต่ล่ะคน
ไม่ว่าจะหน่วยข้อมูลที่ยิ้มออกมากับเหยื่อรายใหม่ มือสังหารที่ได้โอกาสลิ้มลองรสเลือดของเป้าหมายที่ได้จับเป็น หน่วยอาวุธที่เตรียมพร้อมรับมือเมื่อข้อมูลเป้าหมายมีน้อยเกินไปเช่นเดียวกับหน่วยแพทย์ที่เตรียมตัวเผื่อมีใครตายขึ้นมาและสายลับทั้งสองที่พร้อมจะค้นข้อมูลเพิ่มในภาคสนาม
ในเมื่อครั้งนี้มันไม่ใช่วัตถุที่ถูกป้องกันด้วยระบบหากแต่เป็นคนแทน คนที่หนีได้หลบได้คนที่ไม่รู้อะไรแถมยังถูกรักษาความปลอดภัยโดยผู้คนที่อยู่รอบข้างอีก
น่าท้าทายดีเนอะ…
------------------------------------------------------------
ครับโผล่มาแล้วกับตอนแรกแต่จะมาอัพบ่อยๆเรื่องอื่นๆที่ข้างขาผมก็จะมาปล่อยบ้างนะ
ยังไงก็ขอฝากไอ้หนูหัวยุ่งกับฮาเร็มแสนอันตรายของเจ้าตัวด้วย
อ๋อแปะรูปไว้ด้วยเลยให้จำไว้ว่านี่เคลียร์นะ นี่คือนายเอกลุคยาจกเพียงคนเดียวในเรื่อง
เห็นหน้าใช่ไหม นี่ล่ะนายเอกประจำเรื่องกับฉบับลัลล้ากับชีวิตไม่สนโลก
ปล. เพิ่ม มาแก้และต่อเติม! ไฟฮึดแล้ว! มาปรุงนิยายตัวเองแปป!
ความคิดเห็น